Want to be happy? Be grateful | David Steindl-Rast

Translator: Ashiraya Phobut Reviewer: Apirada Cha-emjan

There is something you know about me,

มีบางอย่าง

ที่คุณรู้เกี่ยวกับตัวผม อะไรบางอย่างที่ส่วนตัวมากๆ

something very personal,

และก็มีบางอย่างที่ผมรู้

and there is something I know about every one of you

เกี่ยวกับพวกคุณทุกๆ คน

and that's very central to your concerns.

และสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญในความคิดของพวกคุณ

There is something that we know

มีบางอย่างที่พวกเรารู้

about everyone we meet anywhere in the world, on the street,

เกี่ยวกับทุกคนที่เราเจอในทุกๆ ที่บนโลกนี้

หรือบนท้องถนน

that is the very mainspring of whatever they do

ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญ

ที่พวกเขาจะทำอะไรก็ตาม

and whatever they put up with.

และยอมอดทนต่อสิ่งใดๆ

And that is that all of us want to be happy.

และนั่นก็คือสิ่งที่ว่าพวกเราทุกคน

ต้องการจะมีความสุข

In this, we are all together.

พวกเราทุกคนอยู่ด้วยกันในสิ่งนี้

How we imagine our happiness, that differs from one another,

ความสุขที่พวกเราจินตนาการ

แตกต่างกันไปในแต่ละคน

but it's already a lot that we have all in common,

แต่สิ่งที่พวกเรามีเหมือนกันก็มากอยู่แล้ว

that we want to be happy.

นั่นก็คือการที่พวกเราอยากมีความสุข

Now my topic is gratefulness.

หัวข้อของผมในตอนนี้ก็คือความรู้สึกขอบคุณ

What is the connection between happiness and gratefulness?

ความสุขและความรู้สึกขอบคุณนี้

เชื่อมโยงกันได้อย่างไร

Many people would say, well, that's very easy.

หลายคนอาจจะพูดว่า นั่นพูดง่ายมาก

When you are happy, you are grateful.

เวลาที่คุณมีความสุข คุณก็จะรู้สึกขอบคุณ

But think again.

แต่ลองคิดดูอีกครั้ง

Is it really the happy people that are grateful?

คนที่มีความสุขนั้นรู้สึกขอบคุณจริงๆ หรือ

เราทุกคนต่างรู้จักผู้คนจำนวนหนึ่ง

We all know quite a number of people

who have everything that it would take to be happy,

ที่มีทุกสิ่งที่จะทำให้มีความสุข

and they are not happy,

และพวกเขาไม่มีความสุข

because they want something else or they want more of the same.

เพราะพวกเขาต้องการอย่างอื่น

หรือไม่ก็ต้องการมากกว่าเดิม

And we all know people who have lots of misfortune,

และพวกเราทุกคนก็รู้จัก

ผู้คนที่มีเรื่องโชคร้ายมากมาย

misfortune that we ourselves would not want to have,

เรื่องโชคร้ายที่พวกเราเองต่างก็ไม่ต้องการ

and they are deeply happy.

และพวกเขามีความสุขอย่างมาก

They radiate happiness. You are surprised.

พวกเขาเต็มไปด้วยความสุข คุณรู้สึกประหลาดใจ

Why? Because they are grateful.

ทำไมหรือ เพราะพวกเขารู้สึกขอบคุณ

So it is not happiness that makes us grateful.

ดังนั้น ความสุขจึงไม่ได้ทำให้พวกเรารู้สึกขอบคุณ

It's gratefulness that makes us happy.

แต่ความรู้สึกขอบคุณที่ทำให้พวกเรามีความสุข

If you think it's happiness that makes you grateful,

หากคุณคิดว่าความสุขทำให้รู้สึกขอบคุณ

think again.

ลองคิดใหม่อีกครั้ง

It's gratefulness that makes you happy.

ความรู้สึกขอบคุณต่างหากที่ทำให้คุณมีความสุข

Now, we can ask,

ตอนนี้ เราอาจถามว่า

what do we really mean by gratefulness?

ความรู้สึกขอบคุณหมายถึงอะไรกันแน่

And how does it work?

และมันมีกระบวนการอย่างไร

I appeal to your own experience.

ผมขอร้องให้คิดถึงประสบการณ์ของคุณเอง

We all know from experience how it goes.

เราต่างรู้จากประสบการณ์ว่ามันทำงานอย่างไร

We experience something that's valuable to us.

เราพบเจอกับบางอย่าง

ที่มีคุณค่าต่อเรา

Something is given to us that's valuable to us.

บางอย่างที่เราได้รับและมีคุณค่าต่อเรา

And it's really given.

และถูกส่งมาให้จริงๆ

These two things have to come together.

สองสิ่งนี้ต้องมาพร้อมกัน

It has to be something valuable, and it's a real gift.

มันต้องเป็นสิ่งที่มีคุณค่า

และเป็นของขวัญจริงๆ

You haven't bought it. You haven't earned it.

คุณไม่ได้ซื้อมัน คุณไม่ได้สมควรได้มัน

You haven't traded it in. You haven't worked for it.

คุณไม่ได้ซื้อขายมันมา คุณไม่ได้ทำงานเพื่อมัน

It's just given to you.

มันแค่ถูกส่งมาให้คุณ

And when these two things come together,

และเมื่อทั้งสองสิ่งนี้รวมกัน

something that's really valuable to me and I realize it's freely given,

บางสิ่งที่มีคุณค่ากับผม

และผมตระหนักว่ามันถูกส่งมาให้อย่างฟรีๆ

then gratefulness spontaneously rises in my heart,

เมื่อนั้น ความรู้สึกขอบคุณเกิดขึ้น

อย่างทันทีทันใดในหัวใจของผม

happiness spontaneously rises in my heart.

ความสุขเกิดขึ้นอย่างทันทีทันใดในหัวใจของผม

That's how gratefulness happens.

นั่นคือการที่ความสุขเกิดขึ้น

Now the key to all this

กุญแจสำคัญสำหรับเรื่องนี้ก็คือ

is that we cannot only experience this once in a while.

เราไม่สามารถเป็นผู้ที่มีประสบการณ์เช่นนี้เพียงนานๆ ครั้ง

We cannot only have grateful experiences.

เราไม่สามารถมีประสบการณ์ ที่ทำให้รู้สึกขอบคุณอย่างเดียวเท่านั้น

We can be people who live gratefully.

เราสามารถเป็นคนที่ใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกขอบคุณ

Grateful living, that is the thing.

การใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกขอบคุณ นั่นละคือสิ่งสำคัญ

And how can we live gratefully?

และเราจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร

By experiencing, by becoming aware

โดยการประสบพบเจอ โดยการรู้ตัวอยู่

that every moment is a given moment, as we say.

ว่าทุกขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่ได้รับมา อย่างที่พวกเราพูดกันว่า

It's a gift. You haven't earned it.

มันคือของขวัญ คุณไม่ได้ทำอะไรที่สมควรให้ได้มันมา

You haven't brought it about in any way.

คุณไม่ได้นำมันมาไม่ว่าจะด้วยวิธีใด

You have no way of assuring

คุณไม่มีทางมั่นใจได้ว่าจะได้รับ

that there will be another moment given to you,

ช่วงเวลาแบบนี้อีก

and yet, that's the most valuable thing that can ever be given to us,

แต่มันก็ยังเป็น สิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุด

เท่าที่เราจะเคยได้รับมา

this moment, with all the opportunity that it contains.

ช่วงขณะนี้ ที่มีโอกาสทั้งหมดอยู่

If we didn't have this present moment,

หากเราไม่มีช่วงเวลาปัจจุบัน

we wouldn't have any opportunity to do anything

เราก็จะไม่มีโอกาสที่จะทำอะไร

or experience anything,

หรือประสบพบเจอกับอะไรก็ตาม

and this moment is a gift.

และช่วงเวลานี้คือของขวัญ

It's a given moment, as we say.

เป็นช่วงขณะที่ถูกให้มา อย่างที่เราพูดกัน

Now, we say the gift within this gift is really the opportunity.

ที่จริง เราพูดว่าของขวัญภายในของขวัญชิ้นนี้

จริงๆแล้วคือโอกาส

What you are really grateful for is the opportunity,

สิ่งที่คุณรู้สึกขอบคุณก็คือโอกาส

not the thing that is given to you,

ไม่ใช่สิ่งที่คุณได้รับ

because if that thing were somewhere else

เพราะหากสิ่งนั้นไปอยู่ที่อื่น

and you didn't have the opportunity to enjoy it,

และคุณไม่มีโอกาสที่จะเพลิดเพลินกับมัน

to do something with it,

หรือทำอะไรกับมัน

you wouldn't be grateful for it.

คุณก็จะไม่รู้สึกขอบคุณสิ่งนั้น

Opportunity is the gift within every gift,

โอกาสคือของขวัญภายในทุกๆ ของขวัญ

and we have this saying, opportunity knocks only once.

และเรามีคำพูดที่ว่า

โอกาสจะมาหาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

Well, think again.

ที่จริงแล้ว ลองคิดใหม่

Every moment is a new gift, over and over again,

ทุกๆช่วงขณะคือของขวัญชิ้นใหม่ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

and if you miss the opportunity of this moment,

และหากคุณพลาดโอกาสของช่วงขณะนี้

another moment is given to us, and another moment.

ช่วงเวลาอื่นก็จะถูกมอบให้กับคุณ และช่วงเวลาอื่นอีก

We can avail ourselves of this opportunity,

พวกเราสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้

or we can miss it,

หรือพลาดมันไปก็ได้

and if we avail ourselves of the opportunity,

และหากเราใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้

it is the key to happiness.

นี่แหละก็คือกุญแจสำคัญของความสุข

Behold the master key to our happiness

กุญแจสำคัญสู่ความสุขของเรานั้น

in our own hands.

อยู่ในมือของเรา

Moment by moment, we can be grateful for this gift.

ในแต่ละขณะ

เราสามารถรู้สึกขอบคุณต่อของขวัญชิ้นนี้

Does that mean

นั่นหมายความว่า

that we can be grateful for everything?

พวกเราสามารถรู้สึกขอบคุณต่อทุกอย่างได้ใช่ไหม

Certainly not.

แน่นอนว่าไม่ใช่

We cannot be grateful for violence, for war,

เราไม่สามารถรู้สึกขอบคุณกับความรุนแรง สงคราม

for oppression, for exploitation.

การกดขี่ข่มเหง การหาประโยชน์ใส่ตัว

On the personal level, we cannot be grateful

ในระดับส่วนบุคคล พวกเราไม่สามารถรู้สึกขอบคุณต่อ

for the loss of a friend, for unfaithfulness,

การสูญเสียเพื่อน ความไม่ซื่อสัตย์

for bereavement.

การสูญเสียญาติหรือเพื่อสนิท

But I didn't say we can be grateful for everything.

ผมไม่ได้พูดว่าเราสามารถรู้สึกขอบคุณสำหรับทุกอย่างได้

I said we can be grateful in every given moment

แต่ผมพูดว่าเราสามารถรู้สึกขอบคุณ ในทุกขณะเวลาที่เรามี

สำหรับโอกาส

for the opportunity,

and even when we are confronted with something that is terribly difficult,

และแม้กระทั่งในช่วงเวลาที่เราต้องเผชิญ

กับบางสิ่งที่ยากลำบากมากๆ

we can rise to this occasion

เราสามารถเติบโตในช่วงเวลาเช่นนี้

and respond to the opportunity that is given to us.

และใช้โอกาสที่เราได้รับมาให้แก่เรา

It isn't as bad as it might seem.

มันไม่ได้แย่อย่างที่เห็น

Actually, when you look at it and experience it,

ที่จริงแล้ว เมื่อคุณมองและลองประสบมัน

you find that most of the time,

คุณพบว่าในหลายครั้ง สิ่งที่เราได้รับ

what is given to us is the opportunity to enjoy,

คือโอกาสที่จะเพลิดเพลิน

และพวกเราพลาดมันไปเพราะ

and we only miss it because we are rushing through life

พวกเราใช้ชีวิตที่รีบร้อน

and we are not stopping to see the opportunity.

และพวกเราไม่หยุดที่จะมองหาโอกาส

But once in a while,

แต่นานๆ สักครั้ง

something very difficult is given to us,

บางสิ่งที่ยากลำบากได้ถูกมอบให้กับเรา

and when this difficult thing occurs to us,

และเมื่อสิ่งที่ยากลำบากนี้เกิดขึ้น

it's a challenge to rise to that opportunity,

นั่นคือความท้าทายที่จะใช้โอกาสนี้ลุกขึ้นมา

and we can rise to it by learning something

และเราสามารถลุกขึ้นมาเรียนรู้อะไรบางอย่าง

ซิ่งบางครั้งก็เจ็บปวด

which is sometimes painful.

Learning patience, for instance.

รู้จักความอดทน เป็นต้น

We have been told that the road to peace

เราเคยได้ยินว่าหนทางสู่สันติภาพนั้น

is not a sprint, but is more like a marathon.

ไม่ใช่การวิ่งระยะสั้น

แต่คือการวิ่งมาราธอน

That takes patience. That's difficult.

มันใช้ความอดทน มันยากลำบาก

It may be to stand up for your opinion, to stand up for your conviction.

นั่นอาจจะคือการยืนหยัดกับความคิดเห็นของตน

คือการลุกขึ้นมาเพื่อสิ่งที่เชื่อมั่น

That's an opportunity that is given to us.

นั่นคือโอกาสที่พวกเราได้รับ

To learn, to suffer, to stand up,

เพื่อที่จะเรียนรู้ เพื่อที่จะทุกข์ทรมาน เพื่อที่จะลุกขึ้นมา

all these opportunities are given to us,

โอกาสเหล่านี้ถูกส่งมาให้เรา

but they are opportunities,

มันคือโอกาส

and those who avail themselves of those opportunities

และผู้ที่ใช้ประโยชน์

จากโอกาสเหล่านี้

are the ones that we admire.

คือผู้ที่เราชื่นชม

They make something out of life.

พวกเราทำอะไรบางอย่างในชีวิต

And those who fail get another opportunity.

และผู้ที่ผิดพลาดก็ได้รับโอกาสอีกครั้ง

พวกเราได้รับโอกาสอีกครั้งเสมอ

We always get another opportunity.

That's the wonderful richness of life.

นั่นคือความอุดมสมบูรณ์ที่งดงามของชีวิต

So how can we find a method that will harness this?

แล้วเราจะหาหนทาง

ที่จะควบคุมสิ่งนี้ได้อย่างไร

How can each one of us find a method for living gratefully,

เราแต่ละคนจะหาหนทาง

เพื่อใช้ชีวิตอย่างซาบซึ้ง

not just once in a while being grateful,

ไม่ใช่รู้สึกขอบคุณเพียงครั้งครา

but moment by moment to be grateful.

แต่ทุกๆ ขณะก็รู้สึกขอบคุณ

How can we do it? It's a very simple method.

เราจะสามารถทำอย่างนั้นได้อย่างไร

มันเป็นหนทางที่ง่ายมาก

It's so simple that it's actually what we were told as children

มันง่ายมากและอันที่จริงพวกเราเคยได้ยิน

ในตอนเด็ก เมื่อพวกเราเรียนรู้ที่จะข้ามถนน

when we learned to cross the street.

Stop.

หยุด มอง ไป

Look.

Go.

That's all.

เพียงเท่านี้

แต่กี่ครั้งกันล่ะที่พวกเราหยุด

But how often do we stop?

We rush through life. We don't stop.

พวกเราใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ พวกเราไม่หยุด

We miss the opportunity because we don't stop.

เราพลาดโอกาสเพราะเราไม่หยุด

We have to stop.

เราต้องหยุด เราต้องเข้าสู่ความเงียบ

We have to get quiet.

And we have to build stop signs into our lives.

และเราต้องสร้างป้ายหยุด

ในชีวิตของเรา

When I was in Africa some years ago and then came back,

เมื่อผมอยู่ที่แอฟริกาหลายปีก่อน

และกลับมา

I noticed water.

ผมสังเกตเห็นน้ำ

In Africa where I was, I didn't have drinkable water.

ในแอฟริกาที่ผมอยู่ ไม่มีน้ำที่สามารถดื่มได้

Every time I turned on the faucet, I was overwhelmed.

ทุกๆ ครั้งที่ผมเปิดก๊อกน้ำ

ผมรู้สึกดีใจ

Every time I clicked on the light, I was so grateful.

ทุกครั้งที่ผมเปิดไฟ

ผมรู้สึกขอบคุณ มันทำให้ผมรู้สึกมีความสุขมาก

It made me so happy.

But after a while, this wears off.

แต่หลังจากนั้นไม่นาน มันก็เริ่มลดลง

So I put little stickers on the light switch

ผมเลยติดสติ๊กเกอร์บนสวิตช์ไฟ

and on the water faucet,

และบนก๊อกน้ำ

and every time I turned it on, water.

และทุกครั้งที่ผมเปิดน้ำ

So leave it up to your own imagination.

ปล่อยเป็นเรื่องของจินตนาการของคุณ

You can find whatever works best for you,

คุณจะพบวิธีที่เหมาะสมที่สุดกับคุณ

but you need stop signs in your life.

แต่คุณต้องการป้ายหยุดในชีวิต

And when you stop,

และเมื่อคุณหยุด

then the next thing is to look.

สิ่งต่อมาคือมอง

You look. You open your eyes.

คุณมอง คุณเปิดตา

You open your ears. You open your nose.

คุณเปิดหูของคุณ คุณเปิดจมูกของคุณ

You open all your senses

คุณเปิดทุกสัมผัสของคุณ

for this wonderful richness that is given to us.

สำหรับความมั่งคั่งที่งดงามที่พวกเราได้รับ

มันไม่มีจุดจบ

There is no end to it, and that is what life is all about,

และนี่คือความหมายของชีวิต

to enjoy, to enjoy what is given to us.

เพื่อเพลิดเพลินกับสิ่งที่เราได้รับ

And then we can also open our hearts,

และพวกเรายังสามารถเปิดใจของเรา

our hearts for the opportunities,

เปิดใจเพื่อโอกาสมากมาย

for the opportunities also to help others,

โอกาสมากมายที่จะช่วยเหลือผู้อื่น

to make others happy,

เพื่อทำให้พวกเขามีความสุข เพราะไม่มีสิ่งใดทำให้เรามีความสุขไปมากกว่า

because nothing makes us more happy than when all of us are happy.

การที่พวกเราทุกคนมีความสุข

And when we open our hearts to the opportunities,

และเมื่อเราเปิดใจกับโอกาสมากมาย

the opportunities invite us to do something,

โอกาสนั้นจะเชิญเราให้ไปไปทำอะไรบางอย่าง

and that is the third.

และนั่นคืออย่างที่สาม

Stop, look, and then go, and really do something.

หยุด มอง และไป และทำอะไรสักอย่าง

And what we can do

และสิ่งที่พวกเราสามารถทำได้ก็คือ

is whatever life offers to you in that present moment.

ไม่ว่าชีวิตจะเสนออะไรให้กับเราในช่วงขณะนั้น

Mostly it's the opportunity to enjoy,

ส่วนมากแล้วมันก็คือโอกาสที่จะเพลิดเพลิน

but sometimes it's something more difficult.

แต่ในบางครั้ง มันก็เป็นสิ่งที่ยากกว่านั้น

But whatever it is, if we take this opportunity,

แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม หากพวกเราใช้โอกาส

we go with it, we are creative, those are the creative people.

เราใช้โอกาสนี้ พวกเรามีความคิดสร้างสรรค์

นั่นคือคนที่มีความคิดสร้างสรรค์

And that little stop, look, go,

และการหยุด มอง ไป

is such a potent seed

เป็นเมล็ดพันธุ์ที่แสนจะมีศักยภาพ

that it can revolutionize our world.

และมันสามารถเปลี่ยนแปลงโลกของเราได้

Because we are at the present moment

เพราะพวกเราต้องการ ในช่วงเวลาปัจจุบันนี้

in the middle of a change of consciousness,

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสติ

and you will be surprised if you --

และคุณจะตกใจหากคุณ

ผมมักจะตกใจเสมอเืมื่อผมได้ยินหลายต่อหลายครั้ง

I am always surprised when I hear how many times

this word "gratefulness" and "gratitude" comes up.

คำพูดนี้ ความรู้สึกของคุณ และความกตัญญู โผล่ขึ้นมา

Everywhere you find it,

ที่ใดก็ตามที่คุณพบคำนี้

a grateful airline, a restaurant gratefulness,

สายการบินที่รู้สึกขอบคุณ ร้านอาหารแห่งความซาบซึ้ง

a café gratefulness, a wine that is gratefulness.

คาเฟ่แห่งความขอบคุณ ไวน์ที่เป็นความกตัญญู

Yes, I have even come across a toilet paper

ผมแม้แต่เคยเจอกระดาษชำระในห้องน้ำ

whose brand is called "Thank You."

ที่มียี่ห้อชื่อ Thank You (ขอบคุณ) (เสียงหัวเราะ)

(Laughter)

There is a wave of gratefulness

มันมีคลื่นแห่งความขอบคุณเพราะ

because people are becoming aware how important this is

ผู้คนเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่ามันสำคัญอย่างไร

and how this can change our world.

และสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างไร

It can change our world in immensely important ways,

มันสามารถเปลี่ยนโลกของเราได้

ในรูปแบบที่สำคัญอย่างมหาศาล

because if you're grateful, you're not fearful,

เพราะหากรู้สึกขอบคุณ คุณจะไม่ขี้กลัว

and if you're not fearful, you're not violent.

และถ้าคุณไม่ขี้กลัว คุณก็ไม่ชอบใช้ความรุนแรง

If you're grateful, you act out of a sense of enough

และหากคุณรู้สึกขอบคุณ คุณจะแสดงออกมาจากความรู้สึกว่าเพียงพอ

and not of a sense of scarcity,

และไม่ใช่ความรู้สึกว่าขาด

and you are willing to share.

และคุณจะพร้อมที่จะให้

If you are grateful,

และหากคุณรู้สึกขอบคุณ คุณจะเพลิดเพลิน

you are enjoying the differences between people,

กับความแตกต่างระหว่างผู้คน

และคุณจะเคารพทุกคน

and you are respectful to everybody,

and that changes this power pyramid under which we live.

และนั่นจะเปลี่ยนพีระมิดของอำนาจ

ที่พวกเราอาศัยอยู่

และมันไม่ได้ทำเพื่อความเท่าเทียม

And it doesn't make for equality, but it makes for equal respect,

แต่ทำเพื่อความเคารพที่เท่าเทียม

and that is the important thing.

และนั่นคือสิ่งที่สำคัญ

The future of the world will be a network,

อนาคตของโลกจะเป็นเครือข่าย

not a pyramid turned upside down.

ไม่ใ่ช่ะพีระมิด ไม่ใช่พีระมิดหัวกลับ

The revolution of which I am speaking is a nonviolent revolution,

การปฏิวัติที่ผมพูดถึงนั้น

เป็นปฏิวัติที่ไม่รุนแรง

และมันเป็นการปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่

and it's so revolutionary that it even revolutionizes

จนมันสามารถปฏิวัติ

the very concept of a revolution,

แนวคิดของการปฏิวัติได้

because the normal revolution

เพราะการปฏิวัติโดยปกติก็คือ

is one where the power pyramid is turned upside down

การที่พีระมิดแห่งอำนาจถูกกลับด้าน

and those who were on the bottom are now on the top

และพวกที่เคยอยู่ข้างล่างขึ้นมาอยู่ข้างบน

and are doing exactly the same thing that the ones before.

และกำลังทำสิ่งที่เหมือนกัน

กับที่เคยทำเมื่อก่อน

What we need is a networking of smaller groups,

สิ่งที่พวกเราต้องการคือเครือข่ายของผู้คนที่กลุ่มเล็กกว่าเดิม

smaller and smaller groups who know one another,

กลุ่มที่เล็กลงและเล็กลงที่รู้จักกันและกัน

ผู้ที่ติดต่อสื่อสารกัน

who interact with one another, and that is a grateful world.

และนั่นคือโลกที่เต็มไปด้วยความขอบคุณ

A grateful world is a world of joyful people.

โลกที่มีความขอบคุณคือโลกของผู้ที่ร่าเริง

Grateful people are joyful people,

ผู้ที่รู้สึกขอบคุณคือผู้ที่ร่าเริง

and joyful people --

และผู้ที่ร่าเริง

the more and more joyful people there are,

ยิ่งพวกเรามีความสุขมากขึ้นและมากขึ้นเท่าไร

the more and more we'll have a joyful world.

พวกเราก็จะมีโลกที่ร่าเริงยิ่งขึ้นเท่านั้น

We have a network for grateful living, and it has mushroomed.

พวกเรามีเครือข่ายของการอยู่อย่างรู้สึกขอบคุณ

และมันได้แพร่กระจายไป

We couldn't understand why it mushroomed.

เราไม่สามารถเข้าใจว่าทำไมมันถึงได้แพร่กระจายไป

We have an opportunity for people to light a candle

เรามีโอกาสให้ผู้คนเพื่อจุดเทียน

when they are grateful for something.

เมื่อพวกเขารู้สึกขอบคุณสำหรับบางอย่าง

And there have been 15 million candles lit in one decade.

และได้มีเทียนที่ถูกจุดขึ้น 15 ล้านแท่ง

ภายในหนึ่งทศวรรษ

People are becoming aware that a grateful world is a happy world,

ผู้คนเริ่มตระหนักว่า

โลกที่เต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณเป็นโลกที่มีความสุข

and we all have the opportunity by the simple stop, look, go,

และพวกเราทุกคนมีโอกาส

โดยการหยุด มอง ไปที่แสนง่าย

to transform the world, to make it a happy place.

เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงโลก

เพื่อสร้างโลกที่มีความสุข

And that is what I hope for us,

และนั่นคือสิ่งที่ผมหวังสำหรับพวกเรา

and if this has contributed a little to making you want to do the same,

และหากสิ่งนี้จะมีส่วนช่วยเพียงเล็กน้อย

เพื่อทำให้คุณต้องการทำแบบเดียวกัน

stop, look, go.

หยุด มอง ไป

Thank you.

ขอบคุณครับ

(Applause)

(เสียงปรบมือ)