How We Can Make the World a Better Place by 2030 | Michael Green | TED Talks

Translator: Patipat Sathaporn Reviewer: Suppadej Mahapokai

Do you think the world is going to be a better place next year?

คุณคิดว่าโลกของเราจะดีขึ้นในปีหน้าไหม

In the next decade?

หรือในทศวรรษหน้า

Can we end hunger,

เราจะสามารถหยุดความอดอยาก

achieve gender equality,

สร้างความเท่าเทียมทางเพศ

halt climate change,

และหยุดการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ

all in the next 15 years?

ทั้งหมดนี้ภายใน 15 ปีข้างหน้าได้หรือไม่

Well, according to the governments of the world, yes we can.

หากยึดตามสิ่งที่รัฐบาลทั่วโลกพูดไว้ ใช่ครับ เราทำได้

In the last few days, the leaders of the world,

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ผู้นำจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

meeting at the UN in New York,

ได้มาประชุมกันที่องค์การสหประชาชาติ (UN) ในนิวยอร์ก

agreed a new set of Global Goals

และได้เห็นพ้องกันในการตั้งเป้าหมาย

for the development of the world to 2030.

สำหรับการพัฒนาโลกภายในปี ค.ศ. 2030

And here they are:

และนี่คือเป้าหมายเหล่านั้น

these goals are the product of a massive consultation exercise.

เป้าหมายเหล่านี้เป็นผลงาน จากการปรึกษาหารืออย่างเข้มข้น

The Global Goals are who we, humanity, want to be.

เป้าหมายโลก (The Global Goals ) คือสิ่งที่มนุษยชาติอยากจะเป็น

Now that's the plan, but can we get there?

เอาล่ะ นี่คือแผนที่เราอยากทำ แล้วเราจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างไรล่ะ

Can this vision for a better world really be achieved?

วิสัยทัศน์เพื่อโลกที่ดีขึ้นเหล่านี้ จะทำสำเร็จได้จริงไหม

Well, I'm here today because we've run the numbers,

ผมมาพูดในวันนี้ ก็เพราะว่าพวกผมได้ประเมินมาแล้ว

and the answer, shockingly,

แล้วคำตอบมันน่าตกตะลึงมาก

is that maybe we actually can.

นั่นเพราะ จริง ๆ เราอาจจะทำมันได้ครับ

But not with business as usual.

แต่ต้องไม่ใช่ผ่านการทำงานแบบเดิม ๆ นะ

Now, the idea that the world is going to get a better place

ในตอนนี้ ความคิดที่ว่าโลกของเรา จะเป็นสถานที่ที่ดีขึ้น

may seem a little fanciful.

อาจดูเพ้อฝันเกินไป

Watch the news every day and the world seems to be going backwards, not forwards.

หากคุณดูข่าวโลกทุกวัน คุณอาจจะคิดว่าโลกของเราเดินย้อนหลังด้วยซ้ำ

And let's be frank:

แล้วถ้าให้พูดตรงๆล่ะก็

it's pretty easy to be skeptical about grand announcements

มันง่ายมากเลยล่ะที่คุณจะระแวงและสงสัยใน แผนการอันใหญ่โต

coming out of the UN.

ที่ออกมาจากยูเอ็น

But please, I invite you to suspend your disbelief for just a moment.

แต่ผมขอนะครับ หากคุณสามารถ ระงับความเคลือบแคลงของคุณไว้ชั่วครู่

Because back in 2001,

เพราะย้อนไปในปี ค.ศ. 2001

the UN agreed another set of goals, the Millennium Development Goals.

สหประชาชาติได้เห็นพ้องในเป้าหมายชุดหนึ่งคือ เป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษ

And the flagship target there was to halve the proportion of people

และเป้าหมายที่สำคัญที่สุดในนั้นคือ การลดจำนวนประชากรที่ยากจน

living in poverty by 2015.

ให้เหลือครึ่งหนึ่งภายในปี 2015

The target was to take from a baseline of 1990,

เป้าหมายนี้ตั้งขึ้นมาจากข้อมูลของปี 1990

when 36 percent of the world's population lived in poverty,

ตอนนั้นประชากรโลก 36% อยู่ในภาวะยากจน

to get to 18 percent poverty this year.

โดยจะลดให้เหลือ 18% ภายในปีนี้

Did we hit this target?

เราบรรลุเป้าหมายนั้นไหม

Well, no, we didn't.

ก็ไม่นะ

We exceeded it.

แต่เราทำได้เกินเป้า

This year, global poverty is going to fall to 12 percent.

ปีนี้ภาวะความยากจนทั่วโลกลดไปอยู่ที่ 12%

Now, that's still not good enough,

แต่นั้นก็ยังไม่พอครับ

and the world does still have plenty of problems.

และโลกก็ยังคงมีปัญหาอีกหลายอย่าง

But the pessimists and doomsayers who say that the world can't get better

แต่พวกมองโลกในแง่ร้ายและพวกรอวันโลกแตก ที่คอยบอกว่าโลกนี้ไม่มีทางดีขึ้นได้หรอก

are simply wrong.

พวกเขาผิดถนัด

So how did we achieve this success?

เราบรรลุความสำเร็จนี้ได้อย่างไร

Well, a lot of it was because of economic growth.

การเติบโตทางเศรษฐกิจ มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมาก

Some of the biggest reductions in poverty were in countries such as China and India,

ส่วนหนึ่งของการลดความยากจนขนานใหญ่นี้ เกิดขึ้นจากประเทศอย่าง จีนและอินเดีย

which have seen rapid economic growth in recent years.

ซึ่งเศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีนี้

So can we pull off the same trick again?

ถ้าเช่นนั้นเราจะใช้กลวิธีแบบเดิมได้อีกไหม

Can economic growth get us to the Global Goals?

การเติบโตทางเศรษฐกิจจะนำเราไปสู่ "เป้าหมายโลก" ได้อีกครั้งไหม

Well, to answer that question,

จะตอบคำถามนั้นได้

we need to benchmark where the world is today against the Global Goals

เราต้องตั้งหลักกันก่อนว่าโลกทุกวันนี้ อยู่ตรงจุดไหนเมื่อเทียบกับเป้าหมายที่จะไป

and figure out how far we have to travel.

แล้วมาหาว่ายังต้องไปกันอีกไกลเท่าไร

But that ain't easy,

แต่นั่นไม่ง่ายเลย

because the Global Goals aren't just ambitious,

เพราะ "เป้าหมายโลก" ไม่ใช่แค่เรื่องที่หวังไว้สูง

they're also pretty complicated.

แต่มันออกจะซับซ้อนอีกด้วย

Over 17 goals, there are then 169 targets

กว่า 17 เป้าหมาย มีอีก 169 เป้าประสงค์

and literally hundreds of indicators.

และมีตัวชี้วัดอีกนับร้อย

Also, while some of the goals are pretty specific --

บางเป้าหมายก็ค่อนข้างเจาะจง

end hunger --

เช่น ยุติความหิวโหย

others are a lot vaguer --

แต่อีกหลายอย่างก็คลุมเครือ เช่น

promote peaceful and tolerant societies.

สนับสนุนสังคมที่สันติและอดทนอดกลั้น

So to help us with this benchmarking,

เพื่อที่จะช่วยให้เราวัดระดับได้ง่ายขึ้น

I'm going to use a tool called the Social Progress Index.

ผมจะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า ดัชนีความก้าวหน้าทางสังคม (Social Progress Index)

What this does is measures all the stuff the Global Goals are trying to achieve,

สิ่งที่ตรวจวัดทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ "เป้าหมายโลก" ต้องการจะบรรลุ

but sums it up into a single number that we can use as our benchmark

แต่แปลงผลให้กลายเป็นตัวเลข เพื่อที่เราจะได้ใช้เป็นตัววัดระดับ

and track progress over time.

และติดตามความก้าวหน้าได้

The Social Progress Index basically asks three fundamental questions

ดัชนีความก้าวหน้าทางสังคมถาม สามคำถามพื้นฐาน

about a society.

เกี่ยวกับสังคม

First of all, does everyone have the basic needs of survival:

หนึ่ง ทุกคนได้รับความต้องการ พื้นฐานของมนุษย์ไหม

food, water, shelter, safety?

อาหาร น้ำ ที่พักอาศัย ความปลอดภัย

Secondly, does everyone have the building blocks of a better life:

สอง ทุกคนมีรากฐานของการอยู่ดีมีสุขหรือไม่

education, information, health and a sustainable environment?

การศึกษา ข้อมูลสารสนเทศ สุขภาพ และคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

And does everyone have the opportunity to improve their lives,

และทุกคนมีโอกาสจะพัฒนาชีวิต ให้ดีขึ้นหรือไม่

through rights, freedom of choice, freedom from discrimination,

ผ่านประเด็นสิทธิ เสรีภาพในการเลือก เสรีภาพจากการเลือกปฏิบัติ

and access to the world's most advanced knowledge?

และเข้าถึงความรู้ขั้นสูงได้หรือไม่

The Social Progress Index sums all this together using 52 indicators

ดัชนีความก้าวหน้าทางสังคมรวมทั้งหมด เข้าด้วยกันโดยใช้ตัวชี้วัด 52 ตัว

to create an aggregate score on a scale of 0 to 100.

เพื่อสร้างคะแนนในระดับ 0 ถึง 100

And what we find is that there's a wide diversity of performance

และสิ่งที่เราพบก็คือมีการบรรลุผลที่แตกต่างกันมาก

in the world today.

ในสังคมโลกทุกวันนี้

The highest performing country, Norway, scores 88.

ประเทศที่มีสมรรถนะสูงสุดคือ นอร์เวย์ ได้คะแนนไป 88 คะแนนครับ

The lowest performing country, Central African Republic, scores 31.

ประเทศที่สมรรถนะต่ำสุดคือ สาธารณรัฐแอฟริกากลาง ได้ 31 คะแนน

And we can add up all the countries together,

และเมื่อรวมผลของทุกประเทศเข้าด้วยกัน

weighting for the different population sizes,

ถ่วงน้ำหนักด้วยจำนวนประชากรที่ต่างกัน

and that global score is 61.

คะแนนของทั้งโลกอยู่ที่ 61 คะแนนครับ

In concrete terms,

ถ้าให้เห็นภาพชัด ๆ

that means that the average human being is living on a level of social progress

นั่นหมายความว่า โดยเฉลี่ยแล้วมนุษย์ อาศัยอยู่ในความก้าวหน้าทางสังคม

about the same of Cuba or Kazakhstan today.

ระดับเดียวกับประเทศคิวบา หรือคาซัคสถาน

That's where we are today: 61 out of 100.

นั่นคือทุกวันนี้เราอยู่ที่ 61 คะแนน เต็ม 100

What do we have to get to to achieve the Global Goals?

เราต้องทำอะไรอีกเพื่อไปถึง "เป้าหมายโลก"

Now, the Global Goals are certainly ambitious,

ตอนนี้ก็เห็นได้ว่า "เป้าหมายโลก" นั้นหวังไว้สูง

but they're not about turning the world into Norway in just 15 years.

แต่เราก็ไม่ได้จะเปลี่ยนทั้งโลก ให้กลายเป็นนอร์เวย์ภายใน 15 ปี

So having looked at the numbers, my estimate is that a score of 75

ลองดูตัวเลขกันครับ ผมประมาณตัวเลขของผมเองไว้ที่ 75 คะแนน

would not only be a giant leap forward in human well-being,

มันจะไม่ได้เป็นแค่การก้าวกระโดดครั้งใหญ่ ของความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์

it would also count as hitting the Global Goals target.

แต่มันจะเป็นการบรรลุเป้า ของ "เป้าหมายโลก" ด้วย

So there's our target, 75 out of 100.

ดังนั้นเป้าหมายของเราจึงอยู่ที่ 75 คะแนน จากเต็ม 100

Can we get there?

เราจะไปถึงจุดนั้นได้ไหม

Well, the Social Progress Index can help us calculate this,

ดัชนีความก้าวหน้าทางสังคม ช่วยเราคิดคำนวณเรื่องนี้ได้

because as you might have noticed,

อย่างที่คุณจะสังเกตเห็น

there are no economic indicators in there;

เราไม่มีตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในนั้นเลย

there's no GDP or economic growth in the Social Progress Index model.

ไม่มีการเติบโตของ GDP ในโมเดลของดัชนีความก้าวหน้าทางสังคม

And what that lets us do is understand the relationship

สิ่งที่เราต้องทำ คือ เข้าใจความสัมพันธ์

between economic growth and social progress.

ระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจ กับความก้าวหน้าทางสังคม

Let me show you on this chart.

ให้ผมเอาแผนภูมินี้ให้ดูเสียหน่อย

So here on the vertical axis, I've put social progress,

ในแกนตั้งผมใส่ความก้าวหน้าทางสังคมไว้

the stuff the Global Goals are trying to achieve.

เป็นเรื่องที่ "เป้าหมายโลก" พยายามทำให้สำเร็จ

Higher is better.

ยิ่งสูงก็ยิ่งดี

And then on the horizontal axis, is GDP per capita.

และในแกนนอนคือ GDP ต่อหัว

Further to the right means richer.

ยิ่งออกไปทางขวา หมายความว่ารวยมากกว่า

And in there, I'm now going to put all the countries of the world,

และผมจะใส่ทุกประเทศในโลกลงไปในกราฟนี้

each one represented by a dot,

โดยหนึ่งจุดแทนหนึ่งประเทศ

and on top of that I'm going to put the regression line

และผมก็จะเพิ่มเส้นกราฟถดถอยเข้าไปด้วย

that shows the average relationship.

เพื่อแสดงให้เห็นความสัมพันธ์โดยเฉลี่ย

And what this tells us is that as we get richer,

และสิ่งนี้บอกกับเราว่า ถ้าเรารวยมากขึ้น

social progress does tend to improve.

ความก้าวหน้าทางสังคม ก็มีแนวโน้มจะพัฒนาดีขึ้นด้วย

However, as we get richer, each extra dollar of GDP

อย่างไรก็ตาม เมื่อเรายิ่งรวยขึ้น ทุกดอลลาร์ที่เพิ่มขึ้นของ GDP

is buying us less and less social progress.

ก็ซื้อหาความก้าวหน้าทางสังคม ได้น้อยลงไปทุกที ๆ

And now we can use this information to start building our forecast.

เราจึงใช้ข้อมูลตั้งต้นนี้ มาช่วยพยากรณ์ได้

So here is the world in 2015.

นี่คือโลกในปี 2015 ครับ

We have a social progress score of 61

เรามีคะแนนความก้าวหน้าทางสังคมที่ 61 คะแนน

and a GDP per capita of $14,000.

และ GDP ต่อหัว คือ 14,000 ดอลลาร์

And the place we're trying to get to, remember, is 75, that Global Goals target.

และจุดที่เราต้องการไปถึง จำไว้ให้ดีครับ คือ 75 คะแนน นั่นคือเป้าหมายของโลก

So here we are today, $14,000 per capita GDP.

และนี่คือ GDP ที่เราเป็นทุกวันนี้ 14,000 ดอลลาร์ต่อหัว

How rich are we going to be in 2030?

แล้วเราจะรวยขึ้นมากแค่ไหนในปี 2030

That's what we need to know next.

นั่นคือสิ่งที่เราต้องรู้ต่อไปครับ

Well, the best forecast we can find comes from the US Department of Agriculture,

การพยากรณ์ที่ดีที่สุดที่เราได้มาจาก กระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา

which forecasts 3.1 percent average global economic growth

ทำนายไว้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 3.1 เปอร์เซนต์

over the next 15 years,

ในช่วง 15 ปีข้างหน้านี้

which means that in 2030, if they're right,

ซึ่งถ้าพวกเขาทายถูก ในปี 2030

per capita GDP will be about $23,000.

GDP ต่อหัวจะอยู่ที่ประมาณ 23,000 ดอลลาร์

So now the question is: if we get that much richer,

คราวนี้คำถามก็คือ ถ้าเรารวยขึ้นมากขนาดนั้น

how much social progress are we going to get?

ค่าความก้าวหน้าทางสังคม จะเพิ่มขึ้นเท่าไร

Well, we asked a team of economists at Deloitte

เราเลยไปถามนักเศรษฐศาสตร์จาก Deloitte

who checked and crunched the numbers,

ที่คอยตรวจสอบและย่อยตัวเลขเหล่านี้

and they came back and said, well, look: if the world's average wealth goes

พวกเขาตอบกลับมาว่า ดูนะ ถ้าความร่ำรวยเฉลี่ยของโลกเพิ่ม

from $14,000 a year to $23,000 a year,

จาก 14,000 ต่อปี เป็น 23,000 ต่อปี

social progress is going to increase

ค่าความก้าวหน้าทางสังคมจะเพิ่มขึ้น

from 61 to 62.4.

จาก 61 เป็น 62.4

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

Just 62.4. Just a tiny increase.

แค่ 62.4 เอง มันเพิ่มขึ้นน้อยจังเลย

Now this seems a bit strange.

นี่มันเริ่มดูแปลก ๆ แล้วนะครับ

Economic growth seems to have really helped

การเติบโตทางเศรษฐกิจ ดูเหมือนว่าจะช่วย

in the fight against poverty,

ต่อสู้กับความยากจนได้

but it doesn't seem to be having much impact

แต่กลายเป็นว่ามันไม่ค่อยจะมีผล

on trying to get to the Global Goals.

ต่อการพยายามบรรลุ "เป้าหมายโลก" เลย

So what's going on?

จะทำอย่างไรกันต่อไปดี

Well, I think there are two things.

ผมคิดว่ามีสองเรื่องด้วยกัน

The first is that in a way, we're the victims of our own success.

อย่างแรก คือ พวกเราเป็นเหยื่อ ของความสำเร็จของตัวเอง

We've used up the easy wins from economic growth,

เราเคยชินกับการชนะโดยง่าย ที่ได้มาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ

and now we're moving on to harder problems.

และตอนนี้เรากำลังเจอกับ ปัญหาที่ยากมากขึ้น

And also, we know that economic growth comes with costs as well as benefits.

แลเราก็ยังรู้ด้วยว่าการโตทางเศรษฐกิจนั้น มีทั้งข้อดีพอ ๆ กับข้อเสีย

There are costs to the environment, costs from new health problems like obesity.

ผลเสียที่เกิดขึ้นมีต่อทั้งสิ่งแวดล้อม และปัญหาสุขภาพใหม่ ๆ เช่น โรคอ้วน

So that's the bad news.

นั่นคือข่าวร้ายครับ

We're not going to get to the Global Goals just by getting richer.

เราจะบรรลุผล "เป้าหมายโลก" ด้วยการแค่ "รวยขึ้น" ไม่ได้

So are the pessimists right?

เหมือนที่พวกมองโลกแง่ร้ายว่าไว้ เลยใช่ไหมครับ

Well, maybe not.

อาจจะไม่ครับ ๆ

Because the Social Progress Index also has some very good news.

เพราะ ดัชนีความก้าวหน้าทางสังคม ก็มีเรื่องดี ๆ ด้วยเช่นกัน

Let me take you back to that regression line.

ให้ผมพาคุณกลับไปที่เส้นกราฟถดถอยกันนะครับ

So this is the average relationship between GDP and social progress,

นี่คือความสัมพันธ์โดยเฉลี่ย ระหว่าง GDP กับ ความก้าวหน้าทางสังคม

and this is what our last forecast was based on.

และนี่คือสิ่งที่ตั้งอยู่บน การทำนายครั้งก่อน

But as you saw already,

แต่อย่างที่คุณได้เห็นไปแล้ว

there is actually lots of noise around this trend line.

มีการกระจุกตัวอยู่มากรอบ ๆ เส้นแนวโน้มนี้

What that tells us, quite simply,

สิ่งที่มันบอกง่ายมากครับ

is that GDP is not destiny.

นั่นคือ GDP ไม่ใช่เรื่องชะตาลิขิต

We have countries that are underperforming

เรามีหลายประเทศที่ทำได้ไม่ดีนักในเรื่อง

on social progress, relative to their wealth.

ความก้าวหน้าทางสังคมที่ สัมพันธ์กับความร่ำรวยของพวกเขา

Russia has lots of natural resource wealth,

รัสเซียมีความมั่งคั่งของ ทรัพยากรธรรมชาติมาก

but lots of social problems.

แต่ก็มีปัญหาสังคมมากเช่นกัน

China has boomed economically,

ประเทศจีนก็มีเศรษฐกิจที่เติบโตมาก

but hasn't made much headway on human rights or environmental issues.

แต่ก็ไม่ก้าวหน้าในเรื่องสิทธิมนุษยชน หรือสิ่งแวดล้อมเท่าใดนัก

India has a space program and millions of people without toilets.

อินเดียก็มีทั้งโครงการอวกาศ และประชาชนหลายล้านที่ไม่มีห้องน้ำใช้

Now, on the other hand, we have countries that are overperforming

ในอีกด้านหนึ่ง เราก็มีหลายประเทศ ที่ทำได้ดีกว่าเกณฑ์

on social progress relative to their GDP.

เมื่อเทียบความก้าวหน้าทางสังคม ที่สัมพันธ์กับ GDP

Costa Rica has prioritized education, health and environmental sustainability,

คอสตาริกา ให้ความสำคัญกับการศึกษา สุขภาพ และความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม

and as a result, it's achieving a very high level of social progress,

ผมก็คือ ประเทศนี้บรรลุผล ความก้าวหน้าทางสังคมในระดับที่สูงมาก

despite only having a rather modest GDP.

ถึงแม้จะมี GDP ระดับกลาง ๆ เพียงเท่านั้น

And Costa Rica's not alone.

และก็มิใช่คอสตาริกาประเทศเดียวครับ

From poor countries like Rwanda to richer countries like New Zealand,

มีทั้งประเทศยากจนอย่าง รวันดา ถึงประเทศทีรวยกว่าอย่าง นิวซีแลนด์

we see that it's possible to get lots of social progress,

เราเห็นว่าเป็นไปได้ที่จะมี ความก้าวหน้าทางสังคมมาก

even if your GDP is not so great.

แม้ว่า GDP จะไม่ได้ดีมากก็ตาม

And that's really important, because it tells us two things.

นี่สำคัญมากนะครับ เพราะม้ันบอกเราสองอย่างด้วยกัน

First of all, it tells us that we already in the world have the solutions

อย่างแรกคือ มันบอกว่า เราอยู่ในโลกที่มีทางแก้ปัญหา

to many of the problems that the Global Goals are trying to solve.

ต่อปัญหาต่าง ๆ ที่ "เป้าหมายโลก" กำลังพยายามแก้ไขอยู่

It also tells us that we're not slaves to GDP.

และยังบอกด้วยว่า เราไม่ใช่ทาสของ GDP

Our choices matter: if we prioritize the well-being of people,

การมีทางเลือกนั้นสำคัญ ถ้าให้ความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนมาก่อน

then we can make a lot more progress than our GDP might expect.

เราก็จะสร้างความก้าวหน้าได้มากกว่าที่ GDP จะทำได้

How much? Enough to get us to the Global Goals?

มากเท่าไรถึงจะพอ ที่พาเราไปถึง "เป้าหมายโลก" ได้

Well, let's look at some numbers.

มาลองดูตัวเลขพวกนี้กันครับ

What we know already: the world today is scoring 61 on social progress,

เรื่องที่เรารู้แล้วก็คือ โลกทุกวันนี้ ทำคะแนนความก้าวหน้าทางสังคมอยู่ที่ 61คะแนน

and the place we want to get to is 75.

และเราต้องการไปให้ถึง 75

If we rely on economic growth alone,

ถ้าเราพึ่งแค่การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเดียว

we're going to get to 62.4.

เราจะทำได้ที่ 62.4 คะแนน

So let's assume now that we can get the countries that are currently

ลองสมมติกันครับว่าตอนนี้เราทำให้ประเทศที่

underperforming on social progress -- the Russia, China, Indias --

มีความก้าวหน้าทางสังคมน้อย อย่างเช่น รัสเซีย จีน อินเดีย

just up to the average.

ยกระดับถึงค่าโดยเฉลี่ยได้

How much social progress does that get us?

จะทำให้ค่าความก้าวหน้าทางสังคม เพิ่มขึ้นเท่าไร

Well, that takes us to 65.

มันก็จะพาเราไปถึง 65 คะแนนครับ

It's a bit better, but still quite a long way to go.

มันก็ดีขึ้นเล็กน้อย แต่เรายังมีเวลาอีกมาก

So let's get a little bit more optimistic and say,

ดังนั้นแล้วลองมองโลกบวกสักหน่อย และลองคิดว่า

what if every country gets a little bit better

ถ้าทุกประเทศทำได้ดีขึ้นสักนิดหน่อย

at turning its wealth into well-being?

โดยเปลี่ยนจากความมั่งคั่ง มาเป็นความเป็นอยู่ที่ดี

Well then, we get to 67.

อย่างนั้นจะทำให้เราไปถึง 67 คะแนนครับ

And now let's be even bolder still.

แล้วลองไปไกลกว่านั้นสักหน่อยครับ

What if every country in the world chose to be like Costa Rica

จะเป็นอย่างไรถ้าทุกประเทศในโลก เลือกจะเป็นอย่างคอสตาริกา

in prioritizing human well-being,

คือให้ความสำคัญกับ ความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์มาก่อนอื่นใด

using its wealth for the well-being of its citizens?

เอาความร่ำรวยที่มีไปใช้เพื่อ ความเป็นอยู่ที่ดีของพลเมือง

Well then, we get to nearly 73, very close to the Global Goals.

ถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็เกือบจะทำได้ 73 คะแนน เข้าใกล้ "เป้าหมายโลก" มากขึ้นไปอีกนะครับ

Can we achieve the Global Goals?

แล้วเราจะบรรลุ "เป้าหมายโลก" กันได้ไหม

Certainly not with business as usual.

แน่นอนว่าต้องไม่ทำในอย่างที่เคยทำมา

Even a flood tide of economic growth is not going to get us there,

การเติบโตทางเศรษฐกิจ จะพาเราไปถึงจุดหมายไม่ได้

if it just raises the mega-yachts and the super-wealthy

หากสนแค่การยกระดับกลุ่มที่ร่ำรวยมหาศาล

and leaves the rest behind.

และทิ้งคนที่เหลือไว้ข้างหลัง

If we're going to achieve the Global Goals we have to do things differently.

ถ้าเราจะทำ "เป้าหมายของโลก" ให้สำเร็จได้ เราต้องทำสิ่งที่ต่างไปจากเดิม

We have to prioritize social progress, and really scale solutions

เราจะต้องให้ความก้าวหน้าทางสังคม มาเป็นสิ่งแรก และวัดวิธีที่ใช้แก้ไข

around the world.

จากทั่วทุกมุมโลก

I believe the Global Goals are a historic opportunity,

ผมเชื่อครับว่า "เป้าหมายโลก" คือโอกาสสำคัญครั้งประวัติศาสตร์

because the world's leaders have promised to deliver them.

เพราะเหล่าผู้นำโลกล้วน ให้สัญญาว่าจะทำมันให้เป็นจริง

Let's not dismiss the goals or slide into pessimism;

เราจงอย่าหลงลืมเป้าหมายพวกนี้ หรือเผลอไผลไปมองโลกในแง่ร้าย

let's hold them to that promise.

ขอให้ยึดมั่นกับคำสัญญา ที่พวกผู้นำให้ไว้ครับ

And we need to hold them to that promise by holding them accountable,

และการจะให้ผู้นำซื่อตรงต่อสัญญานั้น เราจะต้องทำให้ทุกอย่างตรวจสอบได้

tracking their progress all the way through the next 15 years.

โดยจะต้องติดตามความก้าวหน้า ไปตลอด 15 ปีข้างหน้านี้

And I want to finish by showing you

ผมจะทิ้งท้ายด้วยการให้ทุกคนดู

a way to do that, called the People's Report Card.

วิธีตรวจสอบ ที่เรียกว่า การ์ดรายงายผลของประชาชน

The People's Report Card brings together all this data into a simple framework

การ์ดรายงานผลของประชาชนรวมข้อมูลทั้งหมด มาทำให้เป็นเค้าโครงง่าย ๆ

that we'll all be familiar with from our school days,

ที่เราคุ้นเคยกันดีจากที่โรงเรียน

to hold them to account.

เพื่อที่จะช่วยตรวจสอบยืนยันได้

It grades our performance on the Global Goals

ด้วยการให้คะแนนการบรรลุผลของ "เป้าหมายโลก"

on a scale from F to A,

ในระดับคะแนน F ถึง A

where F is humanity at its worst, and A is humanity at its best.

โดย F คือมนุษย์กำลังตกอยู่ในสภาพเลวร้าย และ A คืออยู่ในสภาวะที่ดีที่สุด

Our world today is scoring a C-.

ทุกวันนี้โลกเราได้คะแนนอยู่ที่ C -

The Global Goals are all about getting to an A,

"เป้าหมายของโลก" คือให้ทั้งหมดได้ A

and that's why we're going to be updating the People's Report Card annually,

และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องอัพเดต การ์ดรายงานผลของประชาชนทุก ๆ ปี

for the world and for all the countries of the world,

โดยทำกันทั้งโลกและทุกประเทศบนโลกใบนี้

so we can hold our leaders to account

นั่นจึงทำให้เราบังคับให้ ผู้นำประเทศรับผิดชอบต่อ

to achieve this target and fulfill this promise.

การทำให้เป้าหมายนั้นสำเร็จ และเป็นไปตามคำมั่นที่ให้ไว้

Because getting to the Global Goals will only happen if we do things differently,

เพราะการไปถึง "เป้าหมายโลก" จะเกิดขึ้นได้ด้วยเราทำสิ่งที่ต่างไปจากเดิม

if our leaders do things differently,

ถ้าผู้นำของเราเริ่มลงมือ ทำสิ่งที่ต่างไปจากเดิม

and for that to happen, that needs us to demand it.

แลเพื่อให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นจริง เราต้องเรียกร้องมัน

So let's reject business as usual.

ดังนั้นเลิกคิดเสียเถอะที่จะพึ่งพิง แต่การค้าขายเหมือนเดิม ๆ

Let's demand a different path.

มาเรียกร้องหาหนทางใหม่ ๆ

Let's choose the world that we want.

มากำหนดโลกในแบบที่เราต้องการ

Thank you.

ขอบคุณครับ

(Applause)

(เสียงปรบมือ)

Bruno Giussani: Thank you, Michael.

บรูโน เกียซซานี: ขอบคุณครับ ไมเคิล

Michael, just one question: the Millennium Development Goals

ไมเคิล ผมขอถามเกี่ยวกับ เป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ

established 15 years ago,

ที่ริเริ่มเมื่อ 15 ปีก่อน

they were kind of applying to every country

มันดูราวกับว่าจะประกาศใช้ในทุกประเทศ

but it turned out to be really a scorecard for emerging countries.

แต่ในความเป็นจริงกลับกลายเป็น แค่การให้คะแนนแก่ประเทศหน้าใหม่

Now the new Global Goals are explicitly universal.

คราวนี้ "เป้าหมายโลก" ชุดใหม่นี้ ครอบคลุมถ้วนหน้าแล้ว

They ask for every country to show action and to show progress.

พวกเขาขอให้ทุกประเทศแสดงให้เห็น ถึงการปฏิบัติและรายงานความก้าวหน้าด้วย

How can I, as a private citizen, use the report card

ผมในฐานะประชาชนคนหนึ่ง จะใช้การ์ดรายงานผล

to create pressure for action?

เพื่อกดดันให้เกิดการลงมือทำได้อย่างไร

Michael Green: This is a really important point; it's a big shift in priorities --

ไมเคิล กรีน: นี่คือเรื่องสำคัญมากครับ มันเป็นการเปลี่ยนการให้ความสำคัญ

it's no longer about poor countries and just poverty.

มันไม่ใช่เรื่องของประเทศยากจน และความยากจนเท่านั้น

It's about every country.

แต่มันเกี่ยวข้องกับทุก ๆ ประเทศ

And every country is going to have challenges in getting to the Global Goals.

และทุกประเทศจะต้องเจอความท้าทาย ที่จะไปให้ถึง "เป้าหมายโลก"

Even, I'm sorry to say, Bruno, Switzerland has got to work to do.

ผมต้องขอโทษด้วยบรูโน แม้แต่สวิตเซอร์แลนด์ก็มีงานต้องทำเช่นกัน

And so that's why we're going to produce these report cards in 2016

และนั่นคือสาเหตุว่าทำไมเราจะ เริ่มผลิตการ์ดรายงานผลนี้ในปี 2016

for every country in the world.

ให้แก่ทุกประเทศทั่วโลก

Then we can really see, how are we doing?

เพื่อที่เราจะได้ให้กันจริง ๆ ครับว่า ที่เราทำกันไปเป็นอย่างไรบ้าง

And it's not going to be rich countries scoring straight A's.

แล้วก็จะใช่ว่าประเทศร่ำรวย จะได้ A เสมอไป

And that, then, I think, is to provide a point of focus

ผมคิดว่า นั่นคือการให้จุดสังเกตแก่ประชาชน

for people to start demanding action and start demanding progress.

ที่จะเรียกร้องการลงมือทำและ แสดงออกว่าต้องการความก้าวหน้าด้วยครับ

BG: Thank you very much.

บรูโน: ขอบคุณมากครับ

(Applause)

(เสียงปรบมือ)