Jean-Baptiste Michel: The mathematics of history

Translator: Timothy Covell Reviewer: Morton Bast

Translator: Nuttikarn P Reviewer: Sakunphat Jirawuthitanant

คณิตศาสตร์เป็นภาษาที่ทรงพลังมาก

มันทำให้ค้นพบข้อมูลเชิงลึก จำนวนมากในด้านฟิสิกส์

ชีววิทยา และเศรษฐศาสตร์

แต่ไม่มากนักในด้าน มนุษยศาสตร์และประวัติศาสตร์

มีความเชื่อว่า มันเป็นไปไม่ได้

So it turns out that mathematics is a very powerful language.

คุณคำนวนการกระทำของมนุษย์ไม่ได้

It has generated considerable insight in physics,

คุณวัดค่าประวัติศาสตร์ไม่ได้

in biology and economics,

แต่ผมคิดว่าไม่ถูกนะ

but not that much in the humanities and in history.

ผมอยากให้ดูตัวอย่าง 2-3 อันว่าทำไม

อีลิสเพื่อนร่วมงานของผม และผม พิจารณาข้อเท็จจริงต่อไปนี้

I think there's a belief that it's just impossible,

that you cannot quantify the doings of mankind,

กษัตริย์ 2 องค์ที่ใช้ชีวิตห่างกัน หลายศตวรรษ

that you cannot measure history.

นั้นใช้ภาษาต่างกันมาก

นั่นเพราะความทรงพลังของ แรงผลักดันทางประวัติศาสตร์

But I don't think that's right.

I want to show you a couple of examples why.

พระเจ้าอัลเฟรดมหาราช แห่งอังกฤษนั้น

ใช้คำศัพท์ และไวยกรณ์

So my collaborator Erez and I were considering the following fact:

ที่แตกต่างจากราชาวงการฮิปฮอป เจย์ซี

that two kings separated by centuries

will speak a very different language.

(เสียงหัวเราะ)

มันเป็นอย่างนั้นแหละ

That's a powerful historical force.

So the king of England, Alfred the Great,

ภาษาเปลี่ยนไปตามกาลเวลา และมันเป็นแรงผลักที่ทรงพลัง

will use a vocabulary and grammar

อีลิสและผมอยากจะรู้ให้มากขึ้น

that is quite different from the king of hip hop, Jay-Z.

เราเลยสนใจกับหลักไวยากรณ์ โดยเฉพาะ การผันคำกิริยาในอดีต

(Laughter)

ปกติแล้วคุณเติม “อีดี” (เคย) หลังคำกิริยาเพื่อทำให้เป็นรูปอดีต

Now it's just the way it is.

Language changes over time, and it's a powerful force.

วันนี้ฉันเดิน เมื่อวานฉันเคยเดิน

แต่กริยาบางคำไม่ปกติ

So Erez and I wanted to know more about that.

เมื่อวานฉันเคยคิด

So we paid attention to a particular grammatical rule, past-tense conjugation.

สิ่งที่น่าสนใจ คือ

คำกิริยาไม่ปกติ ระหว่างพระเจ้าอัลเฟรด และเจย์ซี กลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น

So you just add "ed" to a verb at the end to signify the past.

อย่างคำว่า “แต่งงาน” ที่คุณเห็นในจอกลายเป็นคำทั่วไป

"Today I walk. Yesterday I walked."

อีลิสและผมติดตามการเดินทาง ของกิริยาไม่ปกติ 100 คำ

But some verbs are irregular.

"Yesterday I thought."

Now what's interesting about that

ตลอด 12 ศตวรรษของภาษาอังกฤษ

is irregular verbs between Alfred and Jay-Z have become more regular.

และพวกเราพบแบบแผน ทางคณิตศาสตร์ที่พื้นฐานมากๆ

Like the verb "to wed" that you see here has become regular.

ที่อธิบายการเปลี่ยนแปลง ทางประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อน

เช่น คำกิริยาที่ใช้บ่อยกว่ากัน 100 เท่า

So Erez and I followed the fate of over 100 irregular verbs

จะเปลี่ยนไปช้าลง 10 เท่า

through 12 centuries of English language,

and we saw that there's actually a very simple mathematical pattern

นั่นคือหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ในรูปแบบคณิตศาสตร์

that captures this complex historical change,

ตอนนี้คณิตศาสตร์ สามารถอธิบายบางกรณี

namely, if a verb is 100 times more frequent than another,

หรือเสนอคำอธิบายทางประวัติศาสตร์ได้

it regularizes 10 times slower.

นี่คือ สตีเวน พิงค์เคอร์ และผม

That's a piece of history, but it comes in a mathematical wrapping.

ได้ศึกษาตัวเลขของสงครามในรอบ 200 ปี

Now in some cases math can even help explain,

มันมีสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอที่เรารู้กันดี

ว่าสงครามที่มีความรุนแรงเป็น 100 เท่า

or propose explanations for, historical forces.

So here Steve Pinker and I

เกิดขึ้นน้อยกว่าเป็น 10 เท่า

were considering the magnitude of wars during the last two centuries.

มีสงคราม 30 ครั้งที่ร้ายแรง พอ ๆ กับสงคราม 6 วัน

แต่มีเพียง 4 ครั้งเท่านั้น ที่รุนแรงมากกว่า 100 เท่า

There's actually a well-known regularity to them

where the number of wars that are 100 times deadlier

เช่น สงครามโลกครั้งที่ 1

แล้วมันเกิดจากกลไกทางประวัติศาสตร์ใดกัน

is 10 times smaller.

จุดกำเนิดคืออะไร

So there are 30 wars that are about as deadly as the Six Days War,

สตีฟและผมใช้การวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์

but there's only four wars that are 100 times deadlier --

เสนอว่า จริง ๆ แล้วมันมีปรากฎการณ์ พื้นฐานมาก ๆ ที่เป็นต้นตอของเรื่องนี้

like World War I.

ที่อยู่ในสมองเรา

So what kind of historical mechanism can produce that?

นี่เป็นคุณลักษณะที่รู้จักกันดี

What's the origin of this?

ที่เรารับรู้ปริมาณในแบบเทียบเคียง

So Steve and I, through mathematical analysis,

ปริมาณอย่าง ความเข้มแสงหรือความดังของเสียง

propose that there's actually a very simple phenomenon at the root of this,

ตัวอย่างเช่น การส่งทหาร 10,000 นาย ไปสงครามครั้งถัดไป ฟังดูเยอะ

which lies in our brains.

This is a very well-known feature

in which we perceive quantities in relative ways --

มันจะดูมหาศาลมาก ถ้าคุณเคย ส่งทหารไป 1,000 นายก่อนหน้านี้

quantities like the intensity of light or the loudness of a sound.

แต่มันจะดูไม่มาก

มันเหมือนไม่พอ และ เหมือนไม่มีประโยชน์ด้วยซ้ำ

For instance, committing 10,000 soldiers to the next battle sounds like a lot.

ถ้าก่อนหน้านี้ คุณเคยส่งทหารไป 100,000 นาย

จะเห็นได้ว่า การรับรู้ปริมาณของคนเรา

It's relatively enormous if you've already committed 1,000 soldiers previously.

But it doesn't sound so much,

เมื่อสงครามยืดเยื้อออกไป

it's not relatively enough, it won't make a difference

จำนวนทหารร่วมรบ และคนที่บาดเจ็บล้มตาย

if you've already committed 100,000 soldiers previously.

การเพิ่มขึ้น จะไม่ใช่แนวเส้นตรง

เช่น 10,000 คน 11,000 คน 12,000 คน

So you see that because of the way we perceive quantities,

แต่เป็นแบบทวีคูณ จาก 10,000 คน ไปเป็น 20,000 คน แล้วเป็น 40,000 คน

as the war drags on,

the number of soldiers committed to it and the casualties

และนั่นอธิบายรูปแบบที่ผ่านมา

หมายความว่าคณิตศาสตร์ สามารถเชื่อมโยงเรื่องที่รู้กันดี

will increase not linearly --

like 10,000, 11,000, 12,000 --

but exponentially -- 10,000, later 20,000, later 40,000.

กับรูปแบบในอดีต ที่ยาวนาน

And so that explains this pattern that we've seen before.

ครอบคลุมหลายศตวรรษ ทั่วทุกทวีป

So here mathematics is able to link a well-known feature of the individual mind

ตัวอย่างเหล่านี้เป็นหนึ่งในหลายเรื่อง

แต่ผมว่า อีก 10 ปีข้างหน้า มันจะกลายเป็นเรื่องธรรมดา

with a long-term historical pattern

เหตุผลก็คือ ข้อมูลย้อนหลัง

that unfolds over centuries and across continents.

จะเปลี่ยนเป็นรูปแบบดิจิทัลย่างรวดเร็ว

So these types of examples, today there are just a few of them,

มีหนังสืออยู่ 130 ล้านเล่ม

ตั้งแต่โบราณกาล

but I think in the next decade they will become commonplace.

บริษัทอย่างกูเกิ้ลได้แปลง หนังสือเป็นดิจิทัลแล้ว

The reason for that is that the historical record

มากกว่า 20 ล้านเล่ม

is becoming digitized at a very fast pace.

และเมื่อหลักฐานทางประวัติศาสตร์ กลายเป็นรูปแบบดิจิทัลแล้ว

So there's about 130 million books

การวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ก็เป็นไปได้

that have been written since the dawn of time.

อย่างรวดเร็ว และง่ายดาย

Companies like Google have digitized many of them --

ทั้งการหาแนวโน้ม จากประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม

above 20 million actually.

And when the stuff of history is available in digital form,

ดังนั้นผมว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้า

วิทยาศาสตร์และมนุษยศาสตร์ จะเข้ามาใกล้ชิดกันมากขึ้น

it makes it possible for a mathematical analysis

เพื่อหาคำตอบสุดลึกล้ำของมนุษยชาติ

to very quickly and very conveniently

และผมคิดว่า คณิตศาสตร์จะเป็น เครื่องมือที่สำคัญมากในการทำสิ่งเหล่านั้น

review trends in our history and our culture.

So I think in the next decade,

มันจะเปิดเผยความเป็นไปได้ใหม่ ทางประวัติศาสตร์ของเรา

the sciences and the humanities will come closer together

บางครั้งเพื่ออธิบาย

to be able to answer deep questions about mankind.

และแม้แต่ทำนายว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต

And I think that mathematics will be a very powerful language to do that.

ขอบคุณมากครับ

(ปรบมือ)

It will be able to reveal new trends in our history,

sometimes to explain them,

and maybe even in the future to predict what's going to happen.

Thank you very much.

(Applause)