How to buy happiness | Michael Norton

Translator: Jenny Zurawell

Translator: Pattapon Kasemtanakul Reviewer: Vasant Jain

วันนี้ผมจะมาพูดถึงเงินๆ ทองๆ กับความสุข

So I want to talk today about money and happiness,

ซึ่งเป็นสองสิ่ง

which are two things a lot of us spend a lot of our time thinking about,

ที่เราเสียเวลาส่วนมากในการขวนขวาย

ให้ได้มา หรือไม่ก็พยายามทำให้มันเพิ่มขึ้น

either trying to earn them or trying to increase them.

And a lot of us resonate with this phrase,

และคงตรงกับชีวิตใครหลายๆ คน

เราอาจเคยอ่านเจอในหนังสือศาสนา หรือไม่ก็ในหนังสือพัฒนาตัวเอง

we see it in religions and self-help books:

ว่าเงินใช้ซื้อความสุขไม่ได้

money can't buy happiness.

และผมอยากจะบอกในวันนี้ว่า มันผิด

And I want to suggest today that, in fact, that's wrong.

(เสียงหัวเราะ)

(Laughter)

ผมเรียนมาทางด้านธุรกิจ และนั่นคือสิ่งที่พวกเราทำ

I'm at a business school, so that's what we do.

เพราะว่ามันผิด แต่หากคุณเห็นเป็นอย่างอื่น

So that's wrong,

and in fact, if you think that, you're just not spending it right.

นั่นแสดงว่าคุณยังใช้มันไม่ถูกต้อง

So instead of spending it the way you usually spend it,

ดังนั้นแทนที่จะใช้เงินแบบที่เคยใช้

บางทีคุณควรลองใช้มันในแบบอื่น

maybe if you spent it differently, that might work a little bit better.

ที่อาจให้ผลดีกว่าเดิม

แต่ก่อนที่ผมจะบอกวิธีใช้เงินแบบนั้น

Before I tell you the ways you can spend it that will make you happier,

เรามาลองคิดวิธีใช้เงินของเราในตอนนี้

let's think about the ways we usually spend it

ที่มันไม่ทำให้เรามีความสุขมากขึ้นกันก่อน

that don't, in fact, make us happier.

เราได้ทำการทดสอบเล็กๆ

We had a little natural experiment.

เมื่อไม่นานมานี้ CNN ได้เผยแพร่บทความที่น่าสนใจบทความหนึ่ง

So CNN, a little while ago, wrote this interesting article

เกี่ยวกับชีวิตคนถูกล๊อตเตอรี่

on what happens to people when they win the lottery.

It turns out people think when they win the lottery

ที่คนทั่วไปคิดว่ามันจะต้องเยี่ยมมาก

their lives will be amazing.

แต่ความจริงแล้วตรงกันข้าม

This article's about how their lives get ruined.

แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ถูกล๊อตเตอรี่ล่ะ

What happens when people win the lottery

ข้อแรก พวกเขาใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายและจบลงด้วยการเป็นหนี้

is, one, they spend all the money and go into debt;

ข้อสอง เพื่อนและทุกคนที่พวกเขาเคยพบเจอ

and two, all of their friends and everyone they've ever met

ต่างก็ตามหา เพื่อมาขอเงินกับพวกเขา

find them and bug them for money.

และนั่นมันทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาลงทั้งหมด

It ruins their social relationships, in fact.

พวกเขาจึงมีหนี้มากขึ้น และมีสังคมที่แย่ลง

So they have more debt and worse friendships

กว่าตอนถูกล๊อตเตอรี่

than they had before they won the lottery.

สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับบทความนี้

What was interesting about the article was,

คือความคิดเห็นของผู้อ่าน

people started commenting on the article, readers of the thing.

ซึ่งแทนที่จะเขียนว่า

And instead of talking about how it made them realize

มันทำให้พวกเขาตระหนักว่าเงินใช้ซื้อความสุขไม่ได้

that money doesn't lead to happiness,

พวกเขากลับเขียนว่า

everyone started saying, "You know what I'd do if I won the lottery ...?"

"ถ้าผมถูกล๊อตเตอรี่ ผมจะ ..."

และเริ่มจินตนาการถึงสิ่งที่พวกเขาจะทำ

and fantasizing about what they'd do.

และนี่คือตัวอย่างข้อคิดเห็น 2 ข้อที่พวกเราคิดว่าน่าสนใจมากๆ

Here's just two of the ones we saw that are interesting to think about.

ผู้อ่านคนหนึ่งเขียนว่า "ถ้าผมถูกรางวัล ผมจะไปซื้อภูเขาเล็กๆ มาไว้ในครอบครอง

One person wrote, "When I win, I'm going to buy my own little mountain

และสร้างบ้านเล็กๆ ซักหลังบนยอดเขา"

and have a little house on top."

(เสียงหัวเราะ)

(Laughter)

And another person wrote, "I would fill a big bathtub with money

อีกคนหนึ่งบอกว่า "ผมจะเอาเงินไปใส่ในอ่างน้ำอ่างใหญ่ๆ

and get in the tub while smoking a big fat cigar

แล้วลงไปแช่ พร้อมกับสูบซิการ์อันโต

และจิบแชมเปญไปด้วยในเวลาเดียวกัน"

and sipping a glass of champagne."

This is even worse: "... then I'd have a picture taken

ที่แย่กว่านั้น เขาบอกว่า "ผมจะถ่ายรูป

และเคลือบมันเก็บไว้

and dozens of glossies made.

Anyone begging for money or trying to extort from me

เผื่อมีใครมาขอเงินหรือพยายามรีดไถผม

ผมจะส่งภาพนี้ไปให้ดูเป็นขวัญตา"

would receive a copy of the picture and nothing else."

(เสียงหัวเราะ)

(Laughter)

And so many of the comments were exactly of this type,

และอีกหลายๆ ข้อคิดเห็น ที่คิดเหมือนๆ กัน

เมื่อคนเห็นเงิน

where people got money and, in fact, it made them antisocial.

มันทำให้เขาเป็นคนต่อต้านสังคม

So I told you it ruins people's lives and their friends bug them.

ไม่ใช่เพียงชีวิตคุณจะถูกทำลาย หรือถูกเพื่อนไล่ล่าเท่านั้น

Also, money often makes us feel very selfish

เงินยังทำให้คุณเห็นแก่ตัว

และทำสิ่งต่างๆ เพื่อตัวเองมากขึ้น

and we do things only for ourselves.

We thought maybe the reason money doesn't make us happy

บางทีเหตุผลที่เงินทำให้เรามีความสุขไม่ได้นั้น

อาจเป็นเพราะเราใช้เงินกันไม่ถูกต้อง

is that we're spending it on the wrong things;

โดยเฉพาะถ้าเราใช้มันกับตัวเอง

in particular, we're always spending it on ourselves.

พวกผมจึงคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น

And we wondered what would happen

if we made people spend more of their money on others.

หากเราใช้จ่ายมันเพื่อคนอื่น

แทนที่จะต่อต้านสังคมด้วยเงินของคุณ

So instead of being antisocial with your money,

what if you were more pro-social with it?

แล้วถ้าคุณใช้มันเพื่อสังคมมากขึ้นล่ะ

We thought, let's make people do it and see what happens.

งั้นพวกเรามาทดลองกัน และดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น

เราให้คนกลุ่มหนึ่งทำตามปกติ

Let's have some people do what they usually do,

และใช้เงินเพื่อตัวเอง

spend money on themselves,

กับให้บางคนนำเงินไปให้คนอื่น

and let's make some people give money away,

และมาตรวจดูระดับความสุข ว่าพวกเค้ามีความสุขมากขึ้นจริงหรือไม่

and measure their happiness and see if, in fact, they get happier.

ครั้งแรกที่เราทดลอง

The first way we did this was, one Vancouver morning,

ตอนเช้า ที่แวนคูเวอร์ (Vancouver) พวกเราเข้าไป

we went out on the campus at University of British Columbia,

ในเขตมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย (University of British Columbia)

approached people and said, "Do you want to be in an experiment?"

และถามว่า "คุณอยากมีส่วนร่วมในการทดลองมั้ย"

พวกเขาตอบ "ตกลง"

They said, "Yes."

พวกเราถามว่าพวกเขามีความสุขมากแค่ไหน จากนั้นจึงแจกซองให้

We asked them how happy they were, and then gave them an envelope.

ในซองพวกนั้นมีข้อความข้างในว่า

One of the envelopes had things in it that said,

"ภายใน 5 โมงเย็นของวันนี้ จงใช้เงินนี่กับตัวเอง"

"By 5pm today, spend this money on yourself."

และก็ยกตัวอย่างของสิ่งที่พวกเขาจะใช้เงินนี้ได้

We gave some examples of what you could spend it on.

แต่ซองอีกส่วนหนึ่งจะได้ข้อความว่า

Other people got a slip of paper that said,

"ภายใน 5 โมงเย็นของวันนี้ จงใช้เงินนี่เพื่อคนอื่น"

"By 5pm today, spend this money on somebody else."

และข้างในซองก็มีเงินใส่อีกเช่นกัน

Also inside the envelope was money.

เราควบคุมจำนวนเงินที่พวกเขาจะได้

And we manipulated how much money we gave them;

บางคนได้รับข้อความพร้อมเงิน 5 ดอลล่าร์สหรัฐฯ

some people got this slip of paper and five dollars,

บางคนก็ได้พร้อมกับเงิน 20 ดอลล่าร์

some got this slip of paper and 20 dollars.

และก็ปล่อยพวกเขาไปตามปกติ

We let them go about their day and do whatever they wanted.

เราพบว่าพวกเขาใช้เงินทำตามที่เราบอก

We found out they did spend it in the way we asked them to.

และเราเรียกพวกเขามาเพื่อสอบถาม

We called them up and asked them, "What did you spend it on?

"พวกคุณใช้เงินไปกับอะไร และคุณมีความสุขแค่ไหนตอนนี้"

How happy do you feel now?"

พวกเขาใช้เงินไปกับอะไรน่ะเหรอ?

What did they spend it on?

These are college undergrads;

เอาล่ะ พวกเขาเป็นนักศึกษาปริญญาตรี สิ่งที่พวกเขาใช้จ่ายเพื่อตัวเอง

a lot of what they spent it on for themselves

จึงเป็นพวกต่างหู หรือไม่ก็เครื่องสำอาง

were things like earrings and makeup.

มีผู้หญิงคนหนึ่งบอกว่า เธอซื้อสัตว์สตัฟฟ์ไปให้กับหลาน

One woman said she bought a stuffed animal for her niece.

บางคนก็ให้เงินกับคนเร่ร่อน

People gave money to homeless people.

และแต่ส่วนใหญ่ถูกใช้ไปที่สตาร์บัคส์ (Starbucks)

Huge effect here of Starbucks.

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

So if you give undergraduates five dollars,

ถ้าคุณให้เงินนักศึกษา 5 ดอลล่าร์ มันดูมีค่าเท่ากับกาแฟสำหรับพวกเขา

it looks like coffee to them,

and they run over to Starbucks and spend it as fast as they can.

พวกเขาจึงไปที่สตาร์บัคส์และใช้มันอย่างรวดเร็ว

บางคนซื้อให้ตัวเองตามปกติ

Some people bought coffee for themselves, the way they usually would,

แต่บางคนก็ซื้อให้คนอื่น

but others bought coffee for somebody else.

ดังนั้นการซื้อของอย่างเดียวกัน

So the very same purchase,

แต่มีเป้าหมายเพื่อตัวเอง

just targeted toward yourself or targeted toward somebody else.

หรือให้คนอื่น

What did we find when we called at the end of the day?

และเราพบอะไรตอนที่เรียกพวกเขากลับมาน่ะเหรอ?

คนที่ใช้เงินไปกับคนอื่นมีความสุขเพิ่มขึ้น

People who spent money on others got happier;

คนที่ใช้เงินกับตัวเองไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

people who spent it on themselves, nothing happened.

มันไม่ได้ทำให้พวกเขาสุขน้อยลง มันแค่ไม่ได้ช่วยมากเท่าไหร่

It didn't make them less happy, it just didn't do much for them.

อีกอย่างที่เราพบคือจำนวนเงินไม่ได้มีผลกระทบมากนัก

The other thing we saw is the amount of money doesn't matter much.

คนอาจจะคิดว่า 20 ดอลล่าร์นั้นดีกว่า 5 ดอลล่าร์เยอะ

People thought 20 dollars would be way better than five.

แต่ความจริงแล้ว มันไม่เกี่ยวว่าคุณใช้ไปเท่าไหร่

In fact, it doesn't matter how much money you spent.

ที่สำคัญคือคุณต้องใช้เพื่อคนอื่น

What really matters is that you spent it on somebody else

ไม่ใช่เพื่อตัวเอง

rather than on yourself.

เราได้เห็นมันซ้ำแล้วซ้ำอีก

We see this again and again

when we give people money to spend on others instead of on themselves.

เวลาเราให้เงินกับคนอื่น ไม่ใช่ตัวเราเอง

Of course, these are undergraduates in Canada --

และแน่นอน นี่เป็นนักศึกษาที่แคนาดา

ซึ่งไม่ใช่ตัวแทนประชากรโลกทั้งหมด

not the world's most representative population.

พวกเขาเองต่างก็มีฐานะดีพอใช้ถึงดีเลยซะด้วยซ้ำ

They're also fairly wealthy and affluent and other sorts of things.

เราต้องการทราบว่ามันเป็นจริงกับทุกที่ในโลกหรือเปล่า

We wanted to see if this holds true everywhere in the world

หรือพบแค่ในประเทศร่ำรวยเท่านั้น

or just among wealthy countries.

So we went to Uganda and ran a very similar experiment.

ดังนั้น พวกเราจึงไปที่อูกานดา (Uganda) และทำการทดลองคล้ายๆ กัน

เราลองจินตนาการกัน แทนที่จะเป็นคนจากแคนาดา

Imagine, instead of just people in Canada, we say,

เราพูดว่า "นึกถึงครั้งสุดท้ายที่คุณใช้เงินเพื่อตัวเอง หรือคนอื่น

"Name the last time you spent money on yourself or others.

ลองอธิบาย และคุณมีความสุขมากแค่ไหน"

Describe it. How happy did it make you?"

หรือที่อูกานดา เราพูดว่า "นึกถึงครั้งสุดท้ายที่คุณใช้เงิน

Or in Uganda, "Name the last time you spent money on yourself or others

เพื่อตัวเอง หรือคนอื่น และลองพูดถึงมัน"

and describe that."

จากนั้นถามพวกเขาว่ามีความสุขแค่ไหนอีกครั้ง

Then we asked them how happy they are, again.

สิ่งที่เราพบมันน่าทึ่งมาก

And what we see is sort of amazing,

เพราะมีวิธีใช้เงินได้เป็นร้อยเป็นพันวิธี

because there's human universals on what you do with your money,

และไหนจะมีเรื่องความแตกต่างทางวัฒนธรรมเข้ามาอีก

and real cultural differences on what you do as well.

ยกตัวอย่างเช่น

So for example, one guy from Uganda says this:

ผู้ชายคนหนึ่งจากอูกานดาพูดว่า

"ผมจะโทรหาผู้หญิงที่ผมชอบ"

"I called a girl I wished to love."

แล้วพวกเขาก็ไปเที่ยวด้วยกัน

They basically went out on a date,

and he says at the end that he didn't "achieve" her up till now.

ตอนสุดท้ายเขาบอกว่า เขาไม่เคยกล้าเข้าหาเธอมาก่อนเลย

ผู้ชายอีกคนมาจากแคนาดา

(Laughter)

Here's a guy from Canada.

ได้ผลเหมือนกัน

Very similar thing.

"ผมพาแฟนไปทานข้าวเย็น

"I took my girlfriend out for dinner.

เราไปดูหนัง และกลับไปที่บ้านของเธอ

We went to a movie, we left early,

and then went back to her room for ... cake," just cake.

เพื่อ ... กินเค้ก

(Laughter)

จากเป็นร้อยเป็นพันวิธี ของการใช้เงินเพื่อคนอื่น

Human universal:

คุณทำดีกับพวกเค้า

you spend money on others, you're being nice.

บางทีเราอาจแอบหวังอย่างอื่นในใจ บางทีอาจจะไม่

Maybe you have something in mind, maybe not.

แต่เราได้เห็นความแตกต่างอย่างมาก

But then we see extraordinary differences.

ลองดูอย่าง 2 คนนี้

So look at these two.

This is a woman from Canada.

ผู้หญิงคนนี้มาจากแคนาดา

We say, "Name a time you spent money on somebody else."

เราถามเธอว่า "ช่วยยกตัวอย่างการใช้เงินเพื่อคนอื่นของคุณหน่อย"

She says, "I bought a present for my mom.

เธอตอบว่า "ฉันซื้อของขวัญให้แม่

I drove to the mall, bought a present, gave it to my mom."

ฉันขับรถไปที่ห้าง ซื้อของขวัญ และมอบมันให้กับเธอ"

เป็นสิ่งที่ดีทีเดียว

Perfectly nice thing to do.

It's good to get gifts for people you know.

มันดีที่เราซื้อของให้กับคนรู้จัก

เทียบกับผู้หญิงคนนี้จากอูกานดา

Compare that to this woman from Uganda:

"ฉันบังเอิญเดินไปเจอกับเพื่อนเก่า

"I was walking and met a longtime friend whose son was sick with malaria.

ที่ลูกป่วยด้วยโรคมาลาเรีย

พวกเขาไม่มีเงิน ฉันให้เงินพวกเขาไปเพื่อไปรักษาที่คลีนิค"

They had no money, they went to a clinic and I gave her this money."

นี่ไม่ใช่เงิน 10,000 ดอลล่าร์ มันเป็นสกุลเงินท้องถิ่น

This isn't $10,000, it's the local currency.

So it's a very small amount of money, in fact.

และความจริงมันเป็นจำนวนที่น้อยทีเดียว

But enormously different motivations here.

เราเห็นได้ว่ามีแรงจูงใจที่แตกต่างที่นี่

นี่คือความจำเป็นทางการแพทย์

This is a real medical need, literally a lifesaving donation.

เป็นการให้เงินเพื่อช่วยชีวิตจริงๆ

Above, it's just kind of, I bought a gift for my mother.

ก่อนหน้านี้ มันแค่ฉันซื้อของขวัญให้กับแม่

แสดงให้เราเห็นอีกครั้ง

What we see again, though,

ว่าวิธีที่เราใช้เงินกับคนอื่น

is that the specific way you spend on other people isn't nearly as important

ไม่สำคัญเท่ากับ

as the fact that you spend on other people in order to make yourself happy,

วิธีใช้เงินเพื่อคนอื่น

เพื่อให้ตัวเราเองมีความสุข

which is really quite important.

และนี่มันสำคัญมาก

So you don't have to do amazing things with your money

คุณไม่ต้องใช้เงินมากมายเพื่อทำให้ตัวเองมีความสุข

to make yourself happy.

คุณสามารถทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ และยังมีความสุขได้

You can do small, trivial things and still get the benefits from doing this.

นี่แค่ 2 ประเทศ

These are only two countries.

พวกเราต้องการศึกษาให้ทั่วทั้งโลก

We wanted to look at every country in the world if we could,

เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างเงินตรากับความสุข

to see what the relationship is between money and happiness.

We got data from the Gallup Organization,

เราได้ข้อมูลมาจากองค์กรกัลลอป (Gallup Organization)

which you know from all the political polls happening lately.

จากการสำรวจความคิดเห็นทางการเมืองครั้งหลังๆ

They asked people, "Did you donate money to charity recently?"

พวกเขาถาม "คุณได้บริจาคเงินให้การกุศลบ้างหรือเปล่าระยะนี้"

จากนั้นก็ถามว่า "คุณมีความสุขกับชีวิตมากแค่ไหน"

and, "How happy are you with life in general?"

และมันทำให้เราเห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่าง 2 สิ่งนี้

We can see what the relationship is between those two things.

แล้วมันแปรผันตามกันหรือเปล่า เช่น การบริจาคเงินทำให้คุณมีความสุข

Are they positively correlated, giving money makes you happy?

หรือว่าแปรผกผันกัน

Or are they negatively correlated?

ในแผนภาพนี้ สีเขียวหมายถึงมันแปรผันตามกัน

On this map, green will mean they're positively correlated,

สีแดงคือการแปรผกผัน

red means they're negatively correlated.

และอย่างที่คุณเห็น โลกเต็มไปด้วยสีเขียว

And you can see, the world is crazily green.

ดังนั้นในทั่วทุกมุมโลก

So in almost every country in the world where we have this data,

ที่เราเก็บข้อมูลนี้มา

people who give money to charity are happier people

คนที่บริจาคเงินให้กับการกุศล มีความสุขมากกว่า

คนที่ไม่บริจาค

than people who don't give money to charity.

ผมรู้ว่าคุณกำลังมองพื้นที่สีแดงตรงกลาง

I know you're looking at the red country in the middle.

I would be a jerk and not tell you what it is,

และผมคงแย่มากถ้าไม่บอกว่ามันคืออะไร

มันคือสาธารณรัฐแอฟริกากลาง (Central African Republic)

but it's Central African Republic.

You can make up stories.

คุณอาจคิดไปต่างๆ นานา ว่ามีความแตกต่างอย่างนั้น อย่างนี้

Maybe it's different there for some reason.

แต่แม้ทางขวาล่างที่เป็นประเทศรวันดา

Just below that to the right is Rwanda, though,

ก็ยังเขียวอยู่

which is amazingly green.

ไม่ว่าเรามองไปที่ไหน

So almost everywhere we look,

we see that giving money away makes you happier

เราเห็นว่าการให้เงินทำให้มีความสุขขึ้น

มากกว่าเก็บมันไว้กับตัวเอง

than keeping it for yourself.

What about work, which is where we spend the rest of our time,

แล้วมันจะได้ผลอย่างเดียวกันกับชีวิตทำงานหรือเปล่าล่ะ

when we're not with the people we know.

เวลาเราอยู่กับคนที่เราไม่รู้จัก

We decided to infiltrate some companies and do a very similar thing.

เราตัดสินใจเข้าไปทำการสำรวจอย่างเดียวกันในบริษัท

และนี่คือทีมงานขายจากเบลเยี่ยม (Belgium)

These are sales teams in Belgium.

They work in teams, go out and sell to doctors

พวกเขาทำงานกันเป็นทีม และออกไปขายสินค้าให้กับแพทย์

พยายามทำให้พวกเค้าซื้อยาของบริษัท

and try to get them to buy drugs.

เราจึงเห็นว่าพวกเขาขายได้เก่งแค่ไหน

We can look and see how well they sell things

as a function of being a member of a team.

ในการทำหน้าที่ของตัวเองในทีม

บางทีม เราให้เงินเพื่อใช้จ่ายกับตัวเอง

We give people on some teams some money

และบอกว่า "ใช้จ่ายมันยังไงก็ได้กับตัวเอง"

"Spend it however you want on yourself,"

เหมือนกับที่เราทำกับกลุ่มนักศึกษาที่แคนาดา

just like we did with the undergrads in Canada.

แต่กับอีกทีมเราบอกว่า "นี่เงิน 15 ยูโร

To other teams we say, "Here's 15 euro. Spend it on one of your teammates.

ใช้มันกับเพื่อนร่วมงานของคุณภายในอาทิตย์นี้

ซื้อของขวัญหรือของฝากและมอบมันให้กับพวกเขา

Buy them something as a gift and give it to them.

เอาล่ะเรามีทีมที่ใช้เงินเพื่อตัวเอง

Then we can see, we've got teams that spend on themselves

และก็มีทีมที่ทำเพื่อเพื่อนร่วมงาน

and these pro-social teams who we give money to make the team better.

ที่เราให้เงินไปเพื่อทำให้ทีมนั้นดีขึ้น

The reason I have a ridiculous pinata there

เหตุผลที่ผมมีพิญญาต้า (Pinata) อยู่ตรงนั้น

is one team pooled their money and bought a pinata,

ก็เพราะมีทีมหนึ่งที่รวมเงินกันซื้อพิญญาต้า

พวกเค้าผลัดกันตีมันให้แตก ให้ขนมหล่นออกมา

they smashed the pinata, the candy fell out and things like that.

เป็นกิจกรรมโง่ๆ ให้ขำๆ ร่วมกัน

A silly, trivial thing to do,

but think of the difference on a team that didn't do that at all,

แต่คิดถึงความแตกต่างของทีมที่ไม่ได้ทำอะไรเลย

ที่ได้เงิน 15 ยูโรไปเข้ากระเป๋าตัวเอง

that got 15 euro, put it in their pocket, maybe bought themselves a coffee,

บางคนอาจซื้อกาแฟให้ตัวเอง

or teams that had this pro-social experience

เทียบกับทีมที่ใช้เงินเพื่อคนอื่น

where they bonded together to buy something and do a group activity.

ได้ทำอะไรร่วมกันเป็นหมู่คณะ

สิ่งที่เราพบคือ ทีมที่ใช้เงินกับคนอื่นขายของได้มากกว่า

What we see is that the teams that are pro-social sell more stuff

ทีมที่ใช้เงินกับตัวเอง

than the teams that only got money for themselves.

มีข้อสรุปได้อย่างเดียว

One way to think of it is: for every 15 euro you give people for themselves,

ว่าทุกๆ 15 ยูโรที่ถูกใช้ไปกับตัวเอง

พวกเขาไม่ได้ทำอะไรแตกต่างไปจากเดิม

they put it in their pocket and don't do anything different than before.

และนั่นไม่ทำให้คุณได้เงินเพิ่มอย่างแน่นอน

You don't get money from that;

คุณทำได้แย่ลงซะด้วยซ้ำ เพราะนั่นไม่จูงใจให้คุณพยายามทำให้ดียิ่งขึ้น

you lose money, since it doesn't motivate them to perform better.

แต่ทุกๆ 15 ยูโรที่คุณใช้เพื่อเพื่อนร่วมทีม

But when you give them 15 euro to spend on their teammates,

พวกเขาทำได้ดีมากขึ้น

they do so much better on their teams

จนเหมือนกับพวกเขาถูกรางวัลจากการใช้เงินแบบนี้

that you actually get a huge win on investing this kind of money.

และผมคิดว่าคุณกำลังคิดในหัวของคุณ

You're probably thinking to yourselves, this is all fine,

เอาล่ะนี่มันดีมาก

but there's a context that's incredibly important for public policy,

แต่มันอาจไม่เหมาะกับคนทั่วไป

หรือไม่ก็ ฉันนึกไม่ออกว่ามันจะได้ผลได้ยังไง

and I can't imagine it would work there.

และถ้าเขาไม่ทำให้ฉันเห็นกับตา

And if he doesn't show me that it works here,

ฉันก็จะไม่เชื่อสิ่งที่เขาพูดหรอก

I don't believe anything he said.

และผมรู้ว่าคุณกำลังคิดถึงทีมดอดจ์บอล

I know what you're all thinking about are dodgeball teams.

(เสียงหัวเราะ)

(Laughter)

This was a huge criticism that we got,

นี่คือข้อโต้แย้งที่เราได้มา

that if you can't show it with dodgeball teams, this is all stupid.

บอกว่าถ้าเราไม่สามารถทำให้มันได้ผลกับทีมดอดจ์บอลได้ นี่มันก็ไม่เป็นความจริง

เราเลยออกไปหาทีมดอดจ์บอล

So we went and found these dodgeball teams and infiltrated them,

และทำการสำรวจ

แบบเดียวกับที่เราได้ทำก่อนหน้านี้

and did the exact same thing as before.

บางทีมเราให้เงินไปเพื่อใช้กับตัวเอง

So we give people on some teams money to spend on themselves.

อีกทีมเราให้เงินไป

Other teams, we give them money to spend on their dodgeball teammates.

เพื่อใช้กับเพื่อนร่วมทีม

The teams that spend money on themselves

ทีมที่ใช้เงินกับตัวเอง

have the same winning percentages as before.

มีอัตราการชนะเท่าเดิม ก่อนทำการสำรวจ

แต่ทีมที่ใช้เงินเพื่อคนอื่น

The teams we give the money to spend on each other

พวกเค้าเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

become different teams;

they dominate the league by the time they're done.

ความจริงแล้วพวกเขาครองการแข่งขันไปเลยด้วยซ้ำ

เพราะฉะนั้นในทุกๆ บทบาท

Across all of these different contexts --

ชีวิตส่วนตัว ชีวิตการงาน

your personal life, you work life, even things like intramural sports --

แม้แต่เรื่องกีฬา

we see spending on other people has a bigger return for you

เราเห็นว่าการใช้เงินเพื่อคนอื่นมีผลตอบแทนที่มากกว่า

การใช้เงินกับตัวคุณเอง

than spending on yourself.

So if you think money can't buy happiness, you're not spending it right.

และผมต้องบอกว่า ถ้าคุณคิดว่าเงินไม่สามารถซื้อความสุขได้แล้วล่ะก็

คุณไม่ได้ใช้เงินอย่างถูกต้อง

The implication isn't you should buy this product instead of that product,

ไม่ได้หมายความว่าคุณซื้อของผิด

เพราะนั่นคือการทำให้ตัวคุณมีความสุข

and that's the way to make yourself happier.

ที่จริงคุณควรเลิกคิด

It's that you should stop thinking about which product to buy for yourself,

ว่าจะซื้ออะไรให้กับตัวเอง

และลองใช้มันกับคนอื่นดูบ้าง

and try giving some of it to other people instead.

And we luckily have an opportunity for you.

บังเอิญเรามีโอกาสให้กับพวกคุณ

DonorsChoose.org is a nonprofit for mainly public school teachers

DonorsChoose.org เป็นองค์กรที่ไม่หากำไร

สำหรับโรงเรียนรัฐที่มีรายได้ต่ำ

in low-income schools.

They post projects like,

พวกเขาจะแปะโครงการต่างๆ ไว้

"I want to teach Huckleberry Finn and we don't have the books,"

เช่น บอกว่า "ฉันต้องการสอน ฮัคเคิ่ลเบอร์รี่ ฟิน ในห้อง แต่เราไม่มีหนังสือ"

หรือ "ฉันต้องการกล้องจุลทัศน์เพื่อสอนวิทยาศาสตร์

or, "I want a microscope to teach my students science

แต่เรายังไม่มีมันเลย"

and we don't have a microscope."

พวกเราสามารถซื้อมันให้กับพวกเขาได้

You and I can go on and buy it for them.

คุณครูกับพวกเด็กๆ จะเขียนจดหมายขอบคุณกลับมา

The teacher and the kids write you thank-you notes,

sometimes they send pictures of them using the microscope.

บางครั้งก็ส่งภาพพวกเขากำลังใช้กล้องจุลทัศน์มาให้

มันเป็นสิ่งที่เยี่ยมยอดมา

It's an extraordinary thing.

ลองเข้าไปที่เว็บไซต์และเริ่มขั้นตอนทั้งหมดด้วยตัวเองได้เลย

Go to the website and start yourself on the process of thinking

เพื่อคิดว่า "ฉันจะใช้เงินนี่กับตัวเองยังไงดีน้า" ให้น้อยลง

less about "How can I spend money on myself?"

และคิดว่า "ถ้าฉันมีเงิน 5 หรือ 15 ดอลล่าร์

and more about "If I've got five dollars or 15 dollars,

ฉันจะใช้มันกับคนอื่นยังไงดีนะ" ให้มากขึ้น

what can I do to benefit other people?"

เพราะหากคุณทำอย่างนั้น คุณจะได้รับสิ่งตอบแทนที่ยิ่งใหญ่มากกว่ากับตัวคุณเองมากมายนัก

Ultimately, when you do that, you'll find you benefit yourself much more.

ขอบคุณครับ

Thank you.

(เสียงปรบมือ)

(Applause)