How can we control the coronavirus pandemic? | Adam Kucharski

Translator: Mongkonluck Mathavabhandhu Reviewer: Sakunphat Jirawuthitanant

[How can we control the coronavirus pandemic?]

เราจะควบคุมการระบาด ของไวรัสโคโรนาได้อย่างไร

[From infectious disease expert Adam Kucharski]

โดยผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาด อดัม คุชาร์สกี

[Question 1: What does containment mean when it comes to outbreaks?]

[คำถามที่ 1: การกักกันโรคคืออะไร]

Containment is this idea that you can focus your effort on control

การกักกันโรคคือความพยายามที่จะควบคุม

very much on the cases and their contacts.

ตัวผู้ป่วยและคนรอบข้างตัวผู้ป่วย

So you're not causing disruption to the wider population,

เพื่อลดความเสี่ยงต่อการระบาด ไปสู่คนหมู่มาก

you have a case that comes in, you isolate them,

ดังนั้นเมื่อมีคนไข้เข้ามา ก็แยกเขาเอาไว้

you work out who they've come into contact with,

และตรวจสอบว่าเขาได้ติดต่อกับใครบ้าง

who's potentially these opportunities for exposure

ดูว่ามีผู้ติดต่อรายไหน ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อบ้าง

and then you can follow up those people,

จากนั้นก็ติดตามดูกลุ่มเสี่ยงนี้ต่อไป

maybe quarantine them, to make sure that no further transmission happens.

ซึ่งอาจจะนำพวกเขามากักตัวไว้ เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อต่อไป

So it's a very focused, targeted method,

การกักกันโรคจึงเป็น วิธีที่เน้นเป้าหมายอย่างมาก

and for SARS, it worked remarkably well.

ตอนเกิดโรคซาร์ส วิธีนี้ใช้ได้ผลเป็นอย่างดี

But I think for this infection,

แต่ผมคิดว่ากับโรคติดต่อครั้งนี้

because some cases are going to be missed, or undetected,

เนื่องจากมีคนไข้บางรายที่ตรวจไม่พบเชื้อ

you've really got to be capturing a large chunk of people at risk.

เราจะมีคนจำนวนมากที่ตกอยู่ในความเสี่ยง

If a few slip through the net,

ถ้าคนไม่กี่คนหลุดรอดไปแพร่เชื้อ

potentially, you're going to get an outbreak.

ก็เป็นไปได้ว่าเราต้องเจอกับการระบาดแน่นอน

[Question 2: If containment isn't enough, what comes next?]

[คำถามที่ 2: ถ้าการกักกันโรคยังไม่ดีพอ เราควรจะใช้วิธีใดดี]

In that respect,

ในกรณีเช่นนั้น

it would be about massive changes in our social interactions.

คงต้องมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ในปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของเรา

And so that would require,

การจะทำเช่นนั้นได้

of the opportunities that could spread the virus

เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโอกาสของการแพร่เชื้อ

so these kind of close contacts,

เราจะต้องลดการปฏิสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดต่อกัน

everybody in the population, on average,

ดังนั้นโดยเฉลี่ยแล้ว ประชากรทุกคน

will be needing to reduce those interactions

จำเป็นที่จะต้องถูกลดพฤติกรรมทางสังคมลง

potentially by two-thirds to bring it under control.

และหากจะให้คุมโรคได้ ประชากรสองในสามจะต้องทำตามวิธีนี้

That might be through working from home,

เช่นว่า ให้ทำงานจากที่บ้าน

from changing lifestyle

หรือเปลี่ยนวิถีชีวิต

and kind of where you go in crowded places and dinners.

ด้วยการเลี่ยงไม่ไปในสถานที่ หรือร้านอาหารที่แออัดไปด้วยผู้คน

And of course, these measures, things like school closures,

รวมถึงวิธีอื่นที่คล้ายกันนี้ เช่น การปิดโรงเรียน

and other things that just attempt to reduce

และวิธีอื่นๆ ที่พยายามจะลด

the social mixing of a population.

ปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันของผู้คน

[Question 3: What are the risks that we need people to think about?]

[คำถามที่ 3: อะไรคือข้อควรระวัง ที่คนทั่วไปจำเป็นต้องรู้]

It's not just whose hand you shake,

คำถามไม่ใช่แค่ว่าคุณไปจับมือกับใคร

it's whose hand that person goes on to shake.

แต่คือเขาจะไปจับมือกับใครต่อไปบ้างต่างหาก

And I think we need to think about these second-degree steps,

ผมจึงคิดว่าเราจำเป็นต้องคิดสองชั้น

that you might think you have low risk

เช่นว่า คุณอาจคิดว่าคุณมีความเสี่ยงต่ำ

and you're in a younger group,

คิดว่าตัวเองยังอยู่ในกลุ่มคนหนุ่มสาว

but you're often going to be a very short step away

แต่เป็นไปได้มากเช่นกัน ที่คุณจะเป็นสะพาน

from someone who is going to get hit very hard by this.

เชื่อมเชื้อโรคให้กับคนที่เปราะบางต่อโรคนี้

And I think we really need to be socially minded

ผมเลยคิดว่าเราต้องมีจิตสำนึกทางสังคม

and think this could be quite dramatic in terms of change of behavior,

และแม้การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมต่างๆ อาจทำให้ใช้ชีวิตยากขึ้น

but it needs to be

แต่มันก็เป็นสิ่งจำเป็น

to reduce the impact that we're potentially facing.

เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น จากสถานการณ์นี้

[Question 4: How far apart should people stay from each other?]

[คำถามที่ 4: ผู้คนควรอยู่ห่างจากกันแค่ไหน]

I think it's hard to pin down exactly,

ผมว่าการเจาะจงลงไปเป็นเรื่องยาก

but I think one thing to bear in mind is that there's not so much evidence

แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องตระหนักคือ ยังไม่มีหลักฐานมากพอ

that this is a kind of aerosol and it goes really far --

ที่จะบอกได้ว่าเชื้อแพร่ได้ทางอากาศ และกระจายไปได้ไกล

it's reasonably short distances.

มีเหตุผลมากกว่าที่จะเชื่อว่า เชื้อโรคแพร่กระจายได้ไม่ไกล

I don't think it's the case

ผมไม่คิดว่า

that you're sitting a few meters away from someone

เมื่อคุณนั่งห่างจากคนอื่นไม่กี่เมตร

and the virus is somehow going to get across.

แล้วไวรัสจะข้ามไปติดคุณได้

It's in closer interactions,

การอยู่ใกล้ชิดกันมากต่างหากที่ทำให้ติดเชื้อ

and it's why we're seeing so many transmission events

เราถึงได้เห็นว่ากรณีผู้ติดเชื้อใหม่มากมาย

occur in things like meals and really tight-knit groups.

เกิดขึ้นในกิจกรรมอย่าง การกินเลี้ยง และการต้องอยู่ในที่เบียดเสียดกับคนอื่น

Because if you imagine

เพราะถ้าลองนึกภาพตาม

that's where you can get a virus out and onto surfaces

นั่นคือที่ที่คุณได้รับเชื้อมา และแปะป้ายไปตามพื้นผิวที่สัมผัส

and onto hands and onto faces,

สู่มือและใบหน้า

and it's really situations like that we've got to think more about.

สถานการณ์แบบนั้นละครับ ที่เราต้องคำนึงถึงให้มากขึ้น

[Question 5: What kind of protective measures

[คำถามที่ 5: มาตรการป้องกันแบบไหน

should countries put in place?]

ที่ประเทศต่างๆ ควรจะนำมาปฏิบัติ]

I think that's what people are trying to piece together,

ผมว่านั่นคือสิ่งที่คนกำลังพยายามคิดให้ตก

first in terms of what works.

ประการแรกในแง่ของประสิทธิภาพ

It's only really in the last sort of few weeks

แค่ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา

we've got a sense that this thing can be controllable

เราเพิ่งพอเดาทางได้ว่า โรคนี้มันควบคุมได้

with this extent of interventions,

ด้วยการกำหนดขอบเขต

but of course, not all countries can do what China have done,

แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกประเทศ จะทำอย่างที่ประเทศจีนทำได้

some of these measures

มาตรการบางข้อ

incur a huge social, economic, psychological burden

ก่อให้เกิดภาระทางสังคม เศรษฐกิจ และทางจิตวิทยาอย่างใหญ่หลวง

on populations.

กับประชากร

And of course, there's the time limit.

รวมถึงเรายังมีข้อจำกัดของเวลา

In China, they've had them in for six weeks,

ที่ประเทศจีนนั้น จัดการไวรัสได้ในหกสัปดาห์

it's tough to maintain that,

แต่ก็ยากลำบากที่จะทำเช่นนั้น

so we need to think of these tradeoffs

ดังนั้นเราต้องคิดถึงต้นทุนที่แลกมาด้วย

of all the things we can ask people to do,

ต้นทุนที่เราร้องขอให้ประชาชนทำ

what's going to have the most impact on actually reducing the burden.

และหากลดภาระดังกล่าว จะส่งผลกระทบสำคัญอย่างไรบ้าง

[To learn more, visit: Centers for Disease Control and Prevention]

[เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ ศูนยควบคุมและป้องกันโรค]

[World Health Organization]

[องค์การอนามัยโลก]