Annie Murphy Paul: What we learn before we're born

Translator: Bongkot Charoensak Reviewer: Unnawut Leepaisalsuwanna

My subject today is learning.

หัวข้อที่ฉันจะพูดในวันนีี้คือเรื่องการเรียนรู้

And in that spirit, I want to spring on you all a pop quiz.

และว่าด้วยเรื่องนั้น ฉันมีคำถามที่อยากถามทุกคน

Ready?

พร้อมกันรึยังคะ

When does learning begin?

คุณคิดว่าการเรียนรู้เริ่มขึ้นเมื่อไร

Now as you ponder that question,

ตอนนี้คุณคงครุ่นคิดถึงคำตอบกันอยู่

maybe you're thinking about the first day of preschool

บางที คุณอาจนึกถึงวันแรกในโรงเรียนก่อนวัยเรียน

or kindergarten,

หรือโรงเรียนอนุบาล

the first time that kids are in a classroom with a teacher.

หรือการที่เด็กๆเจอกับคุณครูครั้งแรกในห้องเรียน

Or maybe you've called to mind the toddler phase

บางที คุณอาจนึกไปถึงช่วงที่เด็กกำลังหัดเดิน

when children are learning how to walk and talk

ช่วงที่เด็กๆเรียนรู้วิธีการเดินและการพูดคุย

and use a fork.

รวมถึงวิธีใช้ส้อม

Maybe you've encountered the Zero-to-Three movement,

หรือ คุณอาจเคยเห็นพัฒนาการของเด็กช่วง 3 ขวบปีแรก

which asserts that the most important years for learning

ซึ่งช่วยยืนยันว่าช่วงปีที่สำคัญต่อการเรียนรู้นั้น

are the earliest ones.

คือช่วงขวบปีแรกๆ

And so your answer to my question would be:

ดังนั้น คำตอบที่คุณมีในใจก็คือ

Learning begins at birth.

การเรียนรู้เริ่มต้นตั้งแต่เกิด

Well today I want to present to you

วันนี้ สิ่งที่ฉันจะนำเสนอ

an idea that may be surprising

เป็นแนวคิดที่อาจฟังดูน่าประหลาดใจ

and may even seem implausible,

หรืออาจถึงขั้นเหลือเชื่อเลยทีเดียว

but which is supported by the latest evidence

แต่แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนด้วยหลักฐานชิ้นล่าสุด

from psychology and biology.

ทางจิตวิทยาและชีววิทยา

And that is that some of the most important learning we ever do

และมันชี้ให้เห็นว่าการเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดนั้น

happens before we're born,

เริ่มขึ้นตั้งแต่ก่อนเราเกิดเสียอีก

while we're still in the womb.

คือตั้งแต่เรายังอยู่ในครรภ์มารดา

Now I'm a science reporter.

ปัจจุบัน ฉันเป็นนักข่าวด้านวิทยาศาสตร์

I write books and magazine articles.

ฉันเขียนหนังสือและบทความลงนิตยสาร

And I'm also a mother.

และฉันยังเป็นแม่ด้วย

And those two roles came together for me

หน้าที่ทั้งสองอย่างของฉันมาบรรจบกัน

in a book that I wrote called "Origins."

ในหนังสือที่ฉันเขียน ชื่อว่า "ออริจินส์" (จุดกำเนิด)

"Origins" is a report from the front lines

"ออริจินส์" เป็นรายงานระดับแนวหน้า

of an exciting new field

ของแวดวงเกิดใหม่ซึ่งน่าตื่นตาตื่นใจมาก

called fetal origins.

ที่เรียกกันว่า จุดเริ่มต้นของชีวิต

Fetal origins is a scientific discipline

จุดเริ่มต้นของชีวิตนี้เป็นสาขาทางวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่ง

that emerged just about two decades ago,

ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 ทศวรรษที่ผ่านมานี้เอง

and it's based on the theory

และมีรากฐานอยู่บนทฤษฎี

that our health and well-being throughout our lives

ที่ว่าสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีตลอดทั้งชีวิตของเรานั้น

is crucially affected

ได้รับผลกระทบอย่างมาก

by the nine months we spend in the womb.

มาจากช่วงเวลา 9 เดือนที่เราอยู่ในครรภ์มารดา

Now this theory was of more than just intellectual interest to me.

ตอนนี้ สำหรับฉันแล้ว ทฤษฎีนี้เป็นมากกว่าแค่ความสนใจทางวิชาการ

I was myself pregnant

ฉันเองก็ตั้งครรภ์

while I was doing the research for the book.

ขณะที่กำลังทำวิจัยเพื่อเขียนหนังสือ

And one of the most fascinating insights

และสิ่งน่าทึ่งที่สุดอย่างหนึ่งที่ฉันได้เรียนรู้

I took from this work

จากงานชิ้นนี้

is that we're all learning about the world

คือแนวคิดที่ว่า เราทุกคนล้วนเรียนรู้เกี่ยวกับโลก

even before we enter it.

ตั้งแต่ก่อนที่เราจะเกิดขึ้นมาในโลกนี้เสียอีก

When we hold our babies for the first time,

ขณะที่เราอุ้มทารกน้อยๆเป็นครั้งแรก

we might imagine that they're clean slates,

เราอาจคิดไปว่าพวกเขาช่างบริสุทธิ์

unmarked by life,

ยังไม่มีร่องรอยที่เขียนขึ้นจากชีวิต

when in fact, they've already been shaped by us

แต่ที่จริงแล้ว ตัวตนพวกเขาถูกหล่อหลอมจากเรา

and by the particular world we live in.

และจากโลกที่เราอาศัยอยู่นี้

Today I want to share with you some of the amazing things

วันนี้ ฉันอยากแบ่งปันเรื่องราวน่าทึ่ง

that scientists are discovering

ที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ

about what fetuses learn

เกี่ยวกับการเรียนรู้ของทารกในครรภ์

while they're still in their mothers' bellies.

ขณะที่ยังอยู่ในท้องแม่

First of all,

แรกเริ่มเลย

they learn the sound of their mothers' voices.

พวกเขาเรียนรู้ที่จะจดจำเสียงของแม่ตนเอง

Because sounds from the outside world

เนื่องจากเสียงที่มาจากโลกภายนอกนั้น

have to travel through the mother's abdominal tissue

ต้องเดินทางผ่านเนื้อเยื่อบริเวณท้องของมารดา

and through the amniotic fluid that surrounds the fetus,

และผ่านน้ำคร่ำที่ล้อมรอบตัวทารกอยู่

the voices fetuses hear,

เสียงต่างๆที่ทารกในครรภ์ได้ยิน

starting around the fourth month of gestation,

เริ่มตั้งแต่ช่วงเดือนที่ 4 ของการตั้งครรภ์

are muted and muffled.

นั้นเป็นเสียงเงียบและได้ยินไม่ชัด

One researcher says

นักวิจัยรายหนึ่งกล่าวว่า

that they probably sound a lot like the the voice of Charlie Brown's teacher

เสียงเหล่านั้นอาจฟังดูคล้ายกับเสียงคุณครูของชาร์ลี บราวน์

in the old "Peanuts" cartoon.

ในการ์ตูน"พีนัทส์"สมัยก่อน

But the pregnant woman's own voice

แต่เสียงของมารดาที่ตั้งครรภ์อยู่นั้น

reverberates through her body,

จะดังก้องสะท้อนอยู่ในตัวเธอเอง

reaching the fetus much more readily.

และส่งผ่านไปยังทารกได้ในทันที

And because the fetus is with her all the time,

และเนื่องจากทารกนั้นก็อยู่กับมารดาตลอดเวลา

it hears her voice a lot.

ทารกจึงได้ยินเสียงมารดาบ่อยมาก

Once the baby's born, it recognizes her voice

เมื่อเด็กเกิดมา เขาจึงจดจำเสียงของมารดาได้

and it prefers listening to her voice

และเขาก็ชื่นชอบการฟังเสียงแม่ตัวเอง

over anyone else's.

มากกว่าเสียงคนอื่นๆ

How can we know this?

เราทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร

Newborn babies can't do much,

เด็กแรกเกิดทำอะไรไม่ได้มากนัก

but one thing they're really good at is sucking.

แต่สิ่งหนึ่งที่ทำได้คือ พวกเขาเก่งเรื่องการดูดนม

Researchers take advantage of this fact

บรรดานักวิจัยจึงใช้ประโยชน์จากข้อเท็จจริงดังกล่าว

by rigging up two rubber nipples,

โดยการทำหัวนมยางขึ้นมาสองชิ้น

so that if a baby sucks on one,

หากทารกดูดหัวนมชิ้นหนึ่ง

it hears a recording of its mother's voice

เขาจะได้ยินเสียงของแม่ตัวเองซึ่งได้บันทึกเก็บไว้

on a pair of headphones,

ผ่านทางหูฟัง

and if it sucks on the other nipple,

และหากเขาดูดหัวนมอีกชิ้นหนึ่ง

it hears a recording of a female stranger's voice.

เขาจะได้ยินเสียงหญิงแปลกหน้าซึ่งได้บันทึกไว้

Babies quickly show their preference

เด็กทารกแสดงออกถึงความชอบของตนได้อย่างรวดเร็ว

by choosing the first one.

โดยการเลือกหัวนมชิ้นแรก

Scientists also take advantage of the fact

นักวิทยาศาสตร์ยังใช้ประโยชน์จากข้อเท็จจริงที่ว่า

that babies will slow down their sucking

ทารกจะดูดนมช้าลง

when something interests them

เมื่อมีสิ่งใดดึงดูดความสนใจพวกเขา

and resume their fast sucking

และกลับไปดูดนมเร็วๆตามเดิม

when they get bored.

เมื่อรู้สึกเบื่อ

This is how researchers discovered

ข้อเท็จจริงดังกล่าวทำให้นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ

that, after women repeatedly read aloud

ว่าหลังจากที่มารดาอ่านหนังสือออกเสียงดังๆซ้ำๆกัน

a section of Dr. Seuss' "The Cat in the Hat" while they were pregnant,

เช่นอ่านเรื่องแมวในหมวกของ ดร.ซูสส์หนึ่งตอน ขณะที่ตั้งครรภ์

their newborn babies recognized that passage

เด็กเกิดใหม่จะจดจำข้อความเหล่านั้นได้

when they hear it outside the womb.

เมื่อเขาได้ยินข้อความนั้นนอกครรภ์มารดา

My favorite experiment of this kind

การทดลองในทำนองนี้ที่ฉันชื่นชอบ

is the one that showed that the babies

คือการทดลองที่แสดงให้เห็นว่าทารก

of women who watched a certain soap opera

ของมารดาที่ดูละครโทรทัศน์บางรายการ

every day during pregnancy

เป็นประจำทุกวันขณะตั้งครรภ์

recognized the theme song of that show

สามารถจดจำเพลงเปิดรายการนั้นได้

once they were born.

เมื่อทารกเกิดขึ้นมาแล้ว

So fetuses are even learning

ทารกในครรภ์ยังเรียนรู้

about the particular language that's spoken

ภาษาที่พูดกันอยู่

in the world that they'll be born into.

ในโลกที่เขากำลังจะถือกำเนิดขึ้นด้วย

A study published last year

มีการศึกษาชิ้นหนึ่งซึ่งตีพิมพ์เมื่อปีที่แล้ว

found that from birth, from the moment of birth,

พบว่าตั้งแต่เกิด ตั้งแต่วินาทีที่ทารกถือกำเนิดขึ้นมา

babies cry in the accent

พวกเขาร้องไห้ด้วยสำเนียง

of their mother's native language.

ของภาษาดั้งเดิมที่มารดาพวกเขาพูด

French babies cry on a rising note

ทารกชาวฝรั่งเศสร้องไห้ด้วยโน๊ตเสียงสูง

while German babies end on a falling note,

ขณะที่ทารกชาวเยอรมันร้องไห้ด้วยโน๊ตเสียงต่ำ

imitating the melodic contours

เป็นการเลียนแบบทำนอง

of those languages.

ของภาษานั้นๆ

Now why would this kind of fetal learning

เอาละ เรื่องการเรียนรู้ของทารกในครรภ์แบบนี้

be useful?

จะมีประโยชน์อย่างไร

It may have evolved to aid the baby's survival.

มันอาจช่วยในการวิวัฒนาการเพื่อความอยู่รอดของทารก

From the moment of birth,

นับแต่วินาทีที่ทารกเกิด

the baby responds most to the voice

การตอบสนองส่วนใหญ่เกิดขึ้นต่อเสียง

of the person who is most likely to care for it --

ของคนที่น่าจะห่วงใยทารกมากที่สุด

its mother.

ซึ่งก็คือมารดา

It even makes its cries

ทารกยังร้องไห้

sound like the mother's language,

ด้วยเสียงที่ฟังดูเป็นภาษาเดียวกันกับภาษาของแม่

which may further endear the baby to the mother,

ซึ่งจะทำให้มารดายิ่งรักใคร่ทารกมากขึ้นอีก

and which may give the baby a head start

อีกทั้งยังส่งผลต่อการเริ่มต้นเรียนรู้

in the critical task

ภารกิจที่สำคัญมากๆ

of learning how to understand and speak

ซึ่งก็คือการทำความเข้าใจภาษาและการหัดพูด

its native language.

ภาษาแม่ของตน

But it's not just sounds

แต่ไม่ใช่แค่เรื่องของเสียงเท่านั้น

that fetuses are learning about in utero.

ที่ทารกได้เรียนรู้ในครรภ์มารดา

It's also tastes and smells.

ยังเป็นเรื่องของการดมกลิ่นและลิ้มรสด้วย

By seven months of gestation,

เมื่อถึงเดือนที่ 7 ของการตั้งครรภ์

the fetus' taste buds are fully developed,

ต่อมรับรสของทารกจะพัฒนาเต็มที่

and its olfactory receptors, which allow it to smell,

และอวัยวะรับกลิ่น ซึ่งช่วยให้ทารกสามารถดมกลิ่นได้

are functioning.

ก็ทำงานแล้ว

The flavors of the food a pregnant woman eats

รสชาติของอาหารที่หญิงมีครรภ์รับประทาน

find their way into the amniotic fluid,

จะถูกลำเลียงไปยังน้ำคร่ำ

which is continuously swallowed

ซึ่งจะมีการดูดกลืนอย่างต่อเนื่อง

by the fetus.

โดยทารกในครรภ์

Babies seem to remember and prefer these tastes

ทารกดูจะจดจำรสชาติเหล่านี้ได้ และแสดงออกว่าตนชอบรสชาตินั้น

once they're out in the world.

เมื่อพวกเขาลืมตาดูโลกแล้ว

In one experiment, a group of pregnant women

มีการทดลองหนึ่งที่ให้กลุ่มหญิงมีครรภ์

was asked to drink a lot of carrot juice

ดื่มน้ำแครอทเป็นประจำ

during their third trimester of pregnancy,

ในช่วงเดือนที่ 7-9 ของการตั้งครรภ์

while another group of pregnant women

ในขณะที่ให้หญิงมีครรภ์อีกกลุ่มหนึ่ง

drank only water.

ดื่มแต่น้ำเปล่า

Six months later, the women's infants

หกเดือนให้หลัง เด็กที่คลอดออกมา

were offered cereal mixed with carrot juice,

เราได้ป้อนซีเรียลที่ผสมน้ำแครอทให้

and their facial expressions were observed while they ate it.

และสังเกตสีหน้าของพวกเขาระหว่างที่รับประทาน

The offspring of the carrot juice drinking women

เด็กๆที่มารดาดื่มน้ำแครอทระหว่างตั้งครรภ์

ate more carrot-flavored cereal,

เป็นเด็กที่รับประทานซีเรียลเจือรสแครอทมากกว่า

and from the looks of it,

และดูจากสีหน้าท่าทางแล้ว

they seemed to enjoy it more.

พวกเขาดูจะชื่นชอบมันมากกว่าเด็กอีกกลุ่ม

A sort of French version of this experiment

มีการทดลองทำนองนี้ในแบบฝรั่งเศส

was carried out in Dijon, France

ที่เมืองดีฌง ประเทศฝรั่งเศส

where researchers found

นักวิจัยพบว่า

that mothers who consumed food and drink

เมื่อมารดาที่รับประทานอาหารและเครื่องดื่ม

flavored with licorice-flavored anise during pregnancy

ปรุงด้วยสมุนไพรเทียนข้าวเปลือกซึ่งมีรสคล้ายชะเอม ในช่วงตั้งครรภ์

showed a preference for anise

เด็กๆจะชื่นชอบเทียนข้าวเปลือกเป็นพิเศษ

on their first day of life,

นับตั้งแต่วันแรกที่เกิดมา

and again, when they were tested later,

และเมื่อมีการทดสอบเพิ่มเติมครั้งถัดมา

on their fourth day of life.

เมื่อเด็กเกิดมาได้ 4 วัน

Babies whose mothers did not eat anise during pregnancy

เด็กๆซึ่งมารดาไม่ได้รับประทานเทียนข้าวเปลือกระหว่างตั้งครรภ์

showed a reaction that translated roughly as "yuck."

มีปฏิกิริยาตอบสนองซึ่งอาจแปลคร่าวๆได้ว่า "แหวะ"

What this means

สิ่งเหล่านี้หมายถึง

is that fetuses are effectively being taught by their mothers

การที่มารดาได้สอนบทเรียนที่มีประสิทธิภาพแก่ทารกในครรภ์

about what is safe and good to eat.

ว่าอะไรที่ปลอดภัยและกินได้

Fetuses are also being taught

ทารกในครรภ์ยังได้บทเรียน

about the particular culture that they'll be joining

ว่าด้วยวัฒนธรรมที่เขากำลังจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง

through one of culture's most powerful expressions,

ผ่านการแสดงออกทางวัฒนธรรมที่ทรงพลังมากที่สุด

which is food.

ซึ่งก็คืออาหาร

They're being introduced to the characteristic flavors and spices

พวกเขาได้รับการแนะนำให้รู้จักรสชาติและเครื่องเทศที่มีความเป็นเอกลักษณ์

of their culture's cuisine

ของวัฒนธรรมการรับประทานอาหารของตน

even before birth.

ก่อนที่จะเกิดเสียอีก

Now it turns out that fetuses are learning even bigger lessons.

ปัจจุบัน เราพบว่าทารกในครรภ์เรียนรู้บทเรียนที่ยิ่งใหญ่มากกว่านั้นอีก

But before I get to that,

แต่ก่อนที่ฉันจะเล่าให้ฟัง

I want to address something that you may be wondering about.

ฉันอยากจะพูดอะไรสักหน่อย ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่คุณกำลังสงสัยอยู่

The notion of fetal learning

ความเชื่อเรื่องการเรียนรู้ของทารกในครรภ์

may conjure up for you attempts to enrich the fetus --

อาจทำให้คุณอยากพัฒนาการเรียนรู้ของทารก

like playing Mozart through headphones

เช่น การเล่นเพลงโมสาร์ทผ่านทางหูฟัง

placed on a pregnant belly.

แล้วนำไปวางไว้บนครรภ์มารดา

But actually, the nine-month-long process

แต่ที่จริงแล้ว กระบวนการซึ่งยาวนาน 9 เดือน

of molding and shaping that goes on in the womb

ของการบ่มเพาะและหล่อหลอมที่ดำเนินไปในครรภ์นี้

is a lot more visceral and consequential than that.

เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมากกว่านั้น

Much of what a pregnant woman encounters in her daily life --

เป็นสิ่งที่หญิงมีครรภ์ต้องพบในชีวิตประจำวัน

the air she breathes,

อากาศที่หายใจเข้าไป

the food and drink she consumes,

อาหารและเครื่องดื่มที่บริโภคเข้าไป

the chemicals she's exposed to,

สารเคมีที่สัมผัส

even the emotions she feels --

หรือแม้กระทั่ง อารมณ์ที่รู้สึก

are shared in some fashion with her fetus.

จะถูกถ่ายทอดไปยังทารกในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง

They make up a mix of influences

ทารกรับเอาอิทธิพลจากหลายสิ่งหลายอย่าง

as individual and idiosyncratic

ซึ่งก่อให้เกิดความเป็นตัวเองที่มีลักษณะเฉพาะ

as the woman herself.

ไม่ต่างกันกับมารดา

The fetus incorporates these offerings

ทารกในครรภ์รวบรวมเอาสิ่งต่างๆเหล่านี้

into its own body,

เข้าไว้ด้วยกันในร่างกายพวกเขา

makes them part of its flesh and blood.

เกิดเป็นชีวิตเลือดเนื้อขึ้นมา

And often it does something more.

บ่อยครั้งที่ทารกทำอะไรมากกว่านั้น

It treats these maternal contributions

พวกเขารับเอาสิ่งต่างๆที่แม่หยิบยื่นให้นี้

as information,

ในฐานะข้อมูล

as what I like to call biological postcards

ซึ่งฉันขอเรียกมันว่า โปสการ์ดทางชีวภาพ

from the world outside.

จากโลกภายนอก

So what a fetus is learning about in utero

ดังนั้นสิ่งที่ทารกได้เรียนรู้ในครรภ์มารดา

is not Mozart's "Magic Flute"

จึงไม่ใช่แค่บทเพลง "เมจิกฟลุต" ของโมสาร์ต

but answers to questions much more critical to its survival.

แต่เป็นคำตอบของปัญหาที่สำคัญต่อการมีชีวิตรอด

Will it be born into a world of abundance

คือ โลกที่กำลังจะต้องออกไปเผชิญนี้เป็นโลกที่อุดมสมบูรณ์

or scarcity?

หรือขาดแคลนกันแน่

Will it be safe and protected,

เกิดมาแล้วจะปลอดภัยและมีคนปกป้องดูแล

or will it face constant dangers and threats?

หรือจะต้องเจอกับภัยอันตรายอย่างต่อเนื่อง

Will it live a long, fruitful life

ชีวิตที่เกิดมานี้จะเป็นชีวิตที่ยืนยาวและสมบูรณ์พร้อม

or a short, harried one?

หรือเป็นชีวิตสั้นๆ ที่ไม่มีความปกติสุขเลย

The pregnant woman's diet and stress level in particular

วิถีการบริโภคและระดับความเครียดของมารดา

provide important clues to prevailing conditions

จะให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น

like a finger lifted to the wind.

คล้ายกับการใช้นิ้วแตะน้ำลายเพื่อวัดทิศทางลม

The resulting tuning and tweaking

การปรับตำแหน่งและจัดท่าทางที่เกิดขึ้น

of a fetus' brain and other organs

ของสมองและอวัยวะอื่นๆของทารก

are part of what give us humans

เป็นส่วนหนึ่งของความสามารถของมนุษย์

our enormous flexibility,

ในการปรับตัวได้อย่างยอดเยี่ยม

our ability to thrive

ความสามารถที่จะเติบโต

in a huge variety of environments,

ได้ในสภาพแวดล้อมที่มีความหลากหลายมาก

from the country to the city,

ตั้งแต่ชนบทไปจนถึงเมืองใหญ่

from the tundra to the desert.

ตั้งแต่ทุ่งราบทุนดราไปจนถึงทะเลทราย

To conclude, I want to tell you two stories

เพื่อเป็นการสรุป ฉันอยากเล่าเรื่องให้คุณฟังสองเรื่อง

about how mothers teach their children about the world

เกี่ยวกับวิธีที่แม่สอนทารกให้ทราบเกี่ยวกับโลกภายนอก

even before they're born.

ก่อนที่ทารกจะเกิดมาดูโลก

In the autumn of 1944,

ในฤดูใบไม้ร่วง ปี 1944

the darkest days of World War II,

ในวันที่มืดมนที่สุดของช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

German troops blockaded Western Holland,

กองทัพเยอรมันได้ปิดล้อมฮอลแลนด์ตะวันตก

turning away all shipments of food.

การขนส่งเสบียงทั้งหมดถูกตัดขาด

The opening of the Nazi's siege

การปิดล้อมของนาซีในระยะแรกเริ่มนั้น

was followed by one of the harshest winters in decades --

ตามมาด้วยฤดูหนาวที่โหดร้ายรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายทศวรรษ

so cold the water in the canals froze solid.

น้ำในแม่น้ำลำคลองเย็นจัดจนกลายเป็นน้ำแข็ง

Soon food became scarce,

จากนั้น อาหารก็เริ่มขาดแคลน

with many Dutch surviving on just 500 calories a day --

ชาวดัตช์หลายคนมีชีวิตอยู่ได้ด้วยพลังงาน 500 แคลอรีต่อวัน

a quarter of what they consumed before the war.

ซึ่ง 25% ได้มาจากอาหารที่บริโภคเข้าไปก่อนช่วงสงคราม

As weeks of deprivation stretched into months,

เมื่อสภาวะขาดแคลนนั้นดำเนินต่อไป จากสัปดาห์เป็นเดือน

some resorted to eating tulip bulbs.

บางคนจึงหันไปกินหัวดอกทิวลิป

By the beginning of May,

เมื่อถึงต้นเดือนพฤษภาคม

the nation's carefully rationed food reserve

เสบียงอาหารของฮอลแลนด์ที่ปันส่วนไว้อย่างดี

was completely exhausted.

ก็หมดลง

The specter of mass starvation loomed.

เค้าลางของความอดอยากหิวโหยครั้งใหญ่เริ่มก่อตัว

And then on May 5th, 1945,

จากนั้น เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 1945

the siege came to a sudden end

ภาวะขาดแคลนก็ดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุด

when Holland was liberated

เมื่อฮอลแลนด์ได้รับการปลดปล่อย

by the Allies.

จากฝ่ายสัมพันธมิตร

The "Hunger Winter," as it came to be known,

"ฤดูหนาวแห่งความหิวโหย" ดังที่เป็นที่รู้จักกันดีต่อมา

killed some 10,000 people

ได้พรากชีวิตคนไปราว 10,000 คน

and weakened thousands more.

และคนอีกนับพันๆก็อ่อนแอลง

But there was another population that was affected --

แต่ยังมีประชากรอีกพวกหนึ่งที่ได้รับผลกระทบ

the 40,000 fetuses

ซึ่งก็คือทารก 40,000 ชีวิต

in utero during the siege.

ซึ่งอยู่ในครรภ์มารดาในช่วงภาวะขาดแคลน

Some of the effects of malnutrition during pregnancy

ผลกระทบที่เกิดจากการขาดสารอาหารระหว่างการตั้งครรภ์

were immediately apparent

เป็นที่เห็นได้ชัดในทันที

in higher rates of stillbirths,

จากการเพิ่มขึ้นของอัตราการตายของทารกในครรภ์

birth defects, low birth weights

ความผิดปกติแรกคลอด น้ำหนักแรกคลอดที่น้อยเกินไป

and infant mortality.

และอัตราการตายของทารกเมื่อคลอดออกมาแล้ว

But others wouldn't be discovered for many years.

แต่มีความผิดปกติอีกหลายประการที่ไม่มีใครพบจนกระทั่งหลายปีถัดมา

Decades after the "Hunger Winter,"

หลายทศวรรษ หลัง"ฤดูหนาวแห่งความหิวโหย"

researchers documented

นักวิจัยได้บันทึกว่า

that people whose mothers were pregnant during the siege

กลุ่มคนที่มารดาตั้งครรภ์ระหว่างช่วงภาวะขาดแคลน

have more obesity, more diabetes

มีน้ำหนักตัวเกิน เป็นโรคเบาหวาน

and more heart disease in later life

และโรคหัวใจเมื่อเติบโตขึ้น

than individuals who were gestated under normal conditions.

มากกว่าคนที่มารดาตั้งครรภ์ในสภาวะปกติ

These individuals' prenatal experience of starvation

ประสบการณ์ความหิวโหยที่เกิดขึ้นก่อนคลอดของคนกลุ่มนี้

seems to have changed their bodies

ดูเหมือนว่าได้เปลี่ยนแปลงร่างกายพวกเขา

in myriad ways.

ไปอย่างมหาศาล

They have higher blood pressure,

พวกเขามีความดันโลหิตสูงกว่าปกติ

poorer cholesterol profiles

ระดับคลอเรสเตอรอลที่ผิดปกติ

and reduced glucose tolerance --

ความทนทานต่อน้ำตาลกลูโคสลดต่ำลง

a precursor of diabetes.

ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ของโรคเบาหวาน

Why would undernutrition in the womb

เหตุใดภาวะพร่องโภชนาการในครรภ์มารดา

result in disease later?

จึงก่อให้เกิดโรคตามมาภายหลัง

One explanation

คำอธิบายหนึ่งคือ

is that fetuses are making the best of a bad situation.

ทารกพยายามใช้ประโยชน์จากสถานการณ์เลวร้ายอย่างเต็มที่

When food is scarce,

เมื่ออาหารขาดแคลน

they divert nutrients towards the really critical organ, the brain,

พวกเขาลำเลียงสารอาหารไปยังอวัยวะที่สำคัญจริงๆ ซึ่งก็คือสมอง

and away from other organs

และดึงสารอาหารออกจากอวัยวะอื่นๆ

like the heart and liver.

เช่นหัวใจและตับ

This keeps the fetus alive in the short-term,

การทำเช่นนี้ช่วยให้ทารกอยู่รอดได้ในช่วงสั้นๆ

but the bill comes due later on in life

แต่ภายหลังก็ต้องจ่ายบิลที่ค้างชำระไว้

when those other organs, deprived early on,

เมื่ออวัยวะที่ถูกดึงสารอาหารออกไปใช้เหล่านั้น

become more susceptible to disease.

มีความเสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บเพิ่มมากขึ้น

But that may not be all that's going on.

แต่อาจไม่ใช่เพียงเท่านั้น

It seems that fetuses are taking cues

ดูเหมือนว่า ทารกในครรภ์จะรับเอาสัญญาณ

from the intrauterine environment

ของสภาพแวดล้อมภายในครรภ์

and tailoring their physiology accordingly.

และออกแบบสรีระของตนเองตามนั้น

They're preparing themselves

พวกเขาเตรียมตัวเองให้พร้อม

for the kind of world they will encounter

สำหรับโลกที่เขาต้องเผชิญ

on the other side of the womb.

ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของครรภ์มารดา

The fetus adjusts its metabolism

ทารกในครรภ์ปรับระดับการเผาผลาญของตนเอง

and other physiological processes

และกระบวนการทางสรีระด้านอื่นๆ

in anticipation of the environment that awaits it.

ด้วยความคาดหวังที่มีต่อโลกที่รออยู่ข้างนอก

And the basis of the fetus' prediction

และสิ่งพื้นฐานที่ทารกในครรภ์ใช้ในการคาดเดา

is what its mother eats.

ก็คือสิ่งที่มารดาทานเข้าไป

The meals a pregnant woman consumes

อาหารที่หญิงมีครรภ์บริโภค

constitute a kind of story,

ก่อให้เกิดเรื่องราวแตกต่างกันไป

a fairy tale of abundance

อาจเป็นเทพนิยายที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์

or a grim chronicle of deprivation.

หรือนิทานพี่น้องตระกูลกริมม์แสนโหดร้าย

This story imparts information

เรื่องราวเหล่านี้ช่วยส่งต่อข้อมูล

that the fetus uses

ซึ่งทารกจะนำไปใช้

to organize its body and its systems --

ในการเสริมสร้างจัดการร่างกายและระบบต่างๆ

an adaptation to prevailing circumstances

ซึ่งก็คือ การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่

that facilitates its future survival.

เพื่อช่วยให้มีชีวิตรอดในอนาคต

Faced with severely limited resources,

การที่ต้องเผชิญกับทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด

a smaller-sized child with reduced energy requirements

เด็กที่ตัวเล็กกว่าปกติ และต้องการพลังงานที่น้อยกว่าปกติ

will, in fact, have a better chance

จะมีโอกาสสูง

of living to adulthood.

ในการอยู่รอดไปจนถึงวัยผู้ใหญ่

The real trouble comes

ปัญหาที่แท้จริงเกิดขึ้น

when pregnant women are, in a sense, unreliable narrators,

เมื่อหญิงมีครรภ์กลายเป็นผู้ส่งสารที่เชื่อถือไม่ได้ ในทางใดทางหนึ่ง

when fetuses are led

เมื่อทารกถูกชักนำ

to expect a world of scarcity

ให้คาดหวังว่าโลกข้างนอกจะมีแต่ความขาดแคลน

and are born instead into a world of plenty.

แต่กลับเกิดมาในโลกที่อุดมสมบูรณ์

This is what happened to the children of the Dutch "Hunger Winter."

เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับเด็กชาวดัตช์ในช่วง "ฤดูหนาวแห่งความหิวโหย"

And their higher rates of obesity,

และการเพิ่มสูงของอัตราการมีน้ำหนักเกิน

diabetes and heart disease

โรคเบาหวาน และโรคหัวใจ

are the result.

ก็เป็นผลลัพธ์ที่ได้จากเหตุการณ์นี้

Bodies that were built to hang onto every calorie

ร่างกายที่ถูกสร้างขึ้นมาให้เก็บสะสมแคลอรีทุกเม็ดทุกหน่วย

found themselves swimming in the superfluous calories

กลับต้องแหวกว่ายอยู่ในทะเลแคลอรีปริมาณมหาศาล

of the post-war Western diet.

ของวิถีการกินแบบตะวันตกช่วงหลังสงคราม

The world they had learned about while in utero

โลกที่พวกเขาได้เรียนรู้ระหว่างอยู่ในครรภ์มารดา

was not the same

กลับไม่เหมือนกัน

as the world into which they were born.

กับโลกที่พวกเขาเกิดขึ้นมา

Here's another story.

มีอีกเรื่องหนึ่ง

At 8:46 a.m. on September 11th, 2001,

ณ เวลา 8.46 ของเช้าวันที่ 11 กันยายน 2001

there were tens of thousands of people

มีคนนับหมื่นๆ

in the vicinity of the World Trade Center

อยู่ใกล้ตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์

in New York --

ในกรุงนิวยอร์ก

commuters spilling off trains,

ทั้งผู้โดยสารที่หลั่งไหลลงจากรถไฟ

waitresses setting tables for the morning rush,

พนักงานเสิร์ฟที่จัดโต๊ะต้อนรับฝูงชนที่เร่งรีบในยามเช้า

brokers already working the phones on Wall Street.

โบรกเกอร์ที่เริ่มคุยงานทางโทรศัพท์ในย่านวอลล์สตรีท

1,700 of these people were pregnant women.

คนในกลุ่มนั้นจำนวน 1,700 คนเป็นหญิงมีครรภ์

When the planes struck and the towers collapsed,

ตอนที่เครื่องบินพุ่งชน และตึกถล่มลงมา

many of these women experienced the same horrors

ผู้หญิงกลุ่มนี้หลายคนต้องประสบกับความกลัวประเภทเดียวกัน

inflicted on other survivors of the disaster --

ที่เกิดกับผู้รอดชีวิตรายอื่นๆ

the overwhelming chaos and confusion,

คือความสับสนอลหม่านที่ท่วมท้น

the rolling clouds

กลุ่มควันที่ลอยฟุ้ง

of potentially toxic dust and debris,

ที่เกิดจากฝุ่นและเศษซากปรักหักพังที่อาจเป็นพิษ

the heart-pounding fear for their lives.

ความกลัวอันตรายที่อาจเกิดกับชีวิตจนหัวใจเต้นแรง

About a year after 9/11,

ประมาณหนึ่งปี หลังจากเหตุการณ์ 9/11

researchers examined a group of women

นักวิจัยได้ทำการทดสอบหญิงกลุ่มหนึ่ง

who were pregnant

ซึ่งตั้งครรภ์

when they were exposed to the World Trade Center attack.

ในช่วงที่ต้องเผชิญความเสี่ยงต่อเหตุการณ์ตึกเวิลด์เทรดถล่ม

In the babies of those women

ทารกของหญิงเหล่านั้น

who developed post-traumatic stress syndrome, or PTSD,

ซึ่งเติบโตมาพร้อมภาวะหวาดผวาจากภัยพิบัติ หรือ PTSD

following their ordeal,

หลังจากติดตามอาการ

researchers discovered a biological marker

นักวิจัยได้ค้นพบตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ

of susceptibility to PTSD --

ที่ชี้ให้เห็นความเสี่ยงต่อการเป็น PTSD ได้ง่าย

an effect that was most pronounced

ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุด

in infants whose mothers experienced the catastrophe

พบในทารกที่มารดาเผชิญกับภัยพิบัติ

in their third trimester.

ในช่วงเดือนที่ 7-9 ของการตั้งครรภ์

In other words,

พูดอีกนัยหนึ่งคือ

the mothers with post-traumatic stress syndrome

มารดาที่ประสบกับภาวะหวาดผวาจากภัยพิบัติ

had passed on a vulnerability to the condition

ได้ส่งต่อภาวะเสี่ยงของอาการดังกล่าว

to their children while they were still in utero.

ไปยังบุตร ขณะที่ยังอยู่ในครรภ์

Now consider this:

เอาล่ะ ลองคิดถึงเรื่องนี้กันดู

post-traumatic stress syndrome

ภาวะหวาดผวาจากภัยพิบัติ

appears to be a reaction to stress gone very wrong,

เป็นเหมือนปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเมื่อความเครียดทำงานผิดปกติ

causing its victims tremendous unnecessary suffering.

ส่งผลให้เหยื่อต้องเผชิญกับความทุกข์หนักหนาสาหัสเกินจำเป็น

But there's another way of thinking about PTSD.

แต่เราอาจมอง PTSD ในอีกมุมหนึ่งได้

What looks like pathology to us

สิ่งที่ดูเหมือนโรคร้ายสำหรับเรา

may actually be a useful adaptation

ที่จริงอาจเป็นการปรับตัวที่สำคัญ

in some circumstances.

ในบางสถานการณ์

In a particularly dangerous environment,

โดยเฉพาะ ในสภาพแวดล้อมที่อันตรายอย่างมาก

the characteristic manifestations of PTSD --

ลักษณะอาการของ PTSD ซึ่งได้แก่

a hyper-awareness of one's surroundings,

ความตระหนักรู้ถึงสภาพแวดล้อมรอบตัวที่มีมากกว่าปกติ

a quick-trigger response to danger --

ภาวะการตอบสนองต่ออันตรายที่เกิดขึ้นรวดเร็วมาก

could save someone's life.

อาจช่วยรักษาชีวิตไว้ได้

The notion that the prenatal transmission of PTSD risk is adaptive

แนวคิดที่ว่าการส่งผ่านความเสี่ยงของ PTSD ก่อนคลอดนั้นเปลี่ยนแปลงได้

is still speculative,

ยังไม่ได้รับการยืนยัน

but I find it rather poignant.

แต่ฉันเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่สะเทือนอารมณ์

It would mean that, even before birth,

นี่อาจหมายถึง ก่อนที่เด็กจะเกิด

mothers are warning their children

มารดาได้เตือนลูกๆ

that it's a wild world out there,

ว่าโลกข้างนอกมันโหดร้าย

telling them, "Be careful."

บอกพวกเขาว่า "ระวังตัวนะ"

Let me be clear.

ขออธิบายให้ชัดสักหน่อย

Fetal origins research is not about blaming women

การวิจัยว่าด้วยจุดเริ่มต้นของชีวิตนี้ไม่ใช่การกล่าวโทษมารดา

for what happens during pregnancy.

ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์

It's about discovering how best to promote

แต่เป็นเรื่องว่าด้วยวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยพัฒนา

the health and well-being of the next generation.

สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของคนรุ่นต่อไป

That important effort must include a focus

ความทุ่มเทที่สำคัญเช่นนั้นต้องมุ่งความสนใจไปที่

on what fetuses learn

สิ่งที่ทารกในครรภ์เรียนรู้

during the nine months they spend in the womb.

ระหว่างช่วงเวลา 9 เดือนในครรภ์มารดาด้วย

Learning is one of life's most essential activities,

การเรียนรู้เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่สำคัญที่สุดในชีวิต

and it begins much earlier

และมันเริ่มต้นขึ้นรวดเร็วมาก

than we ever imagined.

เกินกว่าที่เราคาดไว้เสียอีก

Thank you.

ขอบคุณค่ะ

(Applause)

(ปรบมือ)