A hilarious celebration of lifelong female friendship | Jane Fonda and Lily Tomlin

Translator: Pitipa Chongwatpol Reviewer: Vera Chicharito

Pat Mitchell: So I was thinking about female friendship a lot,

แพท มิทเชล: ฉันนึกถึงเรื่อง มิตรภาพระหว่างผู้หญิงตลอดเลยค่ะ

and by the way, these two women,

ที่จริงแล้ว ผู้หญิงสองคนนี้

ฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง

I'm very honored to say,

have been my friends for a very long time, too.

ที่จะได้กล่าวว่าทั้งสองเป็นเพื่อน กันกับฉันมานานมากแล้วเช่นกัน

Jane Fonda: Yes we have.

เจน ฟอนด้า: ใช่แล้วค่ะ

PM: And one of the things that I read about female friendship

แพท: มีสิ่งหนึ่งที่ฉันเคยอ่านมา เกี่ยวกับมิตรภาพระหว่างผู้หญิง

is something that Cervantes said.

ที่เซอแวนเตสเคยกล่าวไว้ว่า

He said, "You can tell a lot about someone,"

"คุณสามารถบอกอะไร ได้มากมายเกี่ยวกับใครคนหนึ่ง

in this case a woman,

ในกรณีนี้หมายถึงผู้หญิง

"by the company that she keeps."

จากเพื่อนฝูงที่เธอคบอยู่

So let's start with --

ฉะนั้นเรามาเริ่มกันด้วย..

(เสียงหัวเราะ)

(Laughter)

JF: We're in big trouble.

เจน: เรามีปัญหาใหญ่แล้วสิ

Lily Tomlin: Hand me one of those waters,

ลิลลี่ ทอมลิน: ขอน้ำมาให้ฉันสักแก้วหน่อย

I'm extremely dry.

ฉันคอแห้งสุดๆ เลย

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

เจน: คุณกำลังทำให้เราเสียเวลานะคะ

JF: You're taking up our time.

We have a very limited --

เรามีเวลาจำกัดมาก...

LT: Just being with her sucks the life out of me.

ลิลลี่: แค่อยู่กับเธอก็ ผลาญพลังชีวิตฉันไปมากแล้วล่ะ

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

เจน: คุณยังไม่เข้าใจดี

JF: You ain't seen nothing yet.

Anyway -- sorry.

เอาเถอะ...ขอโทษที

แพท: ไหนเล่าให้ฟังหน่อยค่ะว่า คุณมองหาอะไรในตัวเพื่อนสักคน

PM: So tell me, what do you look for in a friend?

LT: I look for someone who has a sense of fun,

ลิลลี่: ฉันมองหาคนที่มีอารมณ์ขัน

คนที่กล้าหาญ

who's audacious,

คนที่เตรียมพร้อม คนที่มีไหวพริบ

who's forthcoming, who has politics,

who has even a small scrap of passion for the planet,

คนที่มีแม้แต่เศษเสี้ยว ของความรักให้แก่โลกเรา

someone who's decent, has a sense of justice

คนที่น่านับถือ มีความยุติธรรม

และคนที่คืดว่าฉันมีค่าพอ

and who thinks I'm worthwhile.

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

(Applause)

(เสียงปรบมือ)

JF: You know, I was thinking this morning,

เจน: รู้ไหมคะ เมื่อเช้าฉันยังคิดอยู่เลยว่า

I don't even know what I would do without my women friends.

ฉันไม่รู้แม้แต่ว่าจะทำอย่างไร หากฉันไม่มีบรรดาเพื่อนสาว

I mean it's, "I have my friends, therefore I am."

ฉันหมายความว่า เพราะฉันมีเพื่อนๆ ฉะนั้นก็เลยมีฉันอยู่

LT: (Laughter)

ลิลลี่: (เสียงหัวเราะ)

JF: No, it's true.

เจน: ไม่ มันคือเรื่องจริง

ฉันมีวันนี้ได้เพราะฉันมีเพื่อนผู้หญิง พวกเธอ..

I exist because I have my women friends. They --

You're one of them.

คุณเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

I don't know about you. But anyway --

สำหรับคุณฉันไม่รู้นะ แต่เอาเถอะ...

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

You know, they make me stronger, they make me smarter,

พวกเธอทำให้ฉันเข้มแข็งขึ้น พวกเธอทำให้ฉันฉลาดขึ้น

พวกเธอทำให้ฉันมีความกล้ามากขึ้น

they make me braver.

They tap me on the shoulder when I might be in need of course-correcting.

พวกเธอจะแตะบ่าเตือนสติเวลาที่ฉัน จำเป็นต้องแก้ไขสถานการณ์

And most of them are a good deal younger than me, too.

และส่วนใหญ่ยังเป็นคนจัดการ ได้ดีที่อายุน้อยกว่าฉันอีกด้วย

You know? I mean, it's nice -- LT: Thank you.

รู้ไหมว่ามันเยี่ยมเลย ลิลลี่: ขอบคุณนะ

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

JF: No, I do, I include you in that, because listen, you know --

เจน: ไม่ ฉันรวมคุณอยู่ในนั้นด้วย เพราะอะไรรู้ไหม ฟังนะ

it's nice to have somebody still around to play with and learn from

มันเป็นเรื่องดีที่มีใครสักคนคอยอยู่ใกล้ ให้หยอกเล่น ให้ได้เรียนรู้

when you're getting toward the end.

เวลาที่เราใกล้จะถึงจุดจบ

I'm approaching -- I'll be there sooner than you.

ฉันกำลังใกล้แล้ว... ฉันจะถึงฝั่งเร็วกว่าคุณ

LT: No, I'm glad to have you parallel aging alongside me.

ลิลลี่: อย่านะ ฉันดีใจที่มีคุณ แก่หง่อมไปด้วยกันกับฉัน

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

JF: I'm showing you the way.

เจน: ฉันจะทำให้คุณเห็นเอง

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

LT: Well, you are and you have.

ลิลลี่: คุณกำลังทำ แล้วก็ทำมาตลอด

PM: Well, as we grow older,

แพท: ขณะที่เราอายุมากขึ้น

and as we go through different kinds of life's journeys,

และขณะที่เราผ่านการเดินทางของชีวิต มาหลายรูปแบบ

what do you do to keep your friendships vital and alive?

คุณทำอย่างไรในการรักษามิตรภาพให้ คงความสำคัญและมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ

ลิลลี่: คุณจะต้องใช้..

LT: Well you have to use a lot of --

JF: She doesn't invite me over much, I'll tell you that.

เจน: เธอไม่ค่อยชวนฉันไปที่บ้านมากนัก ฉันบอกให้เลย

LT: I have to use a lot of social media --

ลิลลี่: ฉันต้องใช้โซเชียลมีเดียเยอะๆ..

You be quiet now. And so --

คุณเงียบหน่อยได้ไหมคะ แล้วก็..

(เสียงหัวเราะ)

(Laughter)

LT: And I look through my emails, I look through my texts

ลิลลี่: แล้วฉันก็อ่านอีเมล์ผ่านๆ กวาดตาอ่านข้อความ

to find my friends,

เพื่อหาเพื่อนๆ ของฉัน

so I can answer them as quickly as possible,

เพราะฉันจะได้ตอบ ให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

because I know they need my counsel.

เพราะฉันรู้ว่าพวกเขา ต้องการคำปรึกษาจากฉัน

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

พวกเขาต้องการ การสนับสนุนจากฉัน

They need my support,

because most of my friends are writers, or activists, or actors,

เพราะเพื่อนส่วนใหญ่ของฉันเป็น นักเขียน นักเคลื่อนไหว นักแสดง

and you're all three ...

แล้วคุณก็เป็นทั้งสามอย่าง..

and a long string of other descriptive phrases,

และวลีสาธยายอื่นๆ อีกยาวเหยียด

and I want to get to you as soon as possible,

แล้วฉันก็อยากจะตอบคุณให้เร็วที่สุด

I want you to know that I'm there for you.

ฉันอยากให้คุณรู้ว่าฉันจะ อยู่เป็นเพื่อนคุณ

JF: Do you do emojis?

เจน: เธอใช้อีโมจิไหม

ลิลลี่: เอ่อ.. เจน: ไม่เหรอ

LT: Oh ... JF: No?

ลิลลี่: น่าขายหน้าออก เจน: ฉันชอบอีโมจิมากเลยนะ

LT: That's embarrassing. JF: I'm really into emojis.

LT: No, I spell out my --

ลิลลี่: ไม่ล่ะ ฉันสะกด..

ฉันสะกดคำว่า "ความสุข" และ "ขอแสดงความยินดีด้วย"

I spell out my words of happiness and congratulations,

and sadness.

และ "ความเสียใจ"

JF: You spell it right out --

เจน: คุณสะกดทุกตัวเลย..

LT: I spell it, every letter.

ลิลลี่: ฉันสะกดมันทุกอักษรแหละ

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

JF: Such a purist.

เจน: เจ้าระเบียบจัด

รู้ไหม พอฉันอายุมากขึ้น

You know, as I've gotten older,

ฉันก็เข้าใจความสำคัญ ของมิตรภาพมากขึ้น

I've understood more the importance of friendships,

and so, I really make an effort

เพราะฉะนั้นฉันเลยทุ่มเทเต็มกำลัง

to reach out and make play dates -- not let too much time go by.

ให้ได้ติดต่อช่วยเหลือกัน นัดเจอกัน.. ไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านเลยนานเกินไป

I read a lot

ฉันอ่านมาเยอะมาก

อย่างที่ลิลลี่รู้เป็นอย่างดี

so, as Lily knows all too well,

หนังสือเล่มที่ฉันชอบ ฉันก็จะส่งไปให้เพื่อนๆ

my books that I like, I send to my friends.

ลิลลี่: ตอนที่เรารู้ว่าต้องมากันในวันนี้

LT: When we knew we would be here today

เธอส่งหนังสือจำพวกสตรี และมิตรภาพ ของเพื่อนหญิงมาให้ตั้งเยอะ

you sent me a lot of books about women, female friendships,

and I was so surprised to see how many books,

แล้วฉันก็ตกใจมากที่ได้เห็นว่า มีหนังสือมากเท่าไร

how much research has been done recently --

งานวิจัยมากมายก่ายกอง ที่ค้นคว้ากันเมื่อเร็วๆ นี้

JF: And were you grateful? LT: I was grateful.

เจน: แล้วคุณรู้สึกปลื้มใจไหม ลิลลี่: ปลื้มสิ

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

PM: And --

แพท: แล้ว..

LT: Wait, no, it's really important because this is another example

ลิลลี่: เดี๋ยวก่อน มันสำคัญมาก เพราะนี่เป็นตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่ง

of how women are overlooked, put aside, marginalized.

ว่าผู้หญิงถูกมองข้าม ไม่ให้ความสนใจ ถูกทำให้ไร้ความสำคัญเพียงใด

There's been very little research done on us,

มีงานวิจัยที่ทำกับพวกเราน้อยเหลือเกิน

ถึงแม้ว่าเราจะอาสาไปหลายครั้งก็ตาม

even though we volunteered lots of times.

เจน: แน่นอนที่สุดเลย

JF: That's for sure.

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

LT: This is really exciting, and you all will be interested in this.

ลิลลี่: สิ่งนี้น่าตื่นเต้นจริงๆ แล้วทุกคนจะต้องสนใจเรื่องนี้แน่ค่ะ

The Harvard Medical School study has shown

การค้นคว้าจากโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ด ได้แสดงให้เห็นว่า

that women who have close female friendships

ผู้หญิงที่มีเพื่อนสนิทเป็นผู้หญิงด้วยกัน

มีแนวโน้มพัฒนาการเสื่อมถอยได้น้อยกว่า

are less likely to develop impairments --

physical impairments as they age,

ความเสื่อมถอยทางด้านร่างกาย เมื่ออายุมากขึ้น

and they are likely to be seen to be living much more vital, exciting --

และพวกเธอมีแนวโน้มที่จะ ดูมีกำลังวังชา ตื่นตัวกว่า..

JF: And longer --

เจน: และชีวิตเปี่ยม..

LT: Joyful lives.

ลิลลี่: สุขที่ยั่งยืนกว่า

JF: We live five years longer than men.

เจน: เราอายุยืนกว่าผู้ชายถึงห้าปี

LT: I think I'd trade the years for joy.

ลิลลี่: ฉันคงต้องขอแลกเวลากับ ความสุขแล้วสิ

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

LT: But the most important part is they found --

ลิลลี่: แต่สำคัญที่สุดคือ สิ่งที่พวกเขาค้นพบ..

ผลจากงานวิจัยทั้งน่าตื่นเต้น และแน่ชัดมาก..

the results were so exciting and so conclusive --

the researchers found

นักวิจัยพบว่า

that not having close female friends is detrimental to your health,

การที่ไม่มีเพื่อนสนิทเป็นผู้หญิงนั้น เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

as much as smoking or being overweight.

มากพอๆ กับการสูบบุหรี่ หรือมีน้ำหนักเกิน

JF: And there's something else, too --

เจน: แล้วมันยังมีอย่างอื่นอีกนะ

LT: I've said my part, so ...

ลิลลี่:ฉันพูดส่วนของฉันจบแล้ว

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

JF: OK, well, listen to my part, because there's an additional thing.

เจน: ก็ได้ มาฟังส่วนของฉันบ้าง เพราะมันยังมีอย่างอื่นเพิ่มเติม

Because they only -- for years, decades --

เพราะว่าพวกเขาแค่... เป็นปีๆ เป็นสิบๆ ปี

they only researched men when they were trying to understand stress,

พวกเขาแค่วิจัยผู้ชายตอนที่พวกเขา พยายามจะทำใจยอมรับความเครียด

เพียงไม่นานมานี้เองที่พวกเขาได้วิจัยว่า เกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงเราเวลาที่เครียด

only very recently have they researched what happens to women when we're stressed,

and it turns out that when we're stressed -- women,

และผลก็ออกมาว่า เวลาที่ผู้หญิง อย่างเราๆ เครียดนั้น

our bodies get flooded by oxytocin.

ร่างกายของพวกเราเต็มไปด้วยออกซิโทซิน

Which is a feel-good, calming, stress-reducing hormone.

ซึ่งเป็นฮอร์โมนคลายเครียด ทำให้เรารู้สึกดีและใจเย็นลง

Which is also increased when we're with our women friends.

ซึ่งมันยังเพิ่มขึ้นเวลาที่เราอยู่กับ เพื่อนผู้หญิงด้วยกันเองอีกด้วย

And I do think that's one reason why we live longer.

และฉันก็คิดว่านั่นเป็นหนึ่งใน สาเหตุว่าทำไมเราถึงอายุยืนกว่า

And I feel so bad for men because they don't have that.

แล้วฉันก็รู้สึกแย่แทนพวกผู้ชาย มากๆ เพราะเขาไม่มีสิ่งนี้

Testosterone in men diminishes the effects of oxytocin.

เทสโทสเตอโรนในผู้ชาย ลดประสิทธิภาพของออกซิโทซินลง

ลิลลี่: ก็ตอนที่ฉันกับคุณแล้วก็ดอลลี่ ทำเรื่อง "9 to 5" กันน่ะ..

LT: Well, when you and I and Dolly made "9 to 5" ...

JF: Oh --

เจน: อ๋อ..

LT: We laughed, we did, we laughed so much,

ลิลลี่: เราหัวเราะกัน พวกเราหัวเราะหนักมาก

we found we had so much in common and we're so different.

เราพบว่าเรามีอะไรหลายอย่างคล้ายกัน และเรายังต่างกันมากด้วย

Here she is, like Hollywood royalty,

แบบเธอนี่ อย่างกับเจ้าหญิงวงการฮอลลีวูด

ส่วนฉันเหมือนเด็กกร้านโลกจากดีทรอยท์

I'm like a tough kid from Detroit,

[Dolly's] a Southern kid from a poor town in Tennessee,

(ดอลลี่) เหมือนเด็กใต้จาก เมืองยากไร้ในเทนเนสซีน่ะสิ

and we found we were so in sync as women,

และเราพบว่าเราเข้ากันได้ ดียิ่งในฐานะผู้หญิงด้วยกัน

and we must have --

และเราก็ต้อง...

we laughed -- we must have added at least a decade onto our lifespans.

เราหัวเราะกัน เราคงต้องเพิ่ม อายุไขเราไปอย่างน้อยสักสิบปี

JF: I think -- we sure crossed our legs a lot.

เจน: ฉันว่าเราคงไขว้ขากันหลายทีเลยล่ะ

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

If you know what I mean.

ถ้าคุณรู้ว่าฉันหมายถึงอะไรนะ

LT: I think we all know what you mean.

ลิลลี่: ฉันว่าเรารู้กันหมดแหละ ว่าคุณหมายถึงอะไร

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

PM: You're adding decades to our lives right now.

แพท: คุณเพิ่มอายุไขให้พวกเรา ไปหลายสิบปีเลยยังไงล่ะคะ

จากบรรดาหนังสือเรื่องมิตรภาพ ของผู้หญิงที่เจนส่งมาให้เราได้อ่านกันนั้น

So among the books that Jane sent us both to read on female friendship

มีอยู่เล่มหนึ่งเป็นของผู้หญิงที่เราชื่นชม อย่างยิ่ง คือ ซิสเตอร์โจแอน ชิททิสเตอร์

was one by a woman we admire greatly, Sister Joan Chittister,

คนที่พูดถึงเรื่องมิตรภาพระหว่างผู้หญิง

who said about female friendship

ว่าเพื่อนสาวนั้นไม่ใช่แค่การกระทำทางสังคม

that women friends are not just a social act,

they're a spiritual act.

แต่เป็นการกระทำแห่งจิตวิญญาณ

Do you think of your friends as spiritual?

คุณคิดถึงเพื่อนๆ เป็นเสมือน จิตวิญญาณไหมคะ

Do they add something spiritual to your lives?

พวกเขาเติมอะไรที่เป็น จิตวิญญาณให้ชีวิตคุณบ้างไหม

ลิลลี่: จิตวิญญาณเหรอ ฉันคิดถึงเป็นที่สุดเลยค่ะ

LT: Spiritual -- I absolutely think that.

เพราะว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่คุณรู้จักมาเป็นเวลานาน

Because -- especially people you've known a long time,

คนที่คุณใช้เวลาอยู่ด้วยกัน..

people you've spent time with --

I can see the spiritual essence inside them,

ฉันมองเห็นถึงเนื้อแท้ของ จิตวิญญาณในตัวพวกเขา

the tenderness, the vulnerability.

ความอ่อนโยน ความอ่อนแอ

There's actually kind of a love, an element of love in the relationship.

อันที่จริงเป็นความรักอย่างหนึ่ง เป็น ส่วนประกอบหนึ่งของความรักในความสัมพันธ์

I just see deeply into your soul.

ฉันเห็นมันอยู่ลึกๆ ในดวงจิตของคุณ

PM: Do you think that, Jane --

แพท: คุณว่าอย่างนั้นไหม เจน..

LT: But I have special powers.

ลิลลี่: แต่ฉันมีพลังพิเศษนะ

เจน: ก็เพื่อนนั้นมีหลายรูปแบบ

JF: Well, there's all kinds of friends.

เพื่อนทางธุรกิจ เพื่อนที่มีไว้เพื่อปาร์ตี้

There's business friends, and party friends,

I've got a lot of those.

ฉันมีเพื่อนแบบนั้นอยู่เยอะเลย

(เสียงหัวเราะ)

(Laughter)

แต่ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน แบบที่ผลิดออกซิโทซินนั้นมี..

But the oxytocin-producing friendships have ...

They feel spiritual because it's a heart opening, right?

พวกเขารู้สึกได้ถึงจิตวิญญาณ เพราะมันเป็นการเปิดใจ จริงไหม

You know, we go deep. And --

คุณก็รู้ เราผูกพันกันลึกซึ้ง และ..

I find that I shed tears a lot with my intimate friends.

ฉันหลั่งน้ำตากับเพื่อนสนิทของฉันมามาก

ไม่ใช่เพราะว่าฉันเสียใจ แต่เพราะ ฉันซาบซึ้งและได้รับแรงบันดาลใจจากพวกเขา

Not because I'm sad but because I'm so touched and inspired by them.

LT: And you know one of you is going to go soon.

ลิลลี่: และรู้ว่าหนึ่งในนั้น ไม่นานก็กำลังจะจากไป

(เสียงหัวเราะ)

(Laughter)

PM: Well, two of us are sitting here, Lily, which one are you talking about?

แพท: แหม เราสองคนนั่งอยู่ตรงนี้ ลิลลี่จ๊ะ เธอพูดถึงคนไหนกันเหรอ

(เสียงหัวเราะ)

(Laughter)

And I always think, when women talk about their friendships,

แล้วฉันก็คิดมาตลอดว่าเวลาที่ ผู้หญิงพูดถึงมิตรภาพของพวกเธอ

that men always look a little mystified.

พวกผู้ชายมักจะดูไม่ค่อยเข้าใจนัก

What are the differences, in your opinion,

ในความคิดของคุณแล้ว สิ่งที่แตกต่างคืออะไรคะ

ระหว่างมิตรภาพของผู้ชาย กับมิตรภาพของผู้หญิง

between men friendships and women friendships?

เจน: มีความแตกต่างกันอยู่เยอะ

JF: There's a lot of difference,

และฉันคิดว่าพวกเราต้องเข้าใจ หัวอกผู้ชายกันให้มากๆ เลยล่ะ

and I think we have to have a lot of empathy for men --

(เสียงหัวเราะ)

(Laughter)

that they don't have what we have.

ที่พวกเขาไม่มีในสิ่งที่เรามี

ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุที่ พวกเขาตายเร็วขึ้น

Which I think may be why they die sooner.

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

ฉันมีความเมตตาสงสาร ให้ผู้ชายมากๆ เลย

I have a lot of compassion for men,

because women, no kidding, we --

เพราะว่าผู้หญิง นี่ไม่ได้พูดเล่นนะ

women's relationships, our friendships are full disclosure, we go deep.

ความสัมพันธ์ของผู้หญิง มิตรภาพของเรา นั้นไม่มีการปิดบังเลย เราผูกพันกันลึกซึ้ง

พวกเธอเปิดเผย

They're revelatory.

We risk vulnerability -- this is something men don't do.

เราเสี่ยงกับความเปราะบาง นี่เป็นสิ่งที่พวกผู้ชายเขาไม่ทำกัน

ฉันหมายถึงกี่ครั้งแล้วที่ฉันถามเธอว่า "ฉันทำดีแล้วใช่ไหม"

I mean how many times have I asked you, "Am I doing OK?"

"Did I really screw up there?"

"ฉันทำผิดพลั้งไปหรือเปล่า"

PM: You're doing great.

แพท: คุณทำได้เยี่ยมแล้ว

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

JF: But I mean, we ask questions like that

เจน: ฉันหมายถึง เราถามคำถามกันแบบนั้น

of our women friends,

กับเพื่อนผู้หญิงของเรา

and men don't.

แต่ผู้ชายไม่ทำ

You know, people describe women's relationships as face-to-face,

รู้ไหม มีคนอธิบายความสัมพันธ์ ของผู้หญิงว่าเป็นแบบเผชิญหน้า

whereas men's friendships are more side-by-side.

ในขณะที่มิตรภาพของผู้ชายจะเป็น แบบอยู่เคียงข้างกันเสียมากกว่า

LT: I mean most of the time men don't want to reveal their emotions,

ลิลลี่: ฉันหมายความว่าแทบตลอดเวลา ผู้ชายไม่อยากแสดงความรู้สึกให้เห็น

they want to bury deeper feelings.

พวกเขาอยากซ่อนความรู้สึกเอาไว้ลึกๆ

I mean, that's the general, conventional thought.

ฉันหมายถึง โดยทั่วไปแล้ว ความคิดตามธรรมดา

They would rather go off in their man cave and watch a game or hit golf balls,

พวกเขาชอบที่จะออกจากถ้ำของตัวเอง มากกว่า เพื่อไปดูกีฬา หรือไปตีกอล์ฟ

or talk about sports, or hunting, or cars or have sex.

หรือพูดคุยเรื่องกีฬา ล่าสัตว์ เรื่องรถ หรือร่วมประเวณี

I mean, it's just the kind of -- it's a more manly behavior.

ฉันว่า มันค่อนข้างจะ... เป็นพฤติกรรมเชิงบุรุษเพศมากกว่า

JF: You meant -- LT: They talk about sex.

เจน: คุณหมายถึง.. ลิลลี่: เขาคุยเรื่องเพศสัมพันธ์

I meant they might have sex

ฉันหมายถึงว่า พวกเขาอาจมีเพศสัมพันธ์

if they could get somebody in their man cave to --

ถ้าพวกเขาพาใครเข้าไปใน ถ้ำของเขาได้เพื่อที่จะ...

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

JF: You know something, though, that I find very interesting --

ลิลลี่: แต่คุณรู้ไหมว่ามีบางสิ่ง ที่ฉันพบว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง..

and again, psychologists didn't know this until relatively recently --

อีกครั้งแล้วที่นักจิตวิทยาไม่รู้เรื่องนี้ จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้เอง

is that men are born every bit as relational as women are.

ว่าผู้ชายนั้นเกิดมามีทุกส่วน ที่สัมพันธ์เช่นเดียวกับผู้หญิง

If you look at films of newborn baby boys and girls,

หากคุณดูภาพของเด็กแรกเกิด ทั้งทารกชายและหญิง

you'll see the baby boys just like the girls,

คุณจะเห็นว่าทารกเพศชายนั้น ก็เหมือนกับเพศหญิง

gazing into their mother's eyes,

ต่างก็จ้องมองเข้าไปใน ดวงตาแม่ของพวกเขา

ต่างก็ต้องการแลกเปลี่ยน พลังงานของความสัมพันธ์

you know, needing that relational exchange of energy.

When the mother looks away, they could see the dismay on the child,

เวลาที่คนเป็นแม่มองไปทางอื่น พวกเขาเห็นได้ถึงความผิดหวังของลูก

even the boy would cry.

แม้แต่เด็กผู้ชายก็ร้องไห้

They need relationship.

พวกเขาต้องการความสัมพันธ์

So the question is why, as they grow older, does that change?

ดังนั้นคำถามคือ ทำไมสิ่งนี้ จึงเปลี่ยนไปยามที่พวกเขาเติบโตขึ้น

And the answer is patriarchal culture,

และคำตอบก็คือวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่

ซึ่งบอกกับเด็กผู้ชายและชายหนุ่มว่า

which says to boys and young men

การที่ต้องการมีความสัมพันธ์ การที่มีความ รู้สึกกับใครสักคนนั้น มันเหมือนกับผู้หญิง

that to be needing of relationship, to be emotional with someone is girly.

That a real man doesn't ask directions or express a need,

ผู้เป็นชายชาตรีนั้นจะไม่ขอคำชึ้แนะ หรือแสดงออกถึงความต้องการ

หากรู้สึกไม่สบายพวกเขาก็ไม่ไปหาหมอ

they don't go to doctors if they feel bad.

They don't ask for help.

พวกเขาจะไม่ขอความช่วยเหลือ

มีคำคมหนึ่งที่ฉันชอบมาก

There's a quote that I really like,

"Men fear that becoming 'we' will erase his 'I'."

"ผู้ชายที่หวั่นเกรงการที่จะเป็น 'เรา' จะลบเลือนความเป็น 'ตัวฉัน' ของเขาไป"

You know, his sense of self.

ความเป็นตัวตนของเขา

Whereas women's sense of self has always been kind of porous.

ในขณะที่ความเป็นตัวตนของผู้หญิง นั้นจะมีรูพรุนอยู่เสมอ

But our "we" is our saving grace,

แต่คำว่า "เรา" เป็นสิ่งงดงามที่ช่วยเราไว้

it's what makes us strong.

สิ่งที่ทำให้เราเข้มแข็ง

ไม่ใช่ว่าเรานั้นดีกว่าผู้ชาย

It's not that we're better than men,

we just don't have our masculinity to prove.

เราแค่ไม่มีความเป็นชายให้ต้องพิสูจน์

LT: And, well --

ลิลลี่: แล้ว...

JF: That's a Gloria Steinem quote.

เจน: นั่นคือคำคมของ กลอเรีย สไตเน็ม

So we can express our humanity -- LT: I know who Gloria Steinem is.

เราจึงแสดงความเป็นมนุษย์ออกมาได้ ลิลลี่: ฉันรู้ว่ากลอเรีย สไตเน็มเป็นใคร

JF: I know you know who she is, but I think it's a --

เจน: ฉันรู้ว่า คุณรู้ว่าเธอคือใคร แต่ฉันคิดว่ามันเป็น

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

No, but it's a great quote, I think.

เปล่า แต่ฉันว่ามัน เป็นคำคมที่ยิ่งใหญ่นะ

We're not better than men, we just don't have our masculinity to prove.

เราไม่ได้ดีเลิศไปกว่าผู้ชาย เราแค่ไม่มี ความเป็นชายให้ต้องพิสูจน์

And that's really important.

และนั่นมันสำคัญมาก

LT: But men are so inculcated in the culture

ลิลลี่: แต่ผู้ชายถูกปลูกฝัง ในวัฒนธรรมมากเหลือเกิน

to be comfortable in the patriarchy.

ให้รู้สึกสบายใจใน การปกครองแบบปิตาธิปไตย

And we've got to make something different happen.

และเราต้องทำอะไรสักอย่าง ให้เกิดความแตกต่างขึ้น

JF: Women's friendships are like a renewable source of power.

เจน: มิตรภาพของผู้หญิงนั้นเป็น เหมือนแหล่งพลังงานที่ไม่มีวันหมด

LT: Well, that's what's exciting about this subject.

ลิลลี่ : นั่นล่ะ คือสิ่งที่น่าตื่นเต้น ในเรื่องนี้

It's because our friendships --

เพราะว่ามิตรภาพของเรา

female friendships are just a hop to our sisterhood,

มิตรภาพของผู้หญิงนั้นก้าว กระโดดไปสู่ความเป็นพี่น้อง

and sisterhood can be a very powerful force,

และความเป็นพี่น้องสามารถเป็น กำลังอันทรงพลังได้อย่างแรงกล้า

to give the world --

ที่จะมอบให้โลก..

to make it what it should be --

ในการทำให้มันเป็นสิ่งที่ควรจะเป็น

the things that humans desperately need.

สิ่งต่างๆ ที่มนุษย์ต้องการกันแทบตาย

PM: It is why we're talking about it,

แพท: นี่คือเหตุผลที่เราคุยถึงเรื่องนี้

because women's friendships are,

เพราะมิตรภาพระหว่างผู้หญิงนั้น

as you said, Jane,

อย่างที่คุณพูดค่ะ เจน

a renewable source of power.

เป็นแหล่งพลังงานที่ไม่มีวันหมด

แล้วเราจะใช้พลังนั้นอย่างไรล่ะ?

So how do we use that power?

JF: Well, women are the fastest growing demographic in the world,

เจน: ผู้หญิงเป็นประชากรที่เติบโต อย่างรวดเร็วที่สุดในโลก

โดยเฉพาะผู้หญิงมีอายุมาก

especially older women.

And if we harness our power, we can change the world.

หากเราใช้ประโยชน์จากพลังที่เรามี เราก็จะสามารถเปลี่ยนโลกใบนี้ได้

And guess what? We need to.

แล้วรู้ไหมคะ เราต้องทำให้ได้

(เสียงปรบมือ)

(Applause)

And we need to do it soon.

และเราต้องทำมันโดยเร็ว

And one of the things that we need to do --

หนึ่งในสิ่งต่างๆ ที่เราจำเป็นต้องทำ

ที่เราสามารถทำได้ในฐานะผู้หญิง

and we can do it as women --

for one thing, we kind of set the consumer standards.

เพื่อสิ่งหนึ่งแล้ว เราค่อนข้างจะ ตั้งมาตรฐานของผู้บริโภคขึ้นมา

We need to consume less.

เราควรบริโภคให้น้อยลงค่ะ

พวกเราในสังคมโลกตะวันตก จำเป็นต้องบริโภคให้น้อยลง

We in the Western world need to consume less

เวลาที่เราซื้อของ เราต้อง ซื้อของที่ผลิตภายในประเทศ

and when we buy things, we need to buy things that are made locally,

when we buy food, we need to buy food that's grown locally.

เวลาเราซื้ออาหาร เราควรจะ ซื้อสิ่งที่ปลูกภายในประเทศ

We are the ones that need to get off the grid.

เราคือคนส่วนหนึ่งที่ต้องหลุดพ้น ออกจากซี่ลูกกรงมาตรฐานนั้นให้ได้

We need to make ourselves independent from fossil fuels.

เราต้องทำด้วยตัวของเราเองให้ เป็นอิสระจากเชื้อเพลิงฟอสซิล

And the fossil fuel companies --

และบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลทั้งหลาย

the Exxons and the Shell Oils and those bad guys --

พวกเอกซ์ซอน และบริษัทน้ำมันเชลล์ และคนไม่ดีเหล่านั้น..

cause they are --

เพราะพวกเขา

are going to tell us that we can't do it without going back to the Stone Age.

กำลังจะบอกว่าเราทำอย่างนั้น โดยไม่กลับไปสู่ยุคหินไม่ได้

You know, that the alternatives just aren't quite there yet,

รู้หรือเปล่า ว่าทางเลือกต่างๆ นั้นมันยังมาไม่ถึง

and that's not true.

และนั่นไม่เป็นความจริงเลย

ตอนนี้มีหลายประเทศในโลก

There are countries in the world right now

ที่ส่วนใหญ่อาศัยพลังงานทดแทน แล้วก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร

that are living mostly on renewable energy and doing just fine.

And they tell us that if we do wean ourselves from fossil fuel

แล้วมาพร่ำบอกเราว่า หากเรา ตัดขาดตัวเองจากเชื้อเพลิงฟอสซิล

that we're going to be back in the Stone Age,

เราก็จะกลับไปสู่ยุคหิน

and in fact, if we begin to use renewable energy,

และตามข้อเท็จจริง หากเรา เริ่มที่จะใช้พลังงานทดแทน

และไม่ขุดเจาะลงไปในเขตอาร์กติก ไม่ขุดเจาะ...

and not drill in the Arctic, and not drill --

LT: Oh, boy.

ลิลลี่: ให้ตายเถอะ

JF: And not drill in the Alberta tar sands --

เจน: ไม่ขุดเจาะลงไป ในน้ำมันทรายมณฑลอัลเบอร์ตา

Right.

ใช่

That we will be --

นั่นจะทำให้เรา..

จะทำให้เราเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น และมีงานทำมากขึ้น มีความเป็นอยู่ดีขึ้น

there will be more democracy and more jobs and more well-being,

and it's women that are going to lead the way.

และนั่นก็คือผู้หญิงที่จะนำทางเราไป

LT: Maybe we have the momentum to start a third-wave feminist movement

ลิลลี่: เราอาจจะมีแรงผลักดันในการเริ่มต้น คลื่นลูกที่สามของการเคลื่อนไหวสตรีนิยม

กับสาวๆ ฉันท์พี่น้องทั่วโลก

with our sisterhood around the world,

with women we don't see, women we may never meet,

กับผู้หญิงที่เราไม่เคยเจอ ผู้หญิงที่เราอาจไม่เคยพบ

but we join together that way,

แต่เราจะร่วมมือกันในหนทางนั้น

because --

เพราะ..

Aristotle said --

อริสโตเติลกล่าวว่า

most people --

คนส่วนใหญ่..

คนอาจถึงตายได้ หากปราศจากมิตรภาพระหว่างผู้ชาย

people would die without male friendships.

และคำที่เป็นใจความในที่นี้ก็คือ "ผู้ชาย"

And the operative word here was "male."

Because they thought that friendships should be between equals

เพราะพวกเขาคิดว่ามิตรภาพ ต้องเป็นระหว่างผู้ที่เสมอกัน

and women were not considered equal --

และไม่ได้ถือว่าผู้หญิง มีความเสมอภาคแต่อย่างใด

JF: They didn't think we had souls even, the Greeks.

เจน: พวกกรีกนั้นไม่คิดว่า เรามีจิตใจด้วยซ้ำไป

ลิลลี่: ถูกต้องเลย นี่แสดงให้เห็นว่า ที่แท้แล้วอริสโตเติลความรู้จำกัดแค่ไหน

LT: No, exactly. That shows you just how limited Aristotle was.

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

And wait, no, here's the best part.

แต่เดี๋ยวก่อน นี่คือส่วนที่เจ๋งที่สุด

It's like, you know, men do need women now.

มันเหมือนกับว่า ตอนนี้ผู้ชายต้องการผู้หญิงแล้ว

โลกใบนี้ต้องการผู้หญิงแล้ว

The planet needs women.

The US Constitution needs women.

รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ก็ต้องการผู้หญิง

We are not even in the Constitution.

เราไม่แม้แต่จะได้อยู่ในรัฐธรรมนูญ

JF: You're talking about the Equal Rights Amendment.

เจน: คุณกำลังพูดถึงการแก้ไข เรื่องสิทธิความเท่าเทียมกัน

ลิลลี่: ใช่

LT: Right.

Justice Ginsberg said something like --

ผู้พิพากษากินส์เบิร์กพูดถึงบางเรื่องเช่น

every constitution that's been written since the end of World War II

รัฐธรรมนูญทุกฉบับที่มีการเขียนขึ้น นับแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง

included a provision that made women citizens of equal stature,

รวมถึงบทบัญญัติที่ทำให้ ประชาชนเพศหญิงมีความเท่าเทียม

but ours does not.

แต่ของเรานั้นไม่ใช่

So that would be a good place to start.

ถ้าอย่างนั้นก็เป็นนิมิตหมายดีที่จะเริ่มต้น

อย่างละมุนละม่อม..

Very, very mild --

JF: Right.

เจน: ใช่

(Applause)

(เสียงปรบมือ)

And gender equality, it's like a tide,

และความเสมอภาคทางเพศ ก็เป็นดั่งกระแสน้ำ

it would lift all boats, not just women.

มันทำให้เรือทั้งหมดลอย ไม่ใช่แค่ผู้หญิงเท่านั้น

PM: Needing new role models on how to do that.

แพท: เราต้องการแบบอย่างใหม่ สำหรับวิธีในการทำเช่นนั้น

How to be friends,

วิธีในการเป็นมิตรต่อกัน

how to think about our power in different ways,

วิธีในการคิดถึงพลังของเรา ในแบบที่ต่างออกไป

as consumers,

ในฐานะผู้บริโภค

ในฐานะประชากรของโลก

as citizens of the world,

and this is what makes Jane and Lily

และนี่คือสิ่งที่ทำให้เจนกับลิลลี่

เป็นแบบอย่างที่ดี ว่าผู้หญิงสามารถเป็นเพื่อนกัน

a role model of how women can be friends --

for a very long time,

มาเป็นเวลานานมากได้อย่างไร

and even if they occasionally disagree.

ถึงแม้บางครั้งพวกเธอจะคิดต่างกัน

Thank you.

ขอบคุณค่ะ

Thank you both.

ขอบคุณทั้งคู่เลย

(Applause)

(เสียงปรบมือ)

JF: Thanks.

เจน: ขอบคุณ

LT: Thank you.

ลิลลี่: ขอบคุณค่ะ

JF: Thank you.

เจน: ขอบคุณค่ะ

(เสียงปรบมือ)

(Applause)