The riddle of experience vs. memory | Daniel Kahneman

1,377,866 views ・ 2010-03-01

TED


โปรดดับเบิลคลิกที่คำบรรยายภาษาอังกฤษด้านล่างเพื่อเล่นวิดีโอ

Translator: Thipnapa Huansuriya Reviewer: Bank Light
00:15
Everybody talks about happiness these days.
0
15260
3000
เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็พูดถึงความสุขนะครับ
00:18
I had somebody count the number of books
1
18260
3000
ผมเคยให้คนนับว่ามีหนังสือที่มีคำว่า
00:21
with "happiness" in the title published in the last five years
2
21260
3000
“ความสุข” อยู่ในชื่อเรื่องตีพิมพ์ออกมากี่เล่มภายในห้าปีที่ผ่านมา
00:24
and they gave up after about 40, and there were many more.
3
24260
5000
พวกเขายอมแพ้หลังจากนับถึง 40 แล้วยังเหลือที่ยังไม่ได้นับอีกเยอะมาก
00:29
There is a huge wave of interest in happiness,
4
29260
3000
กระแสความสนใจเรื่องความสุขมาแรงมาก
00:32
among researchers.
5
32260
2000
ในหมู่นักวิจัย
00:34
There is a lot of happiness coaching.
6
34260
2000
มีโปรแกรมฝึกอบรมเรื่องความสุขออกมามากมาย
00:36
Everybody would like to make people happier.
7
36260
2000
ทุกคนอยากทำให้ผู้คนมีความสุขมากขึ้น
00:38
But in spite of all this flood of work,
8
38260
4000
แต่แม้จะมีงานพวกนี้ออกมาเยอะแยะ
00:42
there are several cognitive traps
9
42260
2000
ก็ยังมีกับดักทางความคิดบางอย่าง
00:44
that sort of make it almost impossible to think straight
10
44260
3000
ที่ดูเหมือนจะทำให้แทบเป็นไปไม่ได้เลย
00:47
about happiness.
11
47260
2000
ที่เราจะมองความสุขโดยไม่สับสน
00:49
And my talk today will be mostly about these cognitive traps.
12
49260
3000
และวันนี้ เรื่องที่ผมจะพูดก็เกี่ยวกับกับดักทางความคิดพวกนี้แหละครับ
00:52
This applies to laypeople thinking about their own happiness,
13
52260
3000
ซึ่งเรื่องนี้สำคัญทั้งกับคนทั่วไปที่คิดถึงความสุขของตัวเอง
00:55
and it applies to scholars thinking about happiness,
14
55260
3000
และนักวิชาการที่ศึกษาเรื่องความสุข
00:58
because it turns out we're just as messed up as anybody else is.
15
58260
4000
เพราะปรากฏว่าพวกเราก็สับสนไม่แพ้คนทั่วไป
01:02
The first of these traps
16
62260
2000
กับดักตัวแรก
01:04
is a reluctance to admit complexity.
17
64260
3000
คือ การไม่ยอมรับความซับซ้อน
01:07
It turns out that the word "happiness"
18
67260
3000
ตอนนี้กลายเป็นว่าคำว่าความสุข
01:10
is just not a useful word anymore,
19
70260
3000
ไม่ใช่คำที่มีประโยชน์แล้ว
01:13
because we apply it to too many different things.
20
73260
3000
เพราะเราใช้มันแบบเหมารวมแทนหลายอย่างมากเกินไป
01:16
I think there is one particular meaning to which we might restrict it,
21
76260
3000
ผมคิดว่าเราน่าจะจำกัดการใช้คำว่าความสุขไว้ให้มีความหมายอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
01:19
but by and large,
22
79260
2000
แต่จะทำอย่างนั้นได้
01:21
this is something that we'll have to give up
23
81260
2000
เราต้องทิ้งความหมายอื่นๆ ไป
01:23
and we'll have to adopt the more complicated view
24
83260
4000
และเราต้องยอมรับมุมมองเกี่ยวกับสุขภาวะ (well-being)
01:27
of what well-being is.
25
87260
2000
ที่ซับซ้อนกว่านี้
01:29
The second trap is a confusion between experience and memory;
26
89260
4000
กับดักอย่างที่สองคือความสับสนระหว่างประสบการณ์กับความทรงจำ
01:33
basically, it's between being happy in your life,
27
93260
3000
ซึ่งนั่นก็คือ ความสับสนระหว่างการมีความสุข 'ใน' ชีวิต
01:36
and being happy about your life
28
96260
2000
กับการมีความสุข 'เกี่ยวกับ'
01:38
or happy with your life.
29
98260
2000
หรือ 'กับ' ชีวิตของคุณ
01:40
And those are two very different concepts,
30
100260
2000
สองอย่างนี้เป็นแนวคิดที่แตกต่างกันมากนะครับ
01:42
and they're both lumped in the notion of happiness.
31
102260
3000
แต่มันกลับถูกเหมารวมเข้าด้วยกันภายใต้คำว่าความสุข
01:45
And the third is the focusing illusion,
32
105260
3000
กับดักประการที่สามก็คือภาพลวงตาเมื่อเรามุ่งความสนใจไปยังปัจจัยที่มีผลต่อความสุข
01:48
and it's the unfortunate fact that we can't think about any circumstance
33
108260
3000
โชคร้ายที่มันเป็นข้อเท็จจริงที่เลี่ยงไม่ได้ ที่ว่าเราไม่สามารถคิดถึงเหตุการณ์
01:51
that affects well-being
34
111260
2000
ที่มีผลต่อสุขภาวะ (well-being) ของเรา
01:53
without distorting its importance.
35
113260
2000
ได้โดยไม่บิดเบือนความสำคัญของมัน
01:55
I mean, this is a real cognitive trap.
36
115260
3000
ผมขอบอกว่า มันเป็นกับดักทางความคิดจริงๆ
01:58
There's just no way of getting it right.
37
118260
3000
ไม่มีทางที่เราจะมองมันอย่างถูกต้องได้
02:01
Now, I'd like to start with an example
38
121260
2000
ทีนี้ ผมอยากเริ่มด้วยตัวอย่าง
02:03
of somebody who had a question-and-answer session
39
123260
5000
ที่มีใครคนหนึ่งเล่าให้ผมฟังในช่วงถามตอบ
02:08
after one of my lectures reported a story,
40
128260
4000
หลังเล็กเชอร์ครั้งหนี่งของผม
02:12
and that was a story --
41
132260
1000
[ ไม่ชัดเจน ]
02:13
He said he'd been listening to a symphony,
42
133260
3000
เขาบอกว่าเขาได้ฟังเพลงซิมโฟนีเพลงหนึ่ง
02:16
and it was absolutely glorious music
43
136260
3000
ซึ่งไพเราะสุดๆ
02:19
and at the very end of the recording,
44
139260
3000
แต่แล้วตอนท้ายของเพลง
02:22
there was a dreadful screeching sound.
45
142260
2000
ก็มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดแสบแก้วดังหูออกมา
02:24
And then he added, really quite emotionally,
46
144260
2000
เขาเล่าต่อแบบใส่อารมณ์ว่า
02:26
it ruined the whole experience.
47
146260
4000
มันทำลายประสบการณ์การฟังเพลงของเขาหมดเลย
02:30
But it hadn't.
48
150260
2000
แต่ที่จริงไม่ใช่หรอกครับ
02:32
What it had ruined were the memories of the experience.
49
152260
3000
สิ่งที่ถูกทำลายคือความทรงจำเกี่ยวกับประสบการณ์ต่างหาก
02:35
He had had the experience.
50
155260
2000
เขาได้รับประสบการณ์การฟังเพลงนั้นไปครบถ้วนแล้ว
02:37
He had had 20 minutes of glorious music.
51
157260
2000
เขาได้ฟังเพลงที่เพราะสุดๆ ไปแล้วยี่สิบนาที
02:39
They counted for nothing
52
159260
2000
เพียงแต่มันไม่เหลืออะไรเก็บไว้เลย
02:41
because he was left with a memory;
53
161260
3000
สิ่งที่เหลืออยู่กับเขามีเพียงแค่ความทรงจำ
02:44
the memory was ruined,
54
164260
2000
แล้วความทรงจำนั้นก็ดันมาถูกทำลาย
02:46
and the memory was all that he had gotten to keep.
55
166260
3000
ทั้งๆ ที่ความทรงจำเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เหลือให้เขาเก็บไว้ได้
02:49
What this is telling us, really,
56
169260
3000
เรื่องนี้สอนเราว่า ที่จริงแล้ว
02:52
is that we might be thinking of ourselves and of other people
57
172260
2000
เราต้องคิดถึงตัวเราเองรวมทั้งคนอื่น
02:54
in terms of two selves.
58
174260
2000
ว่ามีตัวตนสองมิติ
02:56
There is an experiencing self,
59
176260
3000
เรามีตัวตนที่รับรู้ประสบการณ์
02:59
who lives in the present
60
179260
2000
ซึ่งมีชีวิตอยู่ในขณะปัจจุบัน
03:01
and knows the present,
61
181260
2000
และรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
03:03
is capable of re-living the past,
62
183260
2000
มันสามารถเรียกเอาอดีตขึ้นมาสัมผัสได้ใหม่
03:05
but basically it has only the present.
63
185260
3000
แต่ก็สัมผัสได้เพียงในขณะปัจจุบันเท่านั้น
03:08
It's the experiencing self that the doctor approaches --
64
188260
3000
ตัวตนที่รับประสบการณ์นี่แหละ ที่คุณหมอคุยด้วย
03:11
you know, when the doctor asks,
65
191260
1000
ตอนที่หมอถามว่า
03:12
"Does it hurt now when I touch you here?"
66
192260
4000
“คุณเจ็บไหมเวลาผมจับตรงนี้”
03:16
And then there is a remembering self,
67
196260
3000
แล้วเราก็มีตัวตนที่เก็บความทรงจำ
03:19
and the remembering self is the one that keeps score,
68
199260
4000
ตัวตนที่เก็บความทรงจำนี้ทำหน้าที่นับแต้ม
03:23
and maintains the story of our life,
69
203260
2000
และจดจำเรื่องราวชีวิตของเรา
03:25
and it's the one that the doctor approaches
70
205260
3000
มันคือตัวตนที่คุณหมอคุยด้วย
03:28
in asking the question,
71
208260
2000
เวลาที่หมอถามว่า
03:30
"How have you been feeling lately?"
72
210260
3000
“พักหลังมานี้คุณรู้สึกยังไงบ้าง”
03:33
or "How was your trip to Albania?" or something like that.
73
213260
3000
หรือ “ที่คุณไปอัลเบเนียมา เป็นยังไงบ้างครับ” อะไรทำนองนั้น
03:36
Those are two very different entities,
74
216260
3000
ตัวตนสองมิตินี้แตกต่างกันมาก
03:39
the experiencing self and the remembering self,
75
219260
3000
ตัวตนที่รับรู้ประสบการณ์กับตัวตนที่เก็บความทรงจำ
03:42
and getting confused between them is part of the mess
76
222260
4000
การเอาตัวตนสองมิตินี้มาปะปนกันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราสับสน
03:46
about the notion of happiness.
77
226260
3000
กับความหมายของความสุข
03:49
Now, the remembering self
78
229260
3000
ไอ้เจ้าตัวตนที่เก็บความทรงจำนี่
03:52
is a storyteller.
79
232260
3000
เป็นนักเล่าเรื่อง
03:55
And that really starts with a basic response of our memories --
80
235260
4000
แล้วมันก็เริ่มตั้งแต่ปฏิกิริยาตอบสนองขั้นพี้นฐานของความทรงจำเลย
03:59
it starts immediately.
81
239260
2000
มันเริ่มทันทีที่เราได้รับประสบการณ์
04:01
We don't only tell stories when we set out to tell stories.
82
241260
3000
เราไม่ได้เริ่มเล่าเรื่องเมื่อเราตั้งใจจะเล่าเรื่องเท่านั้น
04:04
Our memory tells us stories,
83
244260
3000
ความทรงจำเล่าเรื่องต่างๆ ให้เราฟัง
04:07
that is, what we get to keep from our experiences
84
247260
2000
นั่นหมายความว่า สิ่งที่เราเหลือเก็บไว้จากประสบการณ์ที่เราได้รับ
04:09
is a story.
85
249260
2000
คือเรื่องเล่า
04:11
And let me begin with one example.
86
251260
5000
ผมขอยกตัวอย่างอันหนึ่ง
04:16
This is an old study.
87
256260
2000
เป็นงานวิจัยที่เก่าแล้วครับ
04:18
Those are actual patients undergoing a painful procedure.
88
258260
3000
นี่คือผลวิจัยจากผู้ป่วยที่ผ่านการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ซึ่งเจ็บสุดๆ
04:21
I won't go into detail. It's no longer painful these days,
89
261260
3000
ผมจะไม่ลงรายละเอียดนะครับ แล้วเดี๋ยวนี้ก็มีวิธีใหม่ที่ไม่เจ็บแล้วล่ะ
04:24
but it was painful when this study was run in the 1990s.
90
264260
4000
แต่มันเจ็บมากตอนที่เราทำงานวิจัยชิ้นนี้ในช่วงปี 1990s
04:28
They were asked to report on their pain every 60 seconds.
91
268260
3000
เราขอให้ผู้ป่วยรายงานระดับความเจ็บทุกๆ 60 วินาที
04:31
Here are two patients,
92
271260
3000
และนี่คือผลจากผู้ป่วยสองคน
04:34
those are their recordings.
93
274260
2000
กราฟพวกนี้คือบันทึกความเจ็บของผู้ป่วยทั้งสองคน
04:36
And you are asked, "Who of them suffered more?"
94
276260
3000
ถ้าถามว่า “ใครเจ็บมากกว่า”
04:39
And it's a very easy question.
95
279260
2000
คงเป็นคำถามที่ตอบง่ายมากเลย
04:41
Clearly, Patient B suffered more --
96
281260
2000
เห็นได้ชัดเลยว่าผู้ป่วย B เจ็บมากกว่า
04:43
his colonoscopy was longer,
97
283260
2000
การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ของเขาใช้เวลานานกว่า
04:45
and every minute of pain that Patient A had,
98
285260
3000
และทุกนาทีของความเจ็บปวดที่ผู้ป่วย A ได้รับ
04:48
Patient B had, and more.
99
288260
3000
ผู้ป่วย B ก็ได้รับเหมือนกันและมากยิ่งกว่า
04:51
But now there is another question:
100
291260
3000
แต่ทีนี้มันก็มีอีกคำถามหนึ่งว่า
04:54
"How much did these patients think they suffered?"
101
294260
3000
“ผู้ป่วยเหล่านี้คิดว่าเขาเจ็บมากแค่ไหน?”
04:57
And here is a surprise.
102
297260
2000
นี่แหละครับที่น่าประหลาดใจ
04:59
The surprise is that Patient A
103
299260
2000
เพราะปรากฏว่าผู้ป่วย A
05:01
had a much worse memory of the colonoscopy
104
301260
3000
มีความทรงจำเกี่ยวกับการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่
05:04
than Patient B.
105
304260
2000
ที่เลวร้ายกว่าผู้ป่วย B
05:06
The stories of the colonoscopies were different,
106
306260
3000
เรื่องราวการส่องกล้องในความทรงจำมันแตกต่างไปจากประสบการณ์จริง
05:09
and because a very critical part of the story is how it ends.
107
309260
6000
ทีนี้ ส่วนสำคัญที่สุดของเรื่องเล่าคือตอนจบเป็นอย่างไร
05:15
And neither of these stories is very inspiring or great --
108
315260
3000
คือ เรื่องของผู้ป่วยทั้งสองนี้ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือสร้างแรงบันดาลใจอะไรหรอกนะ
05:18
but one of them is this distinct ... (Laughter)
109
318260
4000
แต่เรื่องหนึ่ง... (เสียงหัวเราะ)
05:22
but one of them is distinctly worse than the other.
110
322260
3000
แต่เรื่องหนึ่งมันเลวร้ายกว่าอีกเรื่องหนึ่งอย่างชัดเจน
05:25
And the one that is worse
111
325260
2000
โดยเรื่องที่เลวร้ายกว่า
05:27
is the one where pain was at its peak at the very end;
112
327260
3000
ก็คือเรื่องที่ความเจ็บปวดเพิ่มขึ้นสูงสุดตอนจบพอดี
05:30
it's a bad story.
113
330260
2000
มันก็เลยเป็นเรื่องที่แย่
05:32
How do we know that?
114
332260
2000
เรารู้ได้อย่างไรครับ?
05:34
Because we asked these people after their colonoscopy,
115
334260
3000
เพราะเราถามผู้ป่วยเหล่านี้หลังจากส่องกล้องเสร็จ
05:37
and much later, too,
116
337260
1000
แล้วก็ถามอีกครั้งหลังจากเวลาผ่านไปนานแล้วด้วย
05:38
"How bad was the whole thing, in total?"
117
338260
2000
ว่า "โดยรวมแล้ว การส่องกล้องนี่มันแย่แค่ไหน?"
05:40
And it was much worse for A than for B, in memory.
118
340260
4000
ผลคือ ความทรงจำเรื่องการส่องกล้องของผู้ป่วย A แย่กว่าของผู้ป่วย B มากเลย
05:44
Now this is a direct conflict
119
344260
2000
นี่คือความขัดแย้งโดยตรงเลย
05:46
between the experiencing self and the remembering self.
120
346260
3000
ระหว่างตัวตนที่รับรู้ประสบการณ์กับตัวตนที่เก็บความทรงจำ
05:49
From the point of view of the experiencing self,
121
349260
3000
จากมุมมองของตัวตนที่รับรู้ประสบการณ์
05:52
clearly, B had a worse time.
122
352260
2000
เห็นได้ชัดว่าผู้ป่วย B มีประสบการณ์ที่เลวร้ายกว่า
05:54
Now, what you could do with Patient A,
123
354260
3000
ทีนี้ สิ่งที่คุณจะทำได้ เพื่อให้ผู้ป่วย A รู้สึกดีขึ้น
05:57
and we actually ran clinical experiments,
124
357260
3000
ซึ่งเราได้ทำการทดลองแล้ว
06:00
and it has been done, and it does work --
125
360260
2000
ลองนำไปใช้จริงแล้ว และมันก็ได้ผล
06:02
you could actually extend the colonoscopy of Patient A
126
362260
5000
ก็คือ ยืดระยะเวลาการส่องกล้องของผู้ป่วย A ออกไป
06:07
by just keeping the tube in without jiggling it too much.
127
367260
3000
โดยทิ้งท่อไว้อย่างนั้น แต่อย่าไปขยับมันมาก
06:10
That will cause the patient
128
370260
3000
มันจะทำให้ผู้ป่วย
06:13
to suffer, but just a little
129
373260
3000
ต้องเจ็บต่อไป แต่ก็แค่นิดหน่อย
06:16
and much less than before.
130
376260
2000
และน้อยลงกว่าก่อนหน้านี้เยอะเลย
06:18
And if you do that for a couple of minutes,
131
378260
2000
ถ้าคุณทำอย่างนี้สักสองสามนาที
06:20
you have made the experiencing self
132
380260
2000
คุณจะทำให้ตัวตนที่รับรู้ประสบการณ์
06:22
of Patient A worse off,
133
382260
2000
ของคนไข้ A รู้สึกแย่ลง
06:24
and you have the remembering self of Patient A
134
384260
3000
แต่ทำให้ตัวตนที่เก็บความทรงจำของเขา
06:27
a lot better off,
135
387260
2000
รู้สึกดีขึ้นมาก
06:29
because now you have endowed Patient A
136
389260
2000
เพราะคุณมอบเรื่องราวใหม่ให้ผู้ป่วย A
06:31
with a better story
137
391260
2000
เป็นเรื่องเล่าเวอร์ชั่นที่ดีกว่าเดิม
06:33
about his experience.
138
393260
3000
เกี่ยวกับประสบการณ์ของเขา
06:36
What defines a story?
139
396260
3000
แล้วอะไรเป็นตัวตัดสินว่าเรื่องเล่านั้นดีหรือร้าย?
06:39
And that is true of the stories
140
399260
2000
ทั้งในกรณีเรื่องเล่า
06:41
that memory delivers for us,
141
401260
2000
ที่ความทรงจำสร้างขึ้นมาให้เรา
06:43
and it's also true of the stories that we make up.
142
403260
3000
และเรื่องเล่าที่เราแต่งขึ้นมาเอง
06:46
What defines a story are changes,
143
406260
4000
สิ่งที่ตัดสินว่าเรื่องเล่านั้นเป็นเรื่องดีหรือร้าย ได้แก่ การเปลี่ยนแปลง
06:50
significant moments and endings.
144
410260
3000
เหตุการณ์หรือช่วงเวลาสำคัญ แล้วก็ตอนจบ
06:53
Endings are very, very important
145
413260
2000
ตอนจบนี่สำคัญมากๆ
06:55
and, in this case, the ending dominated.
146
415260
4000
สำหรับกรณีนี้ ตอนจบเป็นตัวชี้ขาดเลยครับ
06:59
Now, the experiencing self
147
419260
2000
ประเด็นต่อมา คือ ตัวตนที่รับรู้ประสบการณ์เนี่ย
07:01
lives its life continuously.
148
421260
3000
มีชีวิตอยู่อย่างต่อเนื่อง
07:04
It has moments of experience, one after the other.
149
424260
3000
มันมีเสี้ยวเวลาของประสบการณ์ ณ ขณะหนึ่งต่อด้วยขณะต่อไปเรื่อยๆ
07:07
And you can ask: What happens to these moments?
150
427260
3000
ถ้าคุณถามว่า แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับประสบการณ์ในเสี้ยวเวลาเหล่านั้น
07:10
And the answer is really straightforward:
151
430260
2000
คำตอบง่ายๆ ตรงไปตรงมาครับ
07:12
They are lost forever.
152
432260
2000
มันหายไปตลอดกาล
07:14
I mean, most of the moments of our life --
153
434260
2000
ผมหมายถึงช่วงเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตของเรานะครับ
07:16
and I calculated, you know, the psychological present
154
436260
3000
ผลเคยลองคำนวณนะ คือ ชั่วขณะปัจจุบันที่จิตเรารับรู้เนี่ย
07:19
is said to be about three seconds long;
155
439260
2000
มีความยาวเพียงสามวินาที
07:21
that means that, you know,
156
441260
2000
ซึ่งหมายความว่า
07:23
in a life there are about 600 million of them;
157
443260
2000
ในชีวิตคนเรามีเสี้ยวเวลาอย่างนี้ถึงประมาณ 600 ล้านชิ้น
07:25
in a month, there are about 600,000 --
158
445260
3000
ในหนึ่งเดือนก็มี 600,000 ชิ้น
07:28
most of them don't leave a trace.
159
448260
4000
ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่เหลือร่องรอยอะไรไว้
07:32
Most of them are completely ignored
160
452260
2000
เสี้ยวเวลาของประสบการณ์ส่วนใหญ่
07:34
by the remembering self.
161
454260
2000
ถูกตัวตนที่เก็บความทรงจำลืมไปโดยสิ้นเชิง
07:36
And yet, somehow you get the sense
162
456260
2000
แต่ยังไงคุณก็รู้สึกว่า
07:38
that they should count,
163
458260
2000
มันน่าจะสำคัญ
07:40
that what happens during these moments of experience
164
460260
3000
รู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเสี้ยวเวลาเหล่านี้
07:43
is our life.
165
463260
2000
คือชีวิตของเรา
07:45
It's the finite resource that we're spending
166
465260
2000
มันเป็นทรัพยากรอันจำกัดที่เราใช้จ่ายออกไป
07:47
while we're on this earth.
167
467260
2000
ระหว่างที่เรามีชีวิตอยู่บนโลก
07:49
And how to spend it
168
469260
2000
แล้วเราจะใช้มันอย่างไร
07:51
would seem to be relevant,
169
471260
2000
ก็ดูเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องใส่ใจ
07:53
but that is not the story
170
473260
2000
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องราว
07:55
that the remembering self keeps for us.
171
475260
2000
ที่ตัวตนที่เก็บความทรงจำเก็บไว้ให้เรา
07:57
So we have the remembering self
172
477260
2000
เอาล่ะ เรามีตัวตนที่เก็บความทรงจำ
07:59
and the experiencing self,
173
479260
2000
และตัวตนที่รับรู้ประสบการณ์
08:01
and they're really quite distinct.
174
481260
2000
แล้วสองอย่างนี้ก็แตกต่างกันมาก
08:03
The biggest difference between them
175
483260
2000
สิ่งที่ตัวตนสองมิตินี้ต่างกันมากที่สุด
08:05
is in the handling of time.
176
485260
3000
ก็คือการจัดการเวลา
08:08
From the point of view of the experiencing self,
177
488260
3000
ถ้ามองจากมุมของตัวตนที่รับรู้ประสบการณ์
08:11
if you have a vacation,
178
491260
2000
สมมติว่าคุณไปเที่ยว
08:13
and the second week is just as good as the first,
179
493260
3000
แล้วสัปดาห์ที่สองก็ดีพอๆ กับสัปดาห์แรก
08:16
then the two-week vacation
180
496260
3000
การไปเที่ยวสองสัปดาห์
08:19
is twice as good as the one-week vacation.
181
499260
3000
ก็ย่อมดีกว่าสัปดาห์เดียวถึงสองเท่า
08:22
That's not the way it works at all for the remembering self.
182
502260
3000
แต่สำหรับตัวตนที่เก็บความทรงจำ มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย
08:25
For the remembering self, a two-week vacation
183
505260
2000
สำหรับตัวตนที่เก็บความทรงจำ
08:27
is barely better than the one-week vacation
184
507260
3000
การท่องเที่ยวสองสัปดาห์แทบไม่ได้ดีไปกว่าหนึ่งสัปดาห์เลย
08:30
because there are no new memories added.
185
510260
2000
เพราะมันไม่ได้มีความทรงจำใหม่ๆ เพิ่มขึ้น
08:32
You have not changed the story.
186
512260
3000
เรื่องราวมันไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป
08:35
And in this way,
187
515260
2000
เพราะอย่างนี้
08:37
time is actually the critical variable
188
517260
3000
เวลาจึงเป็นตัวแปรหลัก
08:40
that distinguishes a remembering self
189
520260
3000
ที่ทำให้ตัวตนที่เก็บความทรงจำ
08:43
from an experiencing self;
190
523260
2000
แตกต่างจากตัวตนที่รับรู้ประสบการณ์
08:45
time has very little impact on the story.
191
525260
3000
เพราะเวลามีผลกับเรื่องเล่าน้อยมาก
08:49
Now, the remembering self does more
192
529260
3000
นอกจากนี้ ตัวตนที่เก็บความทรงจำยังทำหน้าที่
08:52
than remember and tell stories.
193
532260
2000
มากกว่าจดจำและเล่าเรื่อง
08:54
It is actually the one that makes decisions
194
534260
4000
ที่จริงมันคือตัวตนที่ตัดสินใจเรื่องต่างๆ
08:58
because, if you have a patient who has had, say,
195
538260
2000
เพราะถ้าคุณมีผู้ป่วยคนหนึ่ง
09:00
two colonoscopies with two different surgeons
196
540260
3000
ที่เคยส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่สองครั้งกับหมอสองคน
09:03
and is deciding which of them to choose,
197
543260
3000
แล้วต่อมาเขาต้องตัดสินใจว่าจะตรวจกับใคร
09:06
then the one that chooses
198
546260
3000
คนที่เขาจะเลือก
09:09
is the one that has the memory that is less bad,
199
549260
4000
ก็คือคนที่เขามีความทรงจำแย่ๆ น้อยกว่า
09:13
and that's the surgeon that will be chosen.
200
553260
2000
หมอคนนั้นก็จะถูกเลือก
09:15
The experiencing self
201
555260
2000
ตัวตนที่รับรู้ประสบการณ์
09:17
has no voice in this choice.
202
557260
3000
ไม่มีสิทธิมีเสียงในการตัดสินใจนี้เลย
09:20
We actually don't choose between experiences,
203
560260
3000
เราไม่ได้เลือกระหว่างประสบการณ์สองอย่าง
09:23
we choose between memories of experiences.
204
563260
3000
แต่เราเลือกระหว่างความทรงจำเกี่ยวกับประสบการณ์สองอย่าง
09:26
And even when we think about the future,
205
566260
3000
แม้แต่เวลาที่เราคิดถึงอนาคต
09:29
we don't think of our future normally as experiences.
206
569260
3000
เราก็ไม่ได้คิดถึงอนาคตของเราในรูปของประสบการณ์
09:32
We think of our future
207
572260
2000
เราคิดถึงอนาคตของเรา
09:34
as anticipated memories.
208
574260
3000
ในรูปของความทรงจำที่เราคาดว่าจะเกิดขึ้น
09:37
And basically you can look at this,
209
577260
2000
คุณอาจจะมองว่า นี่คือ
09:39
you know, as a tyranny of the remembering self,
210
579260
3000
ความเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจของตัวตนที่เก็บความทรงจำ
09:42
and you can think of the remembering self
211
582260
2000
และมองว่าตัวตนที่เก็บความทรงจำ
09:44
sort of dragging the experiencing self
212
584260
2000
คอยแต่จะลากตัวตนที่รับประสบการณ์
09:46
through experiences that
213
586260
2000
เข้าไปสัมผัส
09:48
the experiencing self doesn't need.
214
588260
2000
สิ่งที่ตัวตนที่รับประสบการณ์ไม่อยากสัมผัส
09:50
I have that sense that
215
590260
2000
ผมรู้สึกว่า
09:52
when we go on vacations
216
592260
2000
เวลาเราไปเที่ยว
09:54
this is very frequently the case;
217
594260
2000
มันเป็นอย่างนี้ประจำเลย จริงๆ นะ
09:56
that is, we go on vacations,
218
596260
2000
คือที่เราไปเที่ยวนี่
09:58
to a very large extent,
219
598260
2000
ส่วนใหญ่ก็เพื่อ
10:00
in the service of our remembering self.
220
600260
3000
เอาใจตัวตนที่เก็บความทรงจำ
10:03
And this is a bit hard to justify I think.
221
603260
3000
ซึ่งผมว่ามันดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่
10:06
I mean, how much do we consume our memories?
222
606260
3000
คือ เราใช้เวลาดื่มด่ำอยู่กับความทรงจำของเรามากแค่ไหนกัน
10:09
That is one of the explanations
223
609260
2000
เราถึงใช้มันเป็นข้ออ้าง
10:11
that is given for the dominance
224
611260
2000
ที่จะให้อำนาจชี้นำการตัดสินใจ
10:13
of the remembering self.
225
613260
2000
ตกเป็นของตัวตนที่เก็บความทรงจำ
10:15
And when I think about that, I think about a vacation
226
615260
2000
เวลาคิดถึงเรื่องนี้ผมนึกถึงตอนที่ผมไปเที่ยว
10:17
we had in Antarctica a few years ago,
227
617260
3000
ที่แอนตาร์คติกาเมื่อสองสามปีที่แล้ว
10:20
which was clearly the best vacation I've ever had,
228
620260
3000
ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวพักผ่อนที่ดีที่สุดที่ผมเคยไปมาเลย
10:23
and I think of it relatively often,
229
623260
2000
แล้วผมก็นึกถึงมันค่อนข้างบ่อยนะ
10:25
relative to how much I think of other vacations.
230
625260
2000
เมื่อเทียบกับการไปเที่ยวครั้งอื่นๆ
10:27
And I probably have consumed
231
627260
4000
ผมว่าผมใช้เวลาดื่มด่ำ
10:31
my memories of that three-week trip, I would say,
232
631260
2000
อยู่กับความทรงจำของการไปเที่ยวสามอาทิตย์ครั้งนั้น
10:33
for about 25 minutes in the last four years.
233
633260
3000
สัก 25 นาทีภายในสี่ปีที่ผ่านมา
10:36
Now, if I had ever opened the folder
234
636260
3000
ถ้าผมได้เปิดอัลบั้มรูป
10:39
with the 600 pictures in it,
235
639260
3000
ที่เต็มไปด้วยรูปถ่าย 600 รูป
10:42
I would have spent another hour.
236
642260
2000
ผมคงได้ใช้เวลากับมันเพิ่มอีกสักชั่วโมง
10:44
Now, that is three weeks,
237
644260
2000
เที่ยวสามอาทิตย์
10:46
and that is at most an hour and a half.
238
646260
2000
กับการคิดถึงมันอย่างมากชั่วโมงครึ่ง
10:48
There seems to be a discrepancy.
239
648260
2000
ดูแตกต่างกันมากเลยนะครับ
10:50
Now, I may be a bit extreme, you know,
240
650260
2000
คือผมก็อาจจะเป็นตัวอย่างที่สุดโต่งนะ
10:52
in how little appetite I have for consuming memories,
241
652260
3000
ที่ใช้เวลาดื่มด่ำกับความทรงจำน้อยมาก
10:55
but even if you do more of this,
242
655260
3000
แต่ถึงคุณใช้เวลากับความทรงจำมากกว่านี้
10:58
there is a genuine question:
243
658260
3000
เราก็ยังมีคำถามอยู่ดีว่า
11:01
Why do we put so much weight on memory
244
661260
4000
ทำไมเราถึงให้น้ำหนักกับความทรงจำ
11:05
relative to the weight that we put on experiences?
245
665260
3000
มากกว่าตัวประสบการณ์จริงมากนัก
11:08
So I want you to think
246
668260
2000
ฉะนั้นผมเลยอยากให้คุณลองคิดเล่นๆ
11:10
about a thought experiment.
247
670260
3000
มาทำการทดลองทางความคิดกันหน่อย
11:13
Imagine that for your next vacation,
248
673260
2000
ลองจินตนาการนะว่า
11:15
you know that at the end of the vacation
249
675260
3000
ถ้าคุณรู้ว่าหลังกลับจากไปเที่ยวคราวหน้าแล้ว
11:18
all your pictures will be destroyed,
250
678260
3000
รูปถ่ายทั้งหมดของคุณจะถูกทำลาย
11:21
and you'll get an amnesic drug
251
681260
2000
และคุณจะต้องกินยาลบความทรงจำ
11:23
so that you won't remember anything.
252
683260
2000
ที่ทำให้จำอะไรไม่ได้เลย
11:25
Now, would you choose the same vacation? (Laughter)
253
685260
4000
คุณจะยังไปเที่ยวที่เดิมไหม (เสียงหัวเราะ)
11:29
And if you would choose a different vacation,
254
689260
5000
ถ้าคุณเลือกไปเที่ยวที่อื่น
11:34
there is a conflict between your two selves,
255
694260
2000
ก็จะเกิดความขัดแย้งระหว่างตัวตนทั้งสองมิติของคุณ
11:36
and you need to think about how to adjudicate that conflict,
256
696260
3000
และคุณก็ต้องคิดว่าจะแก้ปัญหาความขัดแย้งนี้ยังไง
11:39
and it's actually not at all obvious, because
257
699260
3000
ซึ่งไม่ใช่ตัดสินใจได้ง่ายๆ นะครับ
11:42
if you think in terms of time,
258
702260
3000
เพราะว่า ถ้าคุณคิดในแง่ของเวลา
11:45
then you get one answer,
259
705260
3000
คุณก็จะได้คำตอบหนึ่ง
11:48
and if you think in terms of memories,
260
708260
3000
แต่ถ้าคิดในแง่ของความทรงจำ
11:51
you might get another answer.
261
711260
2000
คุณก็อาจจะได้คำตอบที่ต่างออกไป
11:53
Why do we pick the vacations we do
262
713260
3000
ทำไมเราถึงเลือกไปเที่ยวที่ใดที่หนึ่ง
11:56
is a problem that confronts us
263
716260
3000
เป็นคำถามที่เราต้องเจอ
11:59
with a choice between the two selves.
264
719260
2000
และต้องเลือกระหว่างตัวตนทั้งสองมิติของเรา
12:01
Now, the two selves
265
721260
3000
ตัวตนทั้งสองมิตินี้
12:04
bring up two notions of happiness.
266
724260
2000
มองความสุขในสองความหมายที่ต่างกัน
12:06
There are really two concepts of happiness
267
726260
2000
ความสุขก็เลยมีสองความหมาย
12:08
that we can apply, one per self.
268
728260
3000
ซึ่งใช้กับตัวตนคนละมิติ
12:11
So you can ask: How happy is the experiencing self?
269
731260
5000
คุณอาจจะตั้งคำถามว่า: ตัวตนที่รับรู้ประสบการณ์มีความสุขแค่ไหน?
12:16
And then you would ask: How happy are the moments
270
736260
2000
แล้วก็ถามว่า: แต่ละชั่วขณะในชีวิตของตัวตนที่รับประสบการณ์
12:18
in the experiencing self's life?
271
738260
3000
มีความสุขแค่ไหน?
12:21
And they're all -- happiness for moments
272
741260
2000
ความสุขในแต่ละชั่วขณะนั้น
12:23
is a fairly complicated process.
273
743260
2000
เป็นกระบวนการที่ซับซ้อน
12:25
What are the emotions that can be measured?
274
745260
3000
มีอารมณ์ความรู้สึกอะไรบ้างล่ะครับ ที่เราสามารถวัดได้?
12:28
And, by the way, now we are capable
275
748260
2000
แล้ว... อ้อ แต่ตอนนี้เราก็สามารถ
12:30
of getting a pretty good idea
276
750260
2000
วัดความสุขของตัวตนที่รับประสบการณ์
12:32
of the happiness of the experiencing self over time.
277
752260
4000
ที่เปลี่ยนแปลงข้ามช่วงเวลาได้ดีพอสมควรแล้วนะครับ
12:38
If you ask for the happiness of the remembering self,
278
758260
3000
ทีนี้ ถ้าคุณถามถึงความสุขของตัวตนที่เก็บความทรงจำ
12:41
it's a completely different thing.
279
761260
2000
มันจะต่างออกไปโดยสิ้นเชิงเลยนะ
12:43
This is not about how happily a person lives.
280
763260
3000
มันไม่ใช่คำถามว่าคนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแค่ไหน
12:46
It is about how satisfied or pleased the person is
281
766260
3000
แต่เกี่ยวกับว่าคนมีความพึงพอใจแค่ไหน
12:49
when that person thinks about her life.
282
769260
4000
เมื่อเขาคิดถึงชีวิตของตัวเอง
12:53
Very different notion.
283
773260
2000
ซึ่งต่างกันมากเลยนะครับ
12:55
Anyone who doesn't distinguish those notions
284
775260
3000
ใครก็ตามที่ไม่แยกแยะสองความหมายนี้ออกจากกัน
12:58
is going to mess up the study of happiness,
285
778260
2000
ก็จะทำให้การศึกษาวิจัยความสุขมันมั่วไปหมด
13:00
and I belong to a crowd of students of well-being,
286
780260
3000
ผมเองก็เป็นหนึ่งในนักศึกษาเรื่องสุขภาวะ (well-being)
13:03
who've been messing up the study of happiness for a long time
287
783260
4000
ที่ทำให้การศึกษาวิจัยเรื่องความสุขวุ่นวายสับสนมานาน
13:07
in precisely this way.
288
787260
2000
มั่วแบบนี้เลยแหละ
13:09
The distinction between the
289
789260
2000
ความแตกต่างระหว่าง
13:11
happiness of the experiencing self
290
791260
2000
ความสุขของตัวตนที่รับประสบการณ์
13:13
and the satisfaction of the remembering self
291
793260
3000
และความพึงพอใจของตัวตนที่เก็บความทรงจำ
13:16
has been recognized in recent years,
292
796260
2000
เพิ่งเป็นที่ตระหนักกันในหมู่นักวิจัยเมื่อไม่นานมานี้เอง
13:18
and there are now efforts to measure the two separately.
293
798260
3000
และตอนนี้ก็เริ่มมีความพยายามที่จะวัดความสุขสองมิตินี้แยกจากกันแล้ว
13:21
The Gallup Organization has a world poll
294
801260
3000
องค์กรแกลลอปได้ทำการสำรวจทั่วโลก
13:24
where more than half a million people
295
804260
2000
กับกลุ่มตัวอย่างมากกว่าครึ่งล้านคน
13:26
have been asked questions
296
806260
2000
ซึ่งตอบคำถามเกี่ยวกับว่า
13:28
about what they think of their life
297
808260
2000
เขาคิดยังไงกับชีวิต
13:30
and about their experiences,
298
810260
2000
และประสบการณ์ของตนเอง
13:32
and there have been other efforts along those lines.
299
812260
3000
และก็มีความพยายามในลักษณะเดียวกันนี้จากหน่วยงานอื่นๆ ด้วย
13:35
So in recent years, we have begun to learn
300
815260
3000
ดังนั้น เดี๋ยวนี้เราก็เลยเริ่มได้เรียนรู้
13:38
about the happiness of the two selves.
301
818260
3000
เกี่ยวกับความสุขของตัวตนสองมิตินี้
13:41
And the main lesson I think that we have learned
302
821260
3000
และผมคิดว่าบทเรียนสำคัญที่เราได้เรียนรู้
13:44
is they are really different.
303
824260
2000
ก็คือ มันแตกต่างกันจริงๆ
13:46
You can know how satisfied somebody is with their life,
304
826260
5000
คุณอาจจะรู้ดีเลยว่าใครคนหนึ่งพึงพอใจกับชีวิตเขาไหม
13:51
and that really doesn't teach you much
305
831260
2000
แต่มันจะไม่ได้บอกอะไรคุณมาก
13:53
about how happily they're living their life,
306
833260
3000
ว่าเขามีความสุขมากแค่ไหน ขณะที่เขาใช้ชีวิต
13:56
and vice versa.
307
836260
2000
ในทางกลับกันก็เหมือนกัน
13:58
Just to give you a sense of the correlation,
308
838260
2000
ถ้าพูดในแง่ค่าสหสัมพันธ์
14:00
the correlation is about .5.
309
840260
2000
ค่าสหสัมพันธ์ก็อยู่ที่ประมาณ .5
14:02
What that means is if you met somebody,
310
842260
3000
นั่นหมายความว่า ถ้าคุณพบใครคนหนึ่ง
14:05
and you were told, "Oh his father is six feet tall,"
311
845260
4000
แล้วคุณทราบมาว่า พ่อของเขาสูงหกฟุต
14:09
how much would you know about his height?
312
849260
2000
คุณจะทายความสูงของเขาได้แม่นยำแค่ไหน
14:11
Well, you would know something about his height,
313
851260
2000
คือ คุณก็จะพอเดาความสูงของเขาได้นะ
14:13
but there's a lot of uncertainty.
314
853260
2000
แต่มันมีความไม่แน่นอนอยู่เยอะมาก
14:15
You have that much uncertainty.
315
855260
2000
คุณก็ต้องเจอความไม่แน่นอนแบบเดียวกันนี้แหละ
14:17
If I tell you that somebody ranked their life eight on a scale of ten,
316
857260
4000
ถ้าผมบอกคุณว่า มีใครคนหนึ่งให้คะแนนความสุขในชีวิตตัวเองแปดจากสิบ
14:21
you have a lot of uncertainty
317
861260
2000
คุณก็ยังไม่สามารถแน่ใจได้
14:23
about how happy they are
318
863260
2000
ว่าเขามีความสุขแค่ไหน
14:25
with their experiencing self.
319
865260
2000
กับตัวตนที่รับประสบการณ์
14:27
So the correlation is low.
320
867260
2000
ค่าสหสัมพันธ์ก็เลยต่ำ
14:29
We know something about what controls
321
869260
3000
เราพอจะรู้อยู่บ้าง ว่าอะไรที่กำหนด
14:32
satisfaction of the happiness self.
322
872260
2000
ความพึงพอใจของตัวตนที่มีความสุข
14:34
We know that money is very important,
323
874260
2000
เรารู้ว่าเงินสำคัญมาก
14:36
goals are very important.
324
876260
2000
เป้าหมายในชีวิตก็สำคัญมาก
14:38
We know that happiness is mainly
325
878260
4000
เรารู้ว่าความสุขนั้น หลักๆ แล้ว
14:42
being satisfied with people that we like,
326
882260
3000
ก็คือการพึงพอใจกับผู้คนที่เราชอบ
14:45
spending time with people that we like.
327
885260
3000
ได้ใช้เวลากับคนที่เราชอบ
14:48
There are other pleasures, but this is dominant.
328
888260
2000
อาจจะมีความพึงพอใจอย่างอื่นอีก แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องหลัก
14:50
So if you want to maximize the happiness of the two selves,
329
890260
3000
ดังนั้น ถ้าคุณต้องการเพิ่มความสุขของตัวตนสองมิตินี้
14:53
you are going to end up
330
893260
2000
สุดท้ายคุณต้อง
14:55
doing very different things.
331
895260
2000
ทำสิ่งที่แตกต่างกันมาก
14:57
The bottom line of what I've said here
332
897260
2000
ข้อสรุปสุดท้ายของทั้งหมดที่ผมพูดมาก็คือ
14:59
is that we really should not think of happiness
333
899260
4000
เราไม่ควรคิดว่าความสุข
15:03
as a substitute for well-being.
334
903260
2000
คือสิ่งเดียวกับสุขภาวะ (well-being)
15:05
It is a completely different notion.
335
905260
3000
มันเป็นสองอย่างที่แตกต่างกันมากเลย
15:08
Now, very quickly,
336
908260
3000
ทีนี้ อย่างรวดเร็วนะครับ
15:11
another reason we cannot think straight about happiness
337
911260
4000
เหตุผลอีกอย่างที่ทำให้เราไม่สามารถเข้าใจความสุขได้อย่างชัดเจน
15:15
is that we do not attend to the same things
338
915260
7000
ก็เพราะเราไม่ได้มุ่งความสนใจไปที่สิ่งเดียวกัน
15:22
when we think about life, and we actually live.
339
922260
3000
ตอนที่เรามองชีวิต กับตอนที่เราใช้ชีวิตจริงๆ
15:25
So, if you ask the simple question of how happy people are in California,
340
925260
5000
ดังนั้น ถ้าคุณถามคำถามง่ายๆ ว่าคนในแคลิฟอร์เนียมีความสุขแค่ไหน
15:30
you are not going to get to the correct answer.
341
930260
3000
คุณจะไม่ได้คำตอบที่แท้จริงหรอก
15:33
When you ask that question,
342
933260
2000
ตอนที่ถามคำถามนั้น
15:35
you think people must be happier in California
343
935260
2000
คุณย่อมคิดว่าคนที่อยู่ในแคลิฟอร์เนียต้องมีความสุขมากกว่า
15:37
if, say, you live in Ohio.
344
937260
2000
ถ้าตัวคุณเองอยู่รัฐอื่น เช่น โอไฮโอ
15:39
(Laughter)
345
939260
2000
(เสียงหัวเราะ)
15:41
And what happens is
346
941260
3000
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ
15:44
when you think about living in California,
347
944260
4000
เวลาคุณคิดถึงการใช้ชีวิตในแคลิฟอร์เนีย
15:48
you are thinking of the contrast
348
948260
2000
คุณคิดถึงความแตกต่าง
15:50
between California and other places,
349
950260
3000
ระหว่างแคลิฟอร์เนียกับที่อื่น
15:53
and that contrast, say, is in climate.
350
953260
2000
เช่น ความแตกต่างเรื่องอากาศ
15:55
Well, it turns out that climate
351
955260
2000
แต่ปรากฏว่าสภาพอากาศ
15:57
is not very important to the experiencing self
352
957260
3000
ไม่ได้สำคัญกับตัวตนที่รับประสบการณ์มากนัก
16:00
and it's not even very important to the reflective self
353
960260
3000
แล้วที่จริงก็ไม่ค่อยสำคัญกับตัวตนที่ทำหน้าที่คิด
16:03
that decides how happy people are.
354
963260
3000
ซึ่งเป็นผู้ตัดสินว่าคนเรามีความสุขแค่ไหนด้วย
16:06
But now, because the reflective self is in charge,
355
966260
4000
แต่ทีนี้ เพราะว่าตัวตนที่ทำหน้าที่คิดกำลังเป็นใหญ่อยู่ในขณะนั้น
16:10
you may end up -- some people may end up
356
970260
2000
คุณหรือคนบางคนอาจจะลงเอย
16:12
moving to California.
357
972260
2000
ด้วยการย้ายมาอยู่แคลิฟอร์เนีย
16:14
And it's sort of interesting to trace what is going to happen
358
974260
3000
ก็น่าติดตามดูนะครับ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
16:17
to people who move to California in the hope of getting happier.
359
977260
3000
กับคนที่ย้ายมาอยู่แคลิฟอร์เนียเพราะหวังว่าจะมีความสุขมากขึ้น
16:20
Well, their experiencing self
360
980260
2000
คือ ตัวตนที่รับประสบการณ์น่ะ
16:22
is not going to get happier.
361
982260
2000
มันจะไม่ได้มีความสุขมากขึ้นหรอกครับ
16:24
We know that.
362
984260
2000
เรารู้อยู่แล้ว
16:27
But one thing will happen: They will think they are happier,
363
987260
3000
แต่สิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นคือ คนพวกนี้จะคิดว่าเขามีความสุขมากขึ้น
16:30
because, when they think about it,
364
990260
4000
เพราะเวลาเขาคิดถึงชีวิตในแคลิฟอร์เนีย
16:34
they'll be reminded of how horrible the weather was in Ohio,
365
994260
4000
เขาก็จะนึกเปรียบเทียบว่าเมื่อก่อนเคยอยู่โอไฮโออากาศมันแย่ขนาดไหน
16:38
and they will feel they made the right decision.
366
998260
3000
แล้วเขาก็จะรู้สึกว่าตัดสินใจถูกแล้วที่ย้ายมา
16:41
It is very difficult
367
1001260
2000
มันยากจริงๆ นะครับ
16:43
to think straight about well-being,
368
1003260
2000
ที่จะคิดเรื่องความอยู่ดีมีสุขโดยไม่สับสน
16:45
and I hope I have given you a sense
369
1005260
3000
และผมคิดว่าผมแสดงให้คุณเห็นแล้ว
16:48
of how difficult it is.
370
1008260
2000
ว่ามันยากยังไง
16:50
Thank you.
371
1010260
2000
ขอบคุณครับ
16:52
(Applause)
372
1012260
3000
(เสียงปรบมือ)
16:55
Chris Anderson: Thank you. I've got a question for you.
373
1015260
3000
คริส แอนเดอร์สัน: ขอบคุณครับ ผมมีคำถามหน่อยครับ
16:59
Thank you so much.
374
1019260
2000
ขอบคุณมากครับ
17:01
Now, when we were on the phone a few weeks ago,
375
1021260
4000
คือ ตอนที่เราคุยโทรศัพท์กันสองสามอาทิตย์ก่อน
17:05
you mentioned to me that there was quite an interesting result
376
1025260
3000
คุณเล่าให้ฟังว่ามีข้อมูลที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง
17:08
came out of that Gallup survey.
377
1028260
2000
จากการสำรวจของแกลลอปที่คุณพูดถึง
17:10
Is that something you can share
378
1030260
2000
ช่วยเล่าให้พวกเราฟังหน่อยได้ไหมครับ
17:12
since you do have a few moments left now?
379
1032260
2000
เพราะคุณยังมีเวลาเหลืออีกนิดหน่อย
17:14
Daniel Kahneman: Sure.
380
1034260
2000
แดเนียล คานีแมน: ได้ครับ
17:16
I think the most interesting result that we found in the Gallup survey
381
1036260
3000
ผมว่าผลที่น่าสนใจที่สุดที่เราเจอในการสำรวจของแกลลอป
17:19
is a number, which we absolutely did not expect to find.
382
1039260
3000
คือตัวเลขตัวหนึ่ง ซึ่งเราไม่คาดคิดเลยว่าจะพบ
17:22
We found that with respect to the happiness
383
1042260
2000
เราพบว่า เมื่อพูดถึงความสุข
17:24
of the experiencing self.
384
1044260
3000
ของตัวตนที่รับประสบการณ์
17:27
When we looked at how feelings,
385
1047260
5000
พอเราวิเคราะห์ว่าความรู้สึกเป็นสุข
17:32
vary with income.
386
1052260
2000
มันแปรผันไปกับรายได้หรือเปล่า
17:34
And it turns out that, below an income
387
1054260
3000
ปรากฏว่า คนที่มีรายได้ต่ำกว่า
17:37
of 60,000 dollars a year, for Americans --
388
1057260
3000
หกหมื่นดอลลาร์ต่อปี สำหรับคนอเมริกัน
17:40
and that's a very large sample of Americans, like 600,000,
389
1060260
3000
ซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างชาวอเมริกันขนาดใหญ่มาก ก็สักหกแสนคน
17:43
so it's a large representative sample --
390
1063260
2000
แต่ก็ถือว่าเป็นตัวแทนที่ดีของประชากร
17:45
below an income of 600,000 dollars a year...
391
1065260
2000
เราพบว่า คนที่มีรายได้ต่ำกว่าหกแสนดอลลาร์ต่อปี
17:47
CA: 60,000.
392
1067260
2000
คริส แอนเดอร์สัน: หกหมื่นครับ
17:49
DK: 60,000.
393
1069260
2000
แดเนียล คานีแมน: อ่า ใช่ หกหมื่น
17:51
(Laughter)
394
1071260
2000
(เสียงหัวเราะ)
17:53
60,000 dollars a year, people are unhappy,
395
1073260
4000
หกหมื่นดอลล่าร์ต่อปี คนพวกนี้ไม่มีความสุขครับ
17:57
and they get progressively unhappier the poorer they get.
396
1077260
3000
ยิ่งรายได้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่มีความสุขเท่านั้น
18:00
Above that, we get an absolutely flat line.
397
1080260
3000
แต่กับคนที่รายได้มากกว่านั้น เส้นความสัมพันธ์กับความสุขเป็นแนวราบเลย
18:03
I mean I've rarely seen lines so flat.
398
1083260
3000
ผมไม่เคยเห็นเส้นราบขนาดนี้มาก่อนเลยนะ
18:06
Clearly, what is happening is
399
1086260
2000
ผลมันบอกชัดเจนเลยว่า
18:08
money does not buy you experiential happiness,
400
1088260
3000
เงินไม่สามารถซื้อประสบการณ์ความสุขได้
18:11
but lack of money certainly buys you misery,
401
1091260
3000
แต่การไม่มีเงินทำให้เราทุกข์
18:14
and we can measure that misery
402
1094260
2000
แล้วเราก็สามารถวัดความทุกข์พวกนี้
18:16
very, very clearly.
403
1096260
2000
ได้ชัดเจนมากๆ เลย
18:18
In terms of the other self, the remembering self,
404
1098260
3000
แต่พอเราพูดถึงตัวตนที่เก็บความทรงจำ
18:21
you get a different story.
405
1101260
2000
ผลกลับกลายเป็นอีกเรื่องไปเลย
18:23
The more money you earn, the more satisfied you are.
406
1103260
3000
ยิ่งคุณมีเงินมากเท่าไหร่ คุณจะพึงพอใจมากขึ้นเท่านั้น
18:26
That does not hold for emotions.
407
1106260
2000
แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นในกรณีของอารมณ์ความรู้สึกในแต่ละขณะ
18:28
CA: But Danny, the whole American endeavor is about
408
1108260
3000
คริส: แต่แดนนี่ครับ ความมานะอุตสาหะของสังคมอเมริกันทั้งหมด
18:31
life, liberty, the pursuit of happiness.
409
1111260
3000
ล้วนเป็นไปเพื่อชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาความสุข
18:34
If people took seriously that finding,
410
1114260
4000
ถ้าผู้คนเชื่อผลวิจัยนี้จริงๆ
18:38
I mean, it seems to turn upside down
411
1118260
3000
คือ มันดูเหมือนจะล้มล้าง
18:41
everything we believe about, like for example,
412
1121260
2000
ทุกอย่างที่เราเชื่อกันมา ตัวอย่างเช่น
18:43
taxation policy and so forth.
413
1123260
2000
นโยบายภาษีและเรื่องอื่นๆ
18:45
Is there any chance that politicians, that the country generally,
414
1125260
3000
มันจะเป็นไปได้หรือครับ ที่นักการเมือง และประเทศสหรัฐอเมริกา
18:48
would take a finding like that seriously
415
1128260
3000
จะเชื่อในผลการวิจัยนี้
18:51
and run public policy based on it?
416
1131260
2000
และดำเนินนโยบายสาธารณะบนพี้นฐานของผลวิจัยนี้
18:53
DK: You know I think that there is recognition
417
1133260
2000
แดเนียล: ผมว่าตอนนี้คนตื่นตัวเรื่องนี้กันมากขึ้นนะ
18:55
of the role of happiness research in public policy.
418
1135260
3000
เรื่องบทบาทของงานวิจัยความสุขในนโยบายสาธารณะเนี่ย
18:58
The recognition is going to be slow in the United States,
419
1138260
2000
ความตื่นตัวเรื่องนี้ในอเมริกาก็คงจะช้าล่ะครับ
19:00
no question about that,
420
1140260
2000
ไม่ต้องสงสัย
19:02
but in the U.K., it is happening,
421
1142260
2000
แต่ในอังกฤษ มันเกิดขึ้นแล้ว
19:04
and in other countries it is happening.
422
1144260
2000
ในประเทศอื่นก็เกิดขึ้นแล้วเช่นกัน
19:06
People are recognizing that they ought
423
1146260
3000
ผู้คนกำลังตระหนักแล้วว่า
19:09
to be thinking of happiness
424
1149260
2000
เขาควรคิดถึงความสุขด้วย
19:11
when they think of public policy.
425
1151260
2000
เวลาคิดถึงนโยบายสาธารณะ
19:13
It's going to take a while,
426
1153260
2000
มันคงใช้เวลาสักพัก
19:15
and people are going to debate
427
1155260
3000
แล้วเราก็ต้องอภิปรายกันด้วย
19:18
whether they want to study experience happiness,
428
1158260
2000
ว่าเราอยากศึกษาประสบการณ์ความสุข
19:20
or whether they want to study life evaluation,
429
1160260
2000
หรือการประเมินความพึงพอใจในชีวิต
19:22
so we need to have that debate fairly soon.
430
1162260
3000
เราคงต้องมาถกเรื่องนี้กันในไม่ช้า
19:25
How to enhance happiness
431
1165260
2000
วิธีการเสริมสร้างความสุข
19:27
goes very different ways depending on how you think,
432
1167260
3000
ก็ทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับว่าคุณมองมันอย่างไร
19:30
and whether you think of the remembering self
433
1170260
2000
และคุณคิดถึงตัวตนที่เก็บความทรงจำ
19:32
or you think of the experiencing self.
434
1172260
2000
หรือตัวตนที่รับประสบการณ์
19:34
This is going to influence policy, I think, in years to come.
435
1174260
3000
ผมเชื่อว่าเรื่องนี้จะมีอิทธิพลต่อนโยบายของประเทศในอนาคต
19:37
In the United States, efforts are being made
436
1177260
3000
ในสหรัฐอเมริกาก็เริ่มมีความพยายาม
19:40
to measure the experience happiness of the population.
437
1180260
3000
ที่จะวัดประสบการณ์ความสุขของประชากรแล้ว
19:43
This is going to be, I think, within the next decade or two,
438
1183260
3000
ผมว่าอีกหนึ่งหรือสองทศวรรษข้างหน้า
19:46
part of national statistics.
439
1186260
2000
จะต้องมีการเก็บข้อมูลความสุขเป็นสถิติแห่งชาติ
19:48
CA: Well, it seems to me that this issue will -- or at least should be --
440
1188260
4000
คริส: ครับ ผมเชื่อว่าประเด็นเรื่องความสุขนี้จะเป็น หรืออย่างน้อยก็ควรจะเป็น
19:52
the most interesting policy discussion to track
441
1192260
2000
ประเด็นการอภิปรายทางนโยบายที่น่าสนใจที่สุด
19:54
over the next few years.
442
1194260
2000
ที่เราต้องติดตามในอีกสองสามปีข้างหน้า
19:56
Thank you so much for inventing behavioral economics.
443
1196260
2000
ขอบคุณมากครับ ที่สรรค์สร้างวิชาเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมขึ้นมา
19:58
Thank you, Danny Kahneman.
444
1198260
2000
ขอบคุณครับ แดนนี่ คานีแมน
เกี่ยวกับเว็บไซต์นี้

ไซต์นี้จะแนะนำคุณเกี่ยวกับวิดีโอ YouTube ที่เป็นประโยชน์สำหรับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ คุณจะได้เห็นบทเรียนภาษาอังกฤษที่สอนโดยอาจารย์ชั้นนำจากทั่วโลก ดับเบิลคลิกที่คำบรรยายภาษาอังกฤษที่แสดงในแต่ละหน้าของวิดีโอเพื่อเล่นวิดีโอจากที่นั่น คำบรรยายเลื่อนซิงค์กับการเล่นวิดีโอ หากคุณมีความคิดเห็นหรือคำขอใด ๆ โปรดติดต่อเราโดยใช้แบบฟอร์มการติดต่อนี้

https://forms.gle/WvT1wiN1qDtmnspy7