The hidden power of smiling | Ron Gutman

Translator: Sritala Dhanasarnsombut Reviewer: Heartfelt Grace

ตอนผมเด็ก ผมฝันตลอดว่าอยากเป็นซุปเปอร์ฮีโร่

When I was a child, I always wanted to be a superhero.

I wanted to save the world and make everyone happy.

ผมอยากช่วยโลกและทำให้ทุกคนมีความสุข

แต่ผมก็รู้ว่ามันจะต้องมีพลังพิเศษประกอบ

But I knew that I'd need superpowers to make my dreams come true.

เพื่อทำให้ฝันของผมเป็นจริง

ดังนั้นผมจึงเริ่มต้นจินตนาการการเดินทาง

So I used to embark on these imaginary journeys

to find intergalactic objects from planet Krypton,

เพื่อเสาะหาวัตถุนอกกาแล็กซีจากดาวเคราะห์คริปตอน

which was a lot of fun, but didn't yield much result.

ซึ่งเป็นอะไรที่สนุกมาก

แต่ผมก็ไม่ได้คำตอบสักเท่าไหร่

When I grew up and realized

พอผมโตขึ้น ผมก็รู้ว่า

that science fiction was not a good source for superpowers,

นิยายวิทยาศาสตร์ไม่ใช่แหล่งข้อมูลที่ดีของพลังพิเศษ

I decided instead to embark on a journey of real science,

ผมจึงตัดสินใจเริ่มเดินทางในโลกความจริงแทน

to find a more useful truth.

ผมเจอความจริงมากขึ้น

I started my journey in California,

ผมเริ่มต้นการเดินทางที่แคลิฟอร์เนีย

with a UC Berkeley 30-year longitudinal study

กับการศึกษาของ ม.แคลิฟอร์เนีย-เบิร์กเลย์ (UC Berkley) ที่ศึกษาย้อนกลับไปร่วม 30 ปี

that examined the photos of students in an old yearbook,

ที่วิเคราะห์รูปภาพนักศึกษา

ในหนังสือรุ่น

and tried to measure their success and well-being throughout their life.

และพยายามวัดระดับความสำเร็จและความเป็นอยู่

ตลอดช่วงชีวิตพวกเขา

By measuring the students' smiles,

โดยวัดจากรอยยิ้มของเหล่านักศึกษากลุ่มนี้

researchers were able to predict

นักวิจัยสามารถพยากรณ์ได้ว่า

how fulfilling and long-lasting a subject's marriage would be,

พวกเขาจะมีความสุขและมีชีวิตยืนยาว

ในด้านชีวิตสมรสแค่ไหน

(Laughter)

เธอจะได้รับคะแนนสักเท่าไหร่

how well she would score on standardized tests of well-being,

ในเรื่องมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดี

and how inspiring she would be to others.

และจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นแค่ไหน

In another yearbook, I stumbled upon Barry Obama's picture.

ในหนังสือรุ่นอีกเล่มหนึ่ง ผมรู้สึกสะดุดกับรูปของแบรี่ โอบามา

ตอนที่ผมมองรูปเขาครั้งแรก

When I first saw his picture,

I thought that his superpowers came from his super collar.

ผมคิดว่าพลังพิเศษบางอย่างนี้มาจากปกเสื้อสุดเจ๋งของเขา

(Laughter)

But now I know it was all in his smile.

แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามันมาจากรอยยิ้มเขาต่างหาก

Another aha! moment came from a 2010 Wayne State University research project

อีกอันหนึ่งที่ ใช่เลย!

มาจากโครงการวิจัยของมหาวิทยาลัย เวนน์ สเตท (Wayne State) ในปี 2010 (พ.ศ.2553)

ที่ศึกษาบัตรเบสบอลที่ออกก่อนปี 1950 (พ.ศ.2493)

that looked into pre-1950s baseball cards of Major League players.

ของผู้เล่น เมเจอร์ ลีค

ทีมนักวิจัยค้นพบว่า

The researchers found that the span of a player's smile

รอยยิ้มของผู้เล่น

could actually predict the span of his life.

สามารถใช้พยากรณ์ช่วงชีวิตของเขาได้

Players who didn't smile in their pictures

ผู้เล่นที่ไม่ได้ยิ้มในรูป

lived an average of only 72.9 years,

มีอายุประมาณ 72.9 ปี

where players with beaming smiles

แต่กับผู้เล่นที่ยิ้มกว้าง

lived an average of almost 80 years.

มีอายุถึงเกือบ 80 ปีทีเดียว

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

The good news is that we're actually born smiling.

ข่าวดีคือพวกเราเกิดมาพร้อมรอยยิ้ม

Using 3D ultrasound technology,

ใช้เทคโนโลยีอุลตาซาว 3 มิติ

we can now see that developing babies appear to smile,

เราจะเห็นได้ว่าเด็กทารกกำลังยิ้มอยู่

แม้เขาจะอยู่ในครรภ์

even in the womb.

และเมื่อพวกเขาคลอดออกมา

When they're born, babies continue to smile --

เด็กก็ยังคงยิ้มต่อไป

initially, mostly in their sleep.

โดยส่วนมากตอนนอน

And even blind babies smile

หรือแม้แต่เด็กที่ตาบอดก็ยิ้ม

to the sound of the human voice.

ให้กับเสียงคนที่เขาได้ยิน

Smiling is one of the most basic, biologically uniform

การยิ้มเป็นระบบพื้นฐานที่สุดที่เป็นเอกภาพในเชิงชีววิทยา

expressions of all humans.

ในการแสดงความรู้สึกของมนุษย์

In studies conducted in Papua New Guinea,

ในการศึกษาที่ ปาปัว นิว กีนี

Paul Ekman, the world's most renowned researcher on facial expressions,

พอล เอ็คมัน (Paul Ekman)

นักวิจัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกเรื่องการแสดงออกของใบหน้า

found that even members of the Fore tribe,

พบว่าแม้แต่ชนเผ่าโฟร์ (Fore)

who were completely disconnected from Western culture,

ที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมตะวันตกเลย

and also known for their unusual cannibalism rituals,

และยังเป็นที่รู้จักในพิธีกรรมกินคนแบบแปลกประหลาดอีก

(Laughter)

ใช้รอยยิ้มประกอบคำอธิบายในสถานการณ์ต่างๆ

attributed smiles to descriptions of situations

the same way you and I would.

เหมือนกับที่คุณและผมทำกัน

ดังนั้น จากปาปัว นิว กีนี

So from Papua New Guinea

to Hollywood

มาถึงฮอล์ลีวูด

จนถึงงานศิลปะร่วมสมัยในปักกิ่ง

all the way to modern art in Beijing,

พวกเรายิ้มกันบ่อยๆ

we smile often,

and use smiles to express joy and satisfaction.

เรายิ้มแสดงออกว่ามีความสุข

และพึงพอใจ

How many people here in this room smile more than 20 times per day?

มีกี่คนในห้องนี้ครับที่

ยิ้มมากกว่า 20 ครั้งต่อวัน

Raise your hand if you do.

ยกมือขึ้นหน่อยครับ โอ้ ว้าว

Oh, wow.

นอกเหนือไปจากพวกเราในห้องนี้

Outside of this room,

more than a third of us smile more than 20 times per day,

คนมากกว่าหนึ่งในสามยิ้มกว่า 20 ครั้งต่อวัน

ในขณะที่ไม่ถึงร้อยละ 14

whereas less than 14 percent of us smile less than five.

ที่ยิ้มน้อยกว่าห้าครั้ง

In fact, those with the most amazing superpowers are actually children,

อันที่จริง คนส่วนใหญ่ที่มีพลังพิเศษนี้

คือเด็กๆ

who smile as many as 400 times per day.

ซึ่งยิ้มมากถึง 400 ครั้งต่อวัน

คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมเวลาอยู่กับเด็กๆ

Have you ever wondered why being around children,

ที่ยิ้มกันบ่อยๆ

who smile so frequently, makes you smile very often?

ทำให้พวกเราพลอยยิ้มบ่อยตามไปด้วย

A recent study at Uppsala University in Sweden

งานวิจัยล่าสุดของมหาวิทยาลัยอุพพ์ซาลา (Uppsala) ในสวีเดน

พบว่า เป็นเรื่องยากที่จะทำหน้าบึ้ง

found that it's very difficult to frown when looking at someone who smiles.

เวลาที่เรามองหน้ายิ้มๆของใครบางคน

คุณอาจสงสัยว่า ทำไม?

You ask why?

Because smiling is evolutionarily contagious,

ก็เพราะว่าการยิ้มมีวิวัฒนาการที่เชื่อมโยงแพร่ไปถึงกันได้

and it suppresses the control we usually have on our facial muscles.

และมันยับยั้งการควบคุม

กล้ามเนื่อบนใบหน้าของพวกเรา

การยิ้มเลียนแบบตามผู้อื่น

Mimicking a smile and experiencing it physically

และการยิ้มที่เกิดขึ้นเองทางกายภาพ

helps us understand whether our smile is fake or real,

ช่วยให้เข้าใจว่ายิ้มที่เกิดขึ้นเป็นรอยยิ้มแบบเสแสร้งหรือรอยยิ้มแบบจริงใจ

so we can understand the emotional state of the smiler.

จึงทำให้เราสามารถเข้าใจความรู้สึก

ของผู้ยิ้มได้

In a recent mimicking study

การศึกษาเกี่ยวกับการเลียนแบบ

at the University of Clermont-Ferrand in France,

ที่มหาวิทยาลัยเคร์มองต์ เฟอร์รานด์ (Clermont-Ferrand) ในประเทศฝรั่งเศส

subjects were asked to determine whether a smile was real or fake

ผู้ร่วมการทดสอบจะต้องบอกว่า

อันไหนเป็นยิ้มแบบจริงใจ อันไหนยิ้มแบบเสแสร้ง

while holding a pencil in their mouth to repress smiling muscles.

ในขณะที่คาบดินสอไว้ที่ปากด้วย

เพื่อรั้งกล้ามเนื้อที่ใช้ในการยิ้ม

ถ้าไม่มีดินสอ ผู้ร่วมทดสอบคงตัดสินได้ดีเยี่ยม

Without the pencil, subjects were excellent judges,

but with the pencil in their mouth --

แต่เมื่อมีดินสอในปาก

when they could not mimic the smile they saw --

พวกเขาไม่สามารถเลียนแบบการยิ้มที่พวกเขาเห็นได้

their judgment was impaired.

ความสามารถในการตัดสินของพวกเขาเลยเดี๊ยง

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

In addition to theorizing on evolution in "The Origin of Species,"

นอกจากทฤษฎีวิวัฒนาการในหนังสือ "กำเนิดสปีชีส์" (The Origin of Species)

Charles Darwin also wrote the facial feedback response theory.

ชาร์ล ดาร์วิน (Charles Darwin) ยังได้เขียน

ทฤษฎีการตอบโต้ย้อนกลับทางใบหน้า

ทฤษฎีของเขากล่าวว่า

His theory states that the act of smiling itself actually makes us feel better,

กิริยาอาการยิ้มนั้น ด้วยตัวมันเอง

ตามความเป็นจริงแล้ว จะทำให้เรารู้สึกดีขึ้น

rather than smiling being merely a result of feeling good.

มากกว่าการยิ้มที่เป็นผลพวง

ของความรู้สึกดีที่เกิดขึ้น

In his study, Darwin actually cited a French neurologist, Guillaume Duchenne,

ในการค้นคว้าของเขา

ดาร์วินได้อ้างถึงนักประสาทวิทยาชาวฝรั่งเศส กูเลียม ดูแชนน์ (Guillaume Duchenne)

who sent electric jolts to facial muscles to induce and stimulate smiles.

ที่ใช้ไฟฟ้าช๊อตกล้ามเนื้อบนใบหน้า

เพื่อกระตุ้นให้เกิดรอยยิ้ม

Please, don't try this at home.

กรุณาอย่าได้ลองทำเองที่บ้านนะครับ

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

In a related German study,

ในการศึกษาที่เกี่ยวเนื่องกันของเยอรมัน

researchers used fMRI imaging to measure brain activity

นักวิจัยใช้การสร้างภาพด้วยเรโซแนนซ์แม่เหล็กเชิงฟังชั่น (fMRI)

เพื่อประเมินกิจกรรมทางสมอง

before and after injecting Botox to suppress smiling muscles.

ก่อนและหลังฉีดการฉีดโบท๊อกซ์ (Botox)

เพื่อรั้งกล้ามเนื้อที่ใช้ในการยิ้ม

The finding supported Darwin's theory,

ผลการศึกษาสนับสนุนทฤษฎีของดาร์วิน

by showing that facial feedback

โดยแสดงให้เห็นว่าการโต้ตอบของใบหน้า

modifies the neural processing of emotional content in the brain,

เปลี่ยนแปลงการประมวลผลของประสาท

ของข้อมูลอารมณ์ที่อยู่ในสมอง

in a way that helps us feel better when we smile.

ในทางที่ช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นเวลาที่เรายิ้ม

Smiling stimulates our brain reward mechanism

การยิ้มช่วยกระตุ้นกลไกการให้รางวัลของสมอง

ในทางที่แม้แต่ช็อกโกแลต

in a way that even chocolate --

a well-regarded pleasure inducer --

ตัวลดความเครียดชั้นดี

cannot match.

ไม่สามารถเทียบเท่าได้

British researchers found that one smile

นักวิจัยชาวอังกฤษได้พบว่าการยิ้มหนึ่งครั้ง

can generate the same level of brain stimulation

สามารถกระตุ้นสมองในระดับเดียวกับ

as up to 2,000 bars of chocolate.

ช็อกโกแลต 2,000 แท่ง

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

Wait --

เดี๋ยวครับ ในการวิจัยอันเดียวกันพบว่า

The same study found that smiling is as stimulating

การยิ้มกระตุ้นความรู้สึกในระดับเดียวกับ

as receiving up to 16,000 pounds sterling in cash.

ได้รับเงินสด 16,000 ปอนด์สเตอริงเลยทีเดียว

(Laughter)

นี่เหมือนกับว่า ยิ้มครั้งหนึ่งได้ 25,000 ดอลลาร์

That's like 25 grand a smile.

It's not bad.

ไม่เลวเลยครับ

And think about it this way:

คิดแบบนี้แล้วกัน

25,000 times 400 --

25,000 ดอลลาร์ คูณ 400

quite a few kids out there feel like Mark Zuckerberg every day.

มีเด็กจำนวนหนึ่งเลยทีเดียว

ที่จะรู้สึกเหมือนกับ มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ในแต่ละวัน

(Laughter)

และไม่เหมือนกับช็อกโกแลตเยอะๆ

And unlike lots of chocolate,

lots of smiling can actually make you healthier.

ยิ้มเยอะๆ ช่วยให้สุขภาพคุณดีขึ้นได้

Smiling can help reduce the level of stress-enhancing hormones

การยิ้มช่วยลดระดับ

การสร้างฮอร์โมนความเครียดได้

like cortisol, adrenaline and dopamine,

เหมือนกับ คอร์ทิโซล (cortisol) อะดรีนาลีน (adrenaline) และโดปามีน (dopamine)

increase the level of mood-enhancing hormones like endorphins,

ที่เพิ่มระดับการสร้างฮอร์โมนอารมณ์ดี

เหมือนกับเอนโดร์ฟีน (endorphin)

and reduce overall blood pressure.

และช่วยลดความดันเลือดโดยรวม

และถ้าแค่นี้ยังไม่พอละก็

And if that's not enough,

smiling can actually make you look good in the eyes of others.

การยิ้มทำให้เราดูดี

ในสายตาของคนอื่น

A recent study at Penn State University found that when you smile,

ในการศึกษาของมหาวิทยาลัย เพน สเตท (Penn State)

พบว่าตอนที่เรายิ้ม

you don't only appear to be more likable and courteous,

เราไม่เพียงดูสุภาพและอัธยาศัยดีเท่านั้น

แต่เรายังดูเป็นคนเก่งมีความสามารถมากขึ้นด้วย

but you actually appear to be more competent.

ดังนั้นเวลาที่คุณอยากดูดีและดูเก่ง

So whenever you want to look great and competent,

ลดความเครียด

reduce your stress or improve your marriage,

หรือยกระดับการใช้ชีวิตคู่

or feel as if you just had a whole stack of high-quality chocolate

หรืออยากรู้สึกเหมือนกันเราเพิ่งได้กินช็อกโกแลตชั้นเลิศเข้าไปเป็นถุง

โดยไม่ต้องกังวลถึงแคลอรี่นะ

without incurring the caloric cost,

or as if you found 25 grand in a pocket of an old jacket you hadn't worn for ages,

หรือราวกับว่าเราล้วงไปเจอเงิน 25,000 ดอลลาร์ในกระเป๋า

เสื้อแจ๊กเก็ตที่คุณไม่ได้ใส่มาหลายปี

หรือเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณอยากจะมีพลังพิเศษ

or whenever you want to tap into a superpower

that will help you and everyone around you

ที่จะช่วยคุณและผู้คนรอบข้าง

live a longer, healthier, happier life,

ให้มีชีวิตยืินยาวขึ้น สุขภาพดีขึ้น และมีความสุขขึ้น

ยิ้มกันเถิดครับ

smile.

(Applause)

(เสียงปรบมือ)