Malte Spitz: Your phone company is watching

Translator: Morton Bast Reviewer: Thu-Huong Ha

Translator: Natta Yantasri Reviewer: Yada Sattarujawong

Hi. This is my mobile phone.

สวัสดีครับ นี่คือมือถือของผมเอง

A mobile phone can change your life,

มือถือสามารถเปลี่ยนชีวิตคุณได้

and a mobile phone gives you individual freedom.

และมือถือยังให้อิสรภาพส่วนตัวอีกด้วย

With a mobile phone,

คุณสามารถต่อต้านอาชญากรรมด้านมนุษยธรรมในซีเรีย

you can shoot a crime against humanity in Syria.

ด้วยมือถือ

With a mobile phone,

คุณสามารถส่งข้อความ

you can tweet a message

ร่วมก่อตั้งการประท้วงในอียิปต์

and start a protest in Egypt.

ด้วยมือถือ

And with a mobile phone,

และคุณยังสามารถอัดเพลง โหลดลงใน SoundCloud

you can record a song, load it up to

และกลายเป็นคนดัง

SoundCloud and become famous.

ด้วยมือถือ

All this is possible with your mobile phone.

ทุกๆ อย่างเป็นไปได้ด้วยมือถือ

I'm a child of 1984,

ผมเกิดในปีพ.ศ. 2527

and I live in the city of Berlin.

และอาศัยอยู่ในเมืองเบอร์ลิน

Let's go back to that time, to this city.

ลองย้อนกลับไปดูเมืองผม ในเวลานั้นกัน

Here you can see

คุณเห็น

how hundreds of thousands of people

คนเป็นร้อยเป็นพัน

stood up and protested for change.

ลุกขึ้นฮือและต่อต้านเพื่อการเปลี่ยนแปลง

This is autumn 1989,

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิปี 2532

and imagine that all those people standing up

ลองจินตนาการว่าทุกคนในกลุ่มนี้

and protesting for change had a

ที่กำลังประท้วงเพื่อการเปลี่ยนแปลง

mobile phone in their pocket.

มีมือถืออยู่ในกระเป๋าของแต่ละคน

Who in the room has a mobile phone with you?

ใครในห้องนี้พกมือถือมาบ้างครับ?

Hold it up.

ช่วยชูขึ้นนิดนึง

Hold your phones up, hold your phones up!

ชูขึ้นครับ ชูขึ้น

Hold it up. An Android, a Blackberry, wow.

ชูสูงๆ มีแอนดรอยด์ แบล๊กเบอรี่ โห

That's a lot. Almost everybody today has a mobile phone.

เยอะมากเลยครับ เกือบจะทุกท่านมีมือถือ

But today I will talk about me and my mobile phone,

แต่วันนี้ ผมขอพูดถึงมือถือของผม

and how it changed my life.

และมันเปลี่ยนชีวิตผมอย่างไรบ้าง

And I will talk about this.

ผมจะพูดเรื่องนี้ครับ

These are 35,830 lines of information.

นี่คือข้อมูล 35,830 บรรทัด

Raw data.

เป็นข้อมูลดิบ

And why are these informations there?

แล้วทำไมข้อมูลเหล่านี้ถึงมาอยู่ตรงนี้ได้

Because in the summer of 2006,

สาเหตุมาจากหน้าร้อนปี 2006

the E.U. Commission tabled a directive.

สหภาพยุโรปได้ออกกฏหมายควบคุม

This directive [is] called Data Retention Directive.

ที่เรียกว่ากฎหมายควบคุมการเก็บรักษาข้อมูล

This directive says that each phone company in Europe,

มันทำให้บริษัทโทรศัพท์ในยุโรป

each Internet service company all over Europe,

ผู้ให้บริการอินเตอร์เนททั่วยุโรป

has to store a wide range of information about the users.

จะต้องเก็บข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้

Who calls whom? Who sends whom an email?

ใครโทรหาใคร ใครส่งอีเมลล์ไปหาใคร

Who sends whom a text message?

ใครส่งข้อความไปหาใคร

And if you use your mobile phone, where you are.

และถ้าคุณใช้มือถือ ตำแหน่งคุณอยู่ที่ไหน

All this information is stored for at least six months,

ข้อมูลทั้งหมดนี้ถูกเก็บไว้เป็นเวลาอย่างน้อยหกเดือนถึงสองปี

up to two years by your phone company

โดยผู้ให้บริการโทรศัพท์

or your Internet service provider.

หรือผู้ให้บริการอินเตอร์เนทของคุณ

And all over Europe, people stood up and said,

ทั่วยุโรป ผู้คนลุกฮือ ออกมาต่อต้านว่า

"We don't want this."

"เราไม่ต้องการอะไรแบบนี้"

They said, we don't want this data retention.

พวกเราไม่ต้องการการเก็บข้อมูลพวกนี้

We want self-determination in the digital age,

เราต้องการสิทธิส่วนตัวในยุคดิจิตอล

and we don't want that phone companies and Internet companies

และพวกเราก็ไม่ต้องการให้ ผู้ให้บริการอินเตอร์เนทหรือโทรศัพท์

have to store all this information about us.

มาเก็บข้อมูลเกี่ยวกับพวกเรา

They were lawyers, journalists, priests,

ท่ามกลางคนเหล่านั้นมีทั้ง ทนายความ นักเขียน บาทหลวง

they all said: "We don't want this."

ซึ่งประกาศตนอย่างชัดเจนว่า "ไม่ชอบวิธีการนี้"

And here you can see, like 10 thousands of people

และนี่ คุณจึงเห็นคนเป็นหมื่นๆ

went out on the streets of Berlin and said,

เดินออกไปบนถนนในกรุงเบอร์ลิน

"Freedom, not fear."

พร้อมประกาศข้อความว่า "อิสรภาพ..ไม่ใช่ความกลัว"

And some even said, this would be Stasi 2.0.

บางคนถึงกับอ้างว่า นี่อาจจะเป็น Stasi 2.0

Stasi was the secret police in East Germany.

Stasi คือองค์การลับของตำรวจในเยอรมันตะวันออก

And I also ask myself, does it really work?

ผมถึงกลับย้อนมาถามตัวเองว่า มันเป็นอย่างนั้นจริงหรือ

Can they really store all this information about us?

บริษัทสามารถเก็บข้อมูล

Every time I use my mobile phone?

ทุกครั้งที่ผมใช้มือถือได้จริงๆ หรือ?

So I asked my phone company, Deutsche Telekom,

ผมจึงตัดสินใจถาม Deutsche Telekom

which was at that time the largest phone company in Germany,

ผู้ให้บริการโทรศัพท์ที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมัน ณ เวลานั้น

and I asked them, please,

ให้ช่วยกรุณาส่งข้อมูลของผม

send me all the information you have stored about me.

ที่คุณได้เก็บข้อมูลไว้ให้ที

And I asked them once, and I asked them again,

ผมถามบริษัท ครั้งแล้วครั้งเล่า

and I got no real answer. It was only blah blah answers.

ก็ไม่เคยได้รับคำตอบจริงๆ จังๆ ได้แต่คำตอบแบบขอไปที

But then I said, I want to have this information,

แต่ผมก็ยังยืนยันว่า ผมต้องการข้อมูลนี้

because this is my life you are protocoling.

เพราะนี่คือชีวิตผม

So I decided to start a lawsuit against them,

ผมตัดสินใจฟ้องร้องบริษัท

because I wanted to have this information.

เพราะผมต้องการข้อมูลเหล่านั้น

But Deutsche Telekom said, no,

แต่ Deutsche Telekom ก็ยังปฏิเสธ

we will not give you this information.

ที่จะให้ข้อมูลใดๆ กับผม

So at the end, I had a settlement with them.

ท้ายที่สุด มีการประณีประนอมคดี

I'll put down the lawsuit

ผมถอนฟ้อง

and they will send me all the information I ask for.

และบริษัทก็ได้ส่งข้อมูลมาให้ผมจนได้

Because in the mean time,

เนื่องจากในเวลานั้น

the German Constitutional Court ruled

ศาลรัฐธรรมนูญของเยอรมันได้ออกกฏหมายที่กล่าวว่า

that the implementation of this E.U. directive

คำสั่งของสหภาพยุโรปครั้งนี้

into German law was unconstitutional.

ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญตามกฏหมายของเยอรมัน

So I got this ugly brown envelope

และนี่คือซองสีน้ำตาลหน้าตาน่าเกลียด

with a C.D. inside.

ที่มีซีดีแผ่นนึงอยู่ข้างใน

And on the C.D., this was on.

ครับ ผมได้ข้อมูลมาอยู่ในมือจนได้

Thirty-five thousand eight hundred thirty lines of information.

ข้อมูลยาว 35,830 บรรทัด

At first I saw it, and I said, okay,

ตอนแรกที่ผมเห็น ผมบอกกับตัวเองว่า โอเค

it's a huge file. Okay.

มันเป็นไฟล์ใหญ่ มันโอเคแหละ

But then after a while I realized,

แต่หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็คิดได้ว่า

this is my life.

ไฟล์ใหญ๋ๆ นี่ชีวิตผมนะ

This is six months of my life,

นี่คือ 6 เดือนของชีวิตผม

into this file.

ในไฟล์นี้

So I was a little bit skeptical, what should I do with it?

ผมก็มานึกว่า ผมจะเอามันมาทำอะไรดี

Because you can see where I am,

เพราะในซีดีคุณสามารถรู้ว่าผมเป็นใคร

where I sleep at night,

ผมนอนที่ไหน

what I am doing.

ผมทำอะไรอยู่

But then I said, I want to go out with this information.

แต่คิดไปคิดมา ผมอยากส่งต่อข้อมูลนี้

I want to make them public.

อยากให้ทุกคนได้รู้

Because I want to show the people what does data retention mean.

เพราะผมอยากให้ทุกคนได้เห็นว่าการเก็บรักษาข้อมูลที่ผมพูดถึงคืออะไร

So together with Zeit Online and Open Data City, I did this.

ผมถึงจับมือร่วมกับบริษัท ไซท์ ออนไลน์ และ โอเพน ดาต้า ซิตี้ ทำไอ้เจ้านี่ขึ้นมา

This is a visualization of six months of my life.

นี่คือภาพตัวอย่าง หกเดือนในชีวิตของผม

You can zoom in and zoom out,

คุณสามารถจะย่อหรือขยาย

you can wind back and fast forward.

กรอกลับไปกลับมาได้

You can see every step I take.

คุณสามารถเห็นทุกเรื่องของผม

And you can even see

คุณยังสามารถรู้ได้ด้วยว่า

how I go from Frankfurt by train

ผมไปเมืองโคโลญจน์จากแฟรงเฟิร์ตด้วยรถไฟอย่างไร

to Cologne, and how often I call in between.

และใช้โทรศัพท์บ่อยแค่ไหนระหว่างนั้น

All this is possible with this information.

ทุกอย่างอยู่ในข้อมูลเหล่านี้

That's a little bit scary.

มันค่อนข้างน่ากลัวใช่มั้ยครับ

But it is not only about me.

แต่นี่ไม่ใช่สำหรับผมคนเดียวนะครับ

It's about all of us.

มันเกี่ยวกับพวกเราทุกคน

First, it's only like, I call my wife and she calls me,

มันอาจจะเริ่มจาก ผมโทรหาภรรยาของผม หรือเธอโทรหาผม

and we talk to each other a couple of times.

เราอาจจะโทรคุยกันสองสามครั้ง

And then there are some friends calling me,

หลังจากนั้นมีเพื่อนของผมโทรหาผม

and they call each other.

และพวกเขาโทรหากันเอง

And after a while you are calling you,

ซักจากนั้นซักพักคุณกดโทรศัพท์โทรออก

and you are calling you, and you have this great

เวลานั้นเอง

communication network.

คุณกำลังเชื่อมต่อกับเครือข่ายโทรศัพท์

But you can see how your people are communicating with each other,

คุณสามารถรู้ว่าผู้คนติดต่อสื่อสารกันอย่างไร

what times they call each other, when they go to bed.

โทรหากันตอนไหน เข้านอนตอนไหน

You can see all of this.

คุณรู้หมด

You can see the hubs, like who are the leaders in the group.

มันสามารถแสดงผลโชว์ฮับที่มีอยู่ เช่นใครคือผู้นำการเชื่อมต่อในกลุ่ม

If you have access to this information,

เพียงแค่คุณมีสิทธิ์ในการเข้าข้อมูลเหล่านี้

you can see what your society is doing.

คุณจะรู้เลยว่า สังคมของคุณกำลังทำอะไรอยู่

If you have access to this information,

ถ้าคุณมีสิทธิ์ในข้อมูลเหล่านี้

you can control your society.

คุณสามารถควบคุมสังคมของคุณได้เลย

This is a blueprint for countries like China and Iran.

นี่คือพิมพ์เขียวสำหรับประเทศอย่างจีนและอิหร่าน

This is a blueprint how to survey your society,

นี่คือพิมพ์เขียวแสดงถึงสังคมของคุณ

because you know who talks to whom,

คุณรู้ว่าใครคุยกับใคร

who sends whom an email, all this is possible

ใครส่งอีเมลล์หาใคร

if you have access to this information.

แค่ขอให้คุณเข้าระบบข้อมูลให้ได้เท่านั้น

And this information is stored for at least six months

ข้อมูลเหล่านี้จะถูกเก็บไว้นานหกเดือน

in Europe, up to two years.

หรือนานถึงสองปีในยุโรป

Like I said at the beginning,

อย่างที่ผมบอกไปในตอนต้น

imagine that all those people on the streets of Berlin

ลองนึกภาพผู้คนที่ออกมาประท้วงในกรุงเบอร์ลิน

in autumn of 1989

ตอนฤดูใบไม้ผลิปี พ.ศ. 2532

had a mobile phone in their pocket.

หากผู้คนเหล่านั้นมีมือถือติดตัว

And the Stasi would have known who took part at this protest,

สตาซี ก็สามารถรู้ได้เลยว่า ใครอยู่ในกลุ่มผู้ประท้วงบ้าง

and if the Stasi would have known

และถ้าสตาซี่รู้ว่า

who are the leaders behind it,

ใครคือผู้บงการ คือหัวหน้า

this may never have happened.

การประท้วงครั้งนั้นอาจจะไม่เกิดขึ้นเลย

The fall of the Berlin Wall would maybe not [have been] there.

การล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน อาจจะไม่เกิดขึ้น

And in the aftermath, also not the fall of the Iron Curtain.

และรวมถึงการสิ้นสุดของการปกครอง ระบอบคอมมิวนิสต์ของโซเวียต

Because today, state agencies and companies

เพราะว่าทุกวันนี้ องค์กรของรัฐและบริษัทต่างๆ

want to store as much information as they can get about us,

อยากจะเก็บข้อมูลของพวกเราให้ได้มากที่สุด

online and offline.

ไม่ว่าในโลกออนไลน์หรือออฟไลน์

They want to have the possibility to track our lives,

พวกเขาอยากที่จะสามารถตามดูชีวิตพวกเรา

and they want to store them for all time.

และเก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้

But self-determination and living in the digital age

แต่การมีสิทธิเสรีและการใช้ชีวิตในยุคดิจิตอล

is no contradiction.

ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม

But you have to fight for your self-determination today.

คุณจะต้องต่อสู้สำหรับสิทธิส่วนบุคคล

You have to fight for it every day.

คุณต้องสู้กับมัน ทุกวัน

So, when you go home,

ดังนั้น วันนี้ถ้าคุณกลับบ้านไป

tell your friends

รีบไปบอกเพื่อนคุณเถอะครับ

that privacy is a value of the 21st century,

ว่า ความเป็นส่วนตัว

and it's not outdated.

ไม่ใช่เรื่องเชย

When you go home, tell your representative

เมืื่อคุณกลับบ้านไป บอกตัวแทนบริษัทของคุณ

only because companies and state agencies have the possibility

ว่าถึงแม้บริษัทหรือองค์กรของรัฐ จะสามารถเก็บข้อมูลบางอย่างได้

to store certain information, they don't have to do it.

แต่ก็ไม่ใช่ว่าต้องทำเสมอไป

And if you don't believe me,

ถ้าคุณไม่เชื่อ

ask your phone company what information they store about you.

ลองถามผู้ให้บริการโทรศัพท์คุณดู ว่าเขาเก็บข้อมูลอะไรของคุณไว้บ้าง

So, in the future, every time you use your mobile phone,

ทุกครั้ง หลังจากนี้ ที่คุณหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาใช้

let it be a reminder to you

ให้มันเป็นเครื่องเตือนใจคุณว่า

that you have to fight for self-determination in the digital age.

คุณจะต้องต่อสู้กับสิทธิส่วนบุคคลในยุคดิจิตอลให้ได้

Thank you.

ขอบคุณมากครับ

(Applause)

(เสียงปรบมือ)