Innovating to zero! | Bill Gates

Translator: Heartfelt Grace Reviewer: Sritala Dhanasarnsombut

I'm going to talk today about energy and climate.

วันนี้ผมจะพูดถึงเรื่องของพลังงานและสภาพภูมิอากาศ

And that might seem a bit surprising,

อาจจะแปลกอยู่สักหน่อยเพราะว่า

because my full-time work at the foundation

งานหลักของผมที่มูลนิธิส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับพวกวัคซีนหรือไม่ก็เมล็ดพันธุ์พืช

is mostly about vaccines and seeds,

about the things that we need to invent and deliver

แล้วก็ออกไปในทางประดิษฐ์คิดค้นและเผยแพร่นำไปใช้

to help the poorest two billion live better lives.

เพื่อช่วยให้กลุ่มคนที่จนที่สุดในโลกสองพันล้านคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

But energy and climate are extremely important to these people;

แต่ว่าพลังงานและสภาพภูมิอากาศมีความสำคัญต่อคนกลุ่มนี้เป็นอย่างยิ่งครับ

in fact, more important than to anyone else on the planet.

จริงๆแล้ว มันสำคัญต่อพวกเขามากกว่าต่อใครในโลกก็ว่าได้

The climate getting worse means that many years, their crops won't grow:

การที่สภาพภูมิอากาศแย่ลงย่อมหมายถึงการสูญเสียผลิตผลทางการเกษตรไปหลายปี

there will be too much rain, not enough rain;

ฝนมักตกมากเกินไป หรือไม่ก็ตกไม่เพียงพอ

things will change in ways their fragile environment simply can't support.

อะไรๆก็เปลี่ยนไปในทางที่

สภาพแวดล้อมที่แสนจะเปราะบางจะรับมือต่อไปอีกไม่ไหว

And that leads to starvation, it leads to uncertainty, it leads to unrest.

ซึ่งทำให้เกิดภาวะอดอยาก ความไม่แน่นอน และเกิดสถานการณ์ที่ไม่สงบ

So, the climate changes will be terrible for them.

ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้พวกเขาย่ำแย่ลง

Also, the price of energy is very important to them.

ราคาพลังงานก็สำคัญสำหรับพวกเขาเช่นกัน

In fact, if you could pick just one thing

ที่จริง ถ้าเราสามารถเลือกลดราคาอะไรก็ตามลงได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

to lower the price of to reduce poverty, by far you would pick energy.

ที่จะลดปัญหาความยากจน เท่าที่เห็น สิ่งนั่นก็คือ พลังงาน

Now, the price of energy has come down over time.

จริงๆแล้ว พลังงานมีราคาถูกลงเรื่อยๆครับ

Really advanced civilization is based on advances in energy.

ที่จริง อารยธรรมเจริญก้าวหน้าได้อาศัยการพัฒนาทางพลังงานเป็นหลัก

การปฏิวัติเชื้อพลิงถ่านหินเป็นแรงส่งให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม

The coal revolution fueled the Industrial Revolution,

and, even in the 1900s, we've seen a very rapid decline

แม้แต่ในช่วงทศวรรษที่ 1900 เราก็เ็ห็นได้ว่าค่าไฟฟ้าลดต่ำลงอย่างก้าวกระโดด

in the price of electricity,

and that's why we have refrigerators, air-conditioning;

ซึ่งก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงมีตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ

we can make modern materials and do so many things.

เราสามารถสร้างวัสดุสมัยใหม่ต่างๆนานาและทำอะไรต่อมิอะไรได้อีกหลายอย่าง

And so, we're in a wonderful situation with electricity in the rich world.

กล่าวได้ว่าเราอยู่ยุคที่สะดวกสบายมีไฟฟ้าใช้อยู่ในโลกอันมั่งคั่ง

But as we make it cheaper -- and let's say,

ก็ในเมื่อเราทำให้พลังงานมีราคาถูกลงได้ -- งั้นมาทำให้มันถูกลงอีกครึ่งหนึ่งเลยดีกว่า --

let's go for making it twice as cheap --

we need to meet a new constraint,

เรามีข้อจำกัดอย่างใหม่

เป็นเรื่องของ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)

and that constraint has to do with CO2.

CO2 ทำให้โลกร้อนขึ้น

CO2 is warming the planet,

และสมการสำหรับ CO2 ความจริงแล้วเป็นอะไรที่ตรงตัวมากๆ

and the equation on CO2 is actually a very straightforward one.

If you sum up the CO2 that gets emitted,

หากเรารวมปริมาณการปล่อย CO2 ทั้งหมด

that leads to a temperature increase,

ซึ่งเป็นตัวการทำให้อุณภูมิของโลกสูงขึ้น

and that temperature increase leads to some very negative effects:

และอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นก็ทำให้เกิดผลกระทบเิชิงลบ

the effects on the weather; perhaps worse, the indirect effects,

ผลกระทบถึงสภาพอากาศ และที่อาจแย่ไปกว่านั้นคือ ผลกระทบทางอ้อม

ซึ่งเมื่อระบบนิเวศน์ไม่สามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ได้

in that the natural ecosystems can't adjust to these rapid changes,

and so you get ecosystem collapses.

เราก็จะได้ออกมาเป็นระบบนิเวศน์ที่พังพินาศ

Now, the exact amount of how you map from a certain increase of CO2

ผลกระทบที่เราวัดจาก

การเพิ่มขึ้นของ CO2 ที่ส่งผลให้อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น

to what temperature will be, and where the positive feedbacks are --

และพื้นที่ๆจะมีผลย้อนกลับแบบทบเท่าทวีคูณ

there's some uncertainty there, but not very much.

จะมีความไม่แน่นอนอยู่ด้วย แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่

And there's certainly uncertainty about how bad those effects will be,

และแน่นอนว่าจะมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความเสียหายที่จะเกิดจากผลกระทบ

but they will be extremely bad.

แต่ว่าความเสียหายนั้นหนักหนาสาหัสมากครับ

I asked the top scientists on this several times:

ผมเคยถามนักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าหลายครั้ง

Do we really have to get down to near zero?

ว่าพวกเราจำเป็นต้องลดการปล่อย CO2 ให้ลงไปใกล้ๆศูนย์จริงเหรอ

Can't we just cut it in half or a quarter?

แค่ควบคุมให้ลดลงมาครึ่งหนึ่งหรือสักหนึ่งในสี่ได้ไหม?

And the answer is, until we get near to zero,

คำตอบก็คือ ถ้าเราไม่ลดลงไปจนใกล้ศูนย์

the temperature will continue to rise.

อุณหภูมิก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

And so that's a big challenge.

ฉะนั้น นี่เป็นความท้าทายครั้งใหญ่ครับ

It's very different than saying,

มันแตกต่างมากกับการที่เราบอกว่าเราจะขับรถบรรทุกสูง 12 ฟุตให้ลอดใต้สะพานสูง 10 ฟุต

"We're a twelve-foot-high truck trying to get under a ten-foot bridge,

แล้วเราก็จะเข้าไปโดนบีบอัดอยู่ใต้นั้น

and we can just sort of squeeze under."

This is something that has to get to zero.

นี่เป็นอะไรที่จะต้องกำจัดให้เป็นศูนย์

Now, we put out a lot of carbon dioxide every year --

ขณะนี้ เราปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากมายในแต่ละปี

over 26 billion tons.

กว่า 26 พันล้านตัน

For each American, it's about 20 tons.

สำหรับคนอเมริกัน ก็ราวๆ 20 ตันต่อคน

For people in poor countries, it's less than one ton.

สำหรับประชากรในประเทศยากจน ก็ต่ำกว่า 1 ตันต่อคน

It's an average of about five tons for everyone on the planet.

เฉลี่ยประมาณ 5 ตันต่อทุกๆคนที่อยู่บนโลกใบนี้ครับ

And somehow, we have to make changes that will bring that down to zero.

และจะด้วยวิธีใดก็ตาม เราต้องปรับเปลี่ยน

ให้กลายเป็นศูนย์

It's been constantly going up.

ที่ผ่านมา CO2 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง

มีเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจหลายเหตุการณ์ที่ทำให้คงตัวอยู่บ้าง

It's only various economic changes that have even flattened it at all,

so we have to go from rapidly rising to falling,

ฉะนั้น เราต้องปรับจากการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ไปเป็นการลดลงจนกลายเป็นศูนย์

and falling all the way to zero.

This equation has four factors, a little bit of multiplication.

สมการนี้มีตัวแปรหรือปัจจัยอยู่สี่อย่างครับ

คูณกันไปมานิดหน่อย

So you've got a thing on the left, CO2, that you want to get to zero,

ทางซ้ายมือนี่ก็จะเป็น CO2 ที่เราอยากทำให้กลายเป็นศูนย์

ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับจำนวนประชากร

and that's going to be based on the number of people,

the services each person is using on average,

กิจกรรมการอุปโภคบริโภคของแต่ละคนโดยเฉลี่ย

the energy, on average, for each service,

พลังงานโดยต่อเฉลี่ยต่อกิจกรรมการอุปโภคบริโภค

and the CO2 being put out per unit of energy.

และปริมาณ CO2 ต่อหน่วยพลังงาน

So let's look at each one of these,

เราลองมาดูกันทีละตัว

and see how we can get this down to zero.

และดูว่าเราจะลดลงให้ถึงศูนย์ได้ยังไงนะครับ

Probably, one of these numbers is going to have to get pretty near to zero.

บางที ตัวเลขตัวใดตัวหนึ่งอาจจะต้องลดลงมาให้เหลือใกล้ๆศูนย์

(Laughter)

เป็นพีชคณิตระดับมัธยม

That's back from high school algebra.

But let's take a look.

ทีนี้ก็ลองมาดูกัน

First, we've got population.

แรกสุด เรามีประชากร

The world today has 6.8 billion people.

โลกวันนี้มีประชากรอยู่ 6.8 พันล้านคน

That's headed up to about nine billion.

ซึ่งจะเพิ่มขึ้นเป็น 9 พันล้านคน

Now, if we do a really great job on new vaccines,

ถ้าเราประสบความสำเร็จในการประดิษฐ์คิดค้นวัคซีนใหม่ใช้

health care, reproductive health services,

ในการสาธารณสุข ในบริการอนามัยเจริญพันธุ์

เราก็จะลดอัตราการเสียชีวิตลงมาได้อีก อาจจะสักร้อยละ 10 หรือ 15

we could lower that by, perhaps, 10 or 15 percent.

But there, we see an increase of about 1.3.

ซึ่งก็จะทำให้ตรงนี้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1.3

The second factor is the services we use.

ปัจจัยที่สองก็คือกิจกรรมการอุปโภคบริโภค

This encompasses everything:

อันนี้นำหน้าทุกๆอย่าง

the food we eat, clothing, TV, heating.

อาหารที่เรากิน เสื้อผ้า ทีวี เครื่องทำความร้อน

พวกนี้เป็นสิ่งที่ดีๆทั้งนั้น

These are very good things.

Getting rid of poverty means providing these services

และการกำจัดความยากจนหมายถึงการให้ิสิ่งพวกนี้

to almost everyone on the planet.

กับแทบทุกๆคนบนโลก

And it's a great thing for this number to go up.

และเป็นเรื่องดีมากที่ตัวเลขตรงนี้เพิ่มสูงขึ้น

In the rich world, perhaps the top one billion,

สำหรับผู้ที่มีความมั่งคั่ง อาจจะพันล้านคนแรก

we probably could cut back and use less,

เราอาจจะงดและลดการอุปโภคบริโภคลง

but every year, this number, on average, is going to go up,

แต่ทุกๆปี ตัวเลขตัวนี้ โดยเฉลี่ยแล้วจะเพิ่มสูงขึ้น

ดังนั้น ในภาพรวมแล้ว ก็จะทำให้การอุปโภคบริโภค

and so, overall, that will more than double

the services delivered per person.

ต่อคนเพิ่มขึ้นอีกกว่าสองเท่า

Here we have a very basic service:

ที่นี่ มีแต่กิจกรรมอุปโภคบริโภคขั้นมูลฐานครับ

Do you have lighting in your house to be able to read your homework?

เรามีแสงสว่างในบ้านสำหรับไว้ให้อ่านหนังสือทำการบ้านไหม

And, in fact, these kids don't,

และในความเป็นจริงแล้ว เด็กๆพวกนี้ไม่มีครับ พวกเขาก็เลยต้องออกไป

so they're going out and reading their schoolwork

อ่านหนังสือทำการบ้านใต้เสาไฟฟ้าริมถนน

under the street lamps.

Now, efficiency, "E," the energy for each service --

ตอนนี้มาถึงประสิทธิภาพ หรือ อี (E) คือ พลังงานที่ใช้ในกิจกรรมการอุปโภคบริโภคแต่ละประเภท

here, finally we have some good news.

อันนี้ ในที่สุดเราก็มีข่าวดีครับ

We have something that's not going up.

เรามีอะไรบางอย่างที่ไม่เพิ่มสูงขึ้น

Through various inventions and new ways of doing lighting,

ด้วยการประดิษฐ์คิดค้นและวิธีการใหม่ในการให้แสงสว่าง

through different types of cars, different ways of building buildings --

ด้วยรถยนต์แบบต่างๆ ด้วยวิธีการก่อสร้างอาคารหลายๆวิธี

there are a lot of services

มีอะไรมากมายที่เราสามารถทำให้

where you can bring the energy for that service down

เกิดการใช้พลังงานให้น้อยที่สุดได้

quite substantially.

Some individual services even bring it down by 90 percent.

กิจกรรมบางอย่างอาจจะลดการใช้พลังงานลงได้ถึงร้อยละ 90

There are other services, like how we make fertilizer,

กิจกรรมอื่นๆเช่น เราผลิตปุ๋ยอย่างไร

หรือเราเดินทางทางอากาศอย่างไร

or how we do air transport,

where the rooms for improvement are far, far less.

ซึ่งมีช่องให้เราปรับปรุงได้น้อยกว่ามาก

And so overall, if we're optimistic, we may get a reduction

ดังนั้น ภาพรวมตรงนี้ ถ้าเราคิดในแง่ดี

เราอาจจะลดลงมาได้ 1/3 หรือบางทีอาจจะ 1/6

of a factor of three to even, perhaps, a factor of six.

But for these first three factors now,

แต่สำหรับปัจจัย 3 ตัวแรก

we've gone from 26 billion to, at best, maybe 13 billion tons,

เราเริ่มจากอย่างเก่งก็ 26 พันล้าน มาเป็นอาจจะสัก 13 พันล้าน

and that just won't cut it.

ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่การตัดทิ้งออกไปไหน

So let's look at this fourth factor -- this is going to be a key one --

คราวนี้ลองมาดูปัจจัยตัวที่สี่

ซึ่งจะเป็นหัวใจหลัก

and this is the amount of CO2 put out per each unit of energy.

นี่เป็นปริมาณ CO2 ที่ปล่อยจากพลังงานแต่ละหน่วย

So the question is: Can you actually get that to zero?

คำถามก็คือ เราสามารถทำให้กลายเป็นศูนย์ได้จริงๆหรือเปล่า?

If you burn coal, no.

ถ้าเราใช้ถ่านหิน คำตอบคือ ไม่ได้

If you burn natural gas, no.

ถ้าเราใช้ก๊าซธรรมชาติ ก็ไม่ได้อีก

Almost every way we make electricity today,

เกือบจะทุกวิธีที่เราใช้ผลิตไฟฟ้าทุกวันนี้

except for the emerging renewables and nuclear, puts out CO2.

ปล่อย CO2 กันหมด ยกเว้นพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่งมีมาใหม่กับพลังงานนิวเคลียร์

And so, what we're going to have to do at a global scale,

ถ้าอย่างนั้น สิ่งที่เราต้องทำในระดับโลก

is create a new system.

คือสร้างระบบขึ้นมาใหม่

So we need energy miracles.

เพราะฉะนั้น เราจำเป็นจะต้องสร้างปาฏิหาริย์ทางพลังงาน

Now, when I use the term "miracle," I don't mean something that's impossible.

เมื่อผมใช้คำว่า ปาฏิหาริย์ ผมไม่ได้หมายถึงอะไรที่เป็นไปไม่ได้นะครับ

ไมโครโพรเซสเซอร์ (microprocessor) คือ ปาฏิหาริย์ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลคือ ปาิฏิหาริย์

The microprocessor is a miracle.

The personal computer is a miracle.

The Internet and its services are a miracle.

อินเตอร์เน็ตและบริการอินเตอร์เน็ต คือ ปาฏิหาริย์

So the people here have participated in the creation of many miracles.

ถ้างั้น ก็นับได้ว่าคนที่อยู่ที่นี่ได้ร่วมสร้างปาฏิหาริย์มากมาย

Usually, we don't have a deadline

โดยทั่วไป เราไม่มีกำหนดเวลา

where you have to get the miracle by a certain date.

ที่เราจะต้องสร้างปาฏิหาริย์ให้สำเร็จภายในวันเวลาที่ระบุ

Usually, you just kind of stand by, and some come along, some don't.

โดยทั่วไป เราก็แค่รอๆดูๆไป ปาฏิหาริย์บางอย่างก็มาเอง บางอย่างก็ไม่

This is a case where we actually have to drive at full speed

แต่นี่เป็นกรณีที่พวกเราจะต้องช่วยกันขับเคลื่อนเต็มอัตรากำลัง

and get a miracle in a pretty tight timeline.

เพื่อสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นให้ได้ในเวลาจำกัดจำเขี่ย

Now, I thought, "How could I really capture this?

ผมเคยนึกอยู่ว่าผมจะจับสาระของมันจริงๆออกมานำเสนอได้ยังไง

Is there some kind of natural illustration,

พอจะมีตัวอย่างที่ธรรมชาติสร้างไว้อยู่บ้างไหม

some demonstration that would grab people's imagination here?"

พอจะมีการสาธิตแบบไหนที่จะดึงจินตนาการของผู้คนที่นี่ออกมา

I thought back to a year ago when I brought mosquitoes,

ผมนึกย้อนไปสักปีนึงที่ผ่านมาตอนที่ผมเอายุงมาด้วย

and somehow people enjoyed that.

แล้วจะด้วยอะไรก็แล้วแต่ ผู้คนสนุกสนานกับมันมาก

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

It really got them involved in the idea of, you know,

มันทำให้พวกเขาได้มีส่วนร่วมรู้คิดว่า

มีคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับสภาพที่มีแต่ยุง

there are people who live with mosquitoes.

With energy, all I could come up with is this.

ถ้างั้น พอถึงเรื่องพลังงาน เท่าที่ผมพอจะนึกออกก็คืออันนี้

I decided that releasing fireflies

ผมตกลงใจว่า การปล่อยหิ่งห้อย

would be my contribution to the environment here this year.

จะเป็นการที่ผมมีส่วนร่วมในการพิทักษ์รักษาสิ่งแวดล้อมของที่นี่ในปีนี้

So here we have some natural fireflies.

เพราะงั้น เรามีหิ้งห้อยจากธรรมชาติอยู่นี่จำนวนนึง

I'm told they don't bite; in fact, they might not even leave that jar.

เขาบอกผมว่ามันไม่กัดครับ ในความเป็นจริงแล้ว มันอาจจะไม่แม้กระทั่งออกจากขวดนี่

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

มีวิธีแก้ปัญหาที่มีกลเม็ดเด็ดพรายอย่างอันเีนี่ยอยู่เต็มไปหมดครับ

Now, there's all sorts of gimmicky solutions like that one,

but they don't really add up to much.

แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมาสักเท่าไหร่

We need solutions, either one or several,

เราจำเป็นต้องหาวิธีแก้ปัญหา จะวิธีเดียวหรือหลายๆวิธี

that have unbelievable scale and unbelievable reliability.

ในระดับมหภาค

และก็ต้องเชื่อถือได้อย่างมากด้วย

And although there's many directions that people are seeking,

และถึงแม้ว่าจะมีหลายๆหนทางที่คนเราหากันอยู่

I really only see five that can achieve the big numbers.

ผมเห็นจริงๆแค่ห้าหนทางที่จะแก้ปัญหาในระดับใหญ่ได้

I've left out tide, geothermal, fusion, biofuels.

ที่ผมยังไม่ได้พูดถึงก็คือ คลื่นสมุทร ความร้อนใต้พิภพ นิวเคลียร์ฟิวชั่น เชื้อเพลิงชีวภาพ

Those may make some contribution,

หนทางพวกนี้อาจจะมีส่วนในการแก้ปัญหา

and if they can do better than I expect, so much the better.

และถ้าหนทางพวกนี้มีส่วนแก้ปัญหามากกว่าที่ผมคิดไว้ ดีกว่าที่คิดไว้มากๆ

แต่จุดสำคัญ

But my key point here is that we're going to have to work on

คือ เราจะต้องหาทางนำแต่ละหนทางทั้งห้าไปใช้

each of these five,

and we can't give up any of them because they look daunting,

และเราจะต้องไม่เลิกล้มอันใดอันหนึ่งเพียงเพราะมันดูน่าพรั่นพรึง

because they all have significant challenges.

เพราะว่าหนทางเหล่านี้ต่างก็มีความท้าทายที่มีนัยยะสำคัญด้วยกันทั้งนั้น

Let's look first at burning fossil fuels,

ก่อนอื่น เราลองมาดูการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล

either burning coal or burning natural gas.

ไม่ว่าจะเป็นการเผาไหม้ถ่านหินหรือการเผาไหม้ก๊าซธรรมชาติ

What you need to do there seems like it might be simple, but it's not.

สิ่งที่เราต้องทำอาจจะดูง่ายๆแต่จริงๆแล้วไม่ง่ายเลยครับ

นั่นก็คือจะต้องเอา CO2 ทั้งหมดหลังจากที่เราเผาไหม้ออกมาจากปล่องควัน

And that's to take all the CO2,

after you've burned it, going out the flue,

pressurize it, create a liquid, put it somewhere,

อัดความดันทำให้กลายเป็นของเหลวแล้วเอาไปเก็บไปที่ไหนสักแห่ง

and hope it stays there.

แล้วก็หวังว่ามันจะอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆ

Now, we have some pilot things

ตอนนี้เรามีโครงการนำร่องแล้วที่ทำแบบนี้แล้วที่ทำได้ในอัตราร้อยละ 60 - 80

that do this at the 60 to 80 percent level.

But getting up to that full percentage -- that will be very tricky.

แต่การจะทำให้ได้เต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นเรื่องยากมาก

And agreeing on where these CO2 quantities should be put will be hard,

แล้วการที่จะตกลงกันได้ว่าจะเอา CO2 พวกนี้ไปไว้ไหนก็เป็นเรื่องยากอีก

but the toughest one here is this long-term issue:

แต่ที่ยากที่สุดก็คือประเด็นในระยะยาว

Who's going to be sure?

ใครหละจะแน่ใจ?

Who's going to guarantee

ใครหละจะมารับประกันสิ่งที่ขนาดใหญ่เป็นพันล้านเท่ากว่า

something that is literally billions of times larger

than any type of waste you think of in terms of nuclear or other things?

ขยะประเภทใดที่เราพอจะนึกออกที่มาจากนิวเคลียร์หรือจากอย่างอื่นๆ

This is a lot of volume.

มันจะมีปริมาตรใหญ่มาก

So that's a tough one.

ดังนั้น นั่นเป็นอันหนึ่งที่ยากสาหัสอยู่

Next would be nuclear.

อันต่อไปก็คือพลังงานนิวเคลียร์

It also has three big problems:

ซึ่งมีปัญหาอยู่ 3 ข้อใหญ่

cost, particularly in highly regulated countries, is high;

ต้นทุนสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่กฏระเบียบเคร่งครัด

the issue of safety, really feeling good about nothing could go wrong,

ประเด็นความปลอดภัย ความรู้สึกสบายใจจริงๆว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น

that, even though you have these human operators,

ถึงแม้ว่าเราจะมีคนเป็นผู้ควบคุมการทำงานของเครื่อง

the fuel doesn't get used for weapons.

เชื้อเพลิงจะไม่ถูกนำไปใช้ทำเป็นขีปนาวุธ

And then what do you do with the waste?

ข้อต่อไปก็คือเราจะทำยังไงกับกากนิวเคลียร์

Although it's not very large, there are a lot of concerns about that.

ถึงแม้ว่ามันจะมีปริมาณไม่มาก แต่ก็มีความประพรั่นหวั่นวิตกเกี่ยวกับเรื่องนี้

ผู้คนจะต้องรู้สึกดีรู้สึกสบายใจเกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์เสียก่อน

People need to feel good about it.

So three very tough problems that might be solvable,

ปัญหาใหญ่ทั้งสามอาจจะมีหนทางแก้ไข

and so, should be worked on.

และเพราะฉะนั้น จึงควรจะได้รับการแก้ไข

The last three of the five, I've grouped together.

สามหนทางท้ายสุด ผมรวมไว้เป็นกลุ่มเดียวกัน

These are what people often refer to as the renewable sources.

เป็นกลุ่มที่มักจะเรียกกันว่าแหล่งพลังงานหมุนเวียน

And they actually -- although it's great they don't require fuel --

จริงๆแล้ว -- ถึงแม้ว่ามีข้อดีที่ไม่ต้องใช้เชื้อเพลิง --

they have some disadvantages.

มันก็มีข้อเสียอยู่บางประการ

One is that the density of energy gathered in these technologies

ข้อแรกก็คือความเข้มข้นพลังงานจากเทคโนโลยีพวกนี้รวมกันแล้ว

is dramatically less than a power plant.

ยังน้อยกว่าที่ได้จากโรงไฟฟ้าอยู่มากครับ

This is energy farming,

นี่ฟาร์มพลังงาน เรากำลังพูดกันถึงพื้นที่หลายๆไร่

so you're talking about many square miles, thousands of times more area

เป็นพันๆเท่าของที่เราใช้สำหรับโรงไฟฟ้าโดยปรกติ

than you think of as a normal energy plant.

Also, these are intermittent sources.

แล้วมันก็เป็นแหล่งพลังงานที่ไม่มีความต่อเนื่อง

The sun doesn't shine all day, it doesn't shine every day,

พระอาทิตย์ไม่ได้ส่องแสงตลอดทั้งวัน ไม่ได้ส่องแสงทุกวี่ทุกวัน

and likewise, the wind doesn't blow all the time.

ลมก็คล้ายคลึงกันก็คือไม่ได้พัดอยู่ตลอดเวลา

And so, if you depend on these sources,

ฉะนั้น ถ้าเราขึ้นอยู่กับแหล่งพลังงานพวกนี้

you have to have some way of getting the energy

เราก็ต้องมีวิธีที่จะผลิตพลังงาน

during those time periods that it's not available.

ในช่วงที่ขาดแคลนพลังงานจากแหล่งหมุนเวียน

So we've got big cost challenges here.

ดังนั้น เราก็ประสบกับความท้าทายด้านต้นทุน

We have transmission challenges;

เราเจอความท้าทายในด้านการจ่ายไฟ

for example, say this energy source is outside your country,

ยกตัวอย่างเป็นต้นว่า แหล่งพลังงานอยู่นอกประเทศ

เราก็ต้องมีไม่เฉพาะแต่เทคโนโลยี

you not only need the technology,

แต่เราต้องมาจัดการกับความเสี่ยงที่มีแหล่งพลังงานมาจากที่อื่น

but you have to deal with the risk of the energy coming from elsewhere.

And, finally, this storage problem.

และท้ายสุดก็คือการจัดเก็บเชื้อเพลิง

เพื่อให้เห็นครบมิติ ผมก็เลยลองไปสำรวจดู

To dimensionalize this,

I went through and looked at all the types of batteries made --

แบตเตอรี่ทุกประเภทในท้องตลาด

for cars, for computers, for phones, for flashlights, for everything --

ที่ใช้กับรถยนต์ กับคอมพิวเตอร์ กับโทรศัพท์ กับไฟฉาย กับทุกสิ่งทุกอย่าง

and compared that to the amount of electrical energy the world uses.

แล้วเปรียบเทียบกับปริมาณของพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ทั้งโลก

What I found is that all the batteries we make now

ผมพบว่าแบตเตอรี่ทั้งหมดที่เรามีอยู่ตอนนี้

could store less than 10 minutes of all the energy.

กักเก็บพลังงานได้เพียงแค่ 10 นาทีของพลังงานทั้งหมดที่เราใช้อยู่

And so, in fact, we need a big breakthrough here,

ดังนั้น ในความเป็นจริงแล้ว เราจะต้องให้มีการพัฒนาครั้งยิ่งใหญ่เกิดขึ้นให้ได้

something that's going to be a factor of 100 better

พัฒนาอะไรที่ดีกว่าเป็นร้อยเท่า

than the approaches we have now.

กว่าแนวทางที่เรามีอยู่ตอนนี้

It's not impossible, but it's not a very easy thing.

ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ไ้ด้ แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่ง่ายเลย

Now, this shows up when you try to get the intermittent source

นี่แสดงให้เห็นว่าถ้าเราจะใช้แหล่งพลังงานที่ไม่ต่อเนื่อง

to be above, say, 20 to 30 percent of what you're using.

ให้ได้มากกว่าเอาว่าร้อยละ 20 - 30 ที่เราใช้กันอยู่

If you're counting on it for 100 percent,

ถ้าเราจะพึ่งพาแหล่งพลังงานไม่ต่อเนื่องอย่างเต็มร้อย

เราจะต้องมีแบตเตอรี่ที่ปาฏิหาริย์อย่างไม่น่าเชื่อ

you need an incredible miracle battery.

Now, how are we going to go forward on this -- what's the right approach?

เอาหล่ะครับ เราจะก้าวไปในหนทางไหน แนวทางไหนเป็นแนวทางที่ถูกต้อง

Is it a Manhattan Project? What's the thing that can get us there?

นี่ใช่โครงการแมนฮัตตัน (Manhattan project) หรือเปล่า อะไรที่จะทำให้เราไปถึงจุดมุ่งหมาย

Well, we need lots of companies working on this -- hundreds.

แบบนี้ครับ เราจะต้องมีบริษัทหลายๆบริษัทช่วยกันพัฒนาด้านนี้ขึ้น ต้องเป็นร้อยๆครับ

In each of these five paths, we need at least a hundred people.

ในแต่ละหนทางทั้งห้านี้ เราต้องมีอย่างน้อยสักร้อยคน

A lot of them, you'll look at and say, "They're crazy."

แล้วก็คนพวกนี้ส่วนใหญ่ เราก็จะมองว่าเขาทำอะไรเพี้ยนๆ ซึ่งก็ดีแล้วครับ

That's good.

And, I think, here in the TED group,

ผมคิดว่า ในกลุ่ม TED ที่นี่

we have many people who are already pursuing this.

เราก็มีหลายคนที่ได้เริ่มทำอะไรพวกนี้ไปแล้ว

Bill Gross has several companies, including one called eSolar

บิลล์ กรอสส์ (ฺBill Gross) ทำหลายบริษัทเลย รวมถึงอันนึงที่ชื่อ อีโซลาร์ (eSolar)

that has some great solar thermal technologies.

ที่มีเทคโนโลยีอุณหภาพรังสีอาทิตย์ (solar thermal) ที่เยี่ยมยอด

วินนอด โคสลา (Vinod Khosla) ได้ลงทุนในหลายสิบบริษัท

Vinod Khosla is investing in dozens of companies

that are doing great things and have interesting possibilities,

ที่ได้พัฒนาอะไรเจ๋งๆออกมาและมีอะไรที่น่าสนใจที่อาจจะทำออกมาได้อีกเยอะ

and I'm trying to help back that.

ผมเองก็กำลังให้การสนับสนุน

Nathan Myhrvold and I actually are backing a company

นาธาน มีห์ร์โวลด์ (Nathan Myhrvold) กับผมจริงๆแล้วได้ให้การสนับสนุนบริษัทหนึ่ง

that, perhaps surprisingly, is actually taking the nuclear approach.

ที่ อาจจะน่าแปลกสักหน่อย ที่พัฒนาไปในด้านนิวเคลียร์ครับ

There are some innovations in nuclear: modular, liquid.

มีนวัตกรรมอยู่บ้างในด้านนิวเคลียร์: นวัตกรรมมอดุลาร์เป็นแบบสารเหลว

Innovation really stopped in this industry quite some ago,

จริงๆแล้ว นวัตกรรมในอุตสาหกรรมนี้หยุดมาได้สักพักใหญ่

so the idea that there's some good ideas laying around

ฉะนั้น ความคิดที่ว่ามีแนวคิดดีๆอยู่รายรอบก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรเลย

is not all that surprising.

The idea of TerraPower is that, instead of burning a part of uranium --

แนวคิดแบบเทร์ราพาวเวอร์ (Terrapower) เป็นแบบนี้ครับ แทนที่เราจะใช้ยูเรเนียมส่วนหนึ่งเป็นเชื้อเพลิง

the one percent, which is the U235 --

คือส่วนที่มีร้อยละ 1 ซึ่งก็คือ ยูเรเนียม235 (U235)

we decided, "Let's burn the 99 percent, the U238."

เราก็เลือกส่วนที่มีร้อยละ 99 มาเป็นเชื้อเพลิงจะดีกว่า นั่นคือ ยูเรเนียม238 (U238)

It is kind of a crazy idea.

เป็นแนวคิดที่บ้าบิ่นเอาเรื่อง

In fact, people had talked about it for a long time,

ในความเป็นจริง คนพูดกันเรื่องนี้มานานแล้วครับ

but they could never simulate properly whether it would work or not,

แต่พวกเขาไม่สามารถทำแบบจำลองที่ถูกต้องเพื่อศึกษาว่าัมันทำงานได้จริงหรือไม่

and so it's through the advent of modern supercomputers

พองั้น ก็เนื่องด้วยว่ามีซูเปอร์คอมพิวเตอร์สมัยใหม่ขึ้นมา

that now you can simulate and see that, yes,

ที่ในตอนนี้เราสามารถศึกษาจำลองเพื่อตอบว่า ได้

with the right materials approach, this looks like it would work.

ด้วยกรรมวิธีทางวัสดุที่ถูกต้อง ดูเหมือนว่ามันจะต้องทำงานได้จริง

And because you're burning that 99 percent,

และก็เพราะว่าเรานำส่วนที่เป็นร้อยละ 99 มาเป็นเชื้อเพลิง

you have greatly improved cost profile.

เราจะทำให้ต้นทุนดูดีขึ้นอย่างมาก

You actually burn up the waste, and you can actually use as fuel

จริงๆแล้วเราเผาไหม้กากนิวเคลียร์ และสิ่งที่เราเอามาใช้เป็นเชื้อเพลิงได้จริงก็คือ

all the leftover waste from today's reactors.

กากนิวเคลียร์ทั้งหมดที่เหลือออกมาจากเตาปฏิกรณ์ทุกวันนี้

So instead of worrying about them, you just take that, it's a great thing.

ดังนั้น แทนที่จะต้องไปกังวลอะไรกับมัน เราก็แค่เอามากลับใช้ใหม่ เยี่ยมไปเลยครับ

It breeds this uranium as it goes along, so it's kind of like a candle.

มันเผาไหม้ได้มาเป็นยูเรเนียมนี่ ก็คล้ายๆกับเทียนไขอะไรแบบนั้น

You see it's a log there, often referred to as a traveling wave reactor.

เราจะเห็นเป็นท่อนๆตรงนี้ มักจะเรียกกันว่า เตาปฏิกรณ์คลื่นเคลื่อนที่ (traveling wave reactor)

In terms of fuel, this really solves the problem.

ในแง่ของเชื้อเพลิง นี่เป็นการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริงครับ

I've got a picture here of a place in Kentucky.

ผมมีรูปของสถานที่หนึ่งในเคนตักกี้

This is the leftover, the 99 percent,

นี่เป็นกากนิวเคลียร์ ส่วนที่เป็นร้อยละ 99 นั่นแหละครับ

where they've taken out the part they burn now,

เป็นส่วนที่เอาออกมาหลังจากใช้ในการเผาไหม้เสร็จสิ้นแล้ว

เรียกกันว่า ยูเรเนียมด้อยสมรรถนะ (depleted uranium)

so it's called depleted uranium.

That would power the US for hundreds of years.

เอามาใช้ผลิตพลังงานสำหรับใช้ในอเมริกาได้อีกเป็นร้อยๆปี

And simply by filtering seawater in an inexpensive process,

และถ้าใช้กระบวนการหล่อเย็นด้วยน้ำทะเลซึ่งเป็นกระบวนการง่ายๆและค่าใช้จ่ายไม่สูง

เราก็จะมีเชื้อเพลิงที่จะใช้ไปตลอดชั่วอายุขัยของโลกใบนี้ครับ

you'd have enough fuel for the entire lifetime of the rest of the planet.

So, you know, it's got lots of challenges ahead,

ดังนั้นก็รู้กันนะครับว่าเรายังมีเรื่องท้าท้ายรอเราอยู่อีกมาก

but it is an example of the many hundreds and hundreds of ideas

แต่นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของแนวคิดอีกเป็นร้อยเป็นพัน

that we need to move forward.

ที่บ่งว่าเราจะต้องพัฒนาไปข้างหน้า

So let's think: How should we measure ourselves?

ลองมาคิดกันดูครับว่าเราควรจะตรวจสอบดูความก้าวหน้าได้ยังไงด้วยตัวเราเอง

What should our report card look like?

รายงานความก้าวหน้าของเราควรจะหน้าตาเป็นยังไง

Well, let's go out to where we really need to get,

ลองไปดูกันที่จุดมุ่งหมายที่เราต้องไปให้ถึงเสียก่อน

and then look at the intermediate.

แล้วก็ลองย้อนกลับมาดูช่วงตรงกลาง

For 2050, you've heard many people talk about this 80 percent reduction.

พอถึงปี ค.ศ.2050 (พ.ศ.2593) เราคงได้ยินหลายๆคนบอกว่าจะลดลงให้ได้ร้อยละ 80

สำคัญมากเลยนะครับที่เราต้องทำให้ได้ตามนั้น

That really is very important, that we get there.

And that 20 percent will be used up by things going on in poor countries --

ส่วนอีกร้อยละ 20 นั่นจะเป็นในประเทศยากจน

still some agriculture; hopefully, we will have cleaned up forestry, cement.

แ้ล้วก็ภาคการเกษตร

หวังว่าตอนนั้น เราจะไม่มีก๊าซฯ ที่เกิดจากภาคป่าไม้ จากอุตสาหกรรมซีเมนต์

So, to get to that 80 percent,

ดังนั้นจะลดให้ได้ร้อยละ 80

the developed countries, including countries like China,

กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ร่วททั้งประเทศอย่างเช่น จีน

will have had to switch their electricity generation altogether.

จะต้องมาร่วมกันปรับเปลี่ยนกรรมวิธีการผลิตไฟฟ้า

The other grade is: Are we deploying this zero-emission technology,

งั้น อีกด้านหนึ่งที่ต้องดูก็คือ ต้องดูว่าเราใช้เทคโนโลยีที่ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกกันไหม

have we deployed it in all the developed countries

ที่ผ่านมา เราได้ใช้เทคโนโลยีแบบนี้ในประเทศพัฒนาแล้วทุกประเทศหรือยัง

and are in the process of getting it elsewhere?

และเราได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้ไปที่อื่นแล้วหรือไม่

That's super important.

นี่เป็นเรื่องสำคัญเอามากๆเลยครับ

That's a key element of making that report card.

เป็นหัวใจสำคัญในรายงานความก้าวหน้าที่เราว่ากันอะนะครับ

Backing up from there, what should the 2020 report card look like?

คราวนี้ ย้อนกลับมาจากตรงนั้น ความก้าวหน้าในปี ค.ศ.2020 (พ.ศ.2563) ควรจะเป็นยังไง

Well, again, it should have the two elements.

อีกครั้งครับ ที่ควรจะดูที่สองตัวแปรหลัก

We should go through these efficiency measures to start getting reductions:

เราควรจะดูที่ประสิทธิภาพพลังงานเป็นจุดเริ่มต้นในการลดการปล่อย CO2

The less we emit, the less that sum will be of CO2,

ยิ่งเราปล่อย CO2 น้อยเท่าไหร่ ปริมาณรวมของ CO2 ก็จะน้อยลงเท่านั้น

and therefore, the less the temperature.

และก็จะส่งผลให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นน้อยลงตามไปด้วย

But in some ways, the grade we get there,

แต่เนื่องด้วยเหตุบางอย่าง ความก้าวหน้าของเราที่จุดนี้

doing things that don't get us all the way to the big reductions,

การทำอะไรที่ไม่ได้ส่งให้เราสามารถลดการปล่อยก๊าซฯได้มาก

มีความสำคัญเท่ากับหรือบางทีอาจจะำสำคัญน้อยกว่าการทำอีกแบบหนึ่งนิดหน่อย

is only equally, or maybe even slightly less, important than the other,

which is the piece of innovation on these breakthroughs.

ซึ่งก็คือนวัตกรรมความก้าวหน้าด้านพลังงานนั่นเองครับ

These breakthroughs, we need to move those at full speed,

ความก้าวหน้าพวกนี้ เราต้องขับเคลื่อนอย่างเต็มกำลัง

เราอาจจะวัดความก้าวหน้าจากจำนวนบริษัท

and we can measure that in terms of companies,

pilot projects, regulatory things that have been changed.

จากโครงการนำร่อง จากกฏข้อบังคับที่มีการปรับเปลี่ยน

There's a lot of great books that have been written about this.

มีหนังสือดีๆหลายเล่มที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้

The Al Gore book, "Our Choice,"

หนังสือของอัล กอร์ (Al Gore) ที่ชื่อ "ทางเลือกของเรา (Our Choice)"

and the David MacKay book, "Sustainable Energy Without the Hot Air."

และหนังสือของเดวิด แม็คเคย์ (David McKay) ชื่อ "พลังงานยั่งยืนที่ไม่ทำให้อากาศร้อน (Sustainable Energy Without the Hot Air)"

They really go through it and create a framework

บรรดาผู้เขียนได้อธิบายอย่างรอบด้านและยังสร้างกรอบแนวคิด

ให้สามารถมาถกประเด็นกันได้ในวงกว้าง

that this can be discussed broadly,

because we need broad backing for this.

เพราะเราต้องมีการสนับสนุนจากคนในวงกว้างในเรื่องนี้

There's a lot that has to come together.

มีอะไรมากมายที่จะต้องมาสอดประสานกัน

So this is a wish.

นี่เป็นความเจตจำนงค์อันหนึ่งครับ

It's a very concrete wish that we invent this technology.

มันเป็นเจตจำนงค์อันแรงกล้าว่าพวกเราจะพัฒนาเทคโนโลยีนี้ขึ้นมา

If you gave me only one wish for the next 50 years --

ถ้าคุณให้ผมขอพรได้เพียงหนึ่งข้อในตลอด 50 ปีต่อจากนี้

I could pick who's president,

ผมอาจจะเลือกว่าจะให้ใครเป็นประธานาธิบดีก็ได้

I could pick a vaccine, which is something I love,

ผมอาจจะเลือกวัคซีน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ผมรัก

or I could pick that this thing

หรือผมอาจจะเลือกว่ามีสิ่งนี้

that's half the cost with no CO2 gets invented --

สิ่งที่ใช้ต้นทุนเพียงครึ่งเดียวและไม่ปล่อย CO2 ออกมาเลย

this is the wish I would pick.

นี่แหละครับเป็นพรข้อที่ผมจะเลือก

This is the one with the greatest impact.

นี่เป็นสิ่งเดียวที่สร้างความเปลี่ยนแปลงมากที่สุด

If we don't get this wish,

ถ้าเราไม่ได้พรสมตามความปรารถนาของเรา

the division between the people who think short term and long term

ความแบ่งแยกระหว่างคนที่คิดอะไรแบบเฉพาะหน้ากับคนที่คิดแบบระยะยาวจะห่างกันมากขึ้น

will be terrible,

between the US and China, between poor countries and rich,

ระหว่าง อเมริกา กับ จีน ระหว่างประเทศยากจนกับประเทศร่ำรวย

and most of all,

และเกือบจะทุกๆชีวิตของคนสองพันล้านคนจะเลวร้ายลงไปอีกมาก

the lives of those two billion will be far worse.

So what do we have to do?

ดังนั้น เราจะต้องทำอะไรบ้างครับ

What am I appealing to you to step forward and drive?

อะไรที่ผมกำลังวิงวอนขอร้องพวกคุณให้ก้าวออกมาแล้วเดินไปข้างหน้า

We need to go for more research funding.

เราจะต้องมีงบประมาณวิจัยและพัฒนามากกว่านี้

When countries get together in places like Copenhagen,

เมื่อประเทศต่างๆไปประชุมร่วมกันในสถานที่อย่างกรุงโคเปนเฮเกน

พวกเขาไม่น่าจะแค่ถกประเด็นกันเฉพาะเกี่ยวกับ CO2

they shouldn't just discuss the CO2.

They should discuss this innovation agenda.

พวกเขาควรจะต้องถกประเด็นเรื่องแผนนวัตกรรม

You'd be stunned at the ridiculously low levels of spending

และพวกคุณจะตกใจมากกับงบประมาณใช้จ่ายที่น้อยอย่างน่าขัน

on these innovative approaches.

ในแนวทางนวัตกรรมพวกนี้

We do need the market incentives -- CO2 tax, cap and trade --

เราจำเป็นต้องมีการจูงใจด้วยกลไกตลาด มีภาษีคาร์บอน มีระบบการซื้อขายแลกเปลี่ยนสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

something that gets that price signal out there.

มีสิ่งที่คอยส่งสัญญาณราคาออกไป

We need to get the message out.

เราจำเป็นต้องส่งสาส์นนี้ออกไป

We need to have this dialogue be a more rational,

เราจำเป็นต้องให้การอภิปรายนี้มีเหตุมีผลขึ้น เป็นการอภิปรายที่สามารถยอมรับได้มากขึ้น

more understandable dialogue,

including the steps that the government takes.

รวมไปถึงขั้นตอนต่างๆที่รัฐบาลจะต้องทำ

This is an important wish, but it is one I think we can achieve.

นี่เป็นความประสงค์ที่สำคัญประการหนึ่ง แต่เป็นประการที่ผมเชื่อว่าเราทำให้สัมฤทธิ์ผลได้

Thank you.

ขอบคุณครับ

(Applause)

(เสียงปรบมือ)

(Applause ends)

Thank you.

ขอบคุณครับ

Chris Anderson: Thank you. Thank you.

คริส แอนเดอร์สัน (Chris Anderson): ขอบคุณฮะ ขอบคุณครับ

(Applause)

(เสียงปรบมือ)

CA: Thank you.

ขอบคุณครับ จะขอทำความเข้าใจนิดนึงเกี่ยวกับเทร์ร่าพาวเวอร์ ใช่ไหมครับ

So to understand more about TerraPower.

I mean, first of all, can you give a sense of what scale of investment this is?

ผมหมายถึงแบบนี้ครับ ก่อนอื่น คุณพอจะบอกได้ไหมครับว่าการลงทุนมีขนาดประมาณไหน

Bill Gates: To actually do the software, buy the supercomputer,

บิลล์ เกตส์: ทำซอฟต์แวร์ขึ้นมา ซื้อซูเปอร์คอมพิวเตอร์

hire all the great scientists, which we've done,

จ้างนักวิทยาศาสตร์มือเยี่ยมๆ ซึ่งพวกผมก็ทำไปแล้ว

that's only tens of millions.

ก็ตกอยู่แค่หลักสิบล้านดอลลาร์

And even once we test our materials out in a Russian reactor

และถ้าถึงตอนที่พวกผมทดสอบตัววัสดุนี้ที่เตาปฏิกรณ์ที่รัสเซีย

เพื่อความแน่ใจว่าวัสดุตัวนี้ทำงานได้ไม่มีผิดพลาด

to make sure our materials work properly,

then you'll only be up in the hundreds of millions.

ตอนนั้น เราก็น่าจะพูดกันถึงแค่หลักร้อยล้านดอลลาร์เท่านั้นแหละครับ

The tough thing is building the pilot reactor --

เรื่องยากก็คือการสร้างเตาปฏิกรณ์นำร่อง

finding the several billion, finding the regulator, the location

ต้องหาทุนกันเป็นพันล้าน ต้องเข้าไปคุยกับผู้ออกกฏของรัฐ ต้องหาสถานที่ตั้ง

that will actually build the first one of these.

ที่จะสร้างเตาปฏิกรณ์เตาแรกขึ้นมา

Once you get the first one built, if it works as advertised,

ถ้าพอเราสร้างเตาปฏิกรณ์แรกขึ้นมาแล้วแล้วถ้ามันทำงานได้อย่างที่โฆษณาไว้

then it's just clear as day,

คราวนี้ก็หนทางสว่างไสวแล้วครับ เพราะว่าเศรษฐศาสตร์ที่เกี่ยวข้องและความเข้มข้นพลังงาน

because the economics, the energy density, are so different

ต่างจากไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เรารู้จักอย่างมากเชียวหละครับ

than nuclear as we know it.

CA: So to understand it right,

คริส: ถ้างั้น ให้เข้าใจถูกต้องก็คือ จะมีการสร้างลึกลงไปใต้ดิน

this involves building deep into the ground,

almost like a vertical column of nuclear fuel, of this spent uranium,

เกือบจะคล้ายกับท่อบรรจุเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ชนิดแนวตั้ง

ของยูเรเนียมที่เผาไหม้แล้วประมาณนั้น

and then the process starts at the top and kind of works down?

แล้วก็เป็นปฏิกิริยาที่เริ่มจากด้านบนแล้วค่อยๆเลื่อนลงมาข้างล่าง อย่างนั้นใช่ไหมครับ?

BG: That's right.

บิลล์: ถูกต้องเลยครับ ทุกวันนี้ เรายังต้องเติมเชื้อเพลิงในเตาปฏิกรณ์อยู่

Today, you're always refueling the reactor,

so you have lots of people and lots of controls that can go wrong,

ฉะนั้นเราก็เลยมีคนอยู่ส่วนหนึ่งแล้วก็การควบคุมงานอีกส่วนหนึ่งที่อาจเกิดความผิดพลาดได้

where you're opening it up and moving things in and out --

อะไรก็ตามถ้าเราต้องเปิดเตาแล้วย้ายนั่นนี่เข้าออก

that's not good.

เป็นอะไรที่ไม่ดีเลยครับ

So if you have very --

ดังนั้น ถ้าเรามีเชื้อเพลิงที่ราคาถูกมากๆที่ใช้ไปได้นานถึง 60 ปี

(Laughter)

very cheap fuel that you can put 60 years in --

just think of it as a log --

คิดว่ามันเหมือนกับท่อนไม้ก็แล้กัน

put it down and not have those same complexities.

ใส่เข้าไปแล้วก็ไม่ต้องไปวุ่นวายอะไรกับมันอีก

And it just sits there and burns for the 60 years, and then it's done.

มันก็อยู่ในนั้น เผาไหม้ไป 60 ปี แล้วก็จบอยู่ตรงนั้น

CA: It's a nuclear power plant that is its own waste disposal solution.

คริส: มันก็คือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่มาพร้อมกระบวนการกำจัดกากนิวเคลียร์อยู่ภายในตัว

BG: Yeah; what happens with the waste,

บิลล์: ใช่ครับ สิ่งที่เกิดขึ้นกับกากนิวเคลียร์

you can let it sit there -- there's a lot less waste under this approach --

เราอาจปล่อยมันไว้ในนั้น -- กากนิวเคลียร์มีน้อยมากครับด้วยแนวทางแบบนี้นะครับ --

then you can actually take that

จากนั้นเราก็เอามันไป

and put it into another one and burn that.

ใส่ในเตาใหม่แล้วก็เผาไหม้ต่อ

And we start out, actually, by taking the waste that exists today

แล้วเราก็เริ่มต้นด้วยการใช้กากนิวเคลียร์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน

that's sitting in these cooling pools or dry-casking by reactors --

ที่แช่นิ่งอยู่ในสระหล่อเย็นหรือไม่ก็อยู่ในหีบเก็บกากที่เตาปฏิกรณ์

that's our fuel to begin with.

นั่นแหละจะเป็นเชื้อเพลิงที่เราจะเริ่มด้วย

So the thing that's been a problem from those reactors

ดังนั้น สิ่งที่เป็นปัญหาจากเตาปฏิกรณ์อื่น

is actually what gets fed into ours,

ก็จะกลายเป็นเชื้อเพลิงสำหรับเตาของพวกผม

and you're reducing the volume of the waste quite dramatically

ซึ่งก็หมายความว่าเราลดปริมาณกากนิวเคลียร์ได้อย่างมากมาย

as you're going through this process.

เมื่อเราเข้าสู่กระบวนการแบบของผม

CA: You're talking to different people around the world

คริส: แต่ในบรรดาที่คุณไปบรรยายมาแล้วทั่วโลก

ถึงความเป็นไปได้ตรงนี้

about the possibilities.

Where is there most interest in actually doing something with this?

ที่ไหนที่ให้ความสนใจมากที่สุดที่จะทำอะไรแบบนี้ขึ้นมาจริงๆครับ?

BG: Well, we haven't picked a particular place,

บิลล์: อืม...พวกผมยังไม่ได้ชี้เฉพาะเรื่องสถานที่

และมันมีกฏเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับอะไรก็ตามที่ถือว่าเป็น นิวเคลียร์

and there's all these interesting disclosure rules

about anything that's called "nuclear."

So we've got a lot of interest.

ก็มีที่แสดงเจตจำนงค์ให้ความสนใจกันก็เยอะครับ

People from the company have been in Russia, India, China.

คนของเราไปที่รัสเซีย อินเดีย จีน

I've been back seeing the secretary of energy here,

ผมเองก็กลับมาที่นี่เพื่อมาพบท่านรัฐมนตรีพลังงาน

talking about how this fits into the energy agenda.

หารือกันหนะครับว่าแนวทางนี้จะสอดรับกับแผนพลังงานได้ยังไงบ้าง

So I'm optimistic.

ผมก็เลยมองอนาคตไปในทางบวกครับ ฝรั่งเศสกับญี่ปุ่นก็มีดำเนินการในแนวนี้ด้วยนะครับ

The French and Japanese have done some work.

This is a variant on something that has been done.

ศึกษาพัฒนากันไปในรูปแบบต่างๆนานาตามนี้

It's an important advance, but it's like a fast reactor,

นับเป็นการพัฒนาที่สำคัญ คล้ายกับเตาปฏิกรณ์แบบนิวตรอนเร็ว (FBR)

and a lot of countries have built them,

ที่หลายๆประเทศนำไปสร้าง

so anybody who's done a fast reactor is a candidate

ดังนั้น ใครก็ตามที่ได้เคยสร้างเตา FBR ก็มีคุณสมบัติเข้าข่ายเป็นที่สร้างเตาแบบของผมได้

to be where the first one gets built.

CA: So, in your mind,

คริส: ฉะนั้น ในความคิดของคุณ ระยะเวลาและความน่าจะเป็น

timescale and likelihood of actually taking something like this live?

ที่จะมีเตาแบบนี้ขึ้นมาจริงๆเป็นเท่าไหร่ครับ?

BG: Well, we need -- for one of these high-scale, electro-generation things

บิลล์: อืม...เราน่าจะต้องใช้...จะสร้างเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าขนาดใหญ่อย่างนี้ได้

ซึ่งราคาถูกมากครับ

that's very cheap,

we have 20 years to invent and then 20 years to deploy.

เรามีเวลา 20 ปีในการก่อสร้าง และอีก 20 ปีในการเดินเครื่อง

That's sort of the deadline

นี่เป็นเหมือนกับกำหนดเวลาที่แบบจำลองทางสิ่งแวดล้อม

that the environmental models have shown us that we have to meet.

เสนอผลออกมาว่าเราจะต้องทำให้ได้

And TerraPower -- if things go well, which is wishing for a lot --

แล้วคุณรู้ไหมว่าเทร์ร่าพาวเวอร์ ถ้าทุกอย่างราบรื่นนะครับซึ่งก็ถือว่าขอมากโขอยู่

จะถึงเป้าหมายนั้นได้ง่ายๆเลยครับ

could easily meet that.

And there are, fortunately now, dozens of companies --

และตอนนี้ก็โชคดีที่มีบริษัทนับสิบ

we need it to be hundreds --

จริงๆแล้วเราต้องให้มีเป็นร้อย

who, likewise, if their science goes well,

ที่ ก็คล้ายกันครับ ถ้าผลวิจัยวิทยาศาสตร์เป็นไปได้ด้วยดี

if the funding for their pilot plants goes well,

ถ้างบประมาณสร้างโรงไฟฟ้านำร่องไม่มีปัญหา

that they can compete for this.

ก็จะมาแข่งขันกันกับเทคโนโลยีนี้

And it's best if multiple succeed,

ที่ดีที่สุดก็คือหลายๆบริษัทสัมฤทธิ์ผล

because then you could use a mix of these things.

เพราะถ้างั้นเราสามารถใช้ผลที่สัมฤทธิ์แล้วมาประกอบรวมกันได้

We certainly need one to succeed.

แน่นอนว่าเราต้องให้มีหนึ่งบริษัทที่ประสบผลสัมฤทธิ์ให้ได้

CA: In terms of big-scale possible game changers,

คริส: ถ้ามองกันที่ความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

is this the biggest that you're aware of out there?

นี่ถือว่าเป็นอะไรที่ใหญ่ที่สุดที่คุณคิดว่ามีอยู่ในตอนนี้ไหมครับ?

BG: An energy breakthrough is the most important thing.

บิลล์: ความก้าวล้ำในด้านพลังงานมีความสำคัญอย่างยิ่งครับ

It would have been, even without the environmental constraint,

มันจะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แม้ว่าจะไม่มีข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อม

แต่ข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อมก็ยิ่งทำให้มันดูยิ่งใหญ่เข้าไปอีก

but the environmental constraint just makes it so much greater.

In the nuclear space, there are other innovators.

ในวงการนิวเคลียร์ มีนวัตกรรมอื่นๆด้วย

You know, we don't know their work as well as we know this one,

คุณรู้ไหม เราไม่รู้จักงานชิ้นไหนของพวกเขาดีเท่ากับชิ้นนี้

but the modular people, that's a different approach.

แต่กับกลุ่มที่ใช้นวัตกรรมมอดุลาร์ ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่ง

เป็นเตาปฏิกรณ์แบบสารเหลว ซึ่งค่อนข้างจะเข้าใจยาก

There's a liquid-type reactor, which seems a little hard,

but maybe they say that about us.

แต่บางทีพวกเขาอาจจะพูดถึงพวกผมแบบเดียวกันก็ได้ครับ

And so, there are different ones,

ก็คือว่า มีเทคนิคแนวทางหลายๆแบบ

but the beauty of this is a molecule of uranium

แต่ความสวยงามของแบบนี้อยู่ที่โมเลกุลของยูเรเนียม

has a million times as much energy as a molecule of, say, coal.

ให้พลังงานออกมาเป็นล้านเท่าเมื่อเทียบกับโมเลกุลของถ่านหิน

And so, if you can deal with the negatives,

ดังนั้น ถ้าเราจัดการกับข้อเสีย

ซึ่งจริงๆก็คือกัมมันตรังสี

which are essentially the radiation, the footprint and cost,

ต้นทุนทรัพยากรแฝงและต้นทุนราคา ศักยภาพ

the potential, in terms of effect on land and various things,

ในเชิงผลกระทบต่อพื้นดินและอะไรต่างๆ

is almost in a class of its own.

ก็ถือว่าเกือบจะเป็นหมวดหมู่หนึ่งในตัวมันเองอยู่แล้วครับ

คริส: ถ้าผลไม่ออกมาอย่างที่เราคิด แล้วจะเป็นไงต่อครับ?

CA: If this doesn't work, then what?

Do we have to start taking emergency measures

เราต้องมาเริ่มมาตรการฉุกเฉินกันเลยหรือเปล่า

to try and keep the temperature of the earth stable?

เืพื่อจะรักษาอุณหูมิของโลกให้เสถียร

BG: If you get into that situation,

บิลล์: ถ้าเกิดสถานการณ์แบบนั้น

it's like if you've been overeating, and you're about to have a heart attack.

จะคล้ายกับเรากินมากเกินไปจนแทบจะหัวใจวาย

Then where do you go?

ถ้าเป็นแบบนั้น เราจะไปไหนล่ะ? เราอาจจะต้องผ่าตัดหัวใจหรืออะไรทำนองนั้น

You may need heart surgery or something.

There is a line of research on what's called geoengineering,

ได้มีการทำิวิจัยในด้านที่เรียกกันว่า ภูมิวิศวกรรม (geo-engineering)

which are various techniques that would delay the heating

ซึ่งเป็นการใช้เทคนิคต่างๆที่จะชะลอภาวะโลกร้อน

to buy us 20 or 30 years to get our act together.

ไปข้างหน้า 20 หรือ 30 ปีพอให้เรามีเวลามาช่วยกันทำอย่างอื่นได้ทัน

Now, that's just an insurance policy; you hope you don't need to do that.

แต่มันก็เป็นแค่นโยบายประกันภัยหนะครับ

หวังว่าเราจะไม่ต้องทำแบบนั้น

Some people say you shouldn't even work on the insurance policy

บางคนบอกว่าเราไม่ควรแม้แต่จะมีนโยบายประกันภัย

เพราะมันทำให้เราเฉื่อยแฉะ

because it might make you lazy,

ที่เรากินกันไม่บันยะบันยังก็เพราะเรารู้ว่าการผ่าตัดหัวใจสามารถรักษาเราได้

that you'll keep eating because you know heart surgery will be there to save you.

ผมไม่ค่อยแน่ใจว่านั่นเป็นวิธีที่ฉลาด ถ้าวัดกันที่ความสำคัญของปัญหา

I'm not sure that's wise, given the importance of the problem,

แต่เดี๋ยวนี้เขาก็มีการพูดกันถึงภูมิวิศวกรรม

but there's now the geoengineering discussion

about: Should that be in the back pocket in case things happen faster,

ทำนองว่า ควรเป็นตัวเลือกสำรองไว้เผื่อสถานการณ์เลวร้ายเร็วกว่าที่คิด

or this innovation goes a lot slower than we expect?

หรือถ้าหากนวัตกรรมนี้ใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้เยอะ

CA: Climate skeptics:

คริส: คนที่ยังแคลงใจเกี่ยวกับโลกร้อน ถ้าคุณพูดกับพวกเขาได้ประโยคสองประโยค

If you had a sentence or two to say to them,

คุณจะโน้มน้าวยังไงให้พวกเขายอมรับว่าพวกเขาเข้าใจผิด

how might you persuade them that they're wrong?

BG: Well, unfortunately, the skeptics come in different camps.

บิลล์: อืม โชคร้ายที่ว่าคนที่แคลงใจเกี่ยวกับโลกร้อนมีหลายกลุ่มหลายพวก

The ones who make scientific arguments are very few.

พวกที่ถกกันด้วยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มีอยู่น้อยมากครับ

Are they saying there's negative feedback effects

พวกเขาบอกด้วยหรือเปล่าว่ามีผลกระทบย้อนกลับแบบถดถอย

that have to do with clouds that offset things?

ที่เกี่ยวกับกลุ่มก้อนเมฆที่ไปชดเชยความร้อน?

There are very, very few things that they can even say

มีอะไรน้อยมากๆที่พวกเขาหยิบยกมาพูดได้

แล้วอะไรพวกนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเป็นไปได้ของนู่นนี่เยอะแยะมากมาย

there's a chance in a million of those things.

The main problem we have here -- it's kind of like with AIDS:

ปัญหาหลักที่เรามีอยู่ตอนนี้จะคล้ายกับกรณีของโรคเอดส์

you make the mistake now, and you pay for it a lot later.

ถ้าเราทำผิดพลาดตอนนี้ เราต้องชดใช้ในภายหลังมากมาย

And so, when you have all sorts of urgent problems,

ดังนั้น เมื่อเรามีปัญหาจำเป็นเร่งด่วนทุกรูปแบบ

the idea of taking pain now that has to do with a gain later,

แนวคิดว่ารับความเจ็บปวดตอนนี้ที่จะได้กลับมาเป็นสิ่งที่ดีกว่าในภายหลัง

กับอะไรที่เป็นความเจ็บปวดที่ไม่แน่ไม่นอน

and a somewhat uncertain pain thing.

In fact, the IPCC report -- that's not necessarily the worst case,

อันที่จริงแล้ว จากรายงานของไอพีซีซี (IPCC) นั่นก็ไม่ได้จำเป็นต้องเป็นกรณีที่เลวร้ายที่สุด

and there are people in the rich world who look at IPCC and say,

มีคนจากประเทศที่ร่ำรวยแล้วที่ดูรายงานของไอพีซีซี

แล้วบอกว่า ก็หยวนๆนะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไร

"OK, that isn't that big of a deal."

The fact is it's that uncertain part that should move us towards this.

ความเป็นจริงก็คือ มันมีส่วนที่ไม่แน่นอนร่วมอยู่ด้วยที่ควรจะผลักดันพวกเราไปทางนี้

But my dream here is that,

แต่ความฝันของผมก็คือว่า เราทำได้แบบคุ้มทุนด้วย

if you can make it economic, and meet the CO2 constraints,

และก็อยู่ในขีดจำกัดของการปล่อย CO2 ด้วย

then the skeptics say,

พวกที่แคลงใจเรื่องโลกร้อนก็จะบอกอีกว่า ก็โอเค

"OK, I don't care that it doesn't put out CO2,

ฉันไม่สนใจหรอกว่ามันจะไม่ปล่อย CO2

I kind of wish it did put out CO2.

ฉันติดจะหวังด้วยซ้ำว่ามันจะปล่อย CO2

But I guess I'll accept it,

แต่ฉันว่าฉันก็พอจะยอมรับได้นะเพราะว่ามันถูกกว่าอะไรที่มีมาก่อน

because it's cheaper than what's come before."

(Applause)

(เสียงปรบมือ)

คริส: ถ้างั้น คุณจะมีข้อโต้ตอบยังไงกับคำแถลงของบิจอร์น ลอมบอร์ก (Bjorn Lomborg)

CA: So that would be your response to the Bjørn Lomborg argument,

basically if you spend all this energy trying to solve the CO2 problem,

ที่ว่า โดยแท้จริงแล้วถ้าเราใช้พลังงานทั้งหมดเพื่อพยายามแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับ CO2

it's going to take away all your other goals

ก็จะทำให้เราูสูญเสียเป้าหมายอื่นๆทั้งหมด

of trying to rid the world of poverty and malaria and so forth,

ที่เราพยายามแก้ไขให้โลกหมดไปจากปัญหาความยากจน มาลาเรีย และอื่นๆ

it's a stupid waste of the Earth's resources

(และที่ว่า) นับเป็นความสูญเสียทรัพยากรโลกอย่างไม่ชาญฉลาดเลยที่จะใช้เงินไปในทางนั้น

to put money towards that

when there are better things we can do.

ในเมื่อเราใช้ทำให้สิ่งอื่นที่ดีกว่าได้

BG: Well, the actual spending on the R&D piece --

บิลล์: งบประมาณวิจัยพัฒนาจริงๆแล้ว

say the US should spend 10 billion a year more than it is right now --

เอาว่าสหรัฐอเมริกาควรจะเพิ่มงบมากกว่าที่ใช้อยู่ตอนนี้อีกหมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี

it's not that dramatic.

นี่ไม่ใช่อะไรที่มากเกินไปนะครับ

It shouldn't take away from other things.

แล้วก็ไม่ใช่อะไรที่ควรไปเอามาจากส่วนอื่นด้วย

The thing you get into big money on, and reasonable people can disagree,

พอเป็นเรื่องที่ต้องใช้งบสูงมากๆ แล้วก็นี่ คนที่เขามีเหตุมีผลอาจจะไม่เห็นด้วย

is when you have something that's non-economic

ก็เมื่อเป็นเรื่องที่ทำแล้วไม่คุ้มทุนแล้วเราก็ยังพยายามลงทุนทำอีก

and you're trying to fund that --

สำหรับผม แบบนั้นแทบจะเรียกว่าสูญเปล่า

that, to me, mostly is a waste.

Unless you're very close,

ยกเว้นว่าเราอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้วเราก็ลงทุนให้เกิดการเรียนรู้ตรงนั้นพอดี

and you're just funding the learning curve and it's going to get very cheap,

ซึ่งในที่สุดก็จะกลายเป็นว่าต้นทุนถูกมาก

I believe we should try more things

ผมเชื่อนะครับว่าเราควรจะลองหลายๆอย่างที่มีศักยภาพ

that have a potential to be far less expensive.

ที่จะมีราคา่ถูกลงไปกว่ามาก

If the trade-off you get into is, "Let's make energy super expensive,"

ถ้าสิ่งที่เราต้องแลกมาเป็นแบบว่า มาผลิตพลังงานให้ราคาแพงสุดๆกันเถอะ

then the rich can afford that.

ถึงงั้น คนมีฐานะก็จ่ายได้อยู่ดี

I mean, all of us here could pay five times as much for our energy

ผมว่า พวกเราทั้งหมดที่นี่สามารถจ่ายค่าพลังงานได้มากกว่านี้ได้อีก 5 เท่า

and not change our lifestyle.

โดยไม่ต้องเปลี่ยนรูปแบบชีวิต

The disaster is for that two billion.

หายนะจะไปตกกับคนอีกสองพันล้านคนโน่น

And even Lomborg has changed.

และแม้แต่ ลอมบอร์ก ก็เปลี่ยน

His shtick now is, "Why isn't the R&D getting more discussed?"

จุดยืนของเขาตอนนี้จะเป็นว่า ทำไมถึงไม่ถกประเด็นวิจัยและพัฒนาให้มากกว่านี้

He's still, because of his earlier stuff,

แต่เขายังคง เพราะคำแถลงก่อนหน้านี้ของเขา

still associated with the skeptic camp,

เขายังคงเกี่ยวดองกับพวกที่แคลงใจเรื่องโลกร้อน

but he's realized that's a pretty lonely camp,

แต่เขาได้ตระหนักแล้วว่าเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างโดดเดี่ยว

and so, he's making the R&D point.

ดังนั้น เขาก็เลยยกประเด็นเรื่องวิจัยและพัฒนาขึ้นมา

And so there is a thread of something that I think is appropriate.

เพราะฉะนั้น มีหัวข้อที่ผมคิดว่ามีความเหมาะสม

The R&D piece -- it's crazy how little it's funded.

ก็คือการวิัจัยและพัฒนา เป็นเรื่องไม่เข้าท่าเลยที่งบสนับสนุนช่างน้อยแสนน้อย

CA: Well, Bill, I suspect I speak on behalf of most people here

คริส: โอเคครับคุณบิลล์ ผมเดาว่าผมพูดแทนท่านผู้ฟังที่นี่

ผมจะบอกว่า ผมหวังจริงๆครับว่าความประสงค์ของคุณจะเป็นความจริง ขอบคุณมากครับ

to say I really hope your wish comes true.

Thank you so much.

บิลล์: ขอบคุณครับ

BG: Thank you.

(Applause)

(เสียงปรบมือ)