Ben Goldacre: Battling Bad Science

Translator: yamela areesamarn Reviewer: Sritala Dhanasarnsombut

So I'm a doctor, but I kind of slipped sideways into research,

ผมเป็นแพทย์ แต่คล้ายกับว่าไถลออกไปทำการวิจัย,

and now I'm an epidemiologist.

และตอนนี้ผมเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านต้นกำเนิดและการพัฒนาของเชื้อโรค

And nobody really knows what epidemiology is.

ไม่มีใครรู้จริงว่าศาสตร์ด้านนี้คืออะไร

Epidemiology is the science of how we know in the real world

มันเป็นศาสตร์เกี่ยวกับว่าเราจะรู้ได้อย่างไรในโลกแห่งความเป็นจริง

if something is good for you or bad for you.

ว่าสิ่งบางอย่างดีหรือไม่ดีสำหรับคุณ

And it's best understood through example

เรื่องนี้จะเข้าใจได้ดีที่สุดจากตัวอย่าง

as the science of those crazy, wacky newspaper headlines.

ที่เป็นศาสตร์ของหัวข่าวหนังสือพิมพ์ที่ประหลาดพิลึกกึกกือ

And these are just some of the examples.

นี่เป็นเพียงบางตัวอย่างเท่านั้น

These are from the Daily Mail.

พวกนี้มาจากหนังสือพิมพ์เดลิเมล์ ทุกประเทศในโลกมีหนังสือพิมพ์แบบนี้

Every country in the world has a newspaper like this.

มันมีแนวปรัชญาต่อเนื่องที่แปลกแบบนี้

It has this bizarre, ongoing philosophical project

ในการแบ่งสิ่งต่างๆที่ไม่มีชีวิตทั้งหมดในโลก

of dividing all the inanimate objects in the world

ออกเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดหรือป้องกันโรคมะเร็ง

into the ones that either cause or prevent cancer.

Here are some of the things they said cause cancer:

นี่เป็นบางสิ่งที่เมื่อไม่นานมานี้พวกเขาบอกว่าทำให้เกิดมะเร็ง

การหย่าร้าง ระบบเครือข่ายไร้สาย ของใช้อาบนํ้าและกาแฟ

divorce, Wi-Fi, toiletries and coffee.

นี่เป็นบางสิ่งที่พวกเขาบอกว่าป้องกันมะเร็งได้:

Some things they say prevent cancer:

เปลือกขนมปัง,พริกสีแดง,ชะเอมและกาแฟ

crusts, red pepper, licorice and coffee.

คุณจะเห็นได้แล้วว่ามีความขัดแย้งกัน

So you can see there are contradictions.

กาแฟเป็นได้ทั้งสาเหตุและป้องกันมะเร็ง

Coffee both causes and prevents cancer.

และถ้าคุณอ่านต่อไป คุณจะเห็นได้

As you start to read on, you can see

that maybe there's some political valence behind some of this.

ว่าอาจจะมีสายการผลิตเชิงการเมืองบางอย่างอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้

For women, housework prevents breast cancer,

สำหรับพวกผู้หญิง งานบ้านป้องกันมะเร็งเต้านมได้

but for men, shopping could make you impotent.

สำหรับพวกผู้ชาย ช้อปปิ้งอาจทำให้คุณขาดสมรรถภาพทางเพศ

(Laughter)

เราจึงรู้ว่าเราต้องเริ่มต้น

So we know that we need to start unpicking the science behind this.

เปิดโปงศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้

And what I hope to show is that unpicking the evidence behind dodgy claims

และสิ่งที่ผมหวังจะแสดงให้เห็น

คือการเปิดโปงคำกล่าวอ้างที่น่าสงสัยเหล่านี้

เผยหลักฐานเบื้องหลังคำกล่าวอ้างนั้น

isn't a kind of nasty, carping activity;

นี่ไม่ใช่การจับผิดนะครับ

it's socially useful.

มันเป็นประโยชน์ต่อสังคม

But it's also an extremely valuable explanatory tool,

และเป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าอย่างมาก

ที่ใช้อธิบาย

because real science is about critically appraising the evidence

เพราะว่าวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงนั้นเกี่ยวกับ

การประเมินหลักฐานอย่างสาหัสสากรรจ์เกี่ยวกับแนวคิดของคนอื่น

for somebody else's position.

นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในวารสารวิชาการ

That's what happens in academic journals,

นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในการประชุมวิชาการ

it's what happens at academic conferences --

ช่วงที่ให้มีการถามตอบหลังการเสนอข้อมูล

the Q&A session after a postdoc presents data is often a bloodbath.

บ่อยครั้งเป็นประหัตประหารกัน

And nobody minds that; we actively welcome it.

และไม่มีใครใส่ใจเรื่องนั้นกัน เราต้อนรับมันอย่างกระตือรือร้น

It's like a consenting intellectual S&M activity.

คล้ายกับกิจกรรมเชิงให้ความรู้ที่ยอมรับกันของบริษัทการแสดงเอสแอนเอ็ม

(Laughter)

สิ่งที่ผมกำลังจะแสดงให้ท่านชม

So what I'm going to show you is all of the main things,

คือสิ่งสำคัญทั้งหมด,

ลักษณะสำคัญทั้งหมดของกฎเกณฑ์ของผม--

all of the main features of my discipline, evidence-based medicine.

ยาที่ได้พิสูจน์หลักฐานแล้ว

And I will talk you through all of these and demonstrate how they work,

และผมจะพูดกับคุณโดยใช้กฎเณฑ์ทั้งหมดนี้

และแสดงให้ดูว่ามันใช้ได้อย่างไร

exclusively using examples of people getting stuff wrong.

โดยใช้เพียงตัวอย่างของผู้ที่ทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้น

We'll start with the absolute weakest form of evidence known to man,

เราจะเริ่มต้นด้วยแบบของหลักฐานที่อ่อนที่สุดที่ทุกคนทราบดี

และนั่นคือความเชื่อถือได้

and that is authority.

ตามหลักวิทยาศาสตร์ เราไม่สนใจว่าชื่อของคนจะมีกี่ตัวอักษร

In science, we don't care how many letters you have after your name --

ตามหลักวิทยาศาสตร์เราต้องการทราบเหตุผลในการที่คุณจะเชื่อบางสิ่ง

we want to know what your reasons are for believing something.

คุณรู้ได้อย่างไรว่าของบางอย่างดีสำหรับคุณ

How do you know that something is good for us or bad for us?

หรือไม่ดีสำหรับคุณ?

But we're also unimpressed by authority because it's so easy to contrive.

แต่เรารู้สึกไม่ประทับใจในเรื่องความเชื่อถือ

เพราะมันง่ายมากที่จะแต่งเรื่องโกหกขึ้น

This is somebody called Dr. Gillian McKeith, PhD,

มีคนๆหนึ่งชื่อว่าด๊อกเตอร์ กิลเลียน แม็กคีท ปริญญาเอก

หรือ ถ้าเรียกชื่อเต็มทางการแพทย์ กิลเลียน แม็กคีท

or, to give her full medical title, Gillian McKeith.

(เสียงหัวเราะ)

(Laughter)

ทุกประเทศมีบุคคลแบบนี้

Again, every country has somebody like this.

เธอเป็นปรมาจารย์ด้านการลดนํ้าหนักทางทีวี

She is our TV diet guru.

She has five series of prime-time television,

เธอมีรายการใหญ่ทางทีวีในช่วงเวลาที่ดีเยี่ยมถึงห้ารายการ

giving out very lavish and exotic health advice.

ที่ให้คำแนะนำด้านสุขภาพที่เกินพอและไม่เหมือนใคร

She, it turns out, has a non-accredited correspondence course PhD

เธอกลายเป็นว่า ได้ปริญญาเอกทางไกลจากสถาบันที่ยังไม่ได้รับการรับรอง

จากที่ใดที่หนึ่งในอเมริกา

from somewhere in America.

She also boasts that she's a certified professional member

เธอยังโอ้อวดว่าเธอเป็นสมาชิกด้านวิชาชีพที่ได้รับการรับรอง

ของสมาคมอเมริกันที่ให้คำปรึกษาด้านโภชนาการ

of the American Association of Nutritional Consultants,

ซึ่งฟังดูดีและน่าตื่นเต้นมาก

which sounds very glamorous; you get a certificate.

คุณมีวุฒิบัตรและทุกๆอย่าง

This one belongs to my dead cat, Hettie. She was a horrible cat.

ใบนี้เป็นของเจ้าเฮ็ตติแมวของผมที่ตายไปแล้ว มันเป็นแมวที่นิสัยไม่ดี

คุณแค่เข้าไปในเว็บไซท์ กรอกแบบฟอร์ม

You go to the website, fill out the form,

จ่ายเงินให้เขาไป 60ดอลล่าร์และมันก็มาถึงคุณทางไปรษณีย์

give them $60, it arrives in the post.

และนั่นไม่ใช่เพียงแค่เหตุผลเดียวที่เราคิดว่าคนๆนี้เป็นคนโง่เง่า

That's not the only reason we think this person is an idiot.

เธอยังได้พูดถึงเรื่องต่างๆเช่น

She also says things like eat lots of dark green leaves,

คุณควรจะทานผักสีเขียวเข้มมากๆ

they contain chlorophyll and really oxygenate your blood.

เพราะว่ามันมีคลอโรฟิลล์มาก และจริงๆแล้วมันจะสร้างออกซิเจนมาหล่อเลี้ยงเลือดคุณ

แต่ใครก็ตามที่ได้เรียนชีววิทยาในโรงเรียนย่อมจำได้ว่า

And anybody who's done school biology remembers

คลอโรฟิลล์และคลอโรพลาสท์

that chlorophyll and chloroplasts only make oxygen in sunlight,

สร้างออกซิเจนได้เมื่อมีแสงอาทิตย์เท่านั้น

and it's quite dark in your bowels after you've eaten spinach.

และในท้องของเรามืดมากหลังจากที่เราได้ทานผักขมเข้าไป

เรื่องต่อไป เราต้องการวิทยาศาสตร์ที่เหมาะสม หลักฐานถูกต้อง

Next, we need proper science, proper evidence.

So: "Red wine can help prevent breast cancer."

อย่าง "เหล้าองุ่นแดงป้องกันมะเร็งเต้านมได้"

นี่เป็นหัวข่าวจากหนังสือพิมพ์เดลี่ เทเลกราฟในอังกฤษ

This is a headline from The Daily Telegraph in the UK.

"เหล้าองุ่นแดงวันละหนึ่งแก้วช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมได้"

"A glass of red wine a day could help prevent breast cancer."

แล้วคุณก็ไปหาหนังสือพิมพ์นี้มา และสิ่งที่คุณพบ

So you find this paper, and find that it is a real piece of science.

คือมันเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์จริงๆ

It's a description of the changes in the behavior of one enzyme

มันเป็นการอธิบายการเปลี่ยนแปลงของตัวเอนไซม์ตัวหนึ่ง

when you drip a chemical extracted from some red grape skin

เมื่อคุณหยดสารที่สกัดมาจากผิวขององุ่นแดงบางชนิด

ลงบนเซลล์มะเร็งบางตัว

onto some cancer cells

in a dish on a bench in a laboratory somewhere.

ที่อยู่ในจานบนโต๊ะในห้องทดลองที่ไหนก็ได้

And that's a really useful thing to describe in a scientific paper.

และนั่นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์จริงๆที่ได้บรรยายไว้

ในสิ่งตีพิมพ์ทางวิทยาศาสตร์

But on the question of your own personal risk of getting breast cancer

แต่ปัญหาเรื่องความเสี่ยงของตัวคุณเอง

เกี่ยวกับการเป็นมะเร็งเต้านมถ้าคุณดื่มเหล้าองุ่นแดง

if you drink red wine,

มันไม่ได้บอกอะไรคุณเลย

it tells you absolutely bugger all.

จริงๆกลายเป็นว่าความเสี่ยงเรื่องมะเร็งเต้านมของตัวคุณ

Actually, it turns out that your risk of breast cancer

กลับทวีเพิ่มขึ้นอีก

increases slightly with every amount of alcohol you drink.

ด้วยปริมาณของแอลกอฮอล์ที่คุณดื่ม

So what we want are studies in real human people.

ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องการก็คืองานวิจัยกับคนจริงๆ

And here's another example.

และนี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง

This is from Britain's "leading" diet nutritionist in the Daily Mirror,

มาจากนักโภชนาการและควบคุมนํ้าหนักชั้นนำชาวอังกฤษในเดลี่มิเรอร์

ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ที่มียอดขายมากเป็นอันดับสองของเรา

our second-biggest selling newspaper.

"การวิจัยของชาวออสเตรเลียในปี 2001

"An Australian study in 2001 found that olive oil,

พบว่านํ้ามันมะกอกผสมกับผลไม้ ผักและเมล็ดถั่ว

in combination with fruits, vegetables and pulses,

ให้การป้องกันต่อต้านการเหี่ยวย่นของผิวหนังซึ่งวัดผลได้"

offers measurable protection against skin wrinklings,"

แล้วพวกเขาก็ให้คำแนะนำคุณว่า:

and give the advice:

"ถ้าคุณกินนํ้ามันมะกอกและผัก ผิวของคุณจะมีรอยเหี่ยวย่นน้อยลง"

"If you eat olive oil and vegetables, you'll have fewer wrinkles."

และพวกเขาก็บอกคุณอย่างเกื้อกูลว่าจะไปหาบทความนี้ได้อย่างไร

They helpfully tell you how to find the paper,

คุณก็ไปหาบทความนี้มาและสิ่งที่คุณพบก็คือการวิจัยจากการสังเกต

and what you find is an observational study.

เห็นได้ชัดว่าไม่มีผู้ใดสามารถ

Obviously, nobody has been able to go back to 1930,

ย้อนกลับไปถึงปี 1930

ไปเอาคนทุกคนที่เกิดในแผนกคลอดแห่งหนึ่ง

get all the people born in one maternity unit,

and half of them eat lots of fruit and veg and olive oil,

และครึ่งหนึ่งของคนเหล่านั้นกินผลไม้ผักและนํ้ามันมะกอกมาก

แล้วอีกครึ่งหนึ่งกินอาหารจากแม็กโดนัลด์

half of them eat McDonald's,

and then we see how many wrinkles you've got later.

แล้วพบว่าในเวลาต่อมามีคนกี่คนที่ผิวเหี่ยวย่น

คุณต้องเก็บภาพของคนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

You have to take a snapshot of how people are now.

และสิ่งที่คุณพบก็แน่ละ

And what you find is, of course:

คนที่กินผักและนํ้ามันมะกอกมีผิวพรรณที่เหี่ยวย่นน้อยกว่า

people who eat veg and olive oil have fewer wrinkles.

But that's because people who eat fruit and veg and olive oil are freaks --

และนั่นก็เป็นเพราะว่าคนที่กินผลไม้และผักและนํ้ามันมะกอก,

เป็นพวกประหลาด พวกผิดปกติ เหมือนอย่างคุณ

they're not normal, they're like you; they come to events like this.

พวกเขามาร่วมกิจกรรมแบบนี้

(Laughter)

พวกเขาเก๋เท่ รํ่ารวย ไม่น่าจะเป็นพวกทำงานกลางแจ้ง

They're posh, they're wealthy, less likely to have outdoor jobs,

พวกเขาไม่น่าจะเป็นผู้ใช้แรงงาน

less likely to do manual labor,

they have better social support, are less likely to smoke;

พวกเขาได้รับการช่วยเหลือทางสังคมที่ดีกว่า ไม่น่าจะสูบบุหรี่--

ดังนั้นสาเหตุมากมายที่น่าหลงไหล เข้ามาเกี่ยวข้องกัน

for a host of fascinating, interlocking

ทั้งทางด้านสังคม การเมืองและวัฒนธรรม

social, political and cultural reasons,

คนพวกนี้ไม่น่าจะมีผิวที่เหี่ยวย่น

they're less likely to have wrinkles.

นั่นไม่ได้หมายความว่าเป็นเพราะผักหรือนํ้ามันมะกอก

That doesn't mean it's the vegetables or olive oil.

(เสียงหัวเราะ)

(Laughter)

ดังนั้นตามหลักการแล้วสิ่งที่คุณต้องทำคือการทดลอง

So ideally, what you want to do is a trial.

People think they're familiar with the idea of a trial.

และทุกคนคิดว่าพวกเขาคุ้นเคยกับแนวคิดเรื่องการทดลอง

การทดลองเป็นเรื่องเก่ามากๆ การทดลองครั้งแรกอยู่ในคำภีร์ไบเบิล--แดเนียล1:12

Trials are old; the first one was in the Bible, Daniel 1:12.

เป็นเรื่องตรงไปตรงมาอย่างมาก--คุณเอาคนมากลุ่มหนึ่ง แบ่งครึ่ง

It's straightforward: take a bunch of people, split them in half,

คุณจัดการคนกลุ่มหนึ่งด้วยวิธีหนึ่ง อีกกลุ่มหนึ่งด้วยอีกวิธี

treat one group one way, the other group, the other way.

และจากนั้น คุณก็ติดตามผล

A while later, you see what happened to each of them.

และดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับแต่ละคน

ผมจะเล่าให้คุณฟังเกี่ยวกับการทดลองอันหนึ่ง

I'm going to tell you about one trial,

ซึ่งอาจจะเป็นการทดลองที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด

which is probably the most well-reported trial

ในสื่อข่าวของอังกฤษตลอดทศวรรษที่ผ่านมา

in the UK news media over the past decade.

นี่คือการทดลองเรื่องยาเม็ดนํ้ามันปลา

This is the trial of fish oil pills.

และการกล่าวอ้างคือยาเม็ดนํ้ามันปลาช่วยให้การเรียนและพฤติกรรมดีขึ้น

The claim: fish oil pills improve school performance and behavior

กับเด็กในโรงเรียน

in mainstream children.

พวกเขาพูดว่า "เราได้ทำการทดลองแล้ว

They said, "We did a trial.

All the previous ones were positive, this one will be too."

การทดลองก่อนหน้านี้ทั้งหมดมีผลเป็นบวกและเรารู้ว่าการทดลองครั้งนี้จะได้ผลอย่างเดียวกันด้วย"

นั่นควรจะส่งสัญญาณเตือนภัยได้เสมอ

That should ring alarm bells:

เพราะว่าถ้าคุณรู้คำตอบของการทดลองแล้ว ก็ไม่ควรทำการทดลองนั้นอีก

if you know the answer to your trial, you shouldn't be doing one.

คุณอาจจะวางกลอุบายในการออกแบบ

Either you've rigged it by design,

or you've got enough data so there's no need to randomize people anymore.

หรือคุณก็มีข้อมูลอย่างเพียงพออยู่แล้วไม่จำเป็นต้องสุ่มเลือกตัวอย่างอีกต่อไป

ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาจะทำในการทดลองก็คือ

So this is what they were going to do in their trial:

They were taking 3,000 children,

พวกเขาก็เอาเด็กมา 3000คน

they were going to give them these huge fish oil pills, six of them a day,

พวกเขาจะให้เด็กทั้งหมดกินยาเม็ดนํ้ามันปลามากๆ

วันละหกเม็ด

and then, a year later, measure their school exam performance

แล้วหนึ่งปีหลังจากนั้นพวกเขาจะวัดผลการสอบของนักเรียนกลุ่มนี้

and compare their performance

และเปรียบเทียบผลการสอบของเด็ก

against what they predicted their exam performance would have been

กับสิ่งที่พวกเขาคาดไว้ว่าผลการสอบที่เด็กควรจะเป็น

ถ้าเด็กเหล่านั้นไม่ได้กินยา

if they hadn't had the pills.

Now, can anybody spot a flaw in this design?

มีใครเห็นข้อบกพร่องในการออกแบบวิจัยนี้ไหมครับ

(Laughter)

ไม่มีศาสตราจารย์ด้านวิธีการวิจัยเชิงทดลองคนใด

And no professors of clinical trial methodology

are allowed to answer this question.

ได้รับอนุญาตให้ตอบคำถามนี้

So there's no control group.

เห็นได้ว่าไม่มีการควบคุม ไม่มีกลุ่มควบคุม

But that sounds really techie, right? That's a technical term.

แต่ดูเป็นเรื่องของผู้เชี่ยวชาญโดยแท้

นั่นเป็นศัพท์เทคนิค

The kids got the pills, and their performance improved.

พวกเด็กได้กินยา แล้วก็ผลการเรียนดีขึ้น

What else could it possibly be if it wasn't the pills?

มันจะเป็นอย่างอื่นได้ไหมถ้าไม่ใช่ยา?

พวกเด็กเติบโตขึ้น เราทุกคนพัฒนาขึ้นตามกาลเวลา

They got older; we all develop over time.

And of course, there's the placebo effect,

และแน่นอนมีผลที่เกิดขึ้นได้เองโดยไม่ต้องใช้ยาด้วย

one of the most fascinating things in the whole of medicine.

ผลที่เกิดขึ้นได้เองนี้เป็นสิ่งที่มีเสน่ห์ที่สุดอย่างหนึ่งในเรื่องทั้งหมดของยา

มันไม่ใช่เพียงแค่กินยา แล้วสมรรถภาพหรือการเจ็บปวดของคุณจะดีขึ้น

It's not just taking a pill and performance or pain improving;

มันเกี่ยวกับความเชื่อและการคาดหวังของเรา

it's about our beliefs and expectations, the cultural meaning of a treatment.

มันเกี่ยวกับความหมายเชิงวัฒนธรรมของการรักษาโรค

และนี่ได้ถูกแสดงออกมาให้เห็นในการศึกษาวิจัยมากมายที่น่าหลงไหล

And this has been demonstrated in a whole raft of fascinating studies

ซึ่งเปรียบเทียบผลที่เกิดขึ้นเองอย่างหนึ่งกับอีกอย่างหนึ่ง

comparing one kind of placebo against another.

So we know, for example,

เราจึงทราบ ตัวอย่างเช่นว่ายาเม็ดนํ้าตาลวันละสองเม็ด

that two sugar pills a day are a more effective treatment

ให้ผลการรักษาที่ดีในการกำจัดแผลที่กระเพาะอาหาร

for gastric ulcers

กว่ายาเม็ดนํ้าตาลหนึ่งเม็ด

than one sugar pill.

ยาเม็ดนํ้าตาลวันละสองเม็ดได้ผลดีกว่ายาเม็ดนํ้าตาลวันละเม็ด

Two sugar pills a day beats one a day.

และนั่นเป็นการค้นพบที่เหลือทนและน่าขันแต่เป็นความจริง

That's an outrageous and ridiculous finding, but it's true.

We know from three different studies on three different types of pain

เราทราบจากงานวิจัยสามเรื่องเกี่ยวกับอาการเจ็บปวดสามแบบ

ว่าการฉีดนํ้าเกลือเป็นการรักษาอาการเจ็บปวดที่ได้ผล

that a saltwater injection is a more effective treatment

ดีกว่าการกินยาเม็ดนํ้าตาล การกินยาหลอกที่ไม่มีตัวยาในเม็ดยานั้น--

than a sugar pill, a dummy pill with no medicine in it,

not because the injection or pills do anything physically to the body,

มิใช่เพราะว่าการฉีดหรือยาเม็ดได้ทำอะไรกับร่างกายทางกายภาพ

but because an injection feels like a much more dramatic intervention.

แต่เป็นเพราะว่าการฉีดทำให้รู้สึกว่าเป็นการแทรกแซงที่ตื่นเต้นเร้าใจมากกว่า

เราจึงทราบว่าความเชื่อและความคาดหวังของเรา

So we know that our beliefs and expectations can be manipulated,

ถูกควบคุมและนำมาใช้ได้

which is why we do trials where we control against a placebo,

ซึ่งก็คือทำไมเราจึงทำการทดลอง

เมื่อเราควบคุมผลที่เกิดขึ้นได้เอง--

where one half of the people get the real treatment,

เมื่อครึ่งหนึ่งของประชากรได้รับการรักษาจริง

and the other half get placebo.

และอีกครึ่งหนึ่งได้รับยาหลอก

But that's not enough.

แต่นั่นก็ยังไม่พอ

What I've just shown you are examples

สิ่งที่ผมเพิ่งจะแสดงให้คุณเห็นเป็นตัวอย่างของวิธีการง่ายๆและตรงไปตรงมา

of the very simple and straightforward ways

ที่นักหนังสือพิมพ์และพวกเร่ขายอาหารเสริม

that journalists and food supplement pill peddlers and naturopaths

และพวกนักธรรมชาติบำบัด

can distort evidence for their own purposes.

สามารถบิดเบือนหลักฐานเพื่อจุดประสงค์ของตนเอง

What I find really fascinating

สิ่งที่ผมพบว่าน่าหลงไหลจริงๆ

is that the pharmaceutical industry uses exactly the same kinds

ก็คืออุตสาหกรรมผลิตยา

ใช้กลอุบายและเครื่องมือที่เหมือนกันทุกประการ

of tricks and devices,

แต่ในรูปแบบที่ได้รับการปรุงแต่งให้ดูดีขึ้นเล็กน้อย

but slightly more sophisticated versions of them,

in order to distort the evidence they give to doctors and patients,

เพื่อบิดเบือนหลักฐานที่พวกเขาให้แก่แพทย์และคนไข้

และใช้เพื่อการตัดสินใจที่สำคัญยิ่งของเรา

and which we use to make vitally important decisions.

So firstly, trials against placebo:

ดังนั้นอันดับแรก การทดลองเพื่อเทียบกับผลที่เกิดขึ้นได้เอง

ทุกคนคิดว่าเขารู้ว่าการทดลองควรจะเป็น

everybody thinks a trial should be a comparison

การเปรียบเทียบยาตัวใหม่กับผลที่จะเกิดขึ้นได้เอง

of your new drug against placebo.

แต่จริงๆแล้วในหลายๆสถานการณ์สิ่งที่ว่านั้นไม่จริง

But in a lot of situations that's wrong;

เพราะว่าบ่อยครั้งเรามีการรักษาที่ดีมากๆอยู่แล้วในปัจจุบัน

often, we already have a good treatment currently available.

เราจึงไม่ต้องการจะรู้ว่าการรักษาแบบใหม่ของคุณนั้น

So we don't want to know that your alternative new treatment

ดีกว่าไม่มีการรักษาเลย

is better than nothing,

เราต้องการจะรู้ว่ามันดีกว่าการรักษาที่ดีที่สุดที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน

but that it's better than the best available treatment we have.

แต่ซํ้าแล้วคุณจะเห็นคนทำการทดลองอย่างไม่สิ้นสุด

And yet, repeatedly, you consistently see people doing trials

โดยนำมาเทียบกับผลที่เกิดขึ้นได้เอง

still against placebo.

And you can get licensed to bring your drug to market

และคุณก็ได้รับใบอนุญาตให้นำยาของคุณสู่ตลาดได้

with only data showing that it's better than nothing,

โดยมีเพียงข้อมูลที่แสดงว่ามันดีกว่าไม่ใช้ยาเลย

ซึ่งไร้ประโยชน์กับแพทย์อย่างผมซึ่งต้องพยายามตัดสินใจ

which is useless for a doctor like me trying to make a decision.

แต่นั่นไม่ใช่เป็นเพียงวิธีเดียวที่คุณใช้กลอุบายบิดเบือนข้อมูลได้

But that's not the only way you can rig your data.

คุณใช้กลอุบายบิดเบือนข้อมุลได้อีกด้วย

You can also rig your data

โดยทำให้สิ่งที่คุณนำมาเปรียบเทียบกับยาใหม่ของคุณ

by making the thing you compare your new drug against

เป็นสิ่งที่ไร้ค่าจริงๆ

really rubbish.

You can give the competing drug in too low a dose,

คุณสามารถให้ยาคู่แข่งในปริมาณยาที่ตํ่าเกินไป

เพื่อให้ประชากรไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง

so people aren't properly treated.

คุณสามารถให้ยาคู่แข่งในปริมาณยาที่สูงเกินไป

You can give the competing drug in too high a dose,

เพื่อให้ประชากรเกิดอาการข้างเคียงจากยา

so people get side effects.

And this is exactly what happened

และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง

with antipsychotic medication for schizophrenia.

กับยาที่ใช้รักษาทางจิตสำหรับโรคจิตเภท

Twenty years ago, a new generation of antipsychotic drugs were brought in;

20ปีที่แล้วยาร้กษาทางจิตรุ่นใหม่ถูกนำเข้ามา

และคำมั่นสัญญาก็คือมันจะมีผลข้างเคียงของยาน้อยที่สุด

the promise was they would have fewer side effects.

ผู้คนจึงเริ่มทำการทดลองยาใหม่เหล่านี้

So people set about doing trials of the new drugs against the old drugs.

โดยเปรียบกับยาเก่า

But they gave the old drugs in ridiculously high doses:

แต่พวกเขาให้ยาเก่าในปริมาณที่สูงอย่างไม่สมเหตุผล--

ยาฮาโลพิริดอล วันละ 20มิลลิแกรม

20 milligrams a day of haloperidol.

และมันเป็นการสรุปผลก่อนแล้วล่วงหน้า

And it's a foregone conclusion if you give a drug at that high a dose,

ว่าถ้าคุณให้ยาในปริมาณที่สูงขนาดนั้น

it will have more side effects, and your new drug will look better.

มันจะทำให้เกิดผลข้างเคียงและยาตัวใหม่ของคุณก็จะดูดีกว่า

สิบปีที่แล้วประวัติศาสตร์ก็ซํ้ารอยอย่างหน้าสนใจ

Ten years ago, history repeated itself,

เมื่อริสเพริโดน ซึ่งเป็นยารักษาโรคทางจิตรุ่นแรก

when risperidone, the first of the new-generation antipsychotic drugs,

สิ้นสุดการมีลิขสิทธิ์ ดังนั้นใครๆก็ลอกแบบได้

came off copyright, so anybody could make copies.

Everybody wanted to show their drug was better than risperidone,

ทุกคนต้องการแสดงให้เห็นว่ายาของเขาดีกว่าริสเพริโดน,

คุณจึงเห็นได้ว่ามีการทดลองจำนวนมากเพื่อเปรียบเทียบยารักษาโรคทางจิตตัวใหม่

so you see trials comparing new antipsychotic drugs

กับริสเพริดโดนที่วันละแปดมิลลิแกรม

against risperidone at eight milligrams a day.

เหมือนเดิม ไม่ได้ให้ปริมาณยาอย่างบ้าคลั่งหรืออย่างผิดกฎหมาย

Again, not an insane dose, not an illegal dose,

แต่มากในแนวที่สูงกว่าปกติ

but very much at the high end of normal.

ดังนั้นคุณก็มั่นใจว่ามันจะทำให้ยาของคุณดูดีกว่า

So you're bound to make your new drug look better.

ดังนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจว่าโดยรวมแล้ว

And so it's no surprise that overall,

industry-funded trials are four times more likely

การทดลองที่ได้รับเงินอุดหนุนเชิงอุตสาหกรรม

น่าจะให้ผลทางบวกมากกว่าถึงสี่เท่า

to give a positive result

than independently sponsored trials.

กับการทดลองอิสระ

But -- and it's a big but --

แต่--และมันใหญ่แต่--

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

กลายเป็นว่า

it turns out,

when you look at the methods used by industry-funded trials,

เมื่อคุณดูวิธีการที่การทดลองที่ได้ทุนอุดหนุนจากอุตสาหกรรมใช้

เห็นว่าจริงๆมันดี

that they're actually better than independently sponsored trials.

กว่าการทดลองอิสระ

And yet, they always manage to get the result that they want.

แต่มันได้จัดการให้ได้ผลการทดลองที่มันต้องการ

So how does this work?

ทำได้อย่างไร?

(Laughter)

เราจะอธิบายปรากฏการณ์แปลกๆนี้ได้อย่างไร?

How can we explain this strange phenomenon?

Well, it turns out that what happens

ปรากฎว่าสิ่งที่เกิดขึ้น

is the negative data goes missing in action;

คือข้อมูลด้านลบได้หายไปในระหว่างกระบวนการ;

it's withheld from doctors and patients.

มันถูกกันไว้จากแพทย์และคนไข้

And this is the most important aspect of the whole story.

และนี่เป็นด้านสำคัญที่สุดของเรื่องทั้งหมด

มันอยู่บนสุดของพีระมิดของหลักฐาน

It's at the top of the pyramid of evidence.

เราจำเป็นต้องได้หลักฐานทั้งหมดเกี่ยวกับการรักษานั้น

We need to have all of the data on a particular treatment

เพื่อจะทราบว่ามันได้ผลจริงหรือไม่

to know whether or not it really is effective.

มีสองวิธีที่คุณจะพบได้ว่า

There are two different ways you can spot whether some data has gone missing.

ข้อมูลบางอย่างได้หายไปในระหว่างกระบวนการหรือไม่

คุณสามารถใช้สถิติ,หรือใช้เรื่องที่แต่งขึ้น

You can use statistics or you can use stories.

I prefer statistics, so that's what I'll do first.

โดยส่วนตัวผมชอบสถิติมากกว่า ดังนั้นสิ่งนี้แหละที่ผมจะใช้เป็นอันดับแรก

This is a funnel plot.

สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราเรียกว่าฟันนัลพล๊อต (funnel plot)

A funnel plot is a very clever way of spotting

และฟันนัลพล๊อตเป็นวิธีการอันชาญฉลาดในการค้นหา

if small negative trials have disappeared, have gone missing in action.

การทดลองที่มีผลเป็นลบจำนวนน้อยที่หายไป,ได้หายไปในระหว่างกระบวนการ

This is a graph of all of the trials done on a particular treatment.

และนี่คือกราฟของการทดลองทั้งหมด

ที่ได้ทำไปแล้วเกี่ยวกับการรักษาอย่างหนึ่ง

As you go up towards the top of the graph,

และเมื่อคุณมองขึ้นไปสู่ส่วนบนของกราฟ

what you see is each dot is a trial.

สิ่งที่คุณเห็นคือแต่ละจุดคือการทดลองหนึ่งครั้ง

As you go up, those are bigger trials, so they've got less error;

และเมื่อคุณมองดู พวกนั้นเป็นการทดลองที่ใหญ่กว่า พวกนั้นจึงมีความผิดพลาดน้อยกว่า

they're less likely to be randomly false positives or negatives.

การทดลองเหล่านั้นจึงมีความเป็นไปได้น้อยกว่าที่จะเป็นผลบวกเท็จหรือผลลบเท็จ

So they all cluster together.

พวกนั้นจึงเกาะกลุ่มกันอยู่

The big trials are closer to the true answer.

การทดลองใหญ่ๆเข้าใกล้คำตอบที่เป็นจริง

Then as you go further down at the bottom,

แล้วถ้าคุณมองลงไปที่ด้านล่าง

what you can see is, on this side, spurious false negatives,

สิ่งที่คุณเห็นก็คือ ตรงด้านนี้ ผลด้านลบเท็จที่หลอกลวง

and over on this side, spurious false positives.

และตรงด้านนี้ ผลด้านบวกเท็จที่หลอกลวง

ถ้ามีอคติจากการตีพิมพ์

If there is publication bias,

ถ้าการทดลองจำนวนน้อยได้หายไปในกระบวนการ

if small negative trials have gone missing in action,

you can see it on one of these graphs.

คุณเห็นมันได้บนกราฟหนึ่งในบรรดากราฟเหล่านี้

So you see here that the small negative trials

คุณจึงเห็นได้ตรงนี้ว่าการทดลองที่มีผลเป็นลบจำนวนน้อย

that should be on the bottom left have disappeared.

ที่ควรจะอยู่ตรงด้านล่างซ้ายมือได้หายไป

นี่เป็นกราฟที่แสดงให้เห็นว่ามีอคติจากการตีพิมพ์

This is a graph demonstrating the presence of publication bias

ได้จากการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับอคติจากการตีพิมพ์

in studies of publication bias.

และผมคิดว่านั่นเป็นเรื่องตลกด้านระบาดวิทยาที่น่าขำที่สุด

And I think that's the funniest epidemiology joke you will ever hear.

ที่คุณเคยได้ยินมา

(Laughter)

นั่นเป็นเรื่องที่เราจะพิสูจน์ทางสถิติได้อย่างไร

That's how you can prove it statistically.

แล้วเกี่ยวกับเรื่องที่แต่งขึ้นเล่า?

But what about stories?

Well, they're heinous, they really are.

มันเลวร้าย เลวร้ายจริงๆ

This is a drug called reboxetine.

นี่คือยาตัวหนึ่งชื่อว่า รีบ๊อกซิทีน

This is a drug which I, myself, have prescribed to patients.

เป็นยาที่ผมเองเคยสั่งให้คนไข้

และผมเป็นแพทย์ที่ทึ่มมากๆ

And I'm a very nerdy doctor.

I hope I go out of my way

ผมหวังว่าผมพยายามจะออกจากวิถีนี้ได้โดยพยายามและอ่านทำความเข้าใจหนังสือทั้งมวล

to try and read and understand all the literature.

ผมอ่านการทดลองเรื่องนี้ มันมีผลทางบวกทั้งหมด มันเป็นงานที่ได้ทำไว้อย่างดี

I read the trials on this.

They were all positive, all well-conducted.

ผมไม่พบข้อบกพร่อง

I found no flaw.

โชคไม่ดี กลายเป็นว่า

Unfortunately, it turned out, that many of these trials were withheld.

การทดลองหลายครั้งถูกเก็บกลบไว้

In fact, 76 percent of all of the trials that were done on this drug

จริงๆแล้ว ร้อยละ 76

ของการทดลองทั้งหมดที่ทำเรื่องยาตัวนี้

ถูกกันไว้จากแพทย์และคนไข้

were withheld from doctors and patients.

ถ้าคุณคิดถึงเรื่องนี้

Now if you think about it,

if I tossed a coin a hundred times,

ถ้าผมโยนเหรียญร้อยครั้ง

and I'm allowed to withhold from you the answers half the times,

และผมได้รับอนุญาตให้กันไว้จากคุณ

ผลลัพธ์ที่ได้ไว้ครึ่งหนึ่ง

then I can convince you that I have a coin with two heads.

แล้วผมก็ทำให้คุณเชื่อได้

ว่าเหรียญของผมมีสองด้าน

If we remove half of the data,

ถ้าเราเอาข้อมูลออกไปครึ่งหนึ่ง,

we can never know what the true effect size of these medicines is.

เราจะไม่ทราบเลยว่าขนาดของผลการใช้ยาเหล่านี้ที่แท้จริงเป็นอย่างไร

และนี่ไม่ใช่เพียงเรื่องเดียว

And this is not an isolated story.

ประมาณครึ่งหนึ่งของข้อมูลการทดลองทั้งหมดของยาต้านอาการซึมเศร้าถูกปิดบังไว้

Around half of all of the trial data on antidepressants has been withheld,

แต่เรื่องไปไกลกว่านั้น

but it goes way beyond that.

The Nordic Cochrane Group were trying to get ahold of the data on that

กลุ่มนอร์ดิกค๊อกเครน(Nordic Cochrane Group) พยายามให้ได้มาซึ่งข้อมูลเรื่องนั้น

เพื่อนำทั้งหมดมารวมกัน

to bring it all together.

กลุ่มค๊อกเครนเป็นการร่วมมือระหว่างประเทศที่ไม่หวังผลกำไร

The Cochrane Groups are an international nonprofit collaboration

ที่ได้ให้ผลการตรวจสอบอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับข้อมูลทั้งมวลที่เคยถูกนำมาแสดง

that produce systematic reviews

of all of the data that has ever been shown.

พวกเขาจำเป็นต้องเข้าสู่ข้อมูลการทดลองทั้งหมด

And they need to have access to all of the trial data.

แต่บริษัทเหล่านั้นกันข้อมูลนั้นจากพวกเขา

But the companies withheld that data from them.

So did the European Medicines Agency --

เช่นเดียวกับที่สำนักงานยายุโรป(European Medicines Agency)ปฎิบัติ

เป็นเวลานานสามปี

for three years.

This is a problem that is currently lacking a solution.

นี่เป็นปัญหาที่ปัจจุบันยังขาดการแก้ไข

And to show how big it goes, this is a drug called Tamiflu,

และเพื่อจะแสดงให้เห็นว่าปัญหาใหญ่แค่ไหน,นี่เป็นยาชื่อว่าทามิฟลู(Tamiflu)

which governments around the world

ซึ่งรัฐบาลทั่วโลก

have spent billions and billions of dollars on.

ได้ใช้เงินเป็นล้านๆดอลลาร์

พวกเขาได้ใช้เงินเหล่านั้นไปเพื่อคำมั่นสัญญา

And they spend that money on the promise that this is a drug

ว่านี่เป็นตัวยาที่จะลดอัตราการเกิด

which will reduce the rate of complications with flu.

อาการข้างเคียงของไข้หวัดใหญ่

เราได้ข้อมูลมาเรียบร้อยแล้ว

We already have the data

showing it reduces the duration of your flu by a few hours.

ที่แสดงว่ามันลดระยะเวลาของอาการหวัดได้เพียงแค่ไม่กี่ชั่งโมง

แต่จริงๆแล้วผมไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น รัฐบาลต่างๆก็ไม่ห่วงเรื่องนั้น

But I don't care about that, governments don't care.

ผมเสียใจมากถ้าคุณเป็นไข้หวัดใหญ่ ผมรู้ว่ามันแย่

I'm sorry if you have the flu, I know it's horrible,

แต่เราจะไม่ใช้เงินเป็นล้านๆดอลลาร์

but we're not going to spend billions of dollars

เพื่อพยายามลดช่วงเวลาของอาการไข้หวัดใหญ่ของคุณ

trying to reduce the duration of your flu symptoms by half a day.

เพียงครึ่งวัน

We prescribe these drugs.

เราสั่งยาเหล่านี้ เราเก็บสะสมยาเหล่านั้นไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน

We stockpile them for emergencies

เพราะเข้าใจว่ามันจะลดอาการแทรกซ้อนต่างๆ

on the understanding they'll reduce the number of complications,

ซึ่งได้แก่โรคปอดบวมซึ่งหมายถึงความตาย

which means pneumonia and death.

กลุ่มค๊อกเครนที่เกี่ยวกับโรคติดต่อ ซึ่งมีฐานการปฏิบัติงานในอิตาลี

The infectious diseases Cochrane Group, which are based in Italy,

ได้พยายามให้ได้มาซึ่ง

has been trying to get the full data in a usable form

ข้อมูลทั้งหมดในรูปที่จะนำมาใช้การได้จากบริษัทยา

out of the drug companies,

เพื่อที่ว่าจะสามารถตัดสินใจได้อย่างเต็มที่

so they can make a full decision

about whether this drug is effective or not,

ว่ายานี้ใช้ได้ผลดีหรือไม่

and they've not been able to get that information.

แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถได้ข้อมูลนั้นมา

This is undoubtedly the single biggest ethical problem

เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่า

เป็นปัญหาด้านจริยธรรมที่ใหญ่ที่สุดปัญหาเดียว

facing medicine today.

ที่การแพทย์ต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบัน

เราไม่สามารถตัดสินใจได้

We cannot make decisions in the absence of all of the information.

เมื่อข้อมูลทั้งหมดขาดหายไป

So it's a little bit difficult from there

ดังนั้นมันจึงยากอยู่บ้างต่อจากนั้น

to spin in some kind of positive conclusion.

ที่จะให้ได้มาซึ่งข้อสรุปเชิงบวกบางอย่าง

แต่ผมอยากจะพูดอย่างนี้:

But I would say this:

I think that sunlight

ผมคิดว่าแสงอาทิตย์

is the best disinfectant.

เป็นยาฆ่าเชื่อโรคที่ดีที่สุด

เห็นได้ชัดเจนว่าเรื่องทั้งหมดนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่

All of these things are happening in plain sight,

and they're all protected by a force field of tediousness.

และมันถูกปกป้องไว้ทั้งหมด

โดยสนามพลังของความเบื่อหน่าย

And I think, with all of the problems in science,

และผมคิดว่า,พร้อมกับปัญหาเรื่องวิทยาศาสตร์ทั้งหมด

สิ่งที่ดีที่สุดสิ่งหนึ่งที่เรากระทำได้

one of the best things that we can do

is to lift up the lid, finger around at the mechanics

คือยกฝาที่ครอบมันไว้ขึ้น

ตรวจสอบวิธีดำเนินการรอบๆแล้วมองเข้าไปข้างใน

and peer in.

ขอบคุณมากครับ

Thank you very much.

(Applause)

(เสียงปรบมือ)