3 clues to understanding your brain | VS Ramachandran

747,614 views ・ 2007-10-23

TED


โปรดดับเบิลคลิกที่คำบรรยายภาษาอังกฤษด้านล่างเพื่อเล่นวิดีโอ

Translator: Kanawat Senanan Reviewer: Pongsapak Vanichrundorn
00:25
Well, as Chris pointed out, I study the human brain,
0
25000
4000
ดังที่คริสได้บอกคุณไปแล้วนะครับ ผมศึกษาสมองมนุษย์
00:29
the functions and structure of the human brain.
1
29000
2000
การทำงานและโครงสร้างของสมองมนุษย์
00:31
And I just want you to think for a minute about what this entails.
2
31000
4000
และผมอยากให้คุณลองคิดสักครู่ว่ามันเกี่ยวกับอะไร
00:35
Here is this mass of jelly, three-pound mass of jelly
3
35000
4000
นี่คือก้อนเยลลี่ ก้อนเยลลี่ที่มีมวล 3 ปอนด์
00:39
you can hold in the palm of your hand,
4
39000
3000
คุณสามารถประคองมันไว้ในมือได้
00:42
and it can contemplate the vastness of interstellar space.
5
42000
4000
และมันสามารถคิดไตร่ตรองถึง ความกว้างใหญ่ของห้วงอวกาศ
00:46
It can contemplate the meaning of infinity
6
46000
2000
มันคิดไตร่ตรองถึงความหมายของความเป็นอนันต์
00:48
and it can contemplate itself contemplating on the meaning of infinity.
7
48000
5000
และมันไตร่ตรองถึงตัวของมันเอง ที่กำลังไต่ตรองความหมายของอนันต์อยู่
00:53
And this peculiar recursive quality that we call self-awareness,
8
53000
5000
และคุณสมบัติการคิดวนซ้ำแบบนี้ ที่เราเรียกมันว่าความตระหนักรู้ตน
00:58
which I think is the holy grail of neuroscience, of neurology,
9
58000
4000
ที่ผมคิดว่ามันคือเป้าหมายสูงสุดของประสาทวิทยา
01:02
and hopefully, someday, we'll understand how that happens.
10
62000
2000
และหวังว่า วันหนึ่งเราจะเข้าใจกลไกของมัน
01:05
OK, so how do you study this mysterious organ?
11
65000
3000
เอาล่ะ แล้วเราจะศึกษาอวัยวะลึกลึบนี้ได้อย่างไร ?
01:08
I mean, you have 100 billion nerve cells,
12
68000
4000
ผมหมายถึง คุณมีถึงหนึ่งแสนล้านเซลล์ประสาท
01:12
little wisps of protoplasm, interacting with each other,
13
72000
3000
เส้นใยเล็กๆของโพรโทพลาสซึมที่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน
01:15
and from this activity emerges the whole spectrum of abilities
14
75000
4000
และจากกิจกรรมเหล่านี้ ก่อให้เกิดความสามารถมากมาย
01:19
that we call human nature and human consciousness.
15
79000
3000
ที่เราเรียกว่าธรรมชาติของมนุษย์ และสติสัมปชัญญะของมนุษย์
01:22
How does this happen?
16
82000
1000
มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
01:23
Well, there are many ways of approaching the functions of the human brain.
17
83000
3000
มันมีหลายวิธีที่จะใช้เพื่อศึกษา การทำงานของสมองมนุษย์
01:26
One approach, the one we use mainly,
18
86000
3000
วิธีหนึ่ง ซึ่งเราใช้เป็นหลักเลยก็คือ
01:29
is to look at patients with sustained damage to a small region of the brain,
19
89000
5000
การศึกษาผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บ ในบริเวณเล็กๆ ของสมอง
01:34
where there's been a genetic change in a small region of the brain.
20
94000
2000
หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม ในบริเวณเล็กๆ ของสมอง
01:36
What then happens is not an across-the-board reduction
21
96000
4000
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การถดถอยในทุกๆ ด้าน
01:40
in all your mental capacities,
22
100000
2000
ในความสามารถของสมอง
01:42
a sort of blunting of your cognitive ability.
23
102000
3000
เหมือนกับกระบวนการรับรู้โดยรวมแย่ลง
01:45
What you get is a highly selective loss of one function,
24
105000
3000
แต่สิ่งที่คุณพบ คือการสูญเสียการทำงาน แบบเฉพาะเจาะจงมากๆ
01:48
with other functions being preserved intact,
25
108000
2000
ในขณะที่การทำงานด้านอื่นๆ ยังคงปกติดีอยู่
01:50
and this gives you some confidence in asserting
26
110000
2000
และนี่ช่วยให้ความั่นใจแก่คุณในการยืนยัน
01:52
that that part of the brain is somehow involved in mediating that function.
27
112000
4000
ว่าส่วนนั้นของสมองเกี่ยวข้อง ในกระบวนการทำงานของหน้าที่นั้น
01:56
So you can then map function onto structure,
28
116000
2000
คุณจึงสามารถเชื่อมโยงหน้าที่เข้ากับโครงสร้าง
01:58
and then find out what the circuitry's doing
29
118000
3000
และหาว่าวงจรการทำงานของสมองนั้นทำงานอย่างไร
02:01
to generate that particular function.
30
121000
2000
เพื่อก่อให้เกิดหน้าที่เฉพาะอันนั้น
02:03
So that's what we're trying to do.
31
123000
2000
ดังนั้น นี่จึงเป็นสิ่งที่เราพยายามทำ
02:05
So let me give you a few striking examples of this.
32
125000
3000
ให้ผมแสดงให้ดูถึง 3 ตัวอย่างที่โดดเด่น
02:08
In fact, I'm giving you three examples, six minutes each, during this talk.
33
128000
4000
อันที่จริง ผมจะกล่าวถึง 3 ตัวอย่าง ตัวอย่างละ 6 นาที ในการบรรยายครั้งนี้
02:12
The first example is an extraordinary syndrome called Capgras syndrome.
34
132000
4000
ตัวอย่างแรก เป็นโรคแปลกประหลาด ชื่อ กลุ่มอาการ คัพกราส์ (Capgras syndrome)
02:16
If you look at the first slide there,
35
136000
2000
ถ้าคุณดูที่สไลด์แรก
02:18
that's the temporal lobes, frontal lobes, parietal lobes, OK --
36
138000
5000
นั่นคือสมองกลีบขมับ กลีบหน้า กลีบข้าง
02:23
the lobes that constitute the brain.
37
143000
2000
กลีบเหล่านั้นประกอบกันเป็นสมอง
02:25
And if you look, tucked away inside the inner surface of the temporal lobes --
38
145000
4000
และที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ผิวของสมองกลีบขมับ
02:29
you can't see it there --
39
149000
2000
ที่คุณมองมันไม่เห็นจากมุมนี้
02:31
is a little structure called the fusiform gyrus.
40
151000
2000
มันจะมีโครงสร้างเล็กๆ ที่เรียกว่า ฟิวซิฟอร์มไจรัส (fusiform gyrus)
02:33
And that's been called the face area in the brain,
41
153000
3000
และมันถูกเรียกว่าสมองส่วนที่ใช้จดจำใบหน้า
02:36
because when it's damaged, you can no longer recognize people's faces.
42
156000
3000
เนื่องจากถ้ามันเสียหาย คุณจะไม่สามารถจำใบหน้าผู้คนได้
02:39
You can still recognize them from their voice
43
159000
2000
คุณยังคงจำพวกเขาได้จากน้ำเสียง
02:41
and say, "Oh yeah, that's Joe,"
44
161000
2000
และพูดว่า "อ้อใช่ นั่นโจ"
02:43
but you can't look at their face and know who it is, right?
45
163000
3000
แต่คุณไม่สามารถมองใบหน้าพวกเขา แล้วจำได้ว่าเป็นใคร
02:46
You can't even recognize yourself in the mirror.
46
166000
2000
คุณจะไม่สามารถแม้แต่จะจำตัวเองในกระจกได้
02:48
I mean, you know it's you because you wink and it winks,
47
168000
3000
ผมหมายถึง คุณคงรู้ได้เพราะถ้าคุณกระพริบตา เงาสะท้อนคุณก็กระพริบด้วย
02:51
and you know it's a mirror,
48
171000
2000
และคุณก็รู้ว่ามันเป็นกระจก
02:53
but you don't really recognize yourself as yourself.
49
173000
3000
แต่คุณจะจำไม่ได้ว่าคนในกระจกเป็นตัวคุณเอง
02:56
OK. Now that syndrome is well known as caused by damage to the fusiform gyrus.
50
176000
4000
โอเค ตอนนี้โรคนี้เป็นที่รู้จักกันดี ว่ามีสาเหตุมาจากฟิวซิฟอร์มไจรัสถูกทำลาย
03:00
But there's another rare syndrome, so rare, in fact,
51
180000
3000
แต่มันยังมีกลุ่มอาการหายากอีกแบบหนึ่ง ที่จริงแล้วพบยากมาก
03:03
that very few physicians have heard about it, not even neurologists.
52
183000
4000
มีแพทย์น้อยคนที่เคยได้ยินชื่อมัน แม้แต่นักประสาทวิทยาเองก็ไม่เคยได้ยิน
03:07
This is called the Capgras delusion,
53
187000
2000
มันถูกเรียกว่า อาการประสาทหลอนคัพกราส์
03:09
and that is a patient, who's otherwise completely normal,
54
189000
3000
นั่นคือ คนไข้ผู้ซึ่งในแง่อื่นๆแล้วปกติดีทุกอย่าง
03:12
has had a head injury, comes out of coma,
55
192000
3000
ได้รับบาดเจ็บที่ศรีษะ ฟื้นจากโคม่า
03:15
otherwise completely normal, he looks at his mother
56
195000
3000
เป็นปกติดีทุกอย่าง ยกเว้นตอนทีเขาเจอแม่ของเขา
03:18
and says, "This looks exactly like my mother, this woman,
57
198000
3000
และพูดว่า "ผู้หญิงคนนี้เหมือนแม่ของฉันเปี๊ยบ
03:21
but she's an impostor.
58
201000
2000
แต่เธอเป็นตัวปลอม
03:23
She's some other woman pretending to be my mother."
59
203000
2000
เธอเป็นผู้หญิงคนอื่นที่แสร้งทำเป็นแม่ของฉัน"
03:25
Now, why does this happen?
60
205000
2000
ทีนี้ ทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ?
03:27
Why would somebody -- and this person is perfectly lucid and intelligent
61
207000
3000
ทำไมบางคน --และคนคนนี้ก็เป็นผู้มีสัมปชัญญะครบถ้วน
03:30
in all other respects, but when he sees his mother,
62
210000
2000
และฉลาดในแง่อื่นๆ ทั้งหมด แต่เมื่อเขาเห็นแม่ของเขา
03:32
his delusion kicks in and says, it's not mother.
63
212000
3000
อาการประสาทหลอนก็จะเริ่มขึ้น และบอกว่านั่นไม่ใช่แม่ของเขา
03:35
Now, the most common interpretation of this,
64
215000
2000
คำอธิบายทั่วไปของเรื่องนี้
03:37
which you find in all the psychiatry textbooks,
65
217000
2000
ซึ่งคุณจะหาได้ในหนังสือจิตวิทยาทุกเล่ม
03:39
is a Freudian view, and that is that this chap --
66
219000
4000
คือมุมมองแบบฟรอยด์ นั่นคือ นายหมอนี่
03:43
and the same argument applies to women, by the way,
67
223000
2000
อ้อ และคำอธิบายนี้ก็ใช้กับผู้หญิงได้ด้วยนะครับ
03:45
but I'll just talk about guys.
68
225000
2000
แต่ผมแค่ยกตัวอย่างว่าเป็นผู้ชาย
03:47
When you're a little baby, a young baby,
69
227000
3000
เมื่อคุณเป็นเด็กน้อย เป็นทารก
03:50
you had a strong sexual attraction to your mother.
70
230000
2000
คุณมีความรู้สึกดึงดูดทางเพศต่อแม่ของคุณ
03:52
This is the so-called Oedipus complex of Freud.
71
232000
2000
นี่มีชื่อเรียกว่า ปมเอดิเพิส (Oedipus complex) ของฟรอยด์
03:54
I'm not saying I believe this,
72
234000
2000
ผมไม่ได้บอกว่าผมเชื่อนะครับ
03:56
but this is the standard Freudian view.
73
236000
2000
แต่นี่คือมุมมองแบบมาตรฐานในแบบของฟรอยด์
03:58
And then, as you grow up, the cortex develops,
74
238000
3000
และเมื่อคุณโตขึ้น สมองชั้นนอกพัฒนาขึ้น
04:01
and inhibits these latent sexual urges towards your mother.
75
241000
4000
และยับยั้งความปราถนาทางเพศ ต่อแม่ของคุณที่ซ่อนอยู่
04:05
Thank God, or you would all be sexually aroused when you saw your mother.
76
245000
4000
ขอบคุณพระเจ้า ไม่อย่างนั้น คุณคงเกิดอารมณ์ทางเพศเมื่อเห็น แม่ของตัวเองกันหมดแน่ๆ
04:09
And then what happens is,
77
249000
2000
และสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ
04:11
there's a blow to your head, damaging the cortex,
78
251000
2000
การบาดเจ็บที่ศรีษะ ทำลายสมองชั้นนอก
04:13
allowing these latent sexual urges to emerge,
79
253000
4000
เปิดโอกาสให้ความปรารถนาทางเพศ ที่ซ่อนเร้นอยู่ถูกปลดปล่อย
04:17
flaming to the surface, and suddenly and inexplicably
80
257000
3000
ปะทุขึ้นสู่ภายนอก อย่างทันทีทันใดโดยอธิบายไม่ได้
04:20
you find yourself being sexually aroused by your mother.
81
260000
3000
และคุณรู้สึกถูกกระตุ้นทางเพศโดยแม่ของคุณ
04:23
And you say, "My God, if this is my mom,
82
263000
2000
และคุณจะคิดว่า "พระเจ้า ถ้านี่เป็นแม่ของฉัน
04:25
how come I'm being sexually turned on?
83
265000
2000
ทำไมฉันถึงมีอารมณ์ทางเพศได้หล่ะ?
04:27
She's some other woman. She's an impostor."
84
267000
2000
เธอต้องเป็นผู้หญิงคนอื่น เธอต้องเป็นตัวปลอม"
04:29
It's the only interpretation that makes sense to your damaged brain.
85
269000
4000
มันเป็นการตีความแบบเดียวที่สมเหตุผล กับการบาดเจ็บของสมอง
04:33
This has never made much sense to me, this argument.
86
273000
3000
มันไม่เคยฟังดูสมเหตุผลเลยสำหรับผม ข้อโต้แย้งนี้
04:36
It's very ingenious, as all Freudian arguments are --
87
276000
3000
เข้าใจคิดจริงๆ เช่นเดียวกับข้อโต้แย้งอื่นๆของฟรอยด์
04:39
(Laughter)
88
279000
2000
(เสียงหัวเราะ)
04:41
-- but didn't make much sense because I have seen the same delusion,
89
281000
5000
แต่มันไม่ค่อยมีเหตุผล เพราะผมเคยเห็นอาการหลอนแบบเดียวกัน
04:46
a patient having the same delusion, about his pet poodle.
90
286000
2000
คนไข้คนหนึ่ง มีอาการหลอนแบบเดียวกัน กับหมาพุดเดิ้ลของเขา
04:48
(Laughter)
91
288000
1000
(เสียงหัวเราะ)
04:49
He'll say, "Doctor, this is not Fifi. It looks exactly like Fifi,
92
289000
5000
เขาบอกว่า "หมอ, นี่มันไม่ใช่ฟิฟี่ มันดูเหมือนฟิฟี่เป๊ะ
04:54
but it's some other dog." Right?
93
294000
2000
แต่นี่มันเป็นหมาตัวอื่น"
04:56
Now, you try using the Freudian explanation there.
94
296000
2000
ทีนี้ลองเอาคำอธิบายแบบฟรอยด์มาใช้สิครับ
04:58
(Laughter)
95
298000
1000
(เสียงหัวเราะ)
04:59
You'll start talking about the latent bestiality in all humans,
96
299000
4000
คุณจะเริ่มพูดเรื่องความปรารถนาจะสมสู่กับสัตว์ ที่ซ้อนเร้นอยู่ในมนุษย์ทุกคน
05:03
or some such thing, which is quite absurd, of course.
97
303000
3000
หรืออะไรแบบนั้น ซึ่งแน่นอน มันเหลวไหลสิ้นดี
05:06
Now, what's really going on?
98
306000
2000
ทีนี้ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ?
05:08
So, to explain this curious disorder,
99
308000
2000
เพื่อที่จะอธิบายความผิดปกติอันน่าฉงนนี้
05:10
we look at the structure and functions of the normal visual pathways in the brain.
100
310000
4000
เราศึกษาถึงโครงสร้างและการทำงาน ของเส้นทางสื่อประสาททางสายตาในสมองที่ปกติ
05:14
Normally, visual signals come in, into the eyeballs,
101
314000
3000
ปกติแล้ว สัญญาณภาพเข้ามาสู่ลูกตา
05:17
go to the visual areas in the brain.
102
317000
2000
และส่งไปยังส่วนประมวลภาพในสมอง
05:19
There are, in fact, 30 areas in the back of your brain concerned with just vision,
103
319000
3000
อันที่จริงแล้ว มีพื้นที่ 30 ส่วนในสมอง ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องภาพ
05:22
and after processing all that, the message goes to a small structure
104
322000
3000
หลังจากประมวลผลเสร็จ ข้อความจะถูกส่งไปยังโครงสร้างเล็กๆ
05:25
called the fusiform gyrus, where you perceive faces.
105
325000
5000
ที่ชื่อฟิวซิฟอร์มไจรัส ที่ซึ่งคุณรับรู้ใบหน้า
05:30
There are neurons there that are sensitive to faces.
106
330000
2000
มันมีเซลล์ประสาทที่ไวต่อภาพใบหน้า
05:32
You can call it the face area of the brain, right?
107
332000
3000
คุณสามารถเรียกมันได้ว่า เป็นสมองส่วนจดจำใบหน้า
05:35
I talked about that earlier.
108
335000
2000
ผมพูดถึงไปแล้วก่อนหน้านี้
05:37
Now, when that area's damaged, you lose the ability to see faces, right?
109
337000
4000
ทีนี้ เมื่อบริเวณนั้นเสียหาย คุณจะเสียความสามารถในการจดจำใบหน้า
05:41
But from that area, the message cascades
110
341000
3000
แต่จากบริเวณนั้น ข้อความถูกส่งต่อไปยัง
05:44
into a structure called the amygdala in the limbic system,
111
344000
3000
โครงสร้างที่เรียกว่า อมิกดาลา (amygdala) ในสมองชั้นใน
05:47
the emotional core of the brain,
112
347000
2000
ส่วนความรู้สึกในสมอง
05:49
and that structure, called the amygdala,
113
349000
2000
และโครงสร้างนั้น ที่เรียกว่า อมิกดาลา
05:51
gauges the emotional significance of what you're looking at.
114
351000
2000
จะวัดปริมาณความรู้สึกของสิ่งที่คุณมองเห็น
05:53
Is it prey? Is it predator? Is it mate?
115
353000
4000
มันคือเหยื่อ มันคือผู้ล่า มันคือเพศตรงข้าม
05:57
Or is it something absolutely trivial, like a piece of lint,
116
357000
2000
หรือมันคือสิ่งทั่วๆไปเช่นเศษผ้า
05:59
or a piece of chalk, or a -- I don't want to point to that, but --
117
359000
4000
เศษชอล์ก หรือ ผมไม่อยากจะชี้ไปตรงนั้น แต่
06:03
or a shoe, or something like that? OK?
118
363000
2000
หรือรองเท้า หรืออะไรก็ตาม
06:05
Which you can completely ignore.
119
365000
2000
ที่ซึ่งคุณสามารถละเลยได้
06:07
So if the amygdala is excited, and this is something important,
120
367000
3000
ดังนั้น ถ้าอามิกดาลาถูกกระตุ้น นั่นหมายถึงบางอย่างที่สำคัญ
06:10
the messages then cascade into the autonomic nervous system.
121
370000
3000
ข้อความจะถูกส่งต่อไปยังระบบประสาทอัตโนมัติ
06:13
Your heart starts beating faster.
122
373000
2000
หัวใจคุณจะเต้นเร็วขึ้น
06:15
You start sweating to dissipate the heat that you're going to
123
375000
3000
คุณเริ่มเหงื่อออก เพื่อเตรียมจะระบายความร้อน
06:18
create from muscular exertion.
124
378000
2000
ที่คุณจะสร้างจากการออกแรงของกล้ามเนื้อ
06:20
And that's fortunate, because we can put two electrodes on your palm
125
380000
4000
และนั่นถือเป็นโชคดี เพราะเราสามารถ วางขั้วไฟฟ้าสองอันไว้ในมือคุณ
06:24
and measure the change in skin resistance produced by sweating.
126
384000
4000
แล้ววัดการเปลี่ยนแปลงความต้านทานไฟฟ้า ของผิวหนังซึ่งเกิดจากเหงื่อ
06:28
So I can determine, when you're looking at something,
127
388000
2000
ดังนั้นผมจึงสามารถวัดได้ว่า เมื่อคุณมองบางสิ่ง
06:30
whether you're excited or whether you're aroused, or not, OK?
128
390000
4000
คุณตื่นเต้น หรือรู้สึกถูกกระตุ้นหรือเปล่า
06:34
And I'll get to that in a minute.
129
394000
2000
และผมจะบอกในอีกสักครู่
06:36
So my idea was, when this chap looks at an object, when he looks at his --
130
396000
4000
แนวคิดของผมคือ เมื่อนายคนนี้มองวัตถุสักชิ้น
06:40
any object for that matter, it goes to the visual areas and,
131
400000
4000
หรือมองวัตถุอะไรก็ตาม มันจะถูกส่งไปยังส่วนประมวลภาพ
06:44
however, and it's processed in the fusiform gyrus,
132
404000
3000
มันจะถูกประมวลโดยฟิวซิฟอร์มไจรัส
06:47
and you recognize it as a pea plant, or a table,
133
407000
3000
และคุณก็รู้ว่ามันเป็นต้นถั่ว หรือโต๊ะ
06:50
or your mother, for that matter, OK?
134
410000
2000
หรือแม่ของคุณ โอเคไหมครับ
06:52
And then the message cascades into the amygdala,
135
412000
3000
และจากนั้นข้อความก็ถูกส่งต่อไปยังอมิกดาลา
06:55
and then goes down the autonomic nervous system.
136
415000
2000
และไปต่อยังระบบประสาทอัตโนมัติ
06:57
But maybe, in this chap, that wire that goes from the amygdala to the limbic system,
137
417000
5000
แต่บางที ในกรณีของนายคนนี้ เส้นทางเชื่อมต่อ ระหว่างอมิกดาลากับสมองชั้นใน
07:02
the emotional core of the brain, is cut by the accident.
138
422000
3000
ซึ่งเป็นส่วนควบคุมอารมณ์ของสมอง ถูกตัดขาดโดยอุบัติเหตุ
07:05
So because the fusiform is intact,
139
425000
2000
ดังนั้น เนื่องจากฟิวซิฟอร์มยังอยู่ดี
07:07
the chap can still recognize his mother,
140
427000
3000
นายคนนี้จึงยังจำแม่ของเขาได้
07:10
and says, "Oh yeah, this looks like my mother."
141
430000
2000
และบอกว่า "อ้อใช่ นี่คือดูเหมือนแม่ของฉัน"
07:12
But because the wire is cut to the emotional centers,
142
432000
3000
แต่เนื่องจากเส้นทางสู่ศูนย์ควบคุมอารมณ์ถูกตัดขาด
07:15
he says, "But how come, if it's my mother, I don't experience a warmth?"
143
435000
4000
เขาจึงคิดว่า "แต่ถ้านี่คือแม่ของฉัน ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นเลย"
07:19
Or terror, as the case may be? Right?
144
439000
2000
หรือความรู้สึกสยอง ก็แล้วแต่กรณีนะครับ
07:21
(Laughter)
145
441000
1000
(เสียงหัวเราะ)
07:22
And therefore, he says, "How do I account for this inexplicable lack of emotions?
146
442000
6000
ดังนั้นเขาจึงคิดว่า "แล้วฉันจะอธิบายความรู้สึก ไร้อารมณ์นี้ได้อย่างไร"
07:28
This can't be my mother.
147
448000
2000
นี่ต้องไม่ใช่แม่ของฉันแน่ๆ
07:30
It's some strange woman pretending to be my mother."
148
450000
2000
ต้องเป็นหญิงแปลกหน้าสักคน ปลอมตัวมาเป็นแม่ของฉัน"
07:32
How do you test this?
149
452000
2000
เราทดสอบได้อย่างไร ?
07:34
Well, what you do is, if you take any one of you here, and put you in front of a screen,
150
454000
2000
ที่คุณต้องทำคือ ถ้าคุณให้ใครสักคนในที่นี้ ให้เขานั่งหน้าจอ
07:36
and measure your galvanic skin response,
151
456000
3000
และวัดความต้านทานไฟฟ้าของผิวหนัง
07:39
and show pictures on the screen,
152
459000
2000
และแสดงภาพต่างๆ บนจอ
07:41
I can measure how you sweat when you see an object,
153
461000
3000
ผมสามารถวัดว่าคุณเหงื่อออก มากน้อยแค่ไหนเมื่อคุณมองเห็นวัตถุ
07:44
like a table or an umbrella. Of course, you don't sweat.
154
464000
3000
เช่น โต๊ะ หรือร่ม แน่นอนว่าคุณจะไม่เหงื่อออก
07:47
If I show you a picture of a lion, or a tiger, or a pinup, you start sweating, right?
155
467000
5000
แต่ถ้าผมโชว์ภาพเสือ สิงโต หรือภาพวาบหวิว คุณจะเริ่มมีเหงื่อ
07:52
And, believe it or not, if I show you a picture of your mother --
156
472000
3000
และเชื่อหรือไม่ว่า ถ้าผมแสดงภาพแม่ของคุณ
07:55
I'm talking about normal people -- you start sweating.
157
475000
2000
ผมหมายถึงในคนปกตินะครับ คุณจะเริ่มเหงื่อออก
07:57
You don't even have to be Jewish.
158
477000
2000
ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเฉพาะกับคนยิวเท่านั้นนะครับ
07:59
(Laughter)
159
479000
2000
(เสียงหัวเราะ)
08:01
Now, what happens if you show this patient?
160
481000
4000
ทีนี้จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณเอาภาพเหล่านี้ แสดงให้ผู้ป่วยรายนี้ดู?
08:05
You take the patient and show him pictures on the screen
161
485000
4000
คุณแสดงให้ผู้ป่วยรายนี้เห็นภาพต่างๆ บนจอ
08:09
and measure his galvanic skin response.
162
489000
2000
และวัดความต้านทานไฟฟ้าบนผิวหนัง
08:11
Tables and chairs and lint, nothing happens, as in normal people,
163
491000
5000
โต๊ะ เก้าอี้ เศษผ้า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เช่นเดียวกับในคนปกติ
08:16
but when you show him a picture of his mother,
164
496000
2000
แต่เมื่อคุณแสดงให้เขาเห็นภาพของแม่เขา
08:18
the galvanic skin response is flat.
165
498000
2000
ความต้านทานไฟฟ้าที่ผิวเขาก็ยังไม่มีการตอบสนอง
08:20
There's no emotional reaction to his mother,
166
500000
2000
ไม่มีการตอบสนองด้านอารมณ์ต่อแม่ของเขาเลย
08:22
because that wire going from the visual areas to the emotional centers is cut.
167
502000
5000
เพราะเส้นทางเชื่อต่อจากส่วนรับภาพ ไปถึงส่วนควบคุมอารมณ์นั้นถูกตัดขาด
08:27
So his vision is normal because the visual areas are normal,
168
507000
3000
สายตาของเขายังปกติ เนื่องจากส่วนรับภาพยังปกติ
08:30
his emotions are normal -- he'll laugh, he'll cry, so on and so forth --
169
510000
3000
อารมณ์ของเขาก็เป็นปกติ เขายังหัวเราะ ร้องไห้ และแสดงอารมณ์อื่นๆ ได้อยู่
08:33
but the wire from vision to emotions is cut
170
513000
3000
แต่เส้นทางเชื่อมระหว่างภาพ และอารมณ์นั้นถูกตัด
08:36
and therefore he has this delusion that his mother is an impostor.
171
516000
3000
และดังนั้นเขาจึงเกิดประสาทหลอน ว่าแม่ของเขานั้นคือตัวปลอม
08:39
It's a lovely example of the sort of thing we do:
172
519000
3000
นี่คือตัวอย่างของสิ่งที่เราทำ
08:42
take a bizarre, seemingly incomprehensible, neural psychiatric syndrome
173
522000
4000
คือเอากรณีของคนไข้ที่มีอาการทางจิต ที่แปลกประหลาด ราวกับไม่มีคำอธิบาย
08:46
and say that the standard Freudian view is wrong,
174
526000
2000
และบอกว่ามุมมองแบบฟรอยด์นั้นผิด
08:48
that, in fact, you can come up with a precise explanation
175
528000
4000
และจริงๆแล้ว คุณสามารถหาเหตุผล อธิบายได้อย่างแม่นยำ
08:52
in terms of the known neural anatomy of the brain.
176
532000
2000
โดยใช้ความรู้ด้านกายวิภาคของสมอง
08:54
By the way, if this patient then goes,
177
534000
2000
อ้อ อีกอย่างหนึ่ง ถ้าผู้ป่วยรายนี้กลับไป
08:56
and mother phones from an adjacent room -- phones him --
178
536000
5000
และแม่ของเขาโทรหาจากห้องข้างๆ
09:01
and he picks up the phone, and he says, "Wow, mom, how are you? Where are you?"
179
541000
4000
และเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นพูด เขาจะพูดว่า "โอ้ แม่ครับ แม่เป็นยังไงบ้าง แม่อยู่ไหน"
09:05
There's no delusion through the phone.
180
545000
2000
ไม่มีอาการหลอนผ่านทางโทรศัพท์
09:07
Then, she approaches him after an hour, he says, "Who are you?
181
547000
2000
จากนั้นถ้าเธอเข้ามาหาเขาอีกชั่วโมงให้หลัง เขาจะพูดว่า "คุณเป็นใคร
09:09
You look just like my mother." OK?
182
549000
2000
คุณดูเหมือแม่ผมเลย"
09:11
The reason is there's a separate pathway
183
551000
2000
เหตุผลก็คือมันมีเส้นทางสื่อประสาทอีกเส้นทางหนึ่ง
09:13
going from the hearing centers in the brain to the emotional centers,
184
553000
4000
จากส่วนรับเสียงไปยังส่วนอารมณ์
09:17
and that's not been cut by the accident.
185
557000
2000
และเส้นทางนั้นไม่ได้ถูกตัดขาดโดยอุบัติเหตุ
09:19
So this explains why through the phone he recognizes his mother, no problem.
186
559000
5000
ดังนั้น นี่จึงอธิบายว่าทำไม เขาจึงจำแม่ของเขาได้ทางโทรศัพท์
09:24
When he sees her in person, he says it's an impostor.
187
564000
3000
และเมื่อเขาเห็นเธอตัวเป็นๆ เขาจึงบอกว่านี่คือตัวปลอม
09:27
OK, how is all this complex circuitry set up in the brain?
188
567000
4000
แล้ววงจรที่ซับซ้อนนี้ ถูกสร้างขึ้นอย่างไรในสมองเรา?
09:31
Is it nature, genes, or is it nurture?
189
571000
3000
เป็นเรื่องธรรมชาติ พันธุกรรม หรือการเลี้ยงดู?
09:34
And we approach this problem
190
574000
2000
และวิธีที่เราแก้ปัญหานี้
09:36
by considering another curious syndrome called phantom limb.
191
576000
4000
โดยการศึกษาโรคประหลาดอีกโรค ชื่อ แขนขาลวง (phantom limb)
09:40
And you all know what a phantom limb is.
192
580000
2000
และทุกคนรู้ว่าแขนขาลวงคืออะไร
09:42
When an arm is amputated, or a leg is amputated, for gangrene,
193
582000
3000
เมื่อ แขนถูกตัด หรือขาถูกตัดเพราะเนื้อเน่า
09:45
or you lose it in war -- for example, in the Iraq war,
194
585000
2000
หรือคุณเสียมันไปในสงคราม ตัวอย่างเช่นในสงครามอิรัก
09:47
it's now a serious problem --
195
587000
2000
ซึ่งตอนนี้กำลังเป็นปัญหาหนัก
09:49
you continue to vividly feel the presence of that missing arm,
196
589000
4000
คุณยังคงรู้สึกได้ชัดเจนว่าแขนขานั้นยังอยู่ แม้ว่ามันจะหายไปแล้ว
09:53
and that's called a phantom arm or a phantom leg.
197
593000
3000
และมันเรียนกว่า แขนลวง หรือ ขาลวง
09:56
In fact, you can get a phantom with almost any part of the body.
198
596000
2000
อันที่จริง คุณเกิดอาการ "ลวง" ได้กับทุกส่วนของร่างกาย
09:58
Believe it or not, even with internal viscera.
199
598000
3000
เชื่อหรือไม่ แม้แต่กับอวัยวะภายใน
10:01
I've had patients with the uterus removed -- hysterectomy --
200
601000
4000
ผมเคยมีคนป่วยที่ผ่าตัดมดลูกออกไปแล้ว
10:05
who have a phantom uterus, including phantom menstrual cramps
201
605000
5000
ซึ่งมีอาการ มดลูกลวง รวมถึง ปวดท้องประจำเดือนลวงด้วย
10:10
at the appropriate time of the month.
202
610000
2000
ในช่วงเวลาที่เหมาะสมของเดือน
10:12
And in fact, one student asked me the other day,
203
612000
2000
อันที่จริง มีนักเรียนคนหนึ่งถามผมเมื่อวันก่อนว่า
10:14
"Do they get phantom PMS?"
204
614000
2000
"แล้วเธอมีอาการ วัยทองลวง (PMS) ด้วยไหม ?"
10:16
(Laughter)
205
616000
1000
(เสียงหัวเราะ)
10:17
A subject ripe for scientific enquiry, but we haven't pursued that.
206
617000
4000
เป็นอีกหัวข้อที่พร้อมสำหรับการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ แต่เราไม่ได้ศึกษาในแนวทางนั้นนะครับ
10:21
OK, now the next question is,
207
621000
3000
ทีนี้ อีกคำถามหนึ่งก็คือ
10:24
what can you learn about phantom limbs by doing experiments?
208
624000
3000
คุณจะเรียนรู้อะไรได้บ้างเกี่ยวกับแขนขาลวง โดยใช้การทดลอง
10:27
One of the things we've found was,
209
627000
2000
สิ่งหนึ่งที่เราพบคือ
10:29
about half the patients with phantom limbs
210
629000
2000
เกือบครึ่งหนึ่งของคนไข้ที่มีอาการแขนขาลวง
10:31
claim that they can move the phantom.
211
631000
2000
อ้างว่าพวกเขาสามารถเคลื่อนไหวแขนขาลวงนั้นได้
10:33
It'll pat his brother on the shoulder,
212
633000
2000
เขาใช้มันตบไหล่พี่ชายของเขาได้
10:35
it'll answer the phone when it rings, it'll wave goodbye.
213
635000
2000
เขาใช้มันรับโทรศัพท์เมื่อมันดัง หรือใช้มันโบกมือลา
10:37
These are very compelling, vivid sensations.
214
637000
3000
มันให้ความรู้สึกเหมือนจริงมาก
10:40
The patient's not delusional.
215
640000
2000
คนไข้ไม่ได้ประสาทหลอน
10:42
He knows that the arm is not there,
216
642000
2000
เขารู้อยู่แก่ใจว่าแขนเขาไม่มีแล้ว
10:44
but, nevertheless, it's a compelling sensory experience for the patient.
217
644000
3000
แต่มันเป็นความรู้สึกที่ชัดเจนสำหรับคนไข้
10:47
But however, about half the patients, this doesn't happen.
218
647000
3000
อย่างไรก็ตาม อีกครึ่งหนึ่งของคนไข้ไม่มีอาการเหล่านี้
10:50
The phantom limb -- they'll say, "But doctor, the phantom limb is paralyzed.
219
650000
4000
อาการแขนขาลวง แต่เขาจะพูดว่า "แต่หมอ แขนขาลวงของผมเป็นอัมพาต"
10:54
It's fixed in a clenched spasm and it's excruciatingly painful.
220
654000
3000
มันอยู่นิ่งในลักษณะกำแน่นและเจ็บปวดเกินบรรยาย
10:57
If only I could move it, maybe the pain will be relieved."
221
657000
3000
ถ้าผมสามารถขยับมันได้ บางทีคามเจ็บปวดอาจบรรเทาลง"
11:00
Now, why would a phantom limb be paralyzed?
222
660000
3000
ทีนี้ ทำไมแขนขาลวงจึงเป็นอัมพาตได้
11:03
It sounds like an oxymoron.
223
663000
2000
ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกัน
11:05
But when we were looking at the case sheets, what we found was,
224
665000
3000
แต่เมื่อเราดูที่ประวัติคนไข้ เราพบว่า
11:08
these people with the paralyzed phantom limbs,
225
668000
2000
คนเหล่านี้ที่มีอาการแขนขาลวงอัมพาตนั้น
11:10
the original arm was paralyzed because of the peripheral nerve injury.
226
670000
4000
มีแขนจริงที่เป็นอัมพาต เพราะการบาดเจ็บทางเส้นประสาท
11:14
The actual nerve supplying the arm was severed,
227
674000
3000
เส้นประสาทจริงๆซึ่งเชื่อมไปยังแขนถูกตัดขาด
11:17
was cut, by say, a motorcycle accident.
228
677000
2000
ถูกตัดโดยอุบัติเหตุทางจักรยานยนต์เป็นต้น
11:19
So the patient had an actual arm, which is painful,
229
679000
3000
ดังนั้นคนไข้ยังมีแขนซึ่งเจ็บปวด
11:22
in a sling for a few months or a year, and then,
230
682000
4000
อยู่ในที่ห้อยแขนเป็นเวลา 2-3 เดือน หรือเป็นปี แล้วจากนั้น
11:26
in a misguided attempt to get rid of the pain in the arm,
231
686000
3000
ด้วยความพยายามจะช่วยกำจัดความเจ็บปวดที่แขน อันเกิดจากความเข้าใจผิดๆ
11:29
the surgeon amputates the arm,
232
689000
2000
ศัลยแพทย์จึงตัดแขนข้างนั้น
11:31
and then you get a phantom arm with the same pains, right?
233
691000
4000
และจากนั้นคุณก็จะได้แขนลวง ที่ยังคงความเจ็บปวดอยู่
11:35
And this is a serious clinical problem.
234
695000
2000
และนี่เป็นกรณีป่วยที่รุนแรง
11:37
Patients become depressed.
235
697000
2000
ผู้ป่วยบางคนเป็นโรคซึมเศร้า
11:39
Some of them are driven to suicide, OK?
236
699000
2000
บางคนคิดฆ่าตัวตาย
11:41
So, how do you treat this syndrome?
237
701000
2000
แล้วคุณจะรักษาอาการเหล่านี้ได้อย่างไร
11:43
Now, why do you get a paralyzed phantom limb?
238
703000
2000
ทำไมคุณจึงเกิดอาการแขนลวงอัมพาต
11:45
When I looked at the case sheet, I found that they had an actual arm,
239
705000
4000
เมื่อผมศึกษาประวัติคนไข้เหล่านี้ ผมพบว่าพวกเขาล้วนมีแขนจริง
11:49
and the nerves supplying the arm had been cut,
240
709000
3000
และเส้นประสาทที่เชื่อมต่อแขนนั้นถูกตัดขาด
11:52
and the actual arm had been paralyzed,
241
712000
3000
และแขนจริงก็กลายเป็นอัมพาต
11:55
and lying in a sling for several months before the amputation,
242
715000
4000
และห้อยอยู่ในที่แขวนหลายเดือนก่อนถูกตัด
11:59
and this pain then gets carried over into the phantom itself.
243
719000
6000
และความเจ็บปวดนี้ถูกส่งถ่ายไปยังแขนลวง
12:05
Why does this happen?
244
725000
2000
ทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
12:07
When the arm was intact, but paralyzed,
245
727000
2000
เมื่อแขนยังอยู่ แต่เป็นอัมพาต
12:09
the brain sends commands to the arm, the front of the brain, saying, "Move,"
246
729000
3000
สมองจะส่งคำสั่งไปยังแขน สมองส่วนหน้าจะสั่งว่า "ขยับ"
12:12
but it's getting visual feedback saying, "No."
247
732000
2000
และได้รับการป้อนกลับทางสายตาบอกว่า "ไม่"
12:14
Move. No. Move. No. Move. No.
248
734000
4000
ขยับ ไม่ ขยับ ไม่ ขยับ ไม่
12:18
And this gets wired into the circuitry of the brain,
249
738000
3000
และนี่ถูกบันทึกฝังลงในวงจรของสมอง
12:21
and we call this learned paralysis, OK?
250
741000
3000
และเราเรียกสิ่งนี้ว่า ความเป็นอัมพาตจากการเรียนรู้
12:24
The brain learns, because of this Hebbian, associative link,
251
744000
4000
สมองเรียนรู้ ตามการเรียนรู้แบบเฮ็บเบี้ยน (Hebbian)
12:28
that the mere command to move the arm
252
748000
3000
ว่าเพียงแค่ส่งคำสั่งไปขยับแขน
12:31
creates a sensation of a paralyzed arm.
253
751000
2000
จะสร้างความรู้สึกของแขนที่เป็นอัมพาต
12:33
And then, when you've amputated the arm,
254
753000
2000
ดังนั้น เมื่อคุณตัดแขนออก
12:35
this learned paralysis carries over into your body image
255
755000
4000
ความเป็นอัมพาตจากการเรียนรู้นี้ จึงถ่ายทอดไปยังภาพพจน์ของร่างกาย
12:39
and into your phantom, OK?
256
759000
3000
และไปยังแขนลวง โอเคไหมครับ
12:42
Now, how do you help these patients?
257
762000
2000
แล้วคุณจะช่วยคนไข้เหล่านี้อย่างไร ?
12:44
How do you unlearn the learned paralysis,
258
764000
2000
คุณจะทำให้อัมพาตจากการเรียนรู้นั้นถูกลืมได้
12:46
so you can relieve him of this excruciating, clenching spasm
259
766000
4000
เพื่อที่คุณจะได้ช่วยเขาบรรเทาจากอาการ มือกำแน่นอันเจ็บปวด
12:50
of the phantom arm?
260
770000
2000
ของแขนลวงได้
12:52
Well, we said, what if you now send the command to the phantom,
261
772000
5000
ดังนั้นเราจึงคิดว่า ถ้าตอนนี้คุณส่งคำสั่งไปยังแขนลวง
12:57
but give him visual feedback that it's obeying his command, right?
262
777000
4000
แล้วให้เขาเห็นการป้อนกลับทางสายตาว่า แขนนั้นมันทำตามคำสั่ง
13:01
Maybe you can relieve the phantom pain, the phantom cramp.
263
781000
3000
บางทีคุณอาจจะช่วยบรรเทา ความเจ็บปวดลวง ตะคริวลวงนี้ได้
13:04
How do you do that? Well, virtual reality.
264
784000
2000
แล้วคุณจะทำอย่างไร ก็ใช้ความจริงเสมือนสิครับ (virtual reality)
13:06
But that costs millions of dollars.
265
786000
2000
แต่นั้นมันแพงหลายล้านดอลลาร์
13:08
So, I hit on a way of doing this for three dollars,
266
788000
3000
ดังนั้นผมจึงตัดสินใจทำมัน ในแบบที่ใช้เงินเพียง 3 ดอลลาร์
13:11
but don't tell my funding agencies.
267
791000
2000
แต่อย่าบอกผู้ให้ทุนสนับสนุนงานวิจัยผมนะครับ
13:13
(Laughter)
268
793000
1000
(เสียงหัวเราะ)
13:14
OK? What you do is you create what I call a mirror box.
269
794000
4000
สิ่งที่ทำคือคุณสร้างสิ่งทีผมเรียกว่ากล่องกระจก
13:18
You have a cardboard box with a mirror in the middle,
270
798000
2000
คุณมีกล่องกระดาษที่มีกระจกวางไว้ตรงกลาง
13:20
and then you put the phantom -- so my first patient, Derek, came in.
271
800000
4000
และจากนั้นคุณเอาแขนลวงใส่เข้าไป คนไข้คนแรกของผม เดเร็ก เข้ามา
13:24
He had his arm amputated 10 years ago.
272
804000
3000
แขนเขาถูกตัดไปแล้วเมื่อ 10 ปีก่อน
13:27
He had a brachial avulsion, so the nerves were cut
273
807000
3000
เขาได้รับบาดเจ็บที่ศูนย์รวมประสาทบริเวณหัวไหล่ ดังนั้นเส้นประสาทจึงถูกตัด
13:30
and the arm was paralyzed, lying in a sling for a year, and then the arm was amputated.
274
810000
4000
แขนเขาเป็นอัมพาต ห้อยอยู่ในที่ห้อยแขนเป็นปี และสุดท้ายก็ถูกตัด
13:34
He had a phantom arm, excruciatingly painful, and he couldn't move it.
275
814000
2000
เขาเกิดมีแขนลวด มันเจ็บปวดแสนสาหัส และเขาขยับมันไม่ได้
13:36
It was a paralyzed phantom arm.
276
816000
2000
มันเป็นแขนลวงอัมพาต
13:38
So he came there, and I gave him a mirror like that, in a box,
277
818000
4000
เขาเข้ามาและผมให้กระจกแบบนั้นในกล่อง
13:42
which I call a mirror box, right?
278
822000
3000
ที่ผมเรียกว่ากล่องกระจก
13:45
And the patient puts his phantom left arm,
279
825000
3000
คนไข้สอดแขนลวงด้านซ้าย
13:48
which is clenched and in spasm, on the left side of the mirror,
280
828000
2000
ที่ซึ่งกำแน่น ไว้ทางซ้ายของกระจก
13:50
and the normal hand on the right side of the mirror,
281
830000
2000
และแขนข้างที่ปกติทางด้านขวาของกระจก
13:52
and makes the same posture, the clenched posture,
282
832000
4000
และให้ทำท่าทางเดียวกัน ท่ากำมือ
13:56
and looks inside the mirror. And what does he experience?
283
836000
3000
และมองดูในกระจก และเขาจะเกิดประสบการณ์อย่างไร
13:59
He looks at the phantom being resurrected,
284
839000
3000
เขามองเห็นแขนลวงกำลังคืนชีพขึ้นมา
14:02
because he's looking at the reflection of the normal arm in the mirror,
285
842000
4000
เพราะเขามองเห็นภาพสะท้อนของแขนที่ปกติในกระจก
14:06
and it looks like this phantom has been resurrected.
286
846000
2000
มันจึงเหมือนกับแขนลวงได้กลับมาแล้ว
14:08
"Now," I said, "now, look, wiggle your phantom --
287
848000
3000
"ทีนี้" ผมกล่าว "ทีนี้ลองกระดิก
14:11
your real fingers, or move your real fingers while looking in the mirror."
288
851000
4000
นิ้วจริงๆ หรือขยับนิ้วจริงในขณะมองกระจก"
14:15
He's going to get the visual impression that the phantom is moving, right?
289
855000
4000
เขาจะได้เห็นภาพว่านิ้วลวงกำลังขยับใช่ไหม
14:19
That's obvious, but the astonishing thing is,
290
859000
2000
นั่นมันชัดเจนอยู่แล้ว แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือ
14:21
the patient then says, "Oh my God, my phantom is moving again,
291
861000
3000
คนไข้กล่าว่า "โอ้พระเจ้า แขนลวงผมขยับได้แล้ว"
14:24
and the pain, the clenching spasm, is relieved."
292
864000
2000
และความเจ็บปวด อาการกำแน่นก็ค่อยยังชั่วขึ้น
14:26
And remember, my first patient who came in --
293
866000
3000
และโปรดจำว่า คนไข้คนแรกที่เข้ามา
14:29
(Applause)
294
869000
1000
(เสียงปรบมือ)
14:30
-- thank you. (Applause)
295
870000
4000
ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ)
14:34
My first patient came in, and he looked in the mirror,
296
874000
3000
คนไข้คนแรกที่เข้ามา และเขามองกระจก
14:37
and I said, "Look at your reflection of your phantom."
297
877000
3000
และผมบอกว่า "ดูภาพสะท้อนของแขนลวงคุณสิ"
14:40
And he started giggling, he says, "I can see my phantom."
298
880000
2000
เขาเริ่มหัวเราะคิกคัก แล้วพูดว่า "ผมเห็นแขนลวงผมแล้ว"
14:42
But he's not stupid. He knows it's not real.
299
882000
2000
แต่เขาไม่ได้โง่ เขารู้ว่ามันไม่จริง
14:44
He knows it's a mirror reflection,
300
884000
2000
เขารู้ว่ามันเป็นภาพสะท้อนในกระจก
14:46
but it's a vivid sensory experience.
301
886000
2000
แต่มันเป็นประสบการณ์รับรู้ทางประสาทที่สมจริง
14:48
Now, I said, "Move your normal hand and phantom."
302
888000
3000
และผมบอกว่า "ขยับมือจริงและมือลวงของคุณ"
14:51
He said, "Oh, I can't move my phantom. You know that. It's painful."
303
891000
2000
เขาพูดว่า "ผมขยับแขนลวงไม่ได้หรอก หมอก็รู้ มันเจ็บปวด"
14:53
I said, "Move your normal hand."
304
893000
2000
ผมบอก "ขยับมือข้างปกติของคุณ"
14:55
And he says, "Oh my God, my phantom is moving again. I don't believe this!
305
895000
2000
และเขากล่าวว่า "โอ้พระเจ้า แขนลวงผมขยับได้แล้ว ผมไม่อยากเชื่อเลย"
14:57
And my pain is being relieved." OK?
306
897000
3000
และความเจ็บปวดก็ลดลงด้วย
15:00
And then I said, "Close your eyes."
307
900000
1000
และจากนั้นผมบอกว่า "ลองหลับตา"
15:01
He closes his eyes.
308
901000
2000
เขาหลับตาลง
15:03
"And move your normal hand."
309
903000
1000
"และขยับมือข้างที่ปกติของคุณ"
15:04
"Oh, nothing. It's clenched again."
310
904000
1000
"ไม่เห็นเกิดอะไรขึ้นเลย มันกำแน่นอีกแล้ว"
15:05
"OK, open your eyes."
311
905000
2000
"โอเค ลืมตาได้"
15:07
"Oh my God, oh my God, it's moving again!"
312
907000
1000
"โอ้พระเจ้า โอ้พระเจ้า มันขยับได้อีกแล้ว"
15:08
So, he was like a kid in a candy store.
313
908000
2000
เขากลายเป็นเหมือนเด็กในร้านขนมเลย
15:10
So, I said, OK, this proves my theory about learned paralysis
314
910000
5000
ดังนั้น นี่จึงพิสูจน์ทฤษฎีของผมเรื่อง ความเป็นอัมพาตจากการเรียนรู้
15:15
and the critical role of visual input,
315
915000
2000
และความสำคัญของข้อมูลทางสายตา
15:17
but I'm not going to get a Nobel Prize
316
917000
2000
แต่ผมคงไม่ได้รางวัลโนเบล
15:19
for getting somebody to move his phantom limb.
317
919000
2000
สำหรับการทำให้ใครบางคน สามารถขยับแขนขาลวงได้
15:21
(Laughter)
318
921000
1000
(เสียงหัวเราะ)
15:22
(Applause)
319
922000
1000
(เสียงปรบมือ)
15:23
It's a completely useless ability, if you think about it.
320
923000
3000
มันเป็นความสามารถที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี ถ้าคุณลองคิดดู
15:26
(Laughter)
321
926000
1000
(เสียงหัวเราะ)
15:27
But then I started realizing, maybe other kinds of paralysis
322
927000
4000
แต่ผมก็เริ่มตระหนักว่า บางที ความเป็นอัมพาตแบบอื่นๆ
15:31
that you see in neurology, like stroke, focal dystonias --
323
931000
5000
ที่คุณเห็นในประสาทวิทยา เช่น เส้นเลือดในสมองอุดตัน หรืออาการดิโทเนียเฉพาะจุด (focal dystonias)
15:36
there may be a learned component to this,
324
936000
2000
บางทีอาจมีปัจจัยอันเกิดจากการเรียนรู้เสริมเข้าไปด้วย
15:38
which you can overcome with the simple device of using a mirror.
325
938000
3000
ซึ่งคุณสามารถเอาชนะมันได้ด้วย อุปกรณ์ง่ายๆ เช่นกระจก
15:41
So, I said, "Look, Derek" --
326
941000
2000
ผมจึงพูดว่า "เอาล่ะ เดเร็ก"
15:43
well, first of all, the guy can't just go around carrying a mirror to alleviate his pain --
327
943000
3000
คืออย่างแรก เขาคงไม่สามารถแบกกระจกตลอดเวลา เพื่อให้ความเจ็บปวดเขาหายไป
15:46
I said, "Look, Derek, take it home and practice with it for a week or two.
328
946000
4000
ผมจึงพูดว่า "เอาล่ะ เดเร็ก เอากระจกนี่กลับบ้าน แล้วลองฝึกดูสักอาทิตย์ สองอาทิตย์
15:50
Maybe, after a period of practice,
329
950000
2000
บางที หลังจากที่ฝึกไปสักพัก
15:52
you can dispense with the mirror, unlearn the paralysis,
330
952000
2000
คุณจะเลิกใช้กระจกได้ และลืมอาการอัมพาต
15:54
and start moving your paralyzed arm,
331
954000
2000
และเริ่มขยับแขนที่เป็นอัมพาตได้
15:56
and then, relieve yourself of pain."
332
956000
2000
และจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของคุณ"
15:58
So he said OK, and he took it home.
333
958000
2000
เขาตอบตกลงและเอากระจกกลับบ้านไป
16:00
I said, "Look, it's, after all, two dollars. Take it home."
334
960000
2000
"จริงๆ แล้วมันก็แค่สองเหรียญ เอามันกลับบ้านไปเลย"
16:02
So, he took it home, and after two weeks, he phones me,
335
962000
3000
เขาจึงเอามันกลับบ้าน และหลังจากนั้นสองอาทิตย์ เขาโทรหาผม
16:05
and he said, "Doctor, you're not going to believe this."
336
965000
2000
เขาพูดว่า "หมอ หมอต้องไม่เชื่อผมแน่ๆ"
16:07
I said, "What?"
337
967000
1000
ผมถาม "อะไรหรือ"
16:08
He said, "It's gone."
338
968000
2000
เขาบอก "มันหายไปแล้ว"
16:10
I said, "What's gone?"
339
970000
1000
ผมถาม "อะไรหาย"
16:11
I thought maybe the mirror box was gone.
340
971000
2000
ผมคิดว่า บางทีกล่องกระจกหายไปแล้ว
16:13
(Laughter)
341
973000
1000
(เสียงหัวเราะ)
16:14
He said, "No, no, no, you know this phantom I've had for the last 10 years?
342
974000
3000
เขาบอกว่า "ไม่ใช่ครับ แขนลวงของผม ที่ผมมีมาตลอด 10 ปีมานี้"
16:17
It's disappeared."
343
977000
2000
มันหายไปแล้ว
16:19
And I said -- I got worried, I said, my God,
344
979000
2000
ผมกังวลมาก พระเจ้า
16:21
I mean I've changed this guy's body image,
345
981000
2000
ผมได้เปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของเขาไปแล้ว
16:23
what about human subjects, ethics and all of that?
346
983000
3000
แล้วเรื่องเกี่ยวกับมนุษยธรรม จรรยาบรรณ และอื่นๆ ล่ะ
16:26
And I said, "Derek, does this bother you?"
347
986000
2000
ผมถาม "เดเร็ก นี่ทำให้คุณกังวลหรือเปล่า"
16:28
He said, "No, last three days, I've not had a phantom arm
348
988000
3000
เขาบอกว่า "ไม่เลย สามวันที่ผ่านมา ผมไม่มีแขนลวงแล้ว"
16:31
and therefore no phantom elbow pain, no clenching,
349
991000
3000
และดังนั้น จึงไม่มีความปวดจากข้อศอกลวง ไม่มีอาการกำมือแน่น
16:34
no phantom forearm pain, all those pains are gone away.
350
994000
3000
ไม่มีความเจ็บปวดจากต้นแขนลวง ความเจ็บปวดทุกอย่างหายไปหมด
16:37
But the problem is I still have my phantom fingers dangling from the shoulder,
351
997000
4000
แต่ปัญหาคือผมรู้สึกถึงนิ้วลวง ที่ห้อยอยู่ตรงหัวไหล่ผม
16:41
and your box doesn't reach."
352
1001000
2000
และกล่องของคุณก็ลึกไม่พอ"
16:43
(Laughter)
353
1003000
1000
(เสียงหัวเราะ)
16:44
"So, can you change the design and put it on my forehead,
354
1004000
3000
"ดังนั้น คุณช่วยออกแบบใหม่ และเอามันผูกไว้กับหน้าผากผมได้ไหม"
16:47
so I can, you know, do this and eliminate my phantom fingers?"
355
1007000
3000
เพื่อที่ผมจะได้ทำแบบนี้ และกำจัดนิ้วลวงออกไป
16:50
He thought I was some kind of magician.
356
1010000
2000
เขาคงนึกว่าผมเป็นนักมายากล
16:52
Now, why does this happen?
357
1012000
1000
ทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
16:53
It's because the brain is faced with tremendous sensory conflict.
358
1013000
3000
นั่นเป็นเพราะสมองนั้น ต้องเจอกับความขัดแย้งของประสาทสัมผัส
16:56
It's getting messages from vision saying the phantom is back.
359
1016000
3000
มันได้รับข้อความจากภาพว่าแขนลวงกลับมาแล้ว
16:59
On the other hand, there's no proprioception,
360
1019000
2000
และในทางกลับกัน มันไม่มีตัวรับสัมผัสที่สอดคล้องกัน
17:01
muscle signals saying that there is no arm, right?
361
1021000
4000
สัญญาณกล้ามเนื่อบอกว่าแขนนั้นไม่มีจริง
17:05
And your motor command saying there is an arm,
362
1025000
2000
และคำสั่งสู่กล้ามเนื้อบอกว่ามันมีแขน
17:07
and, because of this conflict, the brain says, to hell with it,
363
1027000
3000
และด้วยความขัดแย้งนี้ สมองจึงบอกว่า ช่างหัวมัน
17:10
there is no phantom, there is no arm, right?
364
1030000
3000
ไม่มีทั้งแขนปิศาจ ไม่มีทั้งแขนจริงนั่นแหละ
17:13
It goes into a sort of denial -- it gates the signals.
365
1033000
2000
มันเข้าสู่สถานะการไม่ยอมรับ ลบล้างสัญญาณ
17:15
And when the arm disappears, the bonus is, the pain disappears
366
1035000
4000
และเมื่อแขนหายไปแล้ว ของแถมคือความเจ็บปวดก็หายไปด้วย
17:19
because you can't have disembodied pain floating out there, in space.
367
1039000
4000
เพราะคุณไม่สามารถมีความเจ็บปวด ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศได้
17:23
So, that's the bonus.
368
1043000
2000
และนั่นเป็นของแถม
17:25
Now, this technique has been tried on dozens of patients
369
1045000
2000
เทคนิคนี้ ได้ถูกทดลองกับคนไข้จำนวนมาก
17:27
by other groups in Helsinki,
370
1047000
2000
โดยกลุ่มวิจัยอื่นๆ ในเฮลซิงกิ
17:29
so it may prove to be valuable as a treatment for phantom pain,
371
1049000
3000
ดังนั้นมันจึงพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นการรักษา ที่จำเป้นสำหรับความเจ็บปวดลวง
17:32
and indeed, people have tried it for stroke rehabilitation.
372
1052000
2000
และอันที่จริงแล้ว ผู้คนยังทดลองมัน กับการพักฟืนจากเส้นเลือดในสมองอุดตัน
17:34
Stroke you normally think of as damage to the fibers,
373
1054000
3000
อาการเส้นเลือดในสมองอุดตันที่ปกติแล้ว คุณคิดว่าเป็นความบาดเจ็บของเส้นประสาท
17:37
nothing you can do about it.
374
1057000
2000
คุณทำอะไรกับมันไม่ได้
17:39
But, it turns out some component of stroke paralysis is also learned paralysis,
375
1059000
5000
แต่มันกลายเป็นว่า บางส่วนของอัมพาตจาก เส้นเลือดในสมองอุตันนั้นเกิดจากการเรียนรู้
17:44
and maybe that component can be overcome using mirrors.
376
1064000
3000
และบางทีส่วนที่ว่านั้นอาจแก้ไขได้ โดยการใช้กระจก
17:47
This has also gone through clinical trials,
377
1067000
2000
กรณีนี้ก็เช่นกันได้ถูกไปใช้แล้วในการทดลองทางคลินิก
17:49
helping lots and lots of patients.
378
1069000
2000
เพื่อช่วยเหลือคนไข้จำนวนมาก
17:51
OK, let me switch gears now to the third part of my talk,
379
1071000
4000
โอเค ผมขอเปลี่ยนหัวข้อไปยัง ส่วนที่สามของการบรรยายของผม
17:55
which is about another curious phenomenon called synesthesia.
380
1075000
4000
ซึ่งเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์แปลกๆ ที่เรียกว่าซินเนสทีเซีย (synesthesia)
17:59
This was discovered by Francis Galton in the nineteenth century.
381
1079000
3000
มันถูกค้นพบโดย ฟรานซิส แกลตัน (Francis Galton) ในศตวรรษ์ที่ 19
18:02
He was a cousin of Charles Darwin.
382
1082000
2000
เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับ ชาลส์ ดาร์วิน
18:04
He pointed out that certain people in the population,
383
1084000
2000
เขาชี้ให้เห็นว่าบางคนในกลุ่มประชากร
18:06
who are otherwise completely normal, had the following peculiarity:
384
1086000
4000
ผู้ซึ่งดูปกติในเรื่องอื่นๆ จะมีอาการดังนี้
18:10
every time they see a number, it's colored.
385
1090000
3000
ทุกครั้งที่เขาเห็นตัวเลข มันเป็นสี
18:13
Five is blue, seven is yellow, eight is chartreuse,
386
1093000
4000
ห้าคือสีน้ำเงิน เจ็ดคือสีเหลือง แปดคือสีตองอ่อน
18:17
nine is indigo, OK?
387
1097000
2000
เก้าคือสีคราม
18:19
Bear in mind, these people are completely normal in other respects.
388
1099000
3000
โปรดระลึกว่า คนเหล่านี้ เป็นคนปกติดีทุกอย่างในเรื่องอื่นๆ
18:22
Or C sharp -- sometimes, tones evoke color.
389
1102000
3000
หรือ บางครั้งโน้ตเสียงเป็นตัวกระตุ้นสี
18:25
C sharp is blue, F sharp is green,
390
1105000
3000
ซีชาร์ปเป็นสีน้ำเงิน เอฟชาร์ปเป็นสีเขียว
18:28
another tone might be yellow, right?
391
1108000
3000
โน้ตอื่นๆ อาจเป็นสีเหลือง
18:31
Why does this happen?
392
1111000
2000
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้
18:33
This is called synesthesia. Galton called it synesthesia,
393
1113000
2000
อาการนี้เรียกว่าซินเนสทีเซีย แกลตันเรียกมันว่าซินเนสทีเซีย
18:35
a mingling of the senses.
394
1115000
2000
การผสมปนเปของประสาทรับรู้
18:37
In us, all the senses are distinct.
395
1117000
2000
ในพวกเรา ประสาทรับรู้ทุกอย่างนั้นแยกกันเด็ดขาด
18:39
These people muddle up their senses.
396
1119000
2000
แต่คนเหล่านี้มีประสาทสัมผัสผสมกันปนเป
18:41
Why does this happen?
397
1121000
1000
ทำไมจึงเป็นเช่นนี้
18:42
One of the two aspects of this problem are very intriguing.
398
1122000
2000
หนึ่งในสองแง่ของปัญหานี้น่าสนใจมาก
18:44
Synesthesia runs in families,
399
1124000
2000
ซินเนสทีเซียถ่ายทอดกันในตระกูล
18:46
so Galton said this is a hereditary basis, a genetic basis.
400
1126000
3000
ดังนั้น แกลตันจึงกล่าวว่านี่เป็น อาการที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
18:49
Secondly, synesthesia is about -- and this is what gets me to my point
401
1129000
4000
แง่ที่สอง ซินเนสทีเซียเกี่ยวข้องกับ -- และนี่จะโยงไปสู่ประเด็นของผม
18:53
about the main theme of this lecture, which is about creativity --
402
1133000
3000
เกี่ยวข้องกับใจความหลักของบรรยายครั้งนี้ ซึ่งเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์
18:56
synesthesia is eight times more common among artists, poets, novelists
403
1136000
5000
ซินเนสทีเซียนั้นพบบ่อยเป็น 8 เท่า ในกลุ่มศิลปิน กวี นักประพันธ์
19:01
and other creative people than in the general population.
404
1141000
3000
และคนอื่นๆ ที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ มากกว่าในคนทั่วไป
19:04
Why would that be?
405
1144000
1000
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?
19:05
I'm going to answer that question.
406
1145000
2000
ผมกำลังจะตอบคำถามนั้น
19:07
It's never been answered before.
407
1147000
2000
มันไม่เคยได้รับคำตอบมาก่อน
19:09
OK, what is synesthesia? What causes it?
408
1149000
1000
เอาล่ะ อะไรคือซินเนสทีเซีย ? อะไรเป็นสาเหตุ ?
19:10
Well, there are many theories.
409
1150000
1000
มีหลายทฤษฎีที่ใช้อธิบาย
19:11
One theory is they're just crazy.
410
1151000
2000
ทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่า คนเหล่านี้ก็แค่เป็นบ้า
19:13
Now, that's not really a scientific theory, so we can forget about it.
411
1153000
3000
นั่นไม่ใช่ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์สักเท่าไหร่ เราลืมมันไปได้เลย
19:16
Another theory is they are acid junkies and potheads, right?
412
1156000
4000
อีกทฤษฎีกล่าวว่า พวกนี้คือพวกติดยา พวกพี้กัญชา
19:20
Now, there may be some truth to this,
413
1160000
2000
บางทีอาจมีความจริงอยู่บ้าง
19:22
because it's much more common here in the Bay Area than in San Diego.
414
1162000
2000
เพราะมันพบบ่อยมากในย่าน เบย์ แอเรีย มากกว่าในซานดิเอโก
19:24
(Laughter)
415
1164000
1000
(เสียงหัวเราะ)
19:25
OK. Now, the third theory is that --
416
1165000
3000
ทฤษฎีที่สาม กล่าวว่า --
19:28
well, let's ask ourselves what's really going on in synesthesia. All right?
417
1168000
5000
เอาล่ะ ลองถามตัวเราเองก่อนว่าเกิดอะไรขึน เมื่อเกิดซินเนสทีเซีย ตกลงไหมครับ?
19:33
So, we found that the color area and the number area
418
1173000
3000
เราพบว่า สมองส่วนประมวลสี และส่วนประมวลตัวเลขนั้น
19:36
are right next to each other in the brain, in the fusiform gyrus.
419
1176000
3000
อยู่ติดกันในสมอง ในฟิวซิฟอร์มไจรัส
19:39
So we said, there's some accidental cross wiring
420
1179000
2000
เราเชื่อว่า มันเกิดการเชื่อมโยงที่ผิดพลาด
19:41
between color and numbers in the brain.
421
1181000
3000
ข้ามกันไปมาระหว่างสีและตัวเลขในสมอง
19:44
So, every time you see a number, you see a corresponding color,
422
1184000
3000
ดังนั้น ทุกครั้งที่คุณเห็นตัวเลข คุณจะเห็นสีที่สอดคล้องกันด้วย
19:47
and that's why you get synesthesia.
423
1187000
2000
และนั่นทำให้คุณเป็นซินเนสทีเซีย
19:49
Now remember -- why does this happen?
424
1189000
2000
ทีนี้โปรดจำว่า -- ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?
19:51
Why would there be crossed wires in some people?
425
1191000
2000
ทำไมถึงมีการเชื่อมโยงผิดพลาดในเฉพาะบางคน
19:53
Remember I said it runs in families?
426
1193000
2000
จำไว้ว่า ผมบอกว่ามันสืบทอดในตระกูล
19:55
That gives you the clue.
427
1195000
2000
นั่นเป็นคำบอกใบ้คุณ
19:57
And that is, there is an abnormal gene,
428
1197000
2000
ว่ามียีนผิดปกติอยู่ตัวหนึ่ง
19:59
a mutation in the gene that causes this abnormal cross wiring.
429
1199000
3000
ยีนตัวหนึ่งที่กลายพันธุ์และเป็นสาเหตุ ของการเชื่อมโยงข้ามกันที่ผิดปกติ
20:02
In all of us, it turns out
430
1202000
2000
ในพวกเราทุกคนนั้น
20:04
we are born with everything wired to everything else.
431
1204000
4000
ปรากฏว่าเราเกิดมาด้วยสภาพที่ ทุกอย่างเชื่อมโยงกับทุกอย่าง
20:08
So, every brain region is wired to every other region,
432
1208000
3000
ทุกส่วนในสมองเชื่อมโยงกับส่วนอื่นๆ ทุกส่วน
20:11
and these are trimmed down to create
433
1211000
2000
และมันจะค่อยๆ ถูกตัดออก
20:13
the characteristic modular architecture of the adult brain.
434
1213000
3000
เพื่อสร้างโครงสร้างของสมองผู้ใหญ่
20:16
So, if there's a gene causing this trimming
435
1216000
2000
ดังนั้น ถ้ามียีนตัวหนึ่งที่ทำหน้าที่ตัดการเชื่อมโยงนี้
20:18
and if that gene mutates,
436
1218000
2000
และถ้ายีนนั้นเกิดกลายพันธุ์
20:20
then you get deficient trimming between adjacent brain areas.
437
1220000
3000
ดังนั้นคุณจะได้การตัดการเชื่อมโยงที่ผิดพลาด ระหว่างสองส่วนในสมอง
20:23
And if it's between number and color, you get number-color synesthesia.
438
1223000
3000
และถ้ามันเกิดขึ้นระหว่างตัวเลขและสี คุณจะได้ซินเนสทีเซียประเภทสีและตัวเลข
20:26
If it's between tone and color, you get tone-color synesthesia.
439
1226000
3000
และถ้าเป็นระหว่างโทนเสียงและสี คุณจะได้ซินเนสทีเซียประเภทเสียงและสี
20:29
So far, so good.
440
1229000
2000
ฟังดูดีใช่ไหมครับ
20:31
Now, what if this gene is expressed everywhere in the brain,
441
1231000
2000
ทีนี้ ถ้ายีนตัวนี้ทำงานทุกๆที่ในสมอง
20:33
so everything is cross-connected?
442
1233000
1000
ดังนั้นทุกอย่างในสมองจะถูกเชื่อมโยงข้ามกันหรือเปล่า?
20:34
Well, think about what artists, novelists and poets have in common,
443
1234000
6000
ลองนึกถึงสิ่งที่ศิลปิน นักประพันธ์ และกวีล้วนมีเหมือนกัน
20:40
the ability to engage in metaphorical thinking,
444
1240000
3000
นั่นคือความสามารถในการคิดแบบอุปมาเปรียบเปรย
20:43
linking seemingly unrelated ideas,
445
1243000
2000
เชื่อมโยงแนวคิดที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกันเลย
20:45
such as, "It is the east, and Juliet is the Sun."
446
1245000
3000
เช่น "นั่นคือทิศบูรพาและจูเลียตเป็นดั่งดวงอาทิตย์"
20:48
Well, you don't say, Juliet is the sun,
447
1248000
2000
คุณคงไม่พูดว่า จูเลียตเป็นดั่งดวงอาทิตย์
20:50
does that mean she's a glowing ball of fire?
448
1250000
2000
นั่นแปลว่า จูเลียตคือลูกไฟดวงใหญ่หรือเปล่า
20:52
I mean, schizophrenics do that, but it's a different story, right?
449
1252000
3000
คนเป็นโรคจิตเภทอาจเห็นแบบนั้น แต่นั่นมันคนละเรื่องกันนะครับ
20:55
Normal people say, she's warm like the sun,
450
1255000
3000
คนปกติจะบอกว่า เธอนั้นอบอุ่นเหมือนดวงอาทิตย์
20:58
she's radiant like the sun, she's nurturing like the sun.
451
1258000
2000
เธอเปล่งประกายเหมือนดวงอาทิตย์ เธออ่อนโยนเหมือนดวงอาทิตย์
21:00
Instantly, you've found the links.
452
1260000
2000
ในทันใดนั้น คุณมองเห็นความเชื่อมโยง
21:02
Now, if you assume that this greater cross wiring
453
1262000
3000
ทีนี้ ถ้าคุณสมมติว่ามีการเชื่อมโยงที่มากกว่านั้น
21:05
and concepts are also in different parts of the brain,
454
1265000
3000
และแนวคิดคือมันเกิดขึ้นกับส่วนอื่นๆของสมองด้วย
21:08
then it's going to create a greater propensity
455
1268000
3000
ทีนี้มันก็จะก่อให้เกิดแนวโน้มที่สูงขึ้น
21:11
towards metaphorical thinking and creativity
456
1271000
3000
ที่จะมีความคิดแบบอุปมาอุปมัย และความคิดสร้างสรรค์
21:14
in people with synesthesia.
457
1274000
2000
ในผู้คนที่เป็นซิเนสทีเซีย
21:16
And, hence, the eight times more common incidence of synesthesia
458
1276000
3000
และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่เราพบรายงาน ผู้เป็นซิเนสทีเซียบ่อยเป็น 8 เท่า
21:19
among poets, artists and novelists.
459
1279000
2000
ในกลุ่มกวี ศิลปิน และนักประพันธ์
21:21
OK, it's a very phrenological view of synesthesia.
460
1281000
3000
เอาหล่ะ นี่คือมุมมองของซินเนสทีเซีย ในเชิงการทำนายจากลักษณะสมอง
21:24
The last demonstration -- can I take one minute?
461
1284000
2000
การสาธิตสุดท้าย ผมขอสักนาทีนึงนะครับ
21:26
(Applause)
462
1286000
2000
(เสียงปรบมือ)
21:28
OK. I'm going to show you that you're all synesthetes, but you're in denial about it.
463
1288000
5000
ผมจะแสดงให้คุณดูว่าทุกคนเป็นซินเนสทีเซีย แต่พวกคุณปฏิเสธมัน
21:33
Here's what I call Martian alphabet. Just like your alphabet,
464
1293000
4000
นี่คือสิ่งที่ผมเรียกว่าตัวอักษรภาษามนุษย์ดาวอังคาร มันคล้ายๆกับตัวอักษรของคุณแหล่ะครับ
21:37
A is A, B is B, C is C.
465
1297000
3000
เอ คือ เอ บี คือ บี ซี คือ ซี
21:40
Different shapes for different phonemes, right?
466
1300000
3000
รูปร่างต่างกัน ก็ออกเสียงต่างกัน
21:43
Here, you've got Martian alphabet.
467
1303000
2000
ทีนี้ คุณมีตัวอักษรชาวดาวอังคาร
21:45
One of them is Kiki, one of them is Bouba.
468
1305000
2000
ตัวหนึ่งชื่อ กิกี้ อีกตัวชื่อ โบบ้า
21:47
Which one is Kiki and which one is Bouba?
469
1307000
2000
ตัวไหนชื่อ กิกี้ และตัวไหนชื่อ โบบ้า ครับ
21:49
How many of you think that's Kiki and that's Bouba? Raise your hands.
470
1309000
2000
มีใครบ้างคิดว่า นั่นคือ กิกี้ และนั้นคือ โบบ้า ยกขึ้นมือครับ
21:51
Well, it's one or two mutants.
471
1311000
2000
เอาหล่ะ มีมนุษย์กลายพันธุ์อยู่คนสองคน
21:53
(Laughter)
472
1313000
1000
(เสียงหัวเราะ)
21:54
How many of you think that's Bouba, that's Kiki? Raise your hands.
473
1314000
2000
มีใครบ้างคิดว่า นั่นคือ โบบ้า และนั้นคือ กิกี้ ยกมือขึ้นครับ
21:56
Ninety-nine percent of you.
474
1316000
2000
99% ของพวกคุณ
21:58
Now, none of you is a Martian. How did you do that?
475
1318000
2000
และไม่มีใครเป็นชาวดาวอังคาร แล้วคุณรู้ได้อย่างไร
22:00
It's because you're all doing a cross-model synesthetic abstraction,
476
1320000
5000
นั่นเป็นเพราะทุกคนกำลังทำ การสรุปเชิงนามธรรมข้ามประสาทรับรู้ (cross-modal synesthetic abstraction)
22:05
meaning you're saying that that sharp inflection -- ki-ki,
477
1325000
4000
หมายถึงว่าคุณกำลังคิดว่า เสียงแหลมๆ กิ กิ้
22:09
in your auditory cortex, the hair cells being excited -- Kiki,
478
1329000
5000
ในประสาทหูของคุณ เหล่าเซลล์ขนก็ถูกกระตุ้น -- กิ กิ้
22:14
mimics the visual inflection, sudden inflection of that jagged shape.
479
1334000
3000
คล้ายกับภาพที่เห็น ภาพการหักมุมของภาพหยักๆ นั้น
22:17
Now, this is very important, because what it's telling you
480
1337000
3000
นี่สำคัญมาก เพราะมันกำลังบอกคุณว่า
22:20
is your brain is engaging in a primitive --
481
1340000
2000
สมองคุณกำลังใช้วิธีคิดแบบเก่าแก่
22:22
it's just -- it looks like a silly illusion,
482
1342000
2000
มันแค่ มันเหมือนภาพลวงตาโง่ๆ
22:24
but these photons in your eye are doing this shape,
483
1344000
4000
แต่โฟตอนในตาคุณสร้างภาพแบบนี้
22:28
and hair cells in your ear are exciting the auditory pattern,
484
1348000
3000
และเซลล์ขนในหูคุณถูกกระตุ้นด้วยรูปแบบของเสียง
22:31
but the brain is able to extract the common denominator.
485
1351000
5000
แต่สมองสามารถเพียงแค่ดึงเอาสิ่งที่โดดเด่นที่เหมือนกัน
22:36
It's a primitive form of abstraction,
486
1356000
2000
มันคือรูปแบบเก่าแก่ของการสรุปแบบนามธรรม
22:38
and we now know this happens in the fusiform gyrus of the brain,
487
1358000
5000
ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามันเกิดขึ้นในส่วน ฟิวซิฟอร์ม ไจรัสของสมอง
22:43
because when that's damaged,
488
1363000
1000
เพราะเมื่อมันถูกทำลาย
22:44
these people lose the ability to engage in Bouba Kiki,
489
1364000
4000
คนเหล่านั้นจะเสียความสามารถ ในการคิดเรื่อง โบบ้า กิกิ้
22:48
but they also lose the ability to engage in metaphor.
490
1368000
2000
แถมยังเสียความสามารถในการคิดอุปมาเปรียบเปรย
22:50
If you ask this guy, what -- "all that glitters is not gold,"
491
1370000
4000
ถ้าคุณถาม "ทุกอย่างที่เป็นประกาย ไม่ใช่ทองเสมอไป" [สำนวน: ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างทีเห็น]
22:54
what does that mean?"
492
1374000
2000
มันแปลว่าอะไร ?
22:56
The patient says, "Well, if it's metallic and shiny, it doesn't mean it's gold.
493
1376000
2000
คนไข้จะบอกว่า "ถ้ามันเป็นโลหะและสะท้อนแสงได้ มันไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นทอง
22:58
You have to measure its specific gravity, OK?"
494
1378000
3000
คุณจะต้องวัดความถ่วงจำเพาะด้วย รู้ไหม"
23:01
So, they completely miss the metaphorical meaning.
495
1381000
3000
พวกเขาหลงประเด็นเรื่องความหมายเชิงอุปมา
23:04
So, this area is about eight times the size in higher --
496
1384000
3000
สมองส่วนนี้ใหญ่เป็นแปดเท่าในสัตว์ตระกูลลิงชั้นสูง
23:07
especially in humans -- as in lower primates.
497
1387000
3000
โดยเฉพาะในมนุษย์ เมื่อเทียบกับสัตว์ตระกูลลิงชั้นล่างๆ
23:10
Something very interesting is going on here in the angular gyrus,
498
1390000
3000
บางสิ่งที่น่าสนใจมากกำลังเกิดขึ้นใน แองกูลาร์ไจรัส (angular gyrus)
23:13
because it's the crossroads between hearing, vision and touch,
499
1393000
3000
เพราะมันคือถนนข้ามแดนระหว่างการได้ยิน การมองเห็น และสัมผัส
23:16
and it became enormous in humans. And something very interesting is going on.
500
1396000
4000
มันใหญ่มหึมาในมนุษย์ และบางสิ่งที่น่าสนใจก็เกิดขึ้น
23:20
And I think it's a basis of many uniquely human abilities
501
1400000
3000
และผมคิดว่า มันเป็นพื้นฐาน ของความสามารถพิเศษในมนุษย์
23:23
like abstraction, metaphor and creativity.
502
1403000
3000
เช่น คิดเชิงนามธรรม การอุปมาเปรียบเทียบ และความคิดสร้างสรรค์
23:26
All of these questions that philosophers have been studying for millennia,
503
1406000
3000
คำถามหลากหลายที่เหล่านักปราชญ์ ได้ศึกษามาเป็นพันปี
23:29
we scientists can begin to explore by doing brain imaging,
504
1409000
4000
พวกเรานักวิทยาศสาสตร์ สามารถเริ่มค้นคว้าโดยการใช้ภาพถ่ายสมอง
23:33
and by studying patients and asking the right questions.
505
1413000
2000
โดยการศึกษาคนไข้ และถามคำถามที่ถูก
23:35
Thank you.
506
1415000
2000
ขอบคุณครับ
23:37
(Applause)
507
1417000
1000
(เสียงปรบมือ)
23:38
Sorry about that.
508
1418000
1000
ขอโทษด้วยครับ
23:39
(Laughter)
509
1419000
1000
(เสียงหัวเราะ)
เกี่ยวกับเว็บไซต์นี้

ไซต์นี้จะแนะนำคุณเกี่ยวกับวิดีโอ YouTube ที่เป็นประโยชน์สำหรับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ คุณจะได้เห็นบทเรียนภาษาอังกฤษที่สอนโดยอาจารย์ชั้นนำจากทั่วโลก ดับเบิลคลิกที่คำบรรยายภาษาอังกฤษที่แสดงในแต่ละหน้าของวิดีโอเพื่อเล่นวิดีโอจากที่นั่น คำบรรยายเลื่อนซิงค์กับการเล่นวิดีโอ หากคุณมีความคิดเห็นหรือคำขอใด ๆ โปรดติดต่อเราโดยใช้แบบฟอร์มการติดต่อนี้

https://forms.gle/WvT1wiN1qDtmnspy7