How to speak so that people want to listen | Julian Treasure | TED

Translator: Kelwalin Dhanasarnsombut Reviewer: Tisa Tontiwatkul

The human voice:

เสียงของมนุษย์:

It's the instrument we all play.

มันเป็นเครื่องดนตรีที่เราทุกคนเล่น

มันเป็นเสียงที่ทรงพลังที่สุดในโลกก็เป็นได้

It's the most powerful sound in the world, probably.

มันเป็นสิ่งเดียวที่สามารถจุดฉนวนสงคราม

It's the only one that can start a war or say "I love you."

หรือบอกว่า "ผมรักคุณ"

And yet many people have the experience

ถึงกระนั้น คนมากมายก็ยังมีประสบการณ์

that when they speak, people don't listen to them.

ที่เมื่อพวกเขาพูด กลับไม่มีใครฟัง

And why is that?

เพราะอะไรกันล่ะ

How can we speak powerfully to make change in the world?

เราจะพูดอย่างทรงพลังได้อย่างไร

เพื่อทำการเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้

What I'd like to suggest,

ที่ผมอยากจะแนะนำ

there are a number of habits that we need to move away from.

คือพฤติกรรมบางอย่างที่เราควรออกห่าง

ผมได้รวมรวมไว้สำหรับคุณตรงนี้

I've assembled for your pleasure here seven deadly sins of speaking.

บาปทั้งเจ็ดในการพูด

I'm not pretending this is an exhaustive list,

ผมจะไม่เสแสร้งหรอกว่า นี่เป็นรายการที่ละเอียด

but these seven, I think, are pretty large habits that we can all fall into.

แต่รายการทั้งเจ็ดนี้ ผมคิดว่ามันค่อนข้าง

จะเป็นพฤติกรรมหลักที่เราทั้งหลายเป็น

First, gossip.

อย่างแรก นินทา

Speaking ill of somebody who's not present.

พูดจาให้ร้ายใครสักคนที่ไม่ได้อยู่ตรงน้ัน

Not a nice habit, and we know perfectly well

ไม่ใช่นิสัยที่ดีเลย และเราก็รู้กันดีอยู่แล้วว่า

the person gossiping, five minutes later, will be gossiping about us.

คนที่นินทาอยู่ตอนนี้ ในอีกห้านาทีต่อมา

ก็จะนินทาเรา

Second, judging.

อย่างที่สอง การตัดสินคนอื่น

We know people who are like this in conversation,

เรารู้จักคนพวกนี้ในวงสนทนา

and it's very hard to listen to somebody

และมันยากที่จะฟังใครบางคน

if you know that you're being judged and found wanting at the same time.

ถ้าคุณรู้ว่าคุณกำลังถูกประเมินตัดสิน

และพบว่าต้องการที่จะทำแบบนั้นเช่นกัน

Third, negativity.

อย่างที่สาม การมองในแง่ร้าย

คุณสามารถตกหลุมพรางนี้ได้เช่นกัน

You can fall into this.

My mother, in the last years of her life, became very negative,

ในช่วงปีสุดท้ายของชีวิตแม่ผม

มันเต็มไปด้วยเรื่องในแง่ลบ และมันยากที่จะรับฟัง

and it's hard to listen.

ผมจำได้ว่าวันหนึ่ง ผมบอกเธอว่า

I remember one day, I said to her, "It's October 1 today,"

"วันนี้เป็นวันที่ 1 ตุลาคม"

and she said, "I know, isn't it dreadful?"

และเธอบอกว่า "ฉันรู้ แย่เป็นบ้าเลย"

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

It's hard to listen when somebody's that negative.

มันยากที่จะฟัง เมื่อใครสักคน มองโลกในแง่ร้ายอย่างนั้น

(Laughter)

And another form of negativity, complaining.

และอีกหนึ่งรูปแบบของการมองโลกทางลบ คือการบ่น

Well, this is the national art of the U.K.

ครับ มันเป็นศิลปะประจำชาติของสหราชอาณาจักร

It's our national sport.

มันเป็นกีฬาประจำชาติของเรา เราบ่นเรื่องดินฟ้าอากาศ

We complain about the weather, sport, about politics, about everything,

กีฬา การเมือง และทุกๆ อย่าง

but actually, complaining is viral misery.

แต่อันที่จริงแล้ว การบ่นเป็นการแพร่กระจายความอาดูร

It's not spreading sunshine and lightness in the world.

มันไม่ใช่การส่องแสงของดวงอาทิตย์ และความสว่างให้กับโลก

Excuses.

การแก้ตัว เราทุกคนเคยพบเจ้านี่

We've all met this guy.

Maybe we've all been this guy.

บางที เราก็เป็นเสียเอง

Some people have a blamethrower.

บางคนมีเครื่องขว้างข้อกล่าวหา

They just pass it on to everybody else

พวกเขาโยนมันไปยังคนอื่นๆ ทุกคน

and don't take responsibility for their actions,

และไม่รับผิดชอบการกระทำของพวกเขา

และเช่นกัน มันยากที่จะฟังใครที่เป็นแบบนั้น

and again, hard to listen to somebody who is being like that.

Penultimate, the sixth of the seven,

ก่อนจะท้ายสุด อันดับที่หกจากเจ็ด

embroidery, exaggeration.

การเสริมแต่ง พูดจาเกินจริง

It demeans our language, actually, sometimes.

จริงๆ แล้วบางทีมันลดคุณค่าของภาษาของเรา

For example, if I see something that really is awesome,

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผมเห็นอะไรบางอย่าง

ที่มันเจ๋งมากๆ

what do I call it?

ผมจะเรียกมันว่าอะไร

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

And then, of course, this exaggeration becomes lying,

และจากนั้น การพูดเกินจริงก็กลายเป็นการโกหก

โกหกแล้วโกหกอีก และเราไม่ต้องการฟัง

and we don't want to listen to people we know are lying to us.

คนที่เรารู้ว่ากำลังโกหกเรา

And finally, dogmatism.

และท้ายที่สุด ความดื้อรั้นเห็นตัวเองถูก

The confusion of facts with opinions.

ความสับสนระหว่างข้อเท็จจริงกับความคิดเห็น

When those two things get conflated,

เมื่อสองสิ่งนั้นเข้ามาผสมปนเปกัน

you're listening into the wind.

คุณกำลังฟังเสียงลม

You know, somebody is bombarding you with their opinions as if they were true.

คุณรู้ว่าใครสักคนกำลังกระหน่ำคุณ ด้วยความเห็นของพวกเขา ยังกับว่าพวกเขาถูก

มันยากที่จะฟังสิ่งนั้น

It's difficult to listen to that.

So here they are, seven deadly sins of speaking.

เอาล่ะ บาปทั้งเจ็ดแห่งวาจา

These are things I think we need to avoid.

เหล่านี้คือสิ่งที่เราต้องหลีกเลี่ยง

But is there a positive way to think about this?

แต่ว่ามันมีแง่คิดในเชิงบวกต่อสิ่งนี้ไหม

Yes, there is.

ครับ มีครับ

I'd like to suggest that there are four really powerful cornerstones, foundations,

ผมอยากที่จะแนะนำว่ามีสี่เสาหลัก

ที่ทรงพลังจริงๆ

that we can stand on if we want our speech

รากฐานที่เราเอาเป็นหลักมั่นได้ ถ้าเราต้องการให้การพูดของเรา

to be powerful and to make change in the world.

ทรงพลัง และนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่โลก

โชคดี ตัวย่อพวกนี้รวมได้เป็นคำ

Fortunately, these things spell a word.

The word is "hail," and it has a great definition as well.

คำนั้นคือ "HAIL" (ลูกเห็บ) และมันก็มีความหมายดีซะด้วย

I'm not talking about the stuff that falls from the sky

ผมไม่ได้กำลังพูดถึงอะไรที่ตกมาจากฟ้า

และอัดเข้าที่หัวคุณนะครับ

and hits you on the head.

ผมกำลังพูดถึงอีกความหมาย

I'm talking about this definition,

ซึ่งคือ การทักทาย หรือสรรเสริญ อย่างกระตือรือล้น

to greet or acclaim enthusiastically,

ซึ่งคือการที่ผมคิดว่า คำพูดของเราจะถูกรับฟัง

which is how I think our words will be received

if we stand on these four things.

ถ้าเรายึดสี่สิ่งนี้เป็นหลัก

So what do they stand for?

แล้วพวกมันย่อมาจากอะไร

See if you can guess.

ดูซิ ว่าคุณจะเดาออกไหม

ตัว H, honesty (ซึ่อสัตย์) แน่ล่ะ

The H, honesty, of course,

being true in what you say, being straight and clear.

พูดความจริง ตรงไปตรงมา และชัดเจน

The A is authenticity, just being yourself.

ตัว A คือ authenticity (ของแท้) เป็นตัวของตัวเอง

A friend of mine described it as standing in your own truth,

เพื่อนของผมอธิบายว่า

มันเป็นดังการยืนหยัดต่อความจริงของคุณ

which I think is a lovely way to put it.

ที่ผมคิดว่ามันเป็นการพูดที่สวยดี

The I is integrity, being your word,

ตัว I คือ integrity (ความมีศีลธรรมจรรยา) จงเป็นดังเช่นคำของคุณ

actually doing what you say,

ทำอย่างที่คุณพูดจริงๆ

and being somebody people can trust.

และเป็นใครสักคนที่เชื่อถือได้

และตัว L คือ Love (รัก)

And the L is love.

I don't mean romantic love,

ผมไม่ได้หมายถึงรักแบบหนุ่มสาว

but I do mean wishing people well, for two reasons.

แต่ผมหมายถึงการปรารถนาดีต่อคนอื่น ด้วยสองสาเหตุ

First of all, I think absolute honesty may not be what we want.

ประการแรก ผมคิดว่าความซื่อสัตย์ล้วนๆ

อาจไม่ได้เป็นสิ่งที่เราต้องการ

I mean, my goodness, you look ugly this morning.

ผมหมายถึง โอ้พระคุณเจ้า คุณดูน่าเกลียดมากเช้านี้

Perhaps that's not necessary.

บางที มันคงไม่จำเป็นขนาดนั้น

Tempered with love, of course, honesty is a great thing.

แน่ล่ะ แม้จะถูกเย้ายวนด้วยสเน่หา ความซื่อสัตย์ก็เป็นสิ่งที่ดี

But also, if you're really wishing somebody well,

แต่ว่า ถ้าคุณปรารถนาดีต่อใครสักคนแล้วล่ะก็

it's very hard to judge them at the same time.

มันยากที่จะตัดสินพวกเขาไปด้วยในเวลาเดียวกัน

I'm not even sure you can do those two things simultaneously.

ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าคุณสามารถทำสองสิ่งนั้น

ในเวลาเดียวกันได้

So hail.

ดังนั้น HAIL

Also, now that's what you say,

เอาล่ะ แล้วนั่นก็คือสิ่งที่คุณพูด

and it's like the old song, it is what you say,

และมันก็เหมือนกับเพลงเก่าๆ สิ่งที่คุณพูดนั่น

it's also the way that you say it.

มันยังเป็นวิธีการพูดของคุณอีกด้วย

You have an amazing toolbox.

คุณมีกล่องเครื่องมือมหัศจรรย์

This instrument is incredible,

เครื่องมือนี้มันน่าทึ่งมาก

and yet this is a toolbox that very few people have ever opened.

และถึงกระนั้น มันคือกล่องเครื่องมือ ที่มีคนไม่เท่าไรได้เคยเปิด

I'd like to have a little rummage in there with you now

ผมอยากที่จะทำการรื้อค้นนิดหน่อย

ไปพร้อมกับคุณตอนนี้ และดึงเอาเครื่องมือสองสามอย่างออกมา

and just pull a few tools out

that you might like to take away and play with,

ที่คุณอาจอยากนำกลับไปและเล่นกับมัน

ซึ่งจะเพิ่มพลังของการพูดของคุณ

which will increase the power of your speaking.

Register, for example.

ตัวอย่างเช่น การวางระดับเสียง

Now, falsetto register may not be very useful most of the time,

ทีนี้ การวางระดับเสียงที่สูงผิดปกติ โดยส่วนใหญ่แล้วอาจไม่ได้มีประโยชน์อะไรมาก

but there's a register in between.

แต่มันมีการวางระดับเสียงระหว่างนั้น

I'm not going to get very technical about this

ผมจะไม่พูดถึงเรื่องเทคนิกมาก

สำหรับคุณคนไหนที่เป็นผู้ฝึกสอนด้านเสียง

for any of you who are voice coaches.

คุณสามรถปรับวางเสียงของคุณได้

You can locate your voice, however.

So if I talk up here in my nose, you can hear the difference.

ดังนั้น ถ้าผมพูดตรงนี้ในจมูกของผม คุณก็บอกความแตกต่างได้

ถ้าผมนำมันลงมาตรงคอ

If I go down here in my throat,

ซึ่งเป็นบริเวณที่พวกเราส่วนใหญ่ ใช้พูดกันตลอดเวลา

which is where most of us speak from most of the time.

But if you want weight,

แต่ถ้าคุณต้องการน้ำหนัก

you need to go down here to the chest.

คุณต้องลงมาตรงนี้ ตรงหน้าอก

You hear the difference?

คุณได้ยินความแตกต่างไหม

We vote for politicians with lower voices, it's true,

พวกเราลงคะแนนให้กับนักการเมืองที่มีเสียงต่ำ มันเป็นความจริงครับ

because we associate depth with power

เพราะว่าเราเชื่อมโยงความทุ้มลึกกับอำนาจ

and with authority.

และผู้มีอำนาจ

That's register.

นั่นคือการวางระดับเสียง

Then we have timbre.

และจากนั้นเรามีน้ำเสียง

It's the way your voice feels.

มันเป็นรูปแบบที่เสียงของคุณให้ความรู้สึก

Again, the research shows

และอีกครั้ง การวิจัยแสดงให้เห็นว่าเราชอบเสียง

that we prefer voices which are rich, smooth, warm,

ที่สมบูรณ์ ราบเรียบ อบอุ่น เหมือนช็อกโกแลตร้อน

like hot chocolate.

Well if that's not you, that's not the end of the world,

ครับ ถ้านั่นไม่ใช่คุณ มันก็ไม่ใช่จุดจบของโลกหรอกครับ

because you can train.

เพราะคุณสามารถฝึกได้

Go and get a voice coach.

ไปหาผู้ฝึกสอนทางเสียงสิครับ

And there are amazing things you can do

และมีสิ่งน่าทึ่งมากมายที่คุณสามารถทำได้

with breathing, with posture, and with exercises

ด้วยการหายใจ ด้วยท่าทาง และด้วยการออกกำลังกาย

to improve the timbre of your voice.

เพื่อพัฒนาน้ำเสียงของคุณ

Then prosody. I love prosody.

และฉันทลักษณ์ ผมชอบฉันทลักษณ์

This is the sing-song, the meta-language

มันเป็นการร้องเพลง เป็นอภิภาษา

that we use in order to impart meaning.

ที่เราใช้เพื่อที่จะบอกให้ทราบความหมาย

It's root one for meaning in conversation.

มันเป็นตัวสำคัญตัวหนึ่ง สำหรับความหมายในการสนทนา

People who speak all on one note are really quite hard to listen to

คนที่พูดด้วยโน้ตตัวเดียวกันหมด

ค่อนข้างที่จะฟังเขายากจริงๆ

if they don't have any prosody at all.

ถ้าพวกเขาไม่มีฉันทลักษณ์อะไรเลย

That's where the word "monotonic" comes from,

นั่นเป็นที่มาของโลกแบบระดับเสียงเดียว

or monotonous, monotone.

หรือแบบเสียงเดี่ยว โมโนโทน

Also, we have repetitive prosody now coming in,

เรายังมีแบบฉันทลักษณ์ซ้ำๆ ที่คนเริ่มๆ ใช้กัน

where every sentence ends as if it were a question

ที่ซึ่งทุกประโยคจบลงราวกับว่ามันเป็นคำถาม

when it's actually not a question, it's a statement?

เมื่อที่จริงแล้วมันไม่ใช่คำถาม มันเป็นคำสั่ง

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

And if you repeat that one,

และถ้าคุณทำอย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก

it's actually restricting your ability to communicate through prosody,

มันจะขวางกั้นความสามารถของคุณ

ในการสื่อสารผ่านจังหวะและทำนองในการพูด

ซึ่งผมคิดว่ามันน่าเสียดาย

which I think is a shame,

so let's try and break that habit.

ดังนั้น ลองพยายามและแก้ไขนิสัยนั้นดูครับ

จังหวะ ผมอาจตื่นเต้นมากๆ

Pace.

I can get very excited by saying something really quickly,

แล้วก็พูดอะไรบางอย่าง เร็วสุดๆ

หรือผมสามารถช้าลงมาเพื่อทำการเน้น

or I can slow right down to emphasize,

and at the end of that, of course, is our old friend silence.

และสุดท้าย แน่ล่ะ เพื่อนเก่าของเรา

ความเงียบ

There's nothing wrong with a bit of silence in a talk, is there?

มันไม่ผิดอะไรที่จะเงียบสักนิด

ในการบรรยาย ใช่ไหมครับ

We don't have to fill it with ums and ahs.

เราไม่จำเป็นต้องเติมมันด้วย อืม หรือ เออ

It can be very powerful.

มันสามารถเป็นอะไรที่ทรงพลังได้

Of course, pitch often goes along with pace

แน่ละ ระดับเสียงมักไปด้วยกันกับจังหวะ

to indicate arousal, but you can do it just with pitch.

เพื่อที่จะกำหนดการตื่นตัว แต่คุณทำมันได้ เพียงใช้ระดับเสียง

Where did you leave my keys?

คุณเอากุญแจผมไว้ที่ไหน

(Higher pitch) Where did you leave my keys?

คุณเอากุญแจผมไปไว้ไหน

So, slightly different meaning in those two deliveries.

ความหมายต่างกันนิดหน่อย

ในทั้งสองการส่งสารนั้น

And finally, volume.

และสุดท้าย ความดังของเสียง

(Loud) I can get really excited by using volume.

ผมสามารถตื่นเต้นได้ เมื่อใช้ความดังของเสียง

Sorry about that, if I startled anybody.

ขอโทษด้วยครับ ถ้าทำให้ใครสะดุ้ง

Or, I can have you really pay attention by getting very quiet.

หรือผมสามารถทำให้คุณสนใจ

โดยพูดเบาๆ

Some people broadcast the whole time.

คนบางคนทำยังกับ "ประกาศ" อะไรตลอดเวลา

Try not to do that.

พยายามอย่างทำแบบนั้น

That's called sodcasting,

นั่นมัน "ตะหวาด" แล้วครับ

(Laughter)

Imposing your sound on people around you carelessly and inconsiderately.

ทำให้เสียงของคุณเป็นที่ประทับใจคนรอบข้าง

การไม่ใส่ใจหรือไม่เกรงใจ เป็นอะไรที่ไม่น่ารักเลย

Not nice.

แน่ล่ะครับ ทั้งหมดนี้เข้ามารวมตัวกัน

Of course, where this all comes into play most of all

is when you've got something really important to do.

ส่วนใหญ่แล้ว ก็คือตอนที่คุณมีอะไรเรื่องสำคัญจะต้องพูด

อาจเป็นตอนที่คุณมายืนบนเวทีแบบนี้

It might be standing on a stage like this and giving a talk to people.

และบรรยายให้คนฟัง

It might be proposing marriage,

อาจเป็นตอนขอแต่งงาน

asking for a raise, a wedding speech.

ขอขึ้นเงินเดือน กล่าวสุนทรพจน์ในงานแต่งงาน

Whatever it is, if it's really important,

ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ถ้ามันสำคัญจริงๆ

you owe it to yourself to look at this toolbox

คุณมีหน้าที่ที่จะต้องมองไปที่กล่องเครื่องมือ

and the engine that it's going to work on,

และเครื่องจักรที่จะต้องทำงานด้วยกัน

and no engine works well without being warmed up.

และไม่มีเครื่องจักรใดที่ทำงานได้ดี โดยไม่ได้รับการอุ่นเครื่อง

Warm up your voice.

อุ่นเครื่องเสียงของคุณ

Actually, let me show you how to do that.

อันที่จริง ให้ผมแสดงให้คุณดูว่าทำอย่างไรนะครับ

Would you all like to stand up for a moment?

คุณทุกคนยืนขึ้นสักเดี๋ยวได้ไหมครับ

I'm going to show you

ผมจะแสดงให้คุณดู ถึงการบริหารอุ่นเครื่องเสียงทั้งหก

the six vocal warm-up exercises that I do before every talk I ever do.

ที่ผมทำก่อนจะบรรยายทุกๆ ที่

Any time you're going to talk to anybody important, do these.

ไม่ว่าเมื่อใดที่คุณกำลังจะพูดกับคนสำคัญ ทำแบบนี้ครับ

First, arms up, deep breath in,

อย่างแรก ยกแขนขึ้น หายใจลึกๆ

and sigh out, ahhhhh, like that.

และถอนหายใจออก เฮ้ออออ อย่างนั้นแหละ

One more time.

อีกครั้งครับ

Ahhhh, very good.

เฮ้อออออ เยี่ยมครับ

Now we're going to warm up our lips,

ทีนี้เรากำลังจะอุ่นเครื่องริมฝีปากของเรา

and we're going to go Ba, Ba, Ba, Ba,

เรากำลังจะพูดว่า บา บา บา บา

Ba, Ba, Ba, Ba. Very good.

บา บา บา บา เยี่ยมครับ

And now, brrrrrrrrrr,

แล้วก็ บรื้อ บรื้อ บรื้อ

just like when you were a kid.

เหมือนตอนที่คุณเป็นเด็ก

Brrrr. Now your lips should be coming alive.

บรื้อ ทีนี้ริมฝีปากคุณก็ตื่นแล้ว

We're going to do the tongue next

เรากำลังจะบริหารลิ้นต่อ

with exaggerated la, la, la, la, la, la, la, la, la.

ด้วยการทำแบบนี้อย่างเว่อร์ๆ ล๊า ล๊า ล๊า ล๊า ล๊า ล๊า ล๊า ล๊า ล๊า

Beautiful. You're getting really good at this.

สวยงามมากครับ เราทำกันได้ดีมาก

และจากนั้น กระดกลิ้นพูดว่า อาร์รรรรร

And then, roll an R. Rrrrrrr.

That's like champagne for the tongue.

นั่นมันเหมือนแชมเปญของลิ้นเลย

Finally, and if I can only do one,

สุดท้าย และถ้าผมสามารถทำได้เพียงสิ่งดียว

the pros call this the siren.

ผู้เชี่ยวชาญเรียกมันว่า เสียงหวอ

It's really good. It starts with "we" and goes to "aw."

มันยอดมากครับ มันเริ่มจาก "วี" และตามด้วย "ออ"

The "we" is high, the "aw" is low.

"วี" เสียงสูง และ "ออ" เสียงต่ำ

แบบนี้ครับ วี....ออออออ วี.....อออออ

So you go, weeeaawww, weeeaawww.

Fantastic. Give yourselves a round of applause.

ยอดเลยครับ ปรบมือให้ตัวเองหน่อยครับ

Take a seat, thank you.

เชิญนั่งครับ ขอบคุณ (เสียงปรบมือ)

(Applause)

Next time you speak, do those in advance.

ครั้งหน้าก่อนคุณพูด ลองทำดูนะครับ

Now let me just put this in context to close.

ตอนนี้ให้ผมพูดเพื่อเป็นการสรุป

This is a serious point here.

มันเป็นจุดสำคัญครับตรงนี้

This is where we are now, right?

เราอยู่กันตรงนี้ใช่ไหมครับ

We speak not very well

เราพูดได้ไม่ค่อยดี

to people who simply aren't listening

ให้กับคนที่ไม่อยากจะฟัง

in an environment that's all about noise and bad acoustics.

ในบรรยากาศที่มีเสียงรบกวนและดนตรีแย่ๆ

I have talked about that on this stage in different phases.

ผมได้พูดถึงสิ่งนี้บนเวทีนี้

ในวลีที่หลากหลาย

What would the world be like

โลกเราจะเป็นอย่างไร

if we were speaking powerfully

ถ้าเราสามารถพูดได้อย่างทรงพลัง

to people who were listening consciously

ต่อผู้คนผู้ซึ่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

in environments which were actually fit for purpose?

ในบรรยากาศที่เหมาะสมสำหรับจุดประสงค์

Or to make that a bit larger,

หรือเพื่อให้มันใหญ่กว่านั้นสักหน่อย

what would the world be like

โลกเราจะเป็นอย่างไร

if we were creating sound consciously

ถ้าเราสามารถสร้างเสียงได้อย่างใจสั่ง

and consuming sound consciously

และบริโภคเสียงได้อย่างใจต้องการ

and designing all our environments

และออกแบบสิ่งแวดล้อมทั้งหมดของเรา

ให้เป็นอย่างที่เหมาะกับเสียง

consciously for sound?

That would be a world that does sound beautiful,

นั่นคงจะเป็นโลกที่ฟังดูสวยงามเหลือเกิน

and one where understanding would be the norm,

และที่ซึ่งความเข้าใจ

จะเป็นเรื่องธรรมดา

and that is an idea worth spreading.

และนี่คือ "ความคิดที่ควรค่าแก่การเผยแพร่"

Thank you.

ขอบคุณครับ

(Applause)

ขอบคุณ (เสียงปรบมือ)