The unheard story of David and Goliath | Malcolm Gladwell

Translator: Thipnapa Huansuriya Reviewer: Kelwalin Dhanasarnsombut

So I wanted to tell a story

ผมอยากจะเล่าเรื่องสักเรื่องหนึ่ง

that really obsessed me when I was writing my new book,

ที่ค้างคาใจผมมากระหว่าง ที่ผมเขียนหนังสือเล่มใหม่

and it's a story of something that happened

เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น

3,000 years ago,

สามพันปีมาแล้ว

when the Kingdom of Israel was in its infancy.

เมื่อราชอาณาจักรอิสราเอลยังเป็นรัฐเกิดใหม่

And it takes place in an area called the Shephelah

เรื่องเกิดขึ้นในพื้นที่ที่เรียกว่าเชฟเฟลา

in what is now Israel.

ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศอิสราเอล

And the reason the story obsessed me is that

เหตุที่เรื่องนี้ค้างคาใจผมก็เพราะ

I thought I understood it, and then I went back over it

ผมคิดว่าผมเข้าใจมันดีแล้ว แต่พอมาคิดดูอีกที

and I realized that I didn't understand it at all.

ผมถึงตระหนักว่าผมไม่เข้าใจมันเลยสักนิด

Ancient Palestine had a -- along its eastern border,

รัฐปาเลสไตน์สมัยโบราณมีแนวเทือกเขา

there's a mountain range.

ยาวตลอดชายแดนตะวันออก

Still same is true of Israel today.

ซึ่งก็คืออิสราเอลในปัจจุบัน

And in the mountain range are all of the ancient cities

บนเทือกเขานั้นมีเมืองเก่าแก่ตั้งอยู่หลายเมือง

of that region, so Jerusalem, Bethlehem, Hebron.

เช่น เยรูซาเล็ม เบธเลเฮม เฮบรอน

And then there's a coastal plain

แล้วก็มีที่ราบชายฝั่งทะเลเมดิเตอเรเนียน

along the Mediterranean, where Tel Aviv is now.

ซึ่งเป็นที่ตั้งของกรุง เทล อาวีฟในปัจจุบัน

And connecting the mountain range with the coastal plain

และพื้นที่ที่เชื่อมต่อระหว่างเทือกเขา และที่ราบชายฝั่งนี้

is an area called the Shephelah,

คือพื้นที่ที่เรียกว่าเชฟเฟลา

which is a series of valleys and ridges that run east to west,

ซึ่งเป็นที่ราบสลับเนินเขา ทอดยาวจากตะวันออกถึงตะวันตก

and you can follow the Shephelah, go through the Shephelah

คุณสามารถเดินตามแนวเซฟเฟลา

to get from the coastal plain to the mountains.

จากที่ราบริมทะเล ผ่านไปถึงแนวเทือกเขาได้

And the Shephelah, if you've been to Israel, you'll know

และเชฟเฟลานั้น ถ้าคุณเคยไปอิสราเอล

it's just about the most beautiful part of Israel.

จะรู้ว่ามันเป็นจุดที่สวยที่สุดของอิสราเอล

It's gorgeous, with forests of oak

มันงดงามไปด้วยป่าต้นโอ๊ค

and wheat fields and vineyards.

ทุ่งข้าวสาลี และไร่องุ่น

But more importantly, though, in the history of that region,

แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ ในประวัติศาสตร์

it's served, it's had a real strategic function,

พื้นที่ตรงนี้มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์มาก

and that is, it is the means by which hostile armies

เพราะมันเป็นช่องทางที่กองทัพของศัตรู

on the coastal plain find their way,

จากที่ราบริมชายฝั่ง ใช้เดินทางเข้ามา

get up into the mountains and threaten those living in the mountains.

ประชิดภูเขา และรุกรานผู้คนที่อยู่บนภูเขาได้

And 3,000 years ago, that's exactly what happens.

และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสามพันปีที่แล้ว

The Philistines, who are the biggest of enemies

ชาวฟิลิสทีน ซึ่งเป็นศัตรูสำคัญที่สุด

of the Kingdom of Israel,

ของราชอาณาจักรอิสราเอล

are living in the coastal plain.

อาศัยอยู่บนที่ราบชายฝั่ง

They're originally from Crete. They're a seafaring people.

พวกเขาเป็นนักเดินเรือ มาจากเกาะครีตของกรีก

And they may start to make their way

แล้วก็คงเริ่มเดินทาง

through one of the valleys of the Shephelah

ผ่านหุบเขาแห่งหนึ่งในเชฟเฟลา

up into the mountains,

ขึ้นไปบนภูเขา

because what they want to do is occupy the highland area

เพราะพวกเขาต้องการยึดครองพื้นที่ราบสูง

right by Bethlehem and split the Kingdom of Israel in two.

ตรงข้างกรุงเบธเลเฮม และแบ่งแยกราชอาณาจักรอิสราเอลเป็นสองส่วน

And the Kingdom of Israel, which is headed by King Saul,

ราชอาณาจักรอิสราเอล ซึ่งปกครองโดยกษัตริย์นามว่าซอล

obviously catches wind of this,

ได้ข่าวนี้

and Saul brings his army down from the mountains

ซอลจึงนำกองทัพลงมาจากภูเขา

and he confronts the Philistines in the Valley of Elah,

และเผชิญหน้ากับพวกฟิลิสทีนที่หุบเขาอีลาห์

one of the most beautiful of the valleys of the Shephelah.

หนึ่งในหุบเขาที่สวยงานที่สุดในเขตเชฟเฟลา

And the Israelites dig in along the northern ridge,

พวกอิสราเอลตั้งมั่นอยู่ตามแนวเขาด้านเหนือ

and the Philistines dig in along the southern ridge,

ส่วนพวกฟิลิสทีนก็ตั้งมั่นอยู่ตามแนวเขาด้านใต้

and the two armies just sit there for weeks

กองทัพทั้งสองปักหลักอยู่ตรงนั้นหลายสัปดาห์

and stare at each other, because they're deadlocked.

จับจ้องกันไปมา เพราะต่างก็ทำอะไรกันไม่ได้

Neither can attack the other, because to attack the other side

ไม่มีฝ่ายไหนเข้าโจมตีก่อนได้

you've got to come down the mountain into the valley

เพราะถ้าจะโจมตีก่อน ก็ต้องลงจากเขาไปที่หุบเขา

and then up the other side, and you're completely exposed.

แล้วขึ้นไปยังเขาอีกด้านหนึ่ง ซึ่งต้องกลายเป็นเป้าให้ศัตรูเห็นแน่ๆ

So finally, to break the deadlock,

ในที่สุด เพื่อปลดล็อกสถานการณ์์นี้

the Philistines send their mightiest warrior

ฝ่ายฟิลิสทีนจึงส่งนักรบที่ทรงพลังที่สุด

down into the valley floor, and he calls out

ลงมาที่ก้นหุบเขา และร้องท้าทาย

and he says to the Israelites,

เขาบอกพวกอิสราเอลว่า

"Send your mightiest warrior down,

"ส่งนักรบที่ทรงพลังที่สุดของเจ้าลงมา

and we'll have this out, just the two of us."

ลงมาสู้กับข้าตัวต่อตัว"

This was a tradition in ancient warfare called single combat.

นี่เป็นธรรมเนียมการสงครามโบราณที่เรียกว่า การรบตัวต่อตัว

It was a way of settling disputes

ซึ่งเป็นวิธีแก้ปัญหาความขัดแย้ง

without incurring the bloodshed of a major battle.

โดยไม่ต้องให้เกิดการนองเลือด ในการรบเต็มรูปแบบ

And the Philistine who is sent down,

และนักรบชาวฟิลิสทีนที่ถูกส่งลงมา

their mighty warrior, is a giant.

เป็นยักษ์ผู้ทรงพลัง

He's 6 foot 9.

เขาสูง 205 เซนติเมตร

He's outfitted head to toe in this glittering bronze armor,

ใส่ชุดนักรบทำด้วยทองแดง มันวาวตั้งแต่หัวจรดเท้า

and he's got a sword and he's got a javelin

เขามีดาบ มีแหลน

and he's got his spear. He is absolutely terrifying.

และหอกด้วย เขาดูน่าหวาดกลัวสุดๆ

And he's so terrifying that none of the Israelite soldiers want to fight him.

จนไม่มีทหารอิสราเอลคนไหนอยากไปสู้ด้วย

It's a death wish, right? There's no way they think they can take him.

หาเรื่องตายชัดๆ ใช่ไหมครับ ไม่มีทางจะไปสู้ได้เลย

And finally the only person who will come forward

และในที่สุด คนเพียงคนเดียวที่อาสา

is this young shepherd boy,

ก็คือเด็กเลี้ยงแกะคนหนึ่ง

and he goes up to Saul and he says, "I'll fight him."

เขาเข้ามาหากษัตริย์ซอลแล้วบอกว่า "ข้าจะไปสู้กับมันเอง"

And Saul says, "You can't fight him. That's ridiculous.

ซอลร้องว่า "เจ้าสู้มันไม่ได้หรอก ไร้สาระน่ะ

You're this kid. This is this mighty warrior."

เจ้ามันแค่เด็ก แต่นั่นมันเป็นนักรบจอมพลังนะ"

But the shepherd is adamant. He says, "No, no, no,

แต่เจ้าเด็กเลี้ยงแกะยืนกราน เขาพูดว่า "ไม่ ไม่ ไม่

you don't understand, I have been defending my flock

ท่านไม่เข้าใจ ข้าปกป้องฝูงแกะของข้า

against lions and wolves for years. I think I can do it."

จากสิงโตและหมาป่ามาตั้งหลายปี ข้าว่าข้าทำได้"

And Saul has no choice. He's got no one else who's come forward.

ซอลไม่มีทางเลือกอื่น เพราะไม่ใครอาสาเลย

So he says, "All right."

เขาเลยบอกว่า "ก็ได้"

And then he turns to the kid, and he says,

แล้วจึงหันไปหาเด็กน้อย และพูดว่า

"But you've got to wear this armor. You can't go as you are."

"แต่เจ้าต้องใส่ชุดเกราะนี่ซะ ออกไปอย่างนี้ไม่ได้หรอก"

So he tries to give the shepherd his armor,

ซอลพยายามยัดเยียด ชุดเกราะของเขาให้เด็กเลี้ยงแกะ

and the shepherd says, "No."

เด็กเลี้ยงแกะตอบว่า "ไม่"

He says, "I can't wear this stuff."

"ข้าใส่ชุดพวกนี้ไม่ได้หรอก"

The Biblical verse is, "I cannot wear this for I have not proved it,"

ในไบเบิลเขียนว่า​ "ข้ามิอาจสวม เพราะมิเคยทดลองใส่"

meaning, "I've never worn armor before. You've got to be crazy."

แปลว่า "ข้าไม่เคยใส่ชุดเกราะมาก่อน ท่านเพี้ยนหรือเปล่าเนี่ย"

So he reaches down instead on the ground

แล้วเขาก็เอื้อมมือ

and picks up five stones

ไปเก็บหินห้าก้อนบนพื้น

and puts them in his shepherd's bag

เอาใส่ย่ามของเขา

and starts to walk down the mountainside to meet the giant.

แล้วเริ่มเดินลงจากเขา ไปเผชิญหน้ายักษ์ใหญ่

And the giant sees this figure approaching,

เจ้ายักษ์เห็นมีใครเดินใกล้เข้ามา

and calls out, "Come to me so I can feed your flesh

ก็ตะโกนออกไปว่า "เข้ามาหาข้าสิ ข้าจะได้ฉีกเนื้อเจ้า

to the birds of the heavens and the beasts of the field."

เลี้ยงวิหคแห่งสวรรค์ และสัตว์ร้ายแห่งท้องทุ่ง"

He issues this kind of taunt towards this person

เจ้ายักษ์ร้องข่มขู่คนคนนี้

coming to fight him.

ที่กำลังจะเข้ามาต่อสู้กับเขา

And the shepherd draws closer and closer,

เด็กเลี้ยงแกะเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

and the giant sees that he's carrying a staff.

เจ้ายักษ์ถึงได้เห็นว่าเขาถือของมาอย่างหนึ่ง

That's all he's carrying.

แค่นั้นเอง

Instead of a weapon, just this shepherd's staff,

แทนที่จะเป็นอาวุธ กลับมีแต่ข้าวของของเด็กเลี้ยงแกะ

and he says -- he's insulted --

เขารู้สึกถูกดูถูก เลยพูดว่า

"Am I a dog that you would come to me with sticks?"

"เห็นข้าเป็นสุนัขหรือไง ถึงได้ถือไม้พวกนั้นมาสู้กับข้า?"

And the shepherd boy takes one of his stones

เด็กเลี้ยงแกะหยิบหินก้อนหนึ่ง

out of his pocket, puts it in his sling

ออกมาจากกระเป๋า ใส่ห่วงเชือก

and rolls it around and lets it fly

ควงมันไปรอบๆ แล้วปล่อยให้ลอยไป

and it hits the giant right between the eyes --

ก้อนหินพุ่งเข้าโดนตรงระหว่างตาของเจ้ายักษ์

right here, in his most vulnerable spot --

ตรงนี้ ตรงจุดที่เปราะบางที่สุด

and he falls down either dead or unconscious,

เจ้ายักษ์จึงล้มลง อาจจะตาย หรือหมดสติ

and the shepherd boy runs up and takes his sword

เด็กเลี้ยงแกะจึงวิ่งไปคว้าดาบของเจ้ายักษ์

and cuts off his head,

และตัดหัวยักษ์จนขาด

and the Philistines see this and they turn and they just run.

พวกฟิลิสทีนเห็นเหตุการณ์แล้ว ก็หันหลังกลับ วิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงไปเลย

And of course, the name of the giant is Goliath

และแน่นอน ยักษ์ตัวนั้นชื่อโกไลแอท

and the name of the shepherd boy is David,

ส่วนเด็กเลี้ยงแกะนั้นก็คือเดวิด

and the reason that story has obsessed me

เหตุที่เรื่องนี้ค้างคาใจผม

over the course of writing my book

ตลอดเวลาที่ผมเขียนหนังสือเล่มล่าสุด

is that everything I thought I knew about that story

ก็เพราะทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ผมคิดว่าผมรู้แล้ว

turned out to be wrong.

ที่จริงมันผิดหมด

So David, in that story, is supposed to be the underdog, right?

อย่างเดวิดในเรื่องนี้ดูน่าจะเป็นรองใช่ไหมครับ

In fact, that term, David and Goliath,

ที่จริง วลีว่า เดวิดกับโกไลแอท

has entered our language as a metaphor for

ที่เรานำมาใช้กันในภาษาอังกฤษ เป็นอุปมาถึง

improbable victories

ชัยชนะที่ไม่น่าเป็นไปได้

by some weak party over someone far stronger.

เมื่อฝ่ายที่อ่อนแอกว่าชนะฝ่ายที่แข็งแรงกว่ามาก

Now why do we call David an underdog?

ทีนี้ ทำไมเราถึงมองว่าเดวิดเป็นไก่รองบ่อน

Well, we call him an underdog because he's a kid,

เราเรียกเขาว่าไก่รองบ่อนเพราะเขาเป็นเด็ก

a little kid, and Goliath is this big, strong giant.

เด็กตัวเล็กๆ ส่วนโกไลแอทนั้นเป็นยักษ์ตัวใหญ่ แข็งแรง

We also call him an underdog

เราเรียกเขาว่าไก่รองบ่อน

because Goliath is an experienced warrior,

เพราะโกไลแอทเป็นนักรบผู้ช่ำชอง

and David is just a shepherd.

ส่วนเดวิดเป็นแค่เด็กเลี้ยงแกะ

But most importantly, we call him an underdog

แต่ที่สำคัญที่สุด เราเรียกเขาว่าไก่รองบ่อน

because all he has is -- it's that Goliath is outfitted with

เพราะเขาไม่มีอะไรเลย แต่โกไลแอท

all of this modern weaponry,

มีสรรพาวุธทันสมัยครบครัน

this glittering coat of armor

เขาสวมเสื้อเกราะเงาวับ

and a sword and a javelin and a spear,

มีดาบ แหลน และหอก

and all David has is this sling.

ส่วนเดวิดมีแค่ห่วงเชือกสำหรับขว้างก้อนหิน

Well, let's start there with the phrase

เอาล่ะ เรามาเริ่มจากประโยคที่ว่า

"All David has is this sling,"

"เดวิดมีแค่ห่วงเชือกสำหรับขว้างก้อนหิน"

because that's the first mistake that we make.

เพราะนั่นคือความผิดพลาดข้อแรกของเรา

In ancient warfare, there are three kinds of warriors.

ในสงครามสมัยโบราณ มีนักรบอยู่สามประเภท

There's cavalry, men on horseback and with chariots.

หนึ่งคือทหารม้า ซึ่งอยู่บนหลังม้า หรือนั่งรถศึกเทียมม้า

There's heavy infantry, which are foot soldiers,

สองคือทหารราบถืออาวุธหนัก ซึ่งเดินเท้า

armed foot soldiers with swords and shields

ถืออาวุธจำพวกดาบและโล่

and some kind of armor.

และชุดเกราะ

And there's artillery, and artillery are archers,

พวกที่สามคือทหารที่ใช้อาวุธระยะไกล นั่นคือพลธนู

but, more importantly, slingers.

แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั่นคือ นักขว้าง

And a slinger is someone who has a leather pouch

ทหารนักขว้างมีถุงหนังเล็กๆ

with two long cords attached to it,

ที่มีเชือกยาวๆ ผูกอยู่สองข้าง

and they put a projectile, either a rock or a lead ball,

เอากระสุน เช่น ก้อนหินหรือลูกบอลตะกั่ว

inside the pouch, and they whirl it around like this

ใส่ไว้ในถุง แล้วเหวี่ยงเชือกเป็นวงกลมแบบนี้

and they let one of the cords go,

แล้วปล่อยปลายเชือกด้านหนึ่ง

and the effect is to send the projectile forward

ส่งให้กระสุนพุ่งไปข้างหน้า

towards its target.

เข้าสู่เป้าหมาย

That's what David has, and it's important to understand

นั่นคืออาวุธที่เดวิดมี และเราต้องเข้าใจนะครับ

that that sling is not a slingshot.

ว่าห่วงเชือกสำหรับขว้างหินนั้น ไม่ใช่หนังสติ๊ก

It's not this, right? It's not a child's toy.

มันไม่ใช่ของเล่นเด็กนะ ใช่ไหมครับ

It's in fact an incredibly devastating weapon.

มันเป็นอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้าง อย่างเหลือเชื่อ

When David rolls it around like this,

เมื่อเดวิดเหวี่ยงห่วงเชือกแบบนี้

he's turning the sling around probably

เขาน่าจะเหวี่ยงมันด้วยความเร็ว

at six or seven revolutions per second,

ราวๆ หกหรือเจ็ดรอบต่อวินาที

and that means that when the rock is released,

หมายความว่า เมื่อก้อนหินถูกปล่อยออกมา

it's going forward really fast,

มันพุ่งออกมาด้วยความเร็วสูงมาก

probably 35 meters per second.

อาจจะ 35 เมตรต่อวินาที

That's substantially faster than a baseball

ซึ่งเร็วกว่าลูกเบสบอลที่ขว้างโดย

thrown by even the finest of baseball pitchers.

นักเบสบอลในตำแหน่งมือขว้างที่ดีที่สุดมากทีเดียว

More than that, the stones in the Valley of Elah

ยิ่งกว่านั้น ก้อนหินในหุบเขาอีลาห์

were not normal rocks. They were barium sulphate,

ก็ไม่ใช่หินธรรมดา มันเป็นแบเรียมซัลเฟต

which are rocks twice the density of normal stones.

ซึ่งมีความหนาแน่นกว่าหินธรรมดาสองเท่า

If you do the calculations on the ballistics,

ถ้าคุณคำนวนการเคลื่อนที่ของกระสุน

on the stopping power of the rock fired from David's sling,

หินที่เดวิดขว้างออกมาจากห่วงเชือกนั้น

it's roughly equal to the stopping power

มีอำนาจหยุดยั้งเท่ากับ

of a [.45 caliber] handgun.

ปืนพกขนาดลำกล้อง .45

This is an incredibly devastating weapon.

นี่เป็นอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างเหลือเชื่อ

Accuracy, we know from historical records

ส่วนความแม่นยำ เรารู้จากบันทึกทางประวัติศาสตร์

that slingers -- experienced slingers could hit

ว่านักขว้างที่ชำนาญสามารถยิง

and maim or even kill a target at distances of up to 200 yards.

และทำให้ศัตรูบาดเจ็บสาหัสหรือตายได้ จากระยะไกลถึง 200 หลา

From medieval tapestries, we know that slingers

เราเห็นจากผ้าม่านทอลายบันทึกเหตุการณ์สมัยยุคกลาง

were capable of hitting birds in flight.

ว่านักขว้างสามาถยิงนกที่กำลังบินได้

They were incredibly accurate.

พวกเขายิงได้แม่นเหลือเชื่อ

When David lines up -- and he's not 200 yards away from Goliath,

เมื่อเดวิดเดินเข้าหาโกไลแอท เขาไม่ได้ห่างถึง 200 หลา

he's quite close to Goliath --

เขาอยู่ใกล้โกไลแอทมาก

when he lines up and fires that thing at Goliath,

ตอนที่เขาเดินเข้าหาแล้วยิงโกไลแอท

he has every intention and every expectation

เขาตั้งใจและมุ่งหวังเต็มที่

of being able to hit Goliath at his most vulnerable spot

ว่าจะยิงโกไลแอทตรงจุดที่เปราะบางที่สุด

between his eyes.

ระหว่างดวงตาทั้งสองของโกไลแอท

If you go back over the history of ancient warfare,

ถ้าคุณกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์การรบสมัยโบราณ

you will find time and time again

คุณจะพบ ว่าครั้งแล้วครั้งเล่า

that slingers were the decisive factor against infantry

นักขว้างเป็นตัวชี้ขาดชัยชนะเหนือกองทหารราบ

in one kind of battle or another.

ในการรบบางรูปแบบเลยทีเดียว

So what's Goliath? He's heavy infantry,

แล้วโกไลแอทล่ะ เขาเป็นทหารราบถืออาวุธหนัก

and his expectation when he challenges the Israelites to a duel

ตอนเขาท้ารบตัวต่อตัวกับพวกอิสราเอล เขาก็คาดหวังว่า

is that he's going to be fighting another heavy infantryman.

จะต่อสู้กับทหารราบถืออาวุธหนักเช่นกัน

When he says, "Come to me that I might

ตอนเขาพูดว่า​ "เข้ามาหาข้าสิ ข้าจะได้ฉีกเนื้อเจ้า

feed your flesh to the birds of the heavens and the beasts of the field,"

เลี้ยงวิหคแห่งสวรรค์ และสัตว์ร้ายแห่งท้องทุ่ง"

the key phrase is "Come to me."

ประโยคหลักคือ "เข้ามาหาข้าสิ"

Come up to me because we're going to fight,

เข้ามาหาข้า เราจะได้สู้กัน

hand to hand, like this.

ในระยะประชิดตัวแบบนี้

Saul has the same expectation.

กษัตริย์ซอลก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน

David says, "I want to fight Goliath,"

พอเดวิดพูดว่า "ข้าอยากไปสู้กับโกไลแอท"

and Saul tries to give him his armor,

ซอลก็พยายามยัดเยียดเสื้อเกราะให้เขาใส่

because Saul is thinking, "Oh, when you say 'fight Goliath,'

เพราะซอลคิดว่า "อ้อ ที่บอกว่า 'สู้กับโกไลแอท'

you mean 'fight him in hand-to-hand combat,'

เจ้าหมายถึง 'สู้แบบประชิดตัว'

infantry on infantry."

ระหว่างทหารราบกับทหารราบ"

But David has absolutely no expectation.

แต่เดวิดไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย

He's not going to fight him that way. Why would he?

เขาไม่ได้คิดจะสู้กับโกไลแอทด้วยวิธีนั้น จะทำแบบนั้นไปทำไมล่ะ

He's a shepherd. He's spent his entire career

เขาเป็นเด็กเลี้ยงแกะ ตลอดชีวิตที่ผ่านมา

using a sling to defend his flock against lions and wolves.

เขาใช้ห่วงเชือกแบบนี้ ปกป้องฝูงแกะของเขาจากสิงโตและหมาป่า

That's where his strength lies.

นั่นคือจุดแข็งของเขา

So here he is, this shepherd, experienced

สรุปว่า นี่คือเด็กเลี้ยงแกะผู้เชี่ยวชาญ

in the use of a devastating weapon,

ในการใช้อาวุธสังหารร้ายแรง

up against this lumbering giant

ที่ลุกขึ้นต่อสู้กับยักษ์ปักหลั่น

weighed down by a hundred pounds of armor

ที่สวมเสื้อเกราะหนักเป็นร้อยปอนด์

and these incredibly heavy weapons

และยังถึงอาวุธหนักๆ พวกนี้

that are useful only in short-range combat.

ที่มีประโยชน์ในการรบระยะประชิดตัวเท่านั้น

Goliath is a sitting duck. He doesn't have a chance.

โกไลแอทก็เลยเหมือนเป้านิ่ง เขาไม่มีโอกาสชนะเลย

So why do we keep calling David an underdog,

แล้วทำไมเราถึงเรียกเดวิดว่าไก่รองบ่อน

and why do we keep referring to his victory as improbable?

ทำไมเรายังมองว่าชัยชนะของเขา เป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้

There's a second piece of this that's important.

ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ

It's not just that we misunderstand David

นั่นคือ เราไม่เพียงเข้าใจผิดเกี่ยวกับเดวิด

and his choice of weaponry.

และอาวุธที่เขาเลือกใช้

It's also that we profoundly misunderstand Goliath.

แต่เรายังเข้าใจผิดสุดๆ เกี่ยวกับโกไลแอทด้วย

Goliath is not what he seems to be.

โกไลแอทไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราเห็น

There's all kinds of hints of this in the Biblical text,

ในคัมภีร์ไบเบิลซ่อนนัยยะเรื่องนี้ไว้มากมาย

things that are in retrospect quite puzzling

ซึ่งมองย้อนกลับไปแล้วน่าพิศวง

and don't square with his image as this mighty warrior.

และไม่เข้ากับภาพลักษณ์นักรบจอมพลังคนนี้เลย

So to begin with, the Bible says that Goliath

เริ่มจากที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่าโกไลแอท

is led onto the valley floor by an attendant.

มีคนช่วยนำทางลงไปที่หุบเขา

Now that is weird, right?

แปลกไหมล่ะครับ

Here is this mighty warrior

นักรบจอมพลังคนนี้

challenging the Israelites to one-on-one combat.

ท้าพวกอิสราเอลมาสู้กันตัวต่อตัว

Why is he being led by the hand

ทำไมเขาต้องมีคนนำทาง

by some young boy, presumably,

ซึ่งอาจจะเป็นแค่เด็กหนุ่ม

to the point of combat?

คอยจูงเขาลงไปที่สนามรบ

Secondly, the Bible story makes special note

ข้อสอง เรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลยังเน้นด้วยว่า

of how slowly Goliath moves,

โกไลแอทเคลื่อนไหวช้าเพียงใด

another odd thing to say when you're describing

ซึ่งเป็นเรื่องแปลกอีกอย่างเมื่อคุณพูดถึง

the mightiest warrior known to man at that point.

นักรบผู้ทรงพลังที่สุดที่มนุษย์สมัยนั้นเคยรู้จัก

And then there's this whole weird thing

แล้วยังมีความประหลาดตรงที่

about how long it takes Goliath to react

เวลาผ่านไปนานมาก กว่าโกไลแอทจะตอบสนอง

to the sight of David.

ต่อการปรากฏตัวของเดวิด

So David's coming down the mountain,

คิดดูสิครับ เดวิดเดินลงเขามา

and he's clearly not preparing for hand-to-hand combat.

ดูก็รู้ว่าเขาไม่ได้เตรียมมาต่อสู้ในระยะประชิด

There is nothing about him that says,

ไม่มีอะไรบนตัวเขาที่บ่งบอกเลยว่า

"I am about to fight you like this."

"ข้าจะสู้กับเจ้าในระยะประชิดแบบนี้"

He's not even carrying a sword.

เขาไม่ได้ถือดาบมาเลยด้วยซ้ำ

Why does Goliath not react to that?

ทำไมโกไลแอทไม่เอะใจกับเรื่องพวกนี้

It's as if he's oblivious to what's going on that day.

เหมือนเขาไม่รับรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นวันนั้น

And then there's that strange comment he makes to David:

แล้วก็ยังมีคำพูดแปลกๆ ของเขาที่พูดกับเดวิดอีก

"Am I a dog that you should come to me with sticks?"

"เห็นข้าเป็นสุนัขหรือไง ถึงได้ถือไม้พวกนั้นมาสู้กับข้า?"

Sticks? David only has one stick.

ไม้ "พวกนั้น" เหรอครับ แต่เดวิดมีไม้อันเดียวนี่นา

Well, it turns out that there's been a great deal

ปรากฏว่า ต่อมาก็มีข้อสันนิษฐานมากมาย

of speculation within the medical community over the years

ในวงการแพทย์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

about whether there is something

ว่าอาจมีภาวะบางอย่าง

fundamentally wrong with Goliath,

ที่ผิดปกติในตัวโกไลแอท

an attempt to make sense of all of those apparent anomalies.

เพื่อพยายามทำความเข้าใจเรื่องแปลกๆ เหล่านี้

There have been many articles written.

มีบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายชิ้น

The first one was in 1960 in the Indiana Medical Journal,

ชิ้นแรกพิมพ์เมื่อปี คศ. 1960 ในวารสาร Indiana Medical Journal

and it started a chain of speculation

ซึ่งก่อให้เกิดข้อสงสัยตามมาเป็นลูกโซ่

that starts with an explanation for Goliath's height.

โดยเริ่มจากคำอธิบายเรื่องความสูงของโกไลแอท

So Goliath is head and shoulders above

โกไลแอทสูงจนหัวและไหล่ของเขา

all of his peers in that era,

อยู่สูงพ้นหัวเพื่อนทุกคนในสมัยนั้น

and usually when someone is that far out of the norm,

โดยปกติหากใครสูงกว่า ค่าเฉลี่ยของคนธรรมดามากขนาดนั้น

there's an explanation for it.

ก็มีคำอธิบายอยู่อย่างหนึ่ง

So the most common form of giantism

คนที่กลายเป็นยักษ์ส่วนใหญ่

is a condition called acromegaly,

มีภาวะผิดปกติที่เรียกว่า อะโครเมกาลี (acromegaly)

and acromegaly is caused by a benign tumor

ซึ่งเป็นผลมาจากเนื้องอก

on your pituitary gland

ที่ต่อมใต้สมอง (pituitary gland)

that causes an overproduction of human growth hormone.

ทำให้ร่างกายผลิตโกรท ฮอร์โมน (growth hormone) มากเกินไป

And throughout history, many of the most famous giants

ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มนุษย์ยักษ์ที่มีชื่อเสียงส่วนมาก

have all had acromegaly.

ล้วนมีภาวะอะโครเมกาลี

So the tallest person of all time

คนที่สูงที่สุดตลอดกาล

was a guy named Robert Wadlow

คือชายชื่อโรเบิร์ต วัดโลว์ (Robert Wadlow)

who was still growing when he died at the age of 24

ซึ่งยังไม่หยุดสูงเลยตอนที่เขาเสียชีวิตเมื่ออายุ 24

and he was 8 foot 11.

ตอนนั้นเขาสูง 8 ฟุต 11 นิ้วแล้ว

He had acromegaly.

เขาเป็นโรคอะโครเมกาลี

Do you remember the wrestler André the Giant?

คุณจำนักมวยปล้ำชื่ออังเดร์ เดอะ ไจแอนท์ (André the Giant) ได้ไหม

Famous. He had acromegaly.

เขาโด่งดัง และเขาก็เป็นอะโครเมกาลี

There's even speculation that Abraham Lincoln had acromegaly.

บางคนยังสังนิษฐานด้วยว่า อับราฮัม ลินคอล์นก็เป็นอโครเมกาลี

Anyone who's unusually tall,

ใครก็ตามที่สูงผิดปกติ

that's the first explanation we come up with.

เราจะคิดถึงคำอธิบายนี้เป็นข้อแรก

And acromegaly has a very distinct set of side effects

และภาวะอะโครเมกาลี ก็มีผลข้างเคียงที่ชัดเจนหลายอย่าง

associated with it,

ตามมาด้วย

principally having to do with vision.

หลักๆ ก็เกี่ยวกับสายตา

The pituitary tumor, as it grows,

เมื่อเนื้องอกที่ต่อมใต้สมองโตขึ้น

often starts to compress the visual nerves in your brain,

มันมักเริ่มไปกดทับเส้นประสาทการมองเห็นในสมอง

with the result that people with acromegaly

ผลก็คือ คนที่มีภาวะอะโครเมกาลี

have either double vision or they are profoundly nearsighted.

มองเห็นภาพซ้อน หรือไม่ก็สายตาสั้นสุดๆ

So when people have started to speculate

เมื่อผู้คนเริ่มตั้งข้อสงสัย

about what might have been wrong with Goliath,

เกี่ยวกับความผิดปกติในตัวโกไลแอท

they've said, "Wait a minute,

เขาเริ่มพูดกันว่า "เอ เดี๋ยวนะ

he looks and sounds an awful lot like someone

ฟังๆ ดูแล้ว เขาเหมือนคนที่เป็น

who has acromegaly."

โรคอะโครเมกาลีมากเลย"

And that would also explain so much of what was strange

ซึ่งนั่นจะช่วยอธิบายพฤติกรรมแปลกๆ

about his behavior that day.

ของเขาในวันนั้นได้

Why does he move so slowly

ทำไมเขาเดินช้านัก

and have to be escorted down into the valley floor

และต้องมีคนคอยจูง

by an attendant?

ลงไปที่หุบเขา

Because he can't make his way on his own.

เพราะเขาเดินไปเองไม่ได้ไง

Why is he so strangely oblivious to David

ทำไมเขาเห็นเดวิดแล้วไม่เอะใจเลย

that he doesn't understand that David's not going to fight him

ว่าเดวิตไม่ได้มาสู้กับเขาในระยะประชิดตัว

until the very last moment?

จนกระทั่งวินาทีสุดท้าย

Because he can't see him.

เพราะเขามองไม่เป็นไง

When he says, "Come to me that I might feed your flesh

ตอนเขาพูดว่า "เข้ามาหาข้าสิ ข้าจะได้ฉีกเนื้อเจ้า

to the birds of the heavens and the beasts of the field,"

เลี้ยงวิหคแห่งสวรรค์ และสัตว์ร้ายแห่งท้องทุ่ง"

the phrase "come to me" is a hint also of his vulnerability.

ประโยคที่ว่า "เข้ามาหาข้าสิ" บอกเป็นนัยถึงจุดอ่อนของเขา

Come to me because I can't see you.

มาหาข้าสิ เพราะข้ามองไม่เห็นเจ้า

And then there's, "Am I a dog that you should come to me with sticks?"

แล้วยังมีที่เขาพูดว่า "เห็นข้าเป็นสุนัขหรือไง ถึงได้ถือไม้พวกนั้นมาสู้กับข้า?"

He sees two sticks when David has only one.

เขามองเห็นแท่งไม้สองอัน แต่จริงๆ เดวิดมีแท่งไม้อันเดียว

So the Israelites up on the mountain ridge

พวกอิสราเอลอยู่บนเขา

looking down on him thought he was

มองลงมาเห็นโกไลแอทก็นึกว่า

this extraordinarily powerful foe.

เขาเป็นศัตรูที่ทรงพลัง

What they didn't understand was that

แต่ที่เขาไม่เข้าใจก็คือ

the very thing that was the source of his apparent strength

สิ่งที่ทำให้โกไลแอทมีพลังหรือจุดแข็ง

was also the source of his greatest weakness.

ขณะเดียวกันก็ทำให้เขามีจุดอ่อนที่ร้ายแรงด้วย

And there is, I think, in that,

ผมคิดว่าเรื่องนี้

a very important lesson for all of us.

ให้บทเรียนสำคัญแก่พวกเรา คือ

Giants are not as strong and powerful as they seem.

พวกยักษ์ไม่ได้แข็งแรงและทรงพลังอย่างภาพที่เราเห็น

And sometimes the shepherd boy has a sling in his pocket.

และบางที เด็กเลี้ยงแกะก็มีอาวุธดีๆ อยู่ในกระเป๋า

Thank you.

ขอบคุณครับ

(Applause)

(เสียงปรบมือ)