How to grow a forest in your backyard | Shubhendu Sharma

Translator: Kelwalin Dhanasarnsombut Reviewer: Chanchai Tasujai

This is a man-made forest.

นีคือป่าที่คนปลูก

It can spread over acres and acres of area,

มันสามารถกินพื้นที่ได้หลายเอเคอร์

or it could fit in a small space --

หรืออาจกินพื้นที่เล็ก ๆ --

as small as your house garden.

ที่มีขนาดพอ ๆ กับสวนที่บ้านของคุณ

Age of this forest is just two years old.

ป่าเหล่านี้มีอายุแค่สองปี

I have a forest in the backyard of my own house.

ผมมีป่าที่สวนหลังบ้านของผม

It attracts a lot of biodiversity.

มันดึงดูคความหลากหลายทางชีวภาพมากมาย

(Bird call)

(เสียงนก)

I wake up to this every morning,

เสียงนี้ปลุกให้ผมขึ้นมาทุกเช้า

like a Disney princess.

อย่างกับเจ้าหญิงดิสนีย์

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

I am an entrepreneur

ผมเป็นผู้ประกอบการ

who facilitates the making of these forests professionally.

ที่คอยช่วยให้การสร้างป่าเหล่านี้ เป็นไปอย่างมืออาชีพ

We have helped factories,

เราได้ช่วยโรงงาน

farms,

ไร่นา

schools,

โรงเรียน

homes,

บ้าน

resorts,

ที่พักตากอากาศ

apartment buildings,

ตึกที่พักอาศัย

public parks

สวนสาธารณะ

and even a zoo

หรือกระทั่งสวนสัตว์

to have one of such forests.

ให้มีป่าในลักษณะนี้

A forest is not an isolated piece of land where animals live together.

ป่า ไม่ใช่พื้นที ที่แยกตัวโดดเดี่ยว ที่มีสัตว์อาศัยอยู่ร่วมกัน

A forest can be an integral part of our urban existence.

ป่าสามารถรวมเป็นส่วนหนึ่ง ของสังคมเมืองของเราได้

A forest, for me,

ป่า สำหรับผมนั้น

is a place so dense with trees that you just can't walk into it.

คือสถานที่ที่แน่นขนัดไปด้วยต้นไม้ จนคุณไม่สามารถเดินเข้าไปได้

It doesn't matter how big or small they are.

ซึ่งไม่สำคัญว่าขนาดของมัน จะใหญ่หรือเล็กเพียงใด

Most of the world we live in today was forest.

โลกที่เราอาศัยอยู่ตอนนี้ เกือบทั้งหมดเคยเป็นป่า

This was before human intervention.

มันเป็นเช่นนั้น ก่อนที่มนุษย์จะย่างกรายเข้ามา

Then we built up our cities on those forests,

จากนั้น เราก็เริ่มสร้างเมืองบนผืนป่า

like São Paulo,

เช่น เซาเปาลู(São Paulo)

forgetting that we belong to nature as well,

โดยหลงลืมไปว่า เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติเช่นกัน

as much as 8.4 million other species on the planet.

เช่นเดียวกับอีก 8.4 ล้านสายพันธุ์บนโลกใบนี้

Our habitat stopped being our natural habitat.

ที่อยู่อาศัยของเราไม่ใช่ ที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติอีกต่อไป

But not anymore for some of us.

แต่ไม่อีกต่อไปแล้ว สำหรับพวกเราบางคน

A few others and I today make these forests professionally --

ในวันนี้ ผมและคนอื่น ๆ ได้สร้างป่าเหล่านี้อย่างมืออาชีพ --

anywhere and everywhere.

ทุกที่ไม่ว่าที่ไหน

I'm an industrial engineer.

ผมเป็นวิศวกรอุตสาหกรรม

I specialize in making cars.

ที่เชี่ยวชาญในเรื่องการประกอบรถยนต์

In my previous job at Toyota,

ก่อนหน้านี้ผมทำงานที่โตโยต้า

I learned how to convert natural resources into products.

ผมเรียนรู้ที่จะเปลี่ยน ทรัพยากรทางธรรมชาติมาเป็นผลิตภัณฑ์

To give you an example,

เพื่อเป็นการยกตัวอย่าง

we would drip the sap out of a rubber tree,

ผมจะกรีดยางจากต้นยาง

convert it into raw rubber

เปลี่ยนมันไปเป็นยางดิบ

and make a tire out of it -- the product.

และทำเป็นยางรถยนต์ -- ซึ่งมันคือผลิตภัณฑ์

But these products can never become a natural resource again.

แต่ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่เคย กลายเป็นทรัพยากรทางธรรมชาติได้อีก

We separate the elements from nature

เราแยกส่วนประกอบจากธรรมชาติ

and convert them into an irreversible state.

และเปลี่ยนพวกมันให้อยู่ในสถานะ ที่ไม่สามารถเปลี่ยนกลับไปได้

That's industrial production.

มันเป็นการผลิตทางอุตสาหกรรม

Nature, on the other hand, works in a totally opposite way.

ในทางตรงข้าม ธรรมชาติทำงานในแบบที่ แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

The natural system produces by bringing elements together,

ระบบตามธรรมชาติผลิต โดยนำส่วนประกอบมารวมกัน

atom by atom.

ทีละอะตอม

All the natural products become a natural resource again.

ผลิตภัณฑ์ตามธรรมชาติทั้งหมด กลายเป็นทรัพยากรธรรมชาติอีกครั้ง

This is something which I learned

นี่เป็นอะไรบางอย่างที่ผมได้เรียนรู้

when I made a forest in the backyard of my own house.

เมื่อสร้างป่าในสวนหลังบ้านของตัวผมเอง

And this was the first time I worked with nature,

และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมทำงานกับธรรมชาติ

rather than against it.

แทนที่จะเป็นปฏิปักษ์ต่อมัน

Since then,

ตั้งแต่นั้น

we have made 75 such forests in 25 cities across the world.

เราได้สร้างป่าดังกล่าว 75 แห่ง ใน 25 เมืองทั่วโลก

Every time we work at a new place,

ทุกครั้งที่เราทำงานในสถานที่ใหม่

we find that every single element needed to make a forest

เราพบว่าทุกส่วนประกอบที่เราต้องการ ในการสร้างป่า

is available right around us.

มีอยู่พร้อมแล้วรอบ ๆ ตัวเรา

All we have to do is to bring these elements together

ที่เราจะต้องทำ ก็แค่นำส่วนประกอบมารวมเข้าด้วยกัน

and let nature take over.

และให้ธรรมชาติเข้าดำเนินการ

To make a forest we start with soil.

เพื่อที่จะสร้างป่า เราเริ่มต้นจากดิน

We touch, feel and even taste it

เราสัมผัส รับรู้ และแม้กระทั้งชิมมัน

to identify what properties it lacks.

เพื่อบ่งบอกถึงคุณสมบัติที่มันพร่องไป

If the soil is made up of small particles it becomes compact --

ถ้าดินประกอบด้วยอนุภาคเล็ก ๆ มันจะอัดตัวกันแน่น --

so compact, that water cannot seep in.

แน่นมากเสียจนน้ำไม่สามารถเข้าไปได้

We mix some local biomass available around,

เราผสมชีวมวลในท้องถิ่นที่มีอยู่โดยรอบ

which can help soil become more porous.

ซึ่งสามารถช่วยดินให้เป็นรูมากขึ้น

Water can now seep in.

น้ำสามารถเข้าไปได้

If the soil doesn't have the capacity to hold water,

ถ้าดินไม่มีความสามารถในการอุ้มน้ำ

we will mix some more biomass --

เราจะผสมชีวมวลเข้าไปอีก --

some water-absorbent material like peat or bagasse,

ด้วยสารที่ดูดซับน้ำ เช่นพีต (Peat) หรือชานอ้อย

so soil can hold this water and it stays moist.

จะทำให้ดินสามารถอุ้มน้ำนี้ได้ และมันจะชุ่มชื้น

To grow, plants need water, sunlight and nutrition.

เพื่อการเติบโต พวกพืชต้องการน้ำ แสงแดด และสารอาหาร

แล้วถ้าหากดินไม่มีสารอาหารใด ๆ เลยล่ะ

What if the soil doesn't have any nutrition in it?

We don't just add nutrition directly to the soil.

เราไม่ได้แค่เติมสารอาหารลงไปในดินโดยตรง

That would be the industrial way.

นั่นเป็นแนวทางแบบอุตสาหกรรม

It goes against nature.

มันไม่เป็นมิตรต่อธรรมชาติ

We instead add microorganisms to the soil.

แทนที่จะทำอย่างนั้น เราเติมจุลชีพลงไปในดิน

They produce the nutrients in the soil naturally.

พวกมันผลิตสารอาหารในดินอย่างเป็นธรรมชาติ

They feed on the biomass we have mixed in the soil,

พวกมันบริโภคชีวมวล ที่เราผสมลงไปในดิน

so all they have to do is eat and multiply.

ฉะนั้นที่พวกมันต้องทำก็คือ กินและเพิ่มจำนวน

And as their number grows,

และเมื่อพวกมันมีจำนวนมากขึ้น

the soil starts breathing again.

ดินก็เริ่มที่จะมีลมหายใจอีกครั้ง

It becomes alive.

มันเริ่มมีชีวิต

We survey the native tree species of the place.

พวกเราสำรวจสายพันธุ์ต้นไม้ท้องถิ่น ของสถานที่แห่งนั้น

How do we decide what's native or not?

เราตัดสินใจอย่างไรว่า อะไรคือสายพันธุ์ท้องถิ่น

Well, whatever existed before human intervention is native.

อะไรก็ตามที่มีอยู่ก่อนที่มนุษย์จะเข้ามา คือสายพันธุ์ท้องถิ่น

That's the simple rule.

มันเป็นกติกาง่าย ๆ

We survey a national park

เราสำรวจอุทยานแห่งชาติ

to find the last remains of a natural forest.

เพื่อค้นหา ป่าธรรมชาติแห่งสุดท้ายที่เหลืออยู่

We survey the sacred groves,

เราสำรวจบริเวณพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์

or sacred forests around old temples.

หรือป่าที่มีมนต์ขลังรอบ ๆ วัดเก่า

And if we don't find anything at all,

และถ้าเราไม่พบกับอะไรเลย

we go to museums

เราก็จะไปพิพิธภัณฑ์

to see the seeds or wood of trees existing there a long time ago.

เพื่อดูเมล็ดหรือไม้ของต้นไม้ ที่ปรากฏอยู่ที่นั่นเมื่อนานมาแล้ว

We research old paintings, poems and literature from the place,

เราทำการวิจัยภาพเขียนเก่า ๆ บทร้อยกรอง และวรรณกรรมจากสถานที่นั้น

to identify the tree species belonging there.

เพื่อบ่งบอกถึงสายพันธุ์ของต้นไม้ ที่เป็นของที่นั่น

Once we know our trees,

เมื่อเรารู้จักต้นไม้ของเราแล้ว

we divide them in four different layers:

เราก็จำแนกมันออกเป็นสี่ชั้นส่วน

shrub layer, sub-tree layer, tree layer and canopy layer.

ชั้นไม้พุ่ม ชั้นต้นไม้เล็ก ชั้นไม้ยืนต้น และชั้นต้นไม้ให้ร่มเงา

We fix the ratios of each layer,

เรากำหนดอัตราส่วนสำหรับแต่ละชั้น

and then we decide the percentage of each tree species in the mix.

และจากนั้นเราจึงมาคำนึงถึงเปอร์เซ็นต์ ของสายพันธุ์ต้นไม้ในแต่ละส่วนนั้น

If we are making a fruit forest,

ถ้าเรากำลังสร้างป่าผลไม้

we increase the percentage of fruit-bearing trees.

เราเพิ่มเปอร์เซ็นต์ของต้นไม้ที่ให้ผล

It could be a flowering forest,

มันอาจเป็นป่าดอกไม้ก็ได้

a forest that attracts a lot of birds or bees,

ซึ่งเป็นป่าที่ดึงดูดนกและผึ้งนานาชนิด

or it could simply be a native, wild evergreen forest.

หรือมันอาจเป็นป่าไม่ผลัดใบท้องถิ่นก็ได้

We collect the seeds and germinate saplings out of them.

เราเก็บรวบรวมเมล็ดและเพาะมันขึ้นมา

We make sure that trees belonging to the same layer

เราตรวจตราจนแน่ใจว่า ต้นไม้ที่อยู่ในระดับชั้นเดียวกัน

are not planted next to each other,

จะไม่ถูกปลูกไว้ข้างกันและกัน

or they will fight for the same vertical space when they grow tall.

มิฉะนั้นพวกมันจะแย่งพื้นที่แนวตั้ง เมื่อพวกมันเติบโตสูงขึ้น

We plant the saplings close to each other.

เราปลูกต้นกล้าไว้ใกล้ ๆ กัน

On the surface, we spread a thick layer of mulch,

บนพื้นผิว เราแผ่ชั้นวัสดุคลุมดินหนา ๆ ออกไป

so when it's hot outside the soil stays moist.

เพื่อที่ว่าเมื่อข้างนอกอากาศร้อน ดินจะยังคงมีความชื้นอยู่

When it's cold,

เมื่ออากาศเย็น

frost formation happens only on the mulch,

เกล็ดน้ำแข็งก็จะเกิดขึ้น บนวัสดุคลุมดินเท่านั้น

so soil can still breathe while it's freezing outside.

ฉะนั้น ดินจะยังหายใจได้ ในขณะที่ข้างนอกนั้นหนาวเย็น

The soil is very soft --

ดินมีความอ่อนนุ่มมาก --

so soft, that roots can penetrate into it easily,

นุ่มมาก จนรากสามารถ แทงผ่านมันไปได้อย่างง่ายดาย

rapidly.

และอย่างรวดเร็ว

Initially, the forest doesn't seem like it's growing,

แต่แรก มันเหมือนว่าป่าจะไม่เติบโต

but it's growing under the surface.

แต่มันเติบโตอยู่เบื้องล่าง

In the first three months,

ในสามเดือนแรก

roots reach a depth of one meter.

รากหยั่งลึกลงไปถึงหนึ่งเมตร

These roots form a mesh,

รากเหล่านี้เกิดเป็นตาข่าย

tightly holding the soil.

ที่อุ้มดินเอาไว้อย่างหนาแน่น

Microbes and fungi live throughout this network of roots.

จุลชีพและเห็ดราอาศัยอยู่ในเครือข่ายของราก

So if some nutrition is not available in the vicinity of a tree,

ฉะนั้น ถ้าสารอาหารบางอย่าง ไม่มีอยู่ในบริเวณใกล้ ๆ ต้นไม้

these microbes are going to get the nutrition to the tree.

จุลชีพเหล่านี้จะให้สารอาหารกับต้นไม้

Whenever it rains,

เมื่อใดก็ตามที่ฝนตก

magically,

ความมหัศจรรย์ก็บังเกิด

mushrooms appear overnight.

เห็ดต่าง ๆ ผุดขึ้นภายในชั่วข้ามคืน

And this means the soil below has a healthy fungal network.

และนั่นหมายความว่าดินข้างใต้นั้น มีเครือข่ายเห็ดราที่สมบูรณ์

Once these roots are established,

เมื่อรากเหล่านี้ตั้งตัวได้แล้ว

forest starts growing on the surface.

ป่าก็เริ่มเติบโตบนพื้นผิว

As the forest grows we keep watering it --

เมื่อป่าเติบโตเราก็ค่อยหมั่นรดน้ำ --

for the next two to three years, we water the forest.

เป็นเวลาสองถึงสามปีต่อจากนั้น เรารดน้ำให้ป่า

We want to keep all the water and soil nutrition only for our trees,

เราอยากจะให้น้ำและสารอาหารในดินทั้งหมด กับต้นไม้ของเราเท่านั้น

so we remove the weeds growing on the ground.

เราตึงกำจัดวัชพืชที่เติบโตอยู่โดยรอบ

As this forest grows, it blocks the sunlight.

เมื่อป่าเติบโต มันบดบังแสงอาทิตย์

Eventually, the forest becomes so dense

และท้ายที่สุด ป่าก็หนาแน่น

that sunlight can't reach the ground anymore.

จนแสงอาทิตย์ไม่อาจผ่านลงมาถึงดินได้อีก

Weeds cannot grow now, because they need sunlight as well.

วัชพืชไม่สามารถเติบโตได้แล้วในตอนนี้ เพราะว่าพวกมันต้องการแสงอาทิตย์เหมือนกัน

At this stage,

ตอนนี้เอง

every single drop of water that falls into the forest

ที่น้ำทุกหยดที่ตกลงในป่า

doesn't evaporate back into the atmosphere.

จะไม่ระเหยกลับไปในบรรยากาศ

This dense forest condenses the moist air

ความหนาแน่นของป่านี้ ควบแน่นความชื้นในอากาศ

and retains its moisture.

และคงความชุ่มชื้นของมันเอาไว้

We gradually reduce and eventually stop watering the forest.

เราค่อย ๆ ลดและในที่สุดก็หยุดรดน้ำให้ป่า

And even without watering,

และแม้จะไม่มีการรดน้ำ

the forest floor stays moist and sometimes even dark.

พื้นป่าก็ยังคงชุ่มชื้น และบางครั้งก็ยังเข้มอีกด้วย

Now, when a single leaf falls on this forest floor,

ตอนนี้ เมื่อใบไม้สักใบตกลงบนพื้นป่า

it immediately starts decaying.

มันจะเริ่มย่อยสลายทันที

This decayed biomass forms humus,

ชีวมวลที่ย่อยสลายนี้จะเกิดเป็นฮิวมัส

which is food for the forest.

ซึ่งเป็นอาหารของป่า

As the forest grows,

เมื่อป่าเติบโต

more leaves fall on the surface --

ใบไม้ก็ตกลงบนพื้นผิวมากขึ้น --

it means more humus is produced,

นั่นหมายความว่าฮิวมัสจะถูกผลิตมากขึ้น

it means more food so the forest can grow still bigger.

นั่นหมายความว่าจะมีอาหารมากขึ้น เพื่อป่าจะได้เติบใหญ่ได้มากขึ้น

And this forest keeps growing exponentially.

และป่านี้ก็เติบโตต่อไปอย่างรวดเร็ว

Once established,

เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว

these forests are going to regenerate themselves again and again --

ป่าเหล่านี้กำลังจะสร้างพวกมันเอง ครั้งแล้วครั้งเล่า --

probably forever.

บางทีอาจจะตลอดไป

In a natural forest like this,

ในป่าธรรมชาติแบบนี้

no management is the best management.

การที่ไม่มีการจัดการเป็นการจัดการที่ดีที่สุด

It's a tiny jungle party.

มันเป็นงานเลี้ยงป่าน้อย ๆ

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

This forest grows as a collective.

ป่านี้เติบโตในองค์รวม

If the same trees --

ถ้าหากต้นไม้ต้นเดียวกัน --

same species --

สายพันธุ์เดียวกัน --

would have been planted independently,

ถูกปลูกไว้อย่างโดดเดี่ยว

it wouldn't grow so fast.

มันจะไม่เติบโตอย่างรวดเร็วแบบนี้

And this is how we create a 100-year-old forest

และนี่เป็นวิธีการสร้างป่าอายุ 100 ปีของเรา

in just 10 years.

ในเวลาเพียงแค่ 10 ปี

Thank you very much.

ขอบคุณมากครับ

(Applause)

(เสียงปรบมือ)