How to make stress your friend | Kelly McGonigal | TED

Translator: Chatthip Chaichakan Reviewer: Piyawit SEREEYOTIN

I have a confession to make.

ฉันมีอะไรจะสารภาพค่ะ

But first, I want you to make a little confession to me.

แต่ก่อนอื่น ฉันอยากให้คุณ

สารภาพอะไรเล็กๆ น้อยๆ กับฉันด้วย

In the past year, I want you to just raise your hand

ในช่วงปีที่ผ่านมา ฉันอยากให้คุณยกมือขึ้น

if you've experienced relatively little stress.

ถ้าคุณได้เจอกับความเครียดเล็กๆ น้อยๆ

Anyone?

มีใครบ้างคะ

How about a moderate amount of stress?

แล้วเครียดพอประมาณล่ะคะ

Who has experienced a lot of stress?

แล้วใครเคยเครียดมากๆ บ้าง

Yeah. Me too.

ใช่ค่ะ ฉันก็ด้วย

But that is not my confession.

แต่นั่นไม่ใช่คำสารภาพของฉันนะคะ

My confession is this:

คำสารภาพของฉันคือนี่ค่ะ ฉันเป็นนักจิตวิทยาเพื่อสุขภาพ

I am a health psychologist,

and my mission is to help people be happier and healthier.

และภารกิจของฉันก็คือการช่วยให้คนมีความสุขมากขึ้น และสุขภาพดีขึ้น

But I fear that something I've been teaching

แต่ฉันกลัวว่า อะไรบางอย่างที่ฉันสอนมา

for the last 10 years is doing more harm than good,

ตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมานั้น จะเป็นโทษมากกว่าเป็นประโยชน์

and it has to do with stress.

และนั่นหมายถึงเรื่องความเครียดค่ะ

For years I've been telling people, stress makes you sick.

หลายปีที่ผ่านมา ฉันเฝ้าบอกผู้คนว่าความเครียดทำให้คนป่วย

It increases the risk of everything from the common cold

มันเพิ่มความเสี่ยงในทุกๆ ด้าน จากไข้หวัดธรรมดา

to cardiovascular disease.

ไปจนถึงโรคหัวใจ

โดยพื้นฐาน ฉันทำให้ความเครียดเป็นศัตรู

Basically, I've turned stress into the enemy.

But I have changed my mind about stress,

แต่ฉันได้เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับความเครียดแล้ว

and today, I want to change yours.

และวันนี้ ฉันอยากจะเปลี่ยนความคิดของคุณด้วย

Let me start with the study that made me rethink

ฉันขอเริ่มที่งานวิจัยที่ทำให้ฉันต้องคิดใหม่

my whole approach to stress.

เกี่ยวกับวิธีการมองความเครียดของฉันนะคะ

งานศึกษาชิ้นนี้ติดตามผู้ใหญ่จำนวน 30,000 คน ในสหรัฐฯ

This study tracked 30,000 adults in the United States for eight years,

เป็นเวลา 8 ปี และพวกเขาเริ่มโดยถามผู้คนว่า

and they started by asking people,

"How much stress have you experienced in the last year?"

"คุณมีความเครียดมากแค่ไหนในปีที่ผ่านมา"

พวกเขาถามด้วยว่า "คุณเชื่อรึเปล่าว่า

They also asked,

"Do you believe that stress is harmful for your health?"

ความเครียดเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณ"

And then they used public death records to find out who died.

แล้วพวกเขาก็ดูที่สถิติการตายของรัฐ

เพื่อดูว่าใครบ้างที่ตายแล้ว

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

Okay.

เอาล่ะ ข่าวร้ายก่อนนะคะ

Some bad news first.

People who experienced a lot of stress in the previous year

คนที่มีความเครียดมากๆ ในช่วงปีก่อนหน้า

had a 43 percent increased risk of dying.

มีความเสี่ยง 43 เปอร์เซ็นต์ที่จะเสียชีวิต

But that was only true for the people

แต่นั่นเป็นจริงเฉพาะคนที่

who also believed that stress is harmful for your health.

เชื่อว่าความเครียดนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณ

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

People who experienced a lot of stress

คนที่เจอกับความเครียดมากๆ

but did not view stress as harmful

แต่ไม่ได้มองว่าความเครียดอันตราย

were no more likely to die.

มีความเป็นไปได้น้อยกว่าที่จะตาย

In fact, they had the lowest risk of dying

ที่จริงแล้ว พวกเขามีความเสี่ยงในการตายน้อยที่สุด

of anyone in the study,

เปรียบเทียบกับคนอื่นๆ ในงานวิจัย ซึ่งรวมถึงคนที่

including people who had relatively little stress.

มีความเครียดน้อยด้วย

Now the researchers estimated that over the eight years

ตอนนี้ นักวิจัยประมาณการว่า ในช่วงแปดปี

they were tracking deaths,

ที่พวกเขาทำการติดตามตัวเลขการเสียชีวิต

คนอเมริกัน 182,000 คน ตายก่อนวัยอันควร

182,000 Americans died prematurely,

not from stress,

ไม่ได้เพราะความเครียด แต่เพราะความเชื่อที่ว่า

but from the belief that stress is bad for you.

ความเครียดนั้นไม่ดีกับตัวคุณ (เสียงหัวเราะ)

(Laughter)

That is over 20,000 deaths a year.

นั่นคือ คนตายมากกว่า 20,000 คนต่อปี

Now, if that estimate is correct,

ค่ะ ถ้าการคาดการณ์นั้นถูกต้อง

that would make believing stress is bad for you

มันจะทำให้ความเชื่อที่ว่าความเครียดไม่ดีกับตัวคุณ

เป็นสาเหตุหลักอันดับที่ 15 ของการตาย

the 15th largest cause of death in the United States last year,

ในสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้ว

killing more people than skin cancer, HIV/AIDS and homicide.

มันฆ่าคนไปมากกว่ามะเร็งผิวหนัง

เอดส์ และการฆาตกรรมเสียอีก

(เสียงหัวเราะ)

(Laughter)

You can see why this study freaked me out.

คุณจะเห็นได้ว่าทำไมงานวิจัยชิ้นนี้ถึงทำให้ฉันเปลี่ยนไป

Here I've been spending so much energy telling people

ฉันใช้พลังงานมากมายในการบอกผู้คนว่า

ความเครียดนั้นแย่สำหรับสุขภาพของคุณ

stress is bad for your health.

ดังนั้น งานวิจัยชิ้นนี้ทำให้ฉันเกิดข้อสงสัย

So this study got me wondering:

Can changing how you think about stress make you healthier?

การเปลี่ยนความคิดที่คุณมีต่อความเครียดจะทำให้คุณ

มีสุขภาพที่ดีขึ้นได้หรือไม่ และวิทยาศาสตร์ก็ได้บอกว่า ใช่

And here the science says yes.

When you change your mind about stress,

เมื่อคุณเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับความเครียด

you can change your body's response to stress.

คุณจะสามารถเปลี่ยนการตอบสนอง ของร่างกายของคุณที่มีความเครียดได้

Now to explain how this works,

ตอนนี้ เพื่อจะอธิบายว่ามันทำงานยังไง

I want you all to pretend that you are participants

ฉันอยากให้คุณทุกคนแสร้งทำเป็นว่า คุณเป็นผู้เข้าร่วม

in a study designed to stress you out.

ในงานวิจัยที่ออกแบบมาเพื่อทำให้คุณเครียดแทบบ้า

It's called the social stress test.

มันชื่อว่า แบบทดสอบความเครียดทางสังคม

You come into the laboratory,

คุณมาที่ห้องทดลอง

and you're told you have to give

และคุณถูกบอกว่าคุณต้อง

a five-minute impromptu speech on your personal weaknesses

พูดเกี่ยวกับจุดด้อยของคุณ นาน 5 นาที โดยที่คุณไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนล่วงหน้า

to a panel of expert evaluators sitting right in front of you,

ต่อหน้ากลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมิน ที่จะนั่งเรียงกันอยู่ตรงหน้าคุณ

and to make sure you feel the pressure,

และเพื่อให้แน่ใจว่าคุณรู้สึกได้ถึงความกดดัน

there are bright lights and a camera in your face,

จะมีแสงไฟสว่างๆ และกล้องฉายมาที่หน้าคุณ

kind of like this.

ประมาณนี้

(Laughter)

And the evaluators have been trained

และผู้ประเมินได้รับการฝึกฝนมา

to give you discouraging, non-verbal feedback,

เพื่อทำให้คุณท้อแท้แบบไม่ใช้คำพูดใดๆ ประมาณนี้

like this.

(Exhales)

(เสียงหัวเราะ)

(Laughter)

ตอนนี้ คุณเสียขวัญไปพอควรแล้ว

Now that you're sufficiently demoralized,

time for part two: a math test.

ได้เวลาสำหรับส่วนที่สอง แบบทดสอบทางคณิตศาสตร์

And unbeknownst to you,

และโดยที่คุณไม่รู้

the experimenter has been trained to harass you during it.

ผู้ทดสอบได้รับการฝึกมาให้ก่อกวนคุณระหว่างการทดสอบ

Now we're going to all do this together.

ตอนนี้ เราจะมาทำมันไปพร้อมๆกันค่ะ

It's going to be fun.

มันจะต้องสนุกล่ะ

For me.

สำหรับฉันน่ะนะ

Okay.

เอาล่ะค่ะ ฉันอยากให้คุณทุกคนนับถอยหลัง

(Laughter)

I want you all to count backwards from 996

จาก 996 ไปทีละ 7

in increments of seven.

You're going to do this out loud,

คุณจะต้องพูดมันออกมานะคะ

as fast as you can,

เร็วที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ เริ่มจาก 996 ค่ะ

starting with 996.

Go!

เริ่มเลยค่ะ!

(Audience counting)

ผู้ชม: (เสียงนับ)

Go faster. Faster please.

เร็วอีกค่ะ เร็วอีกหน่อย

คุณช้าไปแล้วค่ะ

You're going too slow.

(Audience counting)

หยุดๆๆๆ

Stop. Stop, stop, stop.

That guy made a mistake.

คุณคนนั้นนับผิดค่ะ

We are going to have to start all over again.

เราต้องเริ่มกันใหม่ทั้งหมดอีกครั้งค่ะ (เสียงหัวเราะ)

(Laughter)

You're not very good at this, are you?

คุณทำได้ไม่ค่อยดี ใช่มั้ยคะ

เอาล่ะ คุณคงพอนึกภาพออกแล้ว

Okay, so you get the idea.

If you were actually in this study,

ถ้าคุณไปอยู่ในการศึกษาวิจัยนี้จริงๆ

you'd probably be a little stressed out.

คุณอาจจะเครียดมากไปแล้ว

Your heart might be pounding,

หัวใจของคุณอาจจะเต้นแรง

you might be breathing faster, maybe breaking out into a sweat.

คุณอาจจะหายใจเร็วขึ้น อาจจะเหงือแตก

And normally, we interpret these physical changes as anxiety

และโดยทั่วไป เราแปลความหมาย ของการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเหล่านี้

ว่า ความวิตกกังวล

or signs that we aren't coping very well with the pressure.

หรือสัญญาณที่ว่า เราจัดการกับความเครียดได้ไม่ดีนัก

แต่ถ้าหากคุณมองพวกมัน

But what if you viewed them instead

เป็นสัญญาณที่ว่าร่างกายของคุณมีชีวิตชีวาขึ้นล่ะ

as signs that your body was energized,

was preparing you to meet this challenge?

เป็นการเตรียมตัวที่จะได้เจอกับความท้าทายนี้ล่ะ

นั่นคือสิ่งที่ผู้เข้าร่วมวิจัยถูกบอก

Now that is exactly what participants were told

in a study conducted at Harvard University.

ในงานวิจัยที่ทำโดยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

Before they went through the social stress test,

ก่อนที่พวกเขาจะเข้าทำการทดสอบความเครียดทางสังคม

they were taught to rethink their stress response as helpful.

พวกเขาถูกสอนให้คิดเกี่ยวกับ ปฏิกิริยาตอบสนองความเครียดเสียใหม่ว่ามีประโยชน์

That pounding heart is preparing you for action.

ว่าหัวใจที่เต้นแรงช่วยให้คุณเตรียมพร้อมสำหรับการกระทำ

If you're breathing faster, it's no problem.

ถ้าคุณหายใจเร็วขึ้น นั่นไม่ใช่ปัญหา

It's getting more oxygen to your brain.

มันทำให้ออกซิเจนไปที่สมองคุณมากขึ้น

And participants who learned to view the stress response

และผู้เข้าร่วมซึ่งเรียนรู้ว่าปฏิกิริยาตอบสนองความเครียดนั้น

as helpful for their performance,

เป็นประโยชน์ต่อความสามารถของพวกเขา

well, they were less stressed out, less anxious, more confident,

ค่ะ พวกเขาเครียดน้อยลง

กังวลน้อยลง มั่นใจมากขึ้น

but the most fascinating finding to me

แต่ข้อค้นพบที่น่าทึ่งที่สุดสำหรับฉัน

was how their physical stress response changed.

คือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับปฏิกิริยาทางร่างกาย ของพวกเขาที่ตอบสนองต่อความเครียด

Now, in a typical stress response,

ในการตอบสนองความเครียดทั่วไป

your heart rate goes up,

อัตราการเต้นหัวใจของคุณสูงขึ้น

and your blood vessels constrict like this.

และเส้นเลือดของคุณจะหดตัวลงแบบนี้

และนี่คือหนึ่งในเหตุผลทั้งหลายที่ว่าความเครียดเรื้อรัง

And this is one of the reasons that chronic stress

is sometimes associated with cardiovascular disease.

บางครั้งมีผลเกี่ยวพันกับโรคหัวใจ

It's not really healthy to be in this state all the time.

มันไม่ดีต่อสุขภาพเลย ที่จะต้องอยู่ภายในสภาวะแบบนี้ตลอดเวลา

But in the study,

แต่ในงานวิจัยนี้ เมื่อผู้เข้าร่วมมองว่า

when participants viewed their stress response as helpful,

ปฏิกิริยาตอบสนองความเครียดนั้นมีประโยชน์

their blood vessels stayed relaxed like this.

เส้นเลือดของพวกเขาผ่อนคลายแบบนี้

Their heart was still pounding,

หัวใจของพวกเขาก็ยังเต้นแรง

but this is a much healthier cardiovascular profile.

แต่มันเป็นระบบหัวใจและหลอดเลือดที่ดูมีสุขภาพดีกว่า

It actually looks a lot like what happens

ที่จริง สภาพมันดูเหมือนกับตอนที่

in moments of joy and courage.

คนเราอยู่ในช่วงเวลาแห่งความสุขและกล้าหาญ

Over a lifetime of stressful experiences,

ตลอดช่วงชีวิตที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ความเครียดต่างๆ

this one biological change

การเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพนี้

could be the difference

สามารถทำให้เกิดความแตกต่าง

between a stress-induced heart attack at age 50

ระหว่างหัวใจวายจากความเครียดตอนอายุ 50

and living well into your 90s.

กับการอยู่ดีมีสุขไปจนถึงอายุ 90

And this is really what the new science of stress reveals,

และนี่ก็คือสิ่งที่วิทยาศาสตร์ด้านความเครียดแนวใหม่ เปิดเผยออกมา

that how you think about stress matters.

ว่า วิธีที่คุณคิดเกี่ยวกับความเครียดนั้นสำคัญ

ดังนั้น เป้าหมายของฉันในฐานะนักจิตวิทยาสุขภาพได้เปลี่ยนไปแล้ว

So my goal as a health psychologist has changed.

I no longer want to get rid of your stress.

ฉันไม่ต้องการกำจัดความเครียดของคุณอีกต่อไปแล้ว

I want to make you better at stress.

ฉันอยากทำให้คุณดีขึ้นตอนที่เครียด

And we just did a little intervention.

และเราก็เพียงแค่ทำการแทรกแซงเล็กๆ

If you raised your hand and said

ถ้าคุณยกมือของคุณและพูดว่า

you'd had a lot of stress in the last year,

คุณเครียดมากๆ เมื่อปีที่แล้ว

we could have saved your life,

เราอาจจะช่วยรักษาชีวิตคุณเอาไว้ก็ได้

because hopefully the next time your heart is pounding from stress,

เพราะหวังว่าในครั้งต่อไป

เวลาที่หัวใจคุณเต้นแรงเพราะความเครียด

you're going to remember this talk

คุณจะจดจำทอล์กนี้

and you're going to think to yourself,

และคุณจะบอกกับตัวคุณเองว่า

this is my body helping me rise to this challenge.

นี่คือการที่ร่างกายของฉันกำลังช่วยฉัน ให้ลุกขึ้นสู้ต่อความท้าทายนี้

And when you view stress in that way,

และเมื่อคุณมองความเครียดในทางนั้น

your body believes you,

ร่างกายของคุณจะเชื่อคุณ

and your stress response becomes healthier.

และความเครียดของคุณจะดีต่อสุขภาพมากขึ้น

Now I said I have over a decade of demonizing stress

ฉันพูดไปว่า ฉันใช้เวลามากกว่าสิบปี ในการมองความเครียดเป็นมารร้าย

to redeem myself from,

ที่ฉันจะต้องปลดปล่อยตัวเองออกจากมัน

so we are going to do one more intervention.

ดังนั้น เรากำลังจะทำการแทรกแซงอีกครั้งค่ะ

I want to tell you

ฉันอยากจะบอกคุณเกี่ยวกับ

about one of the most under-appreciated aspects of the stress response,

หนึ่งในด้านที่ถูกมากข้ามมากที่สุด ในปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียด

and the idea is this:

และความคิดนี้ก็คือ:

Stress makes you social.

ความเครียดทำให้คุณเข้าสังคม

To understand this side of stress,

ในการที่จะเข้าใจความเครียดในด้านนี้

เราต้องพูดเกี่ยวกับฮอร์โมนที่ชื่อว่า ออกซิโทซิน

we need to talk about a hormone, oxytocin,

and I know oxytocin has already gotten as much hype as a hormone can get.

และฉันรู้ค่ะว่า ออกซิโทซิน ได้รับการ

พูดถึงอย่างมากเท่ากับที่ฮอร์โมนได้รับ

It even has its own cute nickname, the cuddle hormone,

มันได้แม้กระทั่งชื่อเล่นน่ารักๆ ว่า ฮอร์โมนคลอเคลีย

because it's released when you hug someone.

เพราะมันจะถูกหลั่งออกมาเมื่อคุณกอดใครสักคน

But this is a very small part of what oxytocin is involved in.

แต่นี่เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งที่ออกซิโทซินเกี่ยวข้อง

Oxytocin is a neuro-hormone.

ออกซิโทซินเป็นฮอร์โมนประสาท

It fine-tunes your brain's social instincts.

มันปรับสัญชาตญาณการเข้าสังคมของสมองของคุณ

It primes you to do things

มันตระเตรียมคุณให้ทำอะไรๆ

that strengthen close relationships.

ที่จะพัฒนาความสัมพันธ์แบบใกล้ชิด

Oxytocin makes you crave physical contact with your friends and family.

ออกซิโทซินทำให้คุณต้องการการสัมผัสทางกาย

กับเพื่อนและครอบครัวของคุณ

It enhances your empathy.

มันเพิ่มการเห็นอกเห็นใจของคุณ

It even makes you more willing to help and support

มันทำให้คุณอยากที่จะช่วยเหลือและสนับสนุน

the people you care about.

คนที่คุณเป็นห่วงเป็นใย

Some people have even suggested we should snort oxytocin...

บางคนแนะนำแม้กระทั่งว่า

เราควรจะพ่นออกซิโทซินออกทางจมูก

เพื่อที่จะได้มีความเห็นอกเห็นใจและห่วงใยมากขึ้น

to become more compassionate and caring.

But here's what most people don't understand about oxytocin.

แต่นี่เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ

เกี่ยวกับออกซิโทซิน

It's a stress hormone.

มันคือ ฮอร์โมนความเครียด

Your pituitary gland pumps this stuff out

ต่อมใต้สมองของคุณผลิตเจ้าสารนี้ออกมา

as part of the stress response.

เป็นส่วนหนึ่งของการตอบสนองต่อความเครียด

It's as much a part of your stress response

มันเป็นส่วนหนึ่งของการตอบสนองต่อความเครียด มากพอๆ กับ

as the adrenaline that makes your heart pound.

อะดรีนาลีนที่ทำให้หัวใจคุณเต้นแรง

And when oxytocin is released in the stress response,

และเมื่อออกซิโทซินถูกปล่อยออกมา เพื่อตอบสนองความเครียด

it is motivating you to seek support.

มันจะกระตุ้นให้คุณมองหากำลังใจ

Your biological stress response

ปฏิกิริยาตอบสนองความเครียดทางชีวภาพ

is nudging you to tell someone how you feel,

ได้กระตุ้นให้คุณบอกใครสักคนว่าคุณรู้สึกยังไง

instead of bottling it up.

มากกว่าที่จะเก็บกดมันเอาไว้

Your stress response wants to make sure you notice

ปฏิกิริยาตอบสนองความเครียดของคุณ ต้องการที่จะแน่ใจว่า คุณสังเกตเห็น

when someone else in your life is struggling

ว่าใครสักคนในชีวิตคุณกำลังลำบาก

so that you can support each other.

เพื่อที่ว่าคุณจะได้เป็นกำลังใจให้กันและกัน

When life is difficult,

เมื่อชีวิตตกที่นั่งลำบาก ปฏิกิริยาสนองความเครียดของคุณต้องการให้คุณ

your stress response wants you to be surrounded

ถูกห้อมล้อมไปด้วยคนที่ห่วงใยคุณ

by people who care about you.

Okay, so how is knowing this side of stress going to make you healthier?

เอาล่ะ แล้วการได้รู้จักด้านนี้ของความเครียด

จะทำให้คุณสุขภาพดีขึ้นได้ยังไงล่ะ

Well, oxytocin doesn't only act on your brain.

ก็ออกซิโทซินมันไม่ได้แค่มีผลต่อสมองเท่านั้นค่ะ

It also acts on your body,

มันยังมีผลต่อร่างกายของคุณด้วย

and one of its main roles in your body

และหนึ่งในบทบาทหลักของมันที่มีต่อร่างกายคุณ

is to protect your cardiovascular system from the effects of stress.

ก็คือ เพื่อป้องกันระบบหัวใจและหลอดเลือดของคุณ

จากผลลัพธ์ทางความเครียดต่างๆ

It's a natural anti-inflammatory.

มันเป็นยาแก้อักเสบแบบธรรมชาติ

It also helps your blood vessels stay relaxed during stress.

มันยังช่วยให้หลอดเลือดคุณผ่อนคลายระหว่างเครียดอีกด้วย

But my favorite effect on the body is actually on the heart.

แต่ผลที่มีต่อร่างกายที่ฉันชอบมาก คือผลที่มีต่อหัวใจค่ะ

Your heart has receptors for this hormone,

หัวใจของคุณมีหน่วยรับเจ้าฮอร์โมนนี้

and oxytocin helps heart cells regenerate

และออกซิโทซินช่วยผลิตใหม่และรักษาเซลล์หัวใจ

and heal from any stress-induced damage.

ที่เสียหายจากความเครียด

This stress hormone strengthens your heart.

ฮอร์โมนความเครียดตัวนี้ทำให้หัวใจของคุณแข็งแรงขึ้น

And the cool thing is that all of these physical benefits

และสิ่งที่เจ๋งก็คือว่า ประโยชน์ที่มีต่อร่างกาย

of oxytocin are enhanced by social contact and social support.

ของออกซิโทซินทั้งหมดนี้ เพิ่มขึ้นได้ด้วยการพบปะทางสังคม

และการเกื้อหนุนทางสังคม

So when you reach out to others under stress,

ดังนั้น เมื่อคุณเอื้อมไปหาคนอื่นตอนที่เครียด

either to seek support or to help someone else,

ไม่ว่าจะเพื่อหากำลังใจหรือเพื่อช่วยคนอื่น

you release more of this hormone,

คุณได้หลั่งฮอร์โมนนี้มากขึ้น

your stress response becomes healthier,

ปฏิกิริยาสนองความเครียดของคุณดีต่อสุขภาพมากขึ้น

and you actually recover faster from stress.

และคุณจะฟื้นจากความเครียดได้เร็วขึ้น

I find this amazing,

ฉันพบว่าสิ่งนี้น่ามหัศจรรย์ค่ะ

that your stress response has a built-in mechanism

ปฏิกิริยาสนองความเครียดของคุณมีกลไกภายใน

for stress resilience,

สำหรับการฟื้นฟูจากความเครียด

and that mechanism is human connection.

และเจ้ากลไกนั้นคือ ความสัมพันธ์ของมนุษย์

ฉันอยากจะลงท้ายด้วยการบอกคุณถึงงานวิจัยอีกชิ้นค่ะ

I want to finish by telling you about one more study.

And listen up, because this study could also save a life.

และตั้งใจฟังดีๆ นะคะ เพราะงานวิจัยชิ้นนี้สามารถช่วยชีวิตได้ด้วย

This study tracked about 1,000 adults in the United States,

งานศึกษานี้ติดตามผู้ใหญ่ 1,000 คนในสหรัฐฯ

and they ranged in age from 34 to 93,

พวกเขาอยู่ในช่วงอายุ 34-93

and they started the study by asking,

และงานวิจัยเริ่มขึ้นด้วยการถามว่า

"How much stress have you experienced in the last year?"

"คุณเจอความเครียดมากแค่ไหนในปีที่ผ่านมา"

They also asked,

พวกเขาถามด้วยว่า "คุณใช้เวลามากแค่ไหน

"How much time have you spent helping out friends, neighbors,

ในการช่วยเหลือเพื่อน เพื่อนบ้าน

people in your community?"

และคนอื่นๆในชุมชนของคุณ"

And then they used public records for the next five years

แล้วพวกเขาก็ดูที่สถิติของรัฐในห้าปีถัดมา

to find out who died.

ว่าใครตายไปบ้าง

Okay, so the bad news first:

เอาล่ะ ข่าวร้ายก่อนนะคะ

For every major stressful life experience,

สำหรับความเครียดหนักมากๆในชีวิต

like financial difficulties or family crisis,

เช่น ความลำบากทางการเงิน หรือวิกฤตครอบครัว

that increased the risk of dying by 30 percent.

นั่นเพิ่มความเสี่ยงในการตายไป 30%

But -- and I hope you are expecting a "but" by now --

แต่ -- จนถึงตอนนี้ ฉันหวังว่าพวกคุณกำลังหวังว่าจะมีคำว่าแต่นะคะ --

but that wasn't true for everyone.

แต่นั่นไม่จริงสำหรับทุกคน

People who spent time caring for others

คนที่ใช้เวลาไปกับการดูแลคนอื่น

showed absolutely no stress-related increase in dying.

ได้แสดงให้เห็นว่า ไม่มีการเพิ่มขึ้นของการตาย ที่เกี่ยวข้องกับความเครียดเลย เป็นศูนย์ค่ะ

Zero.

Caring created resilience.

การดูแลห่วงใยได้สร้างการฟื้นฟูขึ้น

And so we see once again

และเราก็ได้เห็นอีกครั้งหนึ่ง

that the harmful effects of stress on your health

ว่าผลลัพธ์ที่อันตรายของความเครียดที่มีต่อสุขภาพของคุณ

are not inevitable.

เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงได้

How you think and how you act

วิธีที่คุณคิดและทำ

can transform your experience of stress.

สามารถเปลี่ยนประสบการณ์ทางความเครียดของคุณได้

When you choose to view your stress response as helpful,

เมื่อคุณเลือกที่จะมองว่าปฏิกิริยาสนองความเครียดของคุณ

มีประโยชน์

you create the biology of courage.

คุณได้สร้างชีววิทยาของความกล้าหาญขึ้น

And when you choose to connect with others under stress,

และเมื่อคุณเลือกที่จะสัมพันธ์กับผู้อื่นระหว่างที่เครียด

you can create resilience.

คุณสามารถสร้างการฟื้นฟูได้

Now I wouldn't necessarily ask for more stressful experiences in my life,

ตอนนี้ ฉันไม่จำเป้นต้องถามถึง

ประสบการณ์ความเครียดที่มากขึ้นในชีวิตฉัน

but this science has given me a whole new appreciation for stress.

แต่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์นี้ได้มอบ

การรับรู้ความเครียดแบบใหม่โดยสิ้่นเชิงให้กับฉัน

Stress gives us access to our hearts.

ความเครียดมอบหนทางในการเข้าถึงใจของพวกเรา

The compassionate heart that finds joy and meaning

ใจที่เอื้อเฟื้อที่พบเจอความสุขและความหมาย

in connecting with others,

ในการสัมพันธ์กับผู้อื่น

and yes, your pounding physical heart,

และใช่ค่ะ หัวใจที่เต้นแรง

working so hard to give you strength and energy.

ทำงานอย่างหนักเพื่อมอบความเข้มแข็งและกำลังให้กับคุณ

And when you choose to view stress in this way,

และเมื่อคุณเลือกที่จะมองความเครียดในแง่นี้

you're not just getting better at stress,

คุณไม่ได้เพียงแค่เครียดได้ดีขึ้น

you're actually making a pretty profound statement.

จริงๆแล้ว คุณกำลังบอกกล่าวอะไรบางอย่างที่ลึกซึ้ง

You're saying that you can trust yourself to handle life's challenges.

คุณกำลังบอกว่า คุณสามารถเชื่อตัวคุณเอง

ในการจัดการความท้าทายในชีวิต

And you're remembering that you don't have to face them alone.

และคุณกำลังจดจำว่า

คุณไม่จำเป็นต้องเจอกับมันเพียงลำพัง

Thank you.

ขอบคุณค่ะ

(Applause)

(เสียงปรบมือ)

Chris Anderson: This is kind of amazing, what you're telling us.

คริส แอนเดอร์สัน (Chris Anderson): นี่มันน่าทึ่งมากครับ สิ่งที่คุณกำลังบอกพวกเรา

มันดูน่าทึ่งสำหรับผม ที่ความเชื่อเกี่ยวกับความเครียด

It seems amazing to me that a belief about stress

can make so much difference to someone's life expectancy.

สามารถสร้างความแตกต่างมากมาย ให้กับช่วงอายุขัยของใครสักคน

How would that extend to advice,

คุณจะแนะนำเพิ่มเติมยังไงได้บ้างครับ

like, if someone is making a lifestyle choice

เช่น ถ้าใครบางคนกำลังเลือกทางชีวิต

between, say, a stressful job and a non-stressful job,

ระหว่าง งานที่เครียดกับไม่เครียด

does it matter which way they go?

มันสำคัญมั้ยกับทางที่เขาจะเลือก

It's equally wise to go for the stressful job

มันฉลาดพอมั้ยที่จะเลือกงานที่เครียด

so long as you believe that you can handle it, in some sense?

ตราบเท่าที่เราเชื่อว่าเราจัดการมันได้

KM: Yeah, and one thing we know for certain

เคลลี่ แมคกอนนีกัล (Kelly McGonigal): ใช่ค่ะ และสิ่งหนึ่งที่เรารู้แน่ๆ

ก็คือว่าการไล่หาความหมายนั้นดีกับสุขภาพมากกว่า

is that chasing meaning is better for your health

than trying to avoid discomfort.

การพยายามหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่สบาย

And so I would say that's really the best way to make decisions,

ดังนั้น ฉันก็จะบอกว่า ทางที่ดีที่สุดในการตัดสินใจ

is go after what it is that creates meaning in your life

คือการไปตามสิ่งที่สร้างความหมายให้กับชีวิตของคุณ

แล้วก็เชื่อมั่นในตัวเองในการจัดการกับความเครียดที่จะตามมา

and then trust yourself to handle the stress that follows.

CA: Thank you so much, Kelly. It's pretty cool.

คริส แอนเดอร์สัน: ขอบคุณมากครับ เคลลี่ ยอดเยี่ยมมากครับ เคลลี่ แมคกอนิกัล: ขอบคุณค่ะ

(เสียงปรบมือ)

(Applause)