Kare Anderson: Be an opportunity maker

Translator: Sritala Dhanasarnsombut Reviewer: Kelwalin Dhanasarnsombut

I grew up

ฉันเติบโต

diagnosed as phobically shy,

มากับโรคตื่นกลัว และความไม่กล้า

and, like at least 20 other people

เหมือนๆ กับคนอื่นๆ ไม่น้อยกว่า 20 คน

in a room of this size,

ของกลุ่มคนในห้องนี้

I was a stutterer.

ฉันเป็นคนพูดติดอ่าง

Do you dare raise your hand?

คุณกล้ายกมือไหม

And it sticks with us. It really does stick with us,

มันติดตัวเรา จริงๆ นะคะ

because when we are treated that way,

เพราะเมื่อเราถูกปฎิบัติในแบบนั้น

we feel invisible sometimes,

เราจะรู้สึกไม่มีตัวตนในบางครั้ง

or talked around and at.

หรือพูดจาอ้อมไปอ้อมมา

And as I started to look at people,

และเมื่อฉันเริ่มที่จะมองคนอื่นๆ

which is mostly all I did,

ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันทำเป็นส่วนใหญ่

I noticed that some people

ฉันได้รู้ว่า คนบางคน

really wanted attention and recognition.

ต้องการเป็นที่สนใจและจดจำ

Remember, I was young then.

จำไว้นะคะว่า ตอนนั้นฉันยังเด็กๆ อยู่

So what did they do?

งั้น พวกเขาทำอะไรกัน

What we still do perhaps too often.

อะไรที่อาจจะเรียกได้ว่าพวกเราทำบ่อยเกินไป

We talk about ourselves.

พูดเกี่ยวกับตัวเราเอง

And yet there are other people I observed

และยังมีอีกหลายคนที่ฉันได้สำรวจ

who had what I called a mutuality mindset.

ที่มีสิ่งที่ฉันเรียกว่า การมีความคิดร่วมกัน

In each situation, they found a way to talk about us

ในแต่ละสถานการณ์ พวกเขามีวิธีพูดเกี่ยวกับพวกเรา

and create that "us" idea.

และสร้างไอเดียเกี่ยวกับ "เรา" ขึ้นมา

So my idea to reimagine the world

ไอเดียของฉัน ในการสร้างจินตนาการใหม่ต่อโลก

is to see it one where we all become

คือค้นหาสิ่งที่สร้างเราให้เป็น

greater opportunity-makers with and for others.

ผู้สร้างโอกาสที่ดีด้วยกันกับคนอื่นๆ และเพื่่อคนอื่นๆ

There's no greater opportunity

มันไม่มีโอกาสดีไหน

or call for action for us now

หรือเสียงเรียกร้องใดสำหรับเรา ณ ตอนนี้

than to become opportunity-makers

ที่ดีไปกว่าการเป็นผู้สร้างโอกาส

who use best talents together more often

ที่ใช้ความสามารถที่ดีต่างๆ ร่วมกันให้บ่อยขึ้น

for the greater good

เพื่อสิ่งที่ดียิ่งกว่า

and accomplish things we couldn't have done on our own.

และบรรลุสิ่งที่เราไม่สามารถทำคนเดียวได้

And I want to talk to you about that,

และนี่คือสิ่งที่ฉันอยากคุยกับพวกคุณ

because even more than giving,

เพราะยิ่งกว่าการให้แล้ว

even more than giving,

มากยิ่งกว่าการให้

is the capacity for us to do something smarter

คือ ความสามารถในการทำสิ่งซึ่งชาญฉลาดร่วมกัน

together for the greater good

เพื่อสิ่งดีงามกว่า

that lifts us both up

ที่จะยกระดับเราทั้งคู่

and that can scale.

และสามารถขยายผลได้

That's why I'm sitting here.

และนั่นคือสาเหตุที่ฉันนั่งอยู่ตรงนี้

But I also want to point something else out:

แต่ฉันมีสิ่งอื่นที่อยากจะพูดถึงด้วย

Each one of you

พวกคุณทุกคน

is better than anybody else at something.

ล้วนเก่งกว่าคนอื่นในบางสิ่ง

That disproves that popular notion

นั่นไม่ได้พิสูจน์ว่า

that if you're the smartest person in the room,

ถ้าคุณจะฉลาดกว่าคนอื่นในห้องนี้

you're in the wrong room.

คุณก็อยู่ผิดห้องแล้ว

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

So let me tell you about

ให้ฉันเล่าเกี่ยวกับ

a Hollywood party I went to a couple years back,

งานปาร์ตี้ฮอลลีวูดที่ฉันได้ไปเมื่อสองปีก่อน

and I met this up-and-coming actress,

แล้วได้เจอกับนักแสดงคนนึง

and we were soon talking about something

พวกเราได้พูดคุยกัน

that we both felt passionately about: public art.

ในเรื่องที่เราทั้งสองต่างหลงใหล นั่นคือ ศิลปะ

And she had the fervent belief

เธอมีความเชื่อแรงกล้า

that every new building in Los Angeles

ว่าตึกใหม่ทุกตึกในลอส แองเจลลิส

should have public art in it.

ควรมีศิลปะสาธารณะในตึก

She wanted a regulation for it,

เธออยากให้มีกฎบังคับในเรื่องนี้

and she fervently started —

และเธอก็ได้เริ่มทำอย่างจริงจัง

who is here from Chicago? —

ใครในที่นี้มาจากชิคคาโกบ้างคะ

she fervently started talking about

เธอเริ่มอย่างจริงจัง

these bean-shaped reflective sculptures

กับการพูดเรื่องงานแกะสลักรูปถั่วผิวเงาวาวนี้

in Millennium Park,

ใน มิลเลเนียม พาร์ค

and people would walk up to it

ผู้คนต่างเดินตรงเข้าดู

and they'd smile in the reflection of it,

และต่างยิ้มบนเงาสะท้อนของมัน

and they'd pose and they'd vamp

โพสท่า หยอกล้อ

and they'd take selfies together,

และถ่ายเซลฟี่ด้วยกัน

and they'd laugh.

แน่นอนว่าหัวเราะด้วย

And as she was talking, a thought came to my mind.

จากสิ่งที่เธอพูดนั้น ทำให้ฉันเกิดความคิด

I said, "I know someone you ought to meet.

ฉันพูดว่า "ฉันรู้จักบางคนที่คุณควรได้รู้จัก"

He's getting out of San Quentin in a couple of weeks" —

เขากำลังจะออกจากซาน เควติน ในอีกสองสัปดาห์

(Laughter) —

(เสียงหัวเราะ)

"and he shares your fervent desire

"เขาเป็นคนที่มีความปรารถนาแรงกล้าแบบเดียวกับคุณ

that art should engage and enable people to connect."

ว่างานศิลป์ ควรเชื่อมโยง และสามารถดึงผู้คนเข้าหากันได้"

He spent five years in solitary,

เขาใช้เวลาอยู่คนเดียว 5 ปี

and I met him because I gave a speech at San Quentin,

และฉันก็ได้เจอเขาเพราะ ฉันไปพูดที่ซาน เควติน

and he's articulate

เขาสามารถสื่อสารได้อย่างชัดเจน

and he's rather easy on the eyes because he's buff.

และเขาก็ค่อนข้างน่าชายตามอง เพราะเขาดูมั่นใจ

He had workout regime he did every day.

เขาทำตามตารางออกกำลังกายทุกวัน

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

I think she was following me at that point.

ฉันคิดว่าเธอคล้อยตามฉันที่จุดๆ นั้น

I said, "He'd be an unexpected ally."

ฉันว่า "เขาอาจเป็นพันธมิตรที่ไม่คาดคิด"

And not just that. There's James. He's an architect

ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ ยังมีเจมส์ ที่เป็นสถาปนิก

and he's a professor, and he loves place-making,

และเป็นอาจารย์ด้วย เขาชอบการสร้างศิลปะสาธารณะ

and place-making is when you have

และการสร้างศิลปะสาธารณะ

those mini-plazas and those urban walkways

คือการที่คุณเดินไปที่พลาซ่าเล็กๆ หรือทางเดินชุมชน

and where they're dotted with art,

แล้วมีจุดโชว์งานศิลปะ

where people draw and come up and talk sometimes.

เป็นจุดที่ดึงคนให้เข้ามา และพูดคุย

I think they'd make good allies.

ฉันว่า สิ่งนี้คือการสร้างพันธมิตรได้ดีเลย

And indeed they were.

และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

They met together. They prepared.

พวกเขาเจอกัน เตรียมตัว

They spoke in front of the Los Angeles City Council.

พูดบรรยายหน้าสภาเทศบาลเมืองลองเองเจลลิส

And the council members not only passed the regulation,

และสมาชิกสภาเทศบาลเมือง ไม่ใช่แค่ผ่านกฎหมายเท่านั้น

half of them came down and asked to pose with them afterwards.

แต่กว่าครึ่ง ลงจากห้องทำงาน มาขอโพสต์ท่าถ่ายรูปคู่ด้วย

They were startling, compelling and credible.

นั่นมันทั้งน่าตกใจ น่าสนใจ และน่าทึ่ง

You can't buy that.

สิ่งเหล่านี้หาซื้อไม่ได้หรอก

What I'm asking you to consider

สิ่งที่ฉันอยากให้พวกคุณลองนึกดู

is what kind of opportunity- makers we might become,

คือ เราเป็นผูัสร้างโอกาสแบบไหนกันแน่

because more than wealth

เพราะนอกเหนือจากความร่ำรวย

or fancy titles

ตำแหน่งอันหรูหรา

or a lot of contacts, it's our capacity to connect

หรือ เครือข่ายติดต่อมากมาย มันคือความสามารถเชื่อมโยงท่ามกลาง

around each other's better side and bring it out.

สิ่งที่ดีกว่าของกันและกัน และนำมันออกมาใช้

And I'm not saying this is easy,

ฉันไม่ได้บอกว่ามันทำได้ง่าย

and I'm sure many of you have made the wrong moves too

และฉันเชื่อว่า หลายคนในที่นี้ เดินพลาดเหมือนกัน

about who you wanted to connect with,

ในเรื่องของคนที่เราอยากสานสัมพันธ์ด้วย

but what I want to suggest is,

แต่ที่ฉันอยากแนะนำคือ

this is an opportunity.

นี่เป็นโอกาส

I started thinking about it

ฉันเริ่มคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้

way back when I was a Wall Street Journal reporter

ย้อนกลับไปตั้งแต่ฉันเป็นนักข่าว ให้กับ วอลสตรีท เจอนัล (Wall Street Journal)

and I was in Europe and I was supposed to cover trends

ตอนนั้นฉันไปยุโรป ซึ่งฉันควรทราบเรื่องเทรนด์

and trends that transcended business

เทรนด์ที่นอกเหนือจากธุรกิจ

or politics or lifestyle.

การเมือง หรือไลฟ์สไตล์

So I had to have contacts

ฉะนั้น ฉันจึงจำเป็นต้องมีคนไว้ติดต่อ

in different worlds very different than mine,

ในสายอาชีพต่างๆ ที่มีความแตกต่างกับฉันมาก

because otherwise you couldn't spot the trends.

ไม่เช่นนั้น คุณคงจะไม่สามารถจับเทรนด์เหล่านั้นได้

And third, I had to write the story

และอีกอย่าง ฉันต้องเขียนเรื่อง

in a way stepping into the reader's shoes,

ในแบบที่สวมสถานะของผู้อ่าน

so they could see how these trends could affect their lives.

เพื่อให้คนอ่านได้เห็นว่าเทรนด์เหล่านั้น มีผลกระทบกับชีวิตเขาอย่างไร

That's what opportunity-makers do.

นั้นคือสิ่งที่ผู้สร้างโอกาสทำ

And here's a strange thing:

และสิ่งประหลาดคือ

Unlike an increasing number of Americans

มันต่างกับการเพิ่มของจำนวนของคนอเมริกัน

who are working and living and playing with people

ที่ทำงาน อาศัย และเล่นกับคนอื่นๆ

who think exactly like them

ที่คิดเหมือนกับพวกเขา

because we then become more rigid and extreme,

เพราะพวกเรากลายเป็นพวกไม่ยืดหยุ่นและสุดโต่ง

opportunity-makers are actively seeking situations

ผู้สร้างโอกาส คือคนที่กระตือรือล้น

with people unlike them,

หาโอกาสพบปะคนที่ไม่เหมือนกับตัวเอง

and they're building relationships,

และสร้างสัมพันธ์

and because they do that,

และด้วยการกระทำนี้

they have trusted relationships

พวกเขาจึงมีสัมพันธ์ที่เชื่อถือได้

where they can bring the right team in

ที่สามารถสร้างทีมที่ใช่

and recruit them to solve a problem better and faster

และดึงคนให้แก้ปัญหาได้ดีและเร็วกว่า

and seize more opportunities.

ทั้งยังสามารถฉวยโอกาสได้มากกว่าด้วย

They're not affronted by differences,

พวกเขาไม่ได้สบประมาณความแตกต่าง

they're fascinated by them,

แต่หลงใหลสิ่งเหล่านี้

and that is a huge shift in mindset,

ซึ่งเป็นการเปลี่ยนความคิดครั้งยิ่งใหญ่

and once you feel it, you want it to happen a lot more.

และเมื่อมันได้เกิดกับคุณสักครั้ง คุณจะยิ่งอยากให้เกิดมากขึ้น

This world is calling out for us to have a collective mindset,

โลกใบนี้เรียกร้องให้เราเก็บเกี่ยวความคิดแบบนี้

and I believe in doing that.

และเชื่อในการทำเช่นนี้ด้วย

It's especially important now.

มันสำคัญมากในปัจจุบัน

Why is it important now?

ทำไมน่ะหรอ

Because things can be devised like drones

เพราะสิ่งต่างๆ เกิดเร็ว เหมือนหุ่นโดรน

and drugs and data collection,

ยา หรือข้อมูลต่างๆ

and they can be devised by more people

และสามารถแพร่ไปไวโดยกลุ่มคนที่มากขึ้น

and cheaper ways for beneficial purposes

และวิธีที่ถูกกว่าเพื่อผลกำไร

and then, as we know from the news every day,

อย่างที่พวกเรารู้จากข่าวทุกๆ วัน

they can be used for dangerous ones.

ว่ามันสามารถใช้ในทางที่อันตรายก็ได้

It calls on us, each of us,

มันเรียกร้องเราทุกคน

to a higher calling.

มากยิ่งขึ้น

But here's the icing on the cake:

แต่สิ่งที่เหนือกว่านั้นก็คือ

It's not just the first opportunity

มันไม่ใช่แค่ครั้งแรก

that you do with somebody else

ในการทำงานร่วมกับผู้อื่น

that's probably your greatest,

แล้วคุณจะประสบความสำเร็จ

as an institution or an individual.

ทั้งในแง่ขององค์กรและบุคคล

It's after you've had that experience

แต่มันคือประสบการณ์หลังจากนั้น

and you trust each other.

และคุณไว้ใจในกันและกัน

It's the unexpected things

มันเป็นสิ่งไม่คาดคิด

that you devise later on

ที่คุณแพร่ออกไปเรื่อยๆ

you never could have predicted.

โดยมิอาจได้คาดคิดมาก่อน

For example, Marty is the husband of that actress I mentioned,

ตัวอย่างเช่น มาร์ตี้ คือสามีของนักแสดงที่ฉันพูดถึง

and he watched them when they were practicing,

เขาได้เฝ้าดูพวกเขาเหล่านั้น ในตอนที่พวกเขาฝึกฝน

and he was soon talking to Wally,

ไม่นานเขาก็คุยกับวิวลี่

my friend the ex-con,

เพื่อนของฉันที่เคยติดคุก

about that exercise regime.

ถึงเรื่องเกี่ยวกับการออกกำลังกาย

And he thought,

เขาเลยคิดว่า

I have a set of racquetball courts.

ฉันมีสนามตีแรกเก็ต

That guy could teach it.

เขาสามารถสอนแร็กเก็ตได้

A lot of people who work there are members at my courts.

คนหลายคนที่ทำงานที่นั่น เป็นสมาชิกที่คอร์ตของฉัน

They're frequent travelers.

พวกเขาท่องเที่ยวบ่อย

They could practice in their hotel room,

พวกเขาสามารถฝึกซ้อมในห้องของโรงแรมได้

no equipment provided.

แต่ไม่มีอุปกรณ์ให้ยืม

That's how Wally got hired.

และนี่เป็นเหตุผลที่วิวลี่ถูกจ้าง

Not only that, years later

ไม่ใช่แค่นั้น หนึ่งปีต่อมา

he was also teaching racquetball.

เขายังได้สอนแร็กเก็ตบอลด้วย

Years after that,

ปีต่อมา

he was teaching the racquetball teachers.

เขาได้สอนครูสอนแร็กเก็ตบอล

What I'm suggesting is, when you connect with people

สิ่งที่ฉันแนะนำคือ เมื่อคุณสานสัมพันธ์กับคนอื่นๆ รอบตัว

around a shared interest and action,

ที่แชร์ความสนใจและทำสิ่งเดียวกัน

you're accustomed to serendipitous

จะเกิดความคุ้นเคย

things happening into the future,

กับสิ่งที่เป็นดังโชคที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

and I think that's what we're looking at.

และนั่นคิดสิ่งที่ฉันคิดว่าเราให้ความสนใจ

We open ourselves up to those opportunities,

เราเปิดรับโอกาสต่างๆ เหล่านั้น

and in this room are key players in technology,

และในห้องนี้ก็มีคนสำคัญในโลกเทคโนโลยี

key players who are uniquely positioned to do this,

คนสำคัญที่ได้รับตำแหน่งสำคัญให้มาทำในสิ่งนี้

to scale systems and projects together.

ที่จะขยายระบบและโครงการร่วมกันได้

So here's what I'm calling for you to do.

ดังนั้น สิ่งที่ฉันอยากขอให้พวกคุณทำคือ

Remember the three traits of opportunity-makers.

จดจำ 3 คุณสมบัติในตัวผู้สร้างโอกาส

Opportunity-makers keep honing their top strength

ผู้สร้างโอกาสหมั่นลับคม

and they become pattern seekers.

จนทำให้พวกเขาเห็นรูปแบบต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว

They get involved in different worlds than their worlds

พวกเขาเข้าถึงโลกต่างๆ ได้มากกว่าโลกตัวเอง

so they're trusted and they can see those patterns,

ซึ่งทำให้พวกเขาเป็นที่ไว้ใจ และเห็นรูปแบบต่างๆ

and they communicate to connect

และพวกเขาสื่อสารเพื่อสานสัมพันธ์

around sweet spots of shared interest.

ในวงความสนใจที่มีร่วมกัน

So what I'm asking you is,

ฉะนั้น สิ่งที่ฉันจะบอกกับคุณคือ

the world is hungry.

โลกเราหิวกระหาย

I truly believe, in my firsthand experience,

ฉันเชื่ออย่างนั้น จากประสบการณ์ฉัน

the world is hungry for us

ว่าโลกหิวกระหาย อยากให้พวกเรา

to unite together as opportunity-makers

รวมตัวกันเป็น เหล่าผู้สร้างโอกาส

and to emulate those behaviors

และลอกเลียนพฤติกรรมเหล่านั้น

as so many of you already do —

เหมือนกับที่หลายคนได้ทำแล้ว

I know that firsthand —

ฉันเชื่อว่า การลงมือทำ

and to reimagine a world

และการลองจินตนาการถึงโลกเราใหม่

where we use our best talents together

ที่ซึ่งเราใช้ความสามารถที่ดีที่สุดด้วยกันให้บ่อยขึ้น

more often to accomplish greater things together

เพื่อบรรลุผลที่ดีกว่าร่วมกัน

than we could on our own.

เกินกว่าที่เราจะสามารถทำคนเดียว

Just remember,

จงจำไว้ว่า

as Dave Liniger once said,

เหมือนกับที่ เดฟ ลิงนิเกอร์ เคยพูดไว้

"You can't succeed

"คุณไม่สามารถประสบความสำเร็จ

coming to the potluck with only a fork."

ในการเข้าร่วมปาร์ตี้บ้านเพื่อนด้วยซ้อมคันเดียวได้"

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

Thank you very much.

ขอบคุณมากค่ะ

Thank you. (Applause)

ขอบคุณ (เสียงปรบมือ)