Jessica Jackley: Poverty, money -- and love

Translator: Tanya Sritanyalucksana Reviewer: Bank Light

The stories we tell about each other

เรื่องราวที่เราเล่าเกี่ยวกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

matter very much.

มีความสำคัญอย่างมาก

The stories we tell ourselves about our own lives matter.

เรื่องเล่าที่เราเล่าให้ตัวเราเองเกี่ยวกับชีวิตของเรา ก็สำคัญไม่แพ้กัน

And most of all,

และยิ่งกว่านั้น

I think the way that we participate in each other's stories

ฉันคิดว่าบทบาทของตัวเราในชีวิตของคนอื่น

is of deep importance.

สำคัญอย่างยิ่ง

I was six years old

ฉันอายุ 6 ขวบ

when I first heard stories about the poor.

ตอนที่ได้ยินเรื่องราวของคนจนเป็นครั้งแรก

Now I didn't hear those stories from the poor themselves,

แต่ฉันไม่ได้ฟังจากปากคนจนเองหรอก

I heard them from my Sunday school teacher

แต่จากครูสอนศาสนาวันอาทิตย์

and Jesus, kind of via my Sunday school teacher.

และจากพระเยซู ที่ผ่านครูของฉันนั่นแหละ

I remember learning that people who were poor

ฉันจำได้ว่า ฉันถูกสอนว่าคนจน

needed something material --

มีความต้องการทางวัตถุ

food, clothing, shelter -- that they didn't have.

อาหาร เสื้อผ้า ที่พักอาศัย -- สิ่งที่พวกเขาไม่มี

And I also was taught, coupled with that,

และฉันยังถูกสอนอีกว่า

that it was my job -- this classroom full of five and six year-old children --

นั่นเป็นหน้าที่ของฉัน -- ในห้องเรียนที่เต็มไปด้วยเด็กอายุ 5-6 ขวบ

it was our job, apparently, to help.

เป็นหน้าที่ของเราที่จะช่วย

This is what Jesus asked of us.

นี่คือสิ่งที่พระเยซูขอจากเรา

And then he said, "What you do for the least of these, you do for me."

พระองค์ได้ตรัสว่า "สิ่งที่ท่านทำเพื่อเขาที่ตำ่ต้อยที่สุดเหล่านี้ ท่านได้ทำเพื่อเราด้วยเช่นกัน"

Now I was pretty psyched.

ฉันมีความรู้สึกร่วมมากค่ะ

I was very eager to be useful in the world --

ฉันกระตือรือร้น อยากทำตัวเป็นประโยชน์ต่อโลก

I think we all have that feeling.

ฉันคิดว่าเราทุกคนมีความรู้สึกนั้น

And also, it was kind of interesting that God needed help.

อีกทั้งน่าสนใจที่พระเจ้าผู้สร้างจักรวาลยังต้องการความช่วยเหลือจากเรา

That was news to me,

เป็นข่าวใหม่สำหรับฉัน

and it felt like it was a very important thing to get to participate in.

เหมือนเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะได้มีส่วนร่วม

But I also learned very soon thereafter

แต่ไม่นานฉันได้เรียนรู้ว่า

that Jesus also said, and I'm paraphrasing,

พระเยซูยังพูดอีกว่า ในคำพูดของฉันเอง

the poor would always be with us.

คนจนจะอยู่กับเราตลอดไป

This frustrated and confused me;

สิ่งนี้ทำให้ฉันไม่สบายใจและสับสน

I felt like I had been just given a homework assignment

ฉันรู้สึกเหมือนว่า ฉันเพิ่งได้รับการบ้านมา

that I had to do, and I was excited to do,

ที่ฉันต้องทำ และตื่นเต้นที่จะทำ

but no matter what I would do, I would fail.

แต่ไม่ว่าฉันจะทำอย่างไร มันก็จะทำไม่สำเร็จ

So I felt confused, a little bit frustrated and angry,

ฉันเลยสับสน หงุดหงิดและโกรธนิดหน่อย

like maybe I'd misunderstood something here.

เหมือนฉันอาจจะเข้าใจอะไรผิดไป

And I felt overwhelmed.

และก็มีความรู้สึกเกิดขึ้นมากมาย

And for the first time,

และเป็นครั้งแรกที่

I began to fear this group of people

ฉันเริ่มกลัวคนกลุ่มนี้

and to feel negative emotion towards a whole group of people.

และมีความรู้สึกไม่ดีต่อคนกลุ่มหนึ่งทั้งกลุ่ม

I imagined in my head, a kind of long line of individuals

ฉันจินตนาการภาพคนต่อแถวกันยาวเป็นหางว่าว

that were never going away, that would always be with us.

พวกเขาไม่มีวันไปไหน พวกเขาจะอยู่กับเราตลอดไป

They were always going to ask me to help them and give them things,

พวกเขาจะต้องขอให้ฉันช่วยเขา ให้ของแก่เขา

which I was excited to do,

ซึ่งฉันยินดีที่จะทำ

but I didn't know how it was going to work.

แต่ฉันไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไป

And I didn't know what would happen when I ran out of things to give,

ฉันไม่รู้ว่าเมื่อฉันไม่เหลือของที่จะให้แล้ว จะเกิดอะไรขึ้น

especially if the problem was never going away.

ยิ่งเมื่อรู้ว่าปัญหาจะคงมีอยู่ต่อไป

In the years following,

ในปีต่อๆ มา

the other stories I heard about the poor growing up

เรื่องราวคนจนที่ฉันได้ยินตั้งแต่เล็กจนโต

were no more positive.

ไม่ได้ดีกว่ากันเลย

For example, I saw pictures and images

เช่น ฉันมักเห็นภาพ

frequently of sadness and suffering.

ของความโศกเศร้าและความทรมาน

I heard about things that were going wrong in the lives of the poor.

ได้ยินเรื่องราวความขมขื่นที่คนจนต้องเผชิญ

I heard about disease, I heard about war --

ได้ยินเรื่องโรคภัย เรื่องสงคราม

they always seemed to be kind of related.

ซึ่งมักจะเกี่ยวเนื่องกันเสมอ

And in general,

โดยภาพรวมแล้ว

I got this sort of idea

ฉันมีความคิดว่า

that the poor in the world lived lives

คนจนบนโลกใบนี้ มีชีวิตอยู่

that were wrought with suffering and sadness,

ด้วยความทุกข์ทรมานและความเศร้า

devastation, hopelessness.

ความพินาศ ความสิ้นหวัง

And after a while, I developed what I think many of us do,

หลังจากนั้นสักพัก ฉันถึงจุดที่หลายคนอาจจะเป็น

is this predictable response,

เป็นการตอบสนองตามสามัญสำนึก

where I started to feel bad every time I heard about them.

ฉันรู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่ฉันได้ยินเรื่องราวของพวกเขา

I started to feel guilty for my own relative wealth,

ฉันเริ่มรู้สึกผิดที่มีความเป็นอยู่ที่ดีกว่า

because I wasn't doing more, apparently, to make things better.

เพราะเห็นได้ชัดว่า ฉันเองไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น

And I even felt a sense of shame because of that.

ฉันถึงกับมีความรู้สึกอับอาย ที่ไม่ได้ทำอะไร

And so naturally,

ดังนั้น ตามสันดานมนุษย์ของฉันแล้ว

I started to distance myself.

ฉันเริ่มตีตัวออกห่าง

I stopped listening to their stories

ฉันหยุดฟังเรื่องราวเหล่านั้น

quite as closely as I had before.

ด้วยความตั้งใจอย่างเมื่อก่อน

And I stopped expecting things to really change.

และฉันก็ได้หยุดหวังว่าอะไรๆ จะดีขึ้นจริงๆ

Now I still gave -- on the outside it looked like I was still quite involved.

แต่ฉันก็ยังให้อยู่ ภายนอกอาจดูเหมือนว่าฉันยังคงมีส่วนร่วม

I gave of my time and my money,

ฉันให้เวลา ให้เงินทอง

I gave when solutions were on sale.

ฉันให้เมื่อมีการเร่ขายวิธีแก้ปัญหา

The cost of a cup of coffee can save a child's life, right.

ซื้อกาแฟหนึ่งถ้วยจะช่วยชีวิตเด็กหนึ่งคน ถูกไหม

I mean who can argue with that?

ใครจะไปเถียงได้

I gave when I was cornered, when it was difficult to avoid

ฉันให้เมื่อฉันต้องจำยอม ในโอกาสที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้

and I gave, in general, when the negative emotions built up enough

และโดยทั่วไป ฉันให้เมื่อความรู้สึกผิดได้สั่งสมมากพอ

that I gave to relieve my own suffering,

ฉันให้เพื่อคลายความทุกข์ของตัวเอง

not someone else's.

ไม่ใช่ของคนอื่น

The truth be told, I was giving out of that place,

ความจริงก็คือ ตอนนั้นฉันให้จากความรู้สึกแบบนั้น

not out of a genuine place of hope

ไม่ได้ให้ด้วยความหวัง

and excitement to help and of generosity.

หรือความตื่นเต้นที่จะช่วย หรือจากกุศลจิต

It became a transaction for me,

การให้กลายเป็นธุรกรรมอย่างหนึ่งสำหรับฉัน

became sort of a trade.

เป็นการค้า

I was purchasing something --

เหมือนฉันกำลังซื้อของ

I was buying my right to go on with my day

ฉันกำลังซื้อสิทธิที่จะดำเนินชีวิตต่อไป

and not necessarily be bothered by this bad news.

โดยที่ไม่ต้องถูกรบกวนจากข่าวร้ายนี้

And I think the way that we go through that sometimes

และฉันคิดว่าวิธีที่เราทำกันนี้ อาจจะทำให้

can, first of all,

อันดับแรก

disembody a group of people, individuals out there in the world.

อาจลดความเป็นคนของคนกลุ่มหนึ่งลง คนที่มีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้

And it can also turn into a commodity,

อาจกลายเป็นสินค้า

which is a very scary thing.

ซึ่งน่ากลัวมาก

So as I did this, and as I think many of us do this,

เพราะฉะนั้นการที่ฉันทำแบบนี้ ซึ่งฉันคิดว่าหลายๆ คนก็ทำ

we kind of buy our distance,

เราเหมือนจะซื้อ "ความห่าง"

we kind of buy our right to go on with our day.

ซื้อสิทธิของเราที่จะดำเนินชีวิตต่อไป

I think that exchange can actually get in the way of the very thing that we want most.

การแลกเปลี่ยนแท้จริงอาจเป็นอุปสรรค ทำให้ไม่ได้สิ่งที่เราต้องการที่สุด

It can get in the way of our desire

อาจกีดขวางความปรารถนา

to really be meaningful and useful in another person's life

ที่จะทำประโยชน์ให้อีกชีวิตหนึ่ง

and, in short to love.

และ สั้นๆก็คือ ที่จะรัก

Thankfully, a few years ago, things shifted for me

โชคดีที่เมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว ตัวฉันมีการเปลี่ยนแปลง

because I heard this gentleman speak, Dr. Muhammad Yunus.

ฉันได้ฟังบรรยายของ ดร.มูฮัมหมัด ยูนัส

I know many in the room probably know exactly who he is,

หลายคนในที่นี้ิน่าจะรู้จักเขาดี

but to give the shorthand version

แต่สั้นๆ

for any who have not heard him speak,

สำหรับคนที่ไม่เคยฟังเขาพูด

Dr. Yunus won the Nobel Peace Prize a few years ago

ดร.ยูนัส ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว

for his work pioneering modern microfinance.

สำหรับงานบุกเบิกการเงินระดับจุลภาคสมัยใหม่

When I heard him speak, it was three years before that.

ฉันได้ฟังเขาพูดสามปีก่อนหน้านั้น

But basically, microfinance -- if this is new to you as well --

ถ้าเรื่องการเงินระดับจุลภาคเป็นเรื่องใหม่สำหรับคุณ

think of that as financial services for the poor.

ให้คิดว่าเป็นบริการทางการเงินสำหรับคนจน

Think of all the things you get at your bank

คิดถึงทุกอย่างที่คุณได้จากธนาคารของคุณ

and imagine those products and services

จินตนาการว่าผลิตภัณฑ์และบริการเหล่านั้น

tailored to the needs of someone living on a few dollars a day.

ถูกปรับให้ตรงกับความต้องการของคนที่มีรายได้ไม่กี่ดอลลาร์ต่อวัน

Dr. Yunus shared his story,

ดร.ยูนัส เล่าเรื่องชีวิตของท่าน

explaining what that was,

อธิบายว่าเป็นมาอย่างไร

and what he had done with his Grameen Bank.

และสิ่งที่ท่านทำกับธนาคารกรามีนของท่าน

He also talked about, in particular, microlending,

นอกจากนี้ ท่านพูดถึงเงินกู้ระดับจุลภาค

which is a tiny loan

คือ เงินกู้ขนาดเล็ก

that could help someone start or grow a business.

ที่ช่วยให้คนสามารถเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจได้

Now, when I heard him speak, it was exciting for a number of reasons.

สิ่งที่ฉันได้ฟังจากท่าน เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมากด้วยเหตุผลหลายประการ

First and foremost, I learned about this new method of change in the world

อันดับแรกคือ ฉันเรียนรู้วิธีการใหม่ในการสร้างความเปลี่ยนแปลงขึ้นในโลก

that, for once, showed me, maybe,

ทำให้ฉันรู้

a way to interact with someone

วิธีที่จะสื่อสารกับคนบาบคน

and to give, to share of a resource in a way that wasn't weird

และวิธีที่จะให้ และแบ่งปันทรัพยากรในลักษณะที่ไม่น่าเกลียด

and didn't make me feel bad --

และไม่ทำให้ฉันรู้สึกแย่

that was exciting.

เป็นเรื่องน่าตื่นเต้น

But more importantly, he told stories about the poor

แต่ที่สำคัญกว่านั้น ท่านเล่าเรื่องเกี่ยวกับคนจน

that were different than any stories I had heard before.

ที่แตกต่างจากเรื่องราวอื่นๆ ที่ฉันเคยได้ยินมา

In fact, those individuals he talked about who were poor was sort of a side note.

ที่จริงแล้ว คนที่ท่านพูดถึงนั้น ความจนเป็นแค่หมายเหตุเล็กๆที่ท่านกว่าวถึง

He was talking about strong, smart,

ท่านพูดถึงผู้ประกอบการที่เข้มแข็ง ฉลาด

hardworking entrepreneurs who woke up every day

และขยัน คนที่ตื่นมาทุกเช้า

and were doing things to make their lives and their family's lives better.

เพื่อทำในสิ่งที่จะทำให้ชีวิตของเขาและของครอบครัวดีขึ้น

All they needed to do that more quickly and to do it better

สิ่งที่เขาต้องการเพื่อที่จะทำงานได้เร็วและดียิ่งขึ้น

was a little bit of capital.

ก็คือเงินทุนนิดหน่อย

It was an amazing sort of insight for me.

โลกทัศน์ของฉันเปิดกว้างขึ้นในทันใด

And I, in fact, was so deeply moved by this --

ฉันประทับใจอย่างสุดซึ้ง

it's hard to express now how much that affected me --

ยากที่จะอธิบายว่ามันส่งผลกระทบต่อฉันอย่างไร

but I was so moved that I actually quit my job a few weeks later,

แต่ฉันประทับใจมากจนฉันต้องลาออกจากงานในไม่กี่สัปดาห์ถัดมา

and I moved to East Africa

และย้ายไปแอฟริกาตะวันออก

to try to see for myself what this was about.

เพื่อให้เห็นกับตาตัวเองว่ามันเป็นอย่างไร

For the first time, actually, in a long time

เป็นครั้งแรก ในเวลานานหลายปีที่

I wanted to meet those individuals, I wanted to meet these entrepreneurs,

ฉันต้องการพบบุคคลเหล่านั้น ฉันอยากพบเจอผู้ประกอบการเหล่านี้

and see for myself what their lives were actually about.

และเห็นกับตาว่าชีวิตเขาแท้จริงเป็นอย่างไร

So I spent three months in Kenya, Uganda and Tanzania

ฉันก็เลยใช้ชีวิตเป็นเวลา 3 เดือนในเคนยา อูกานดา และแทนซาเนีย

interviewing entrepreneurs that had received 100 dollars

สัมภาษณ์ผู้ประกอบการที่ได้รับเงิน 100 ดอลลาร์

to start or grow a business.

เพื่อเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจ

And in fact, through those interactions,

จากการพูดคุย

for the first time, I was starting to get to be friends

เป็นครั้งแรกที่ฉันเริ่มเป็นเพื่อน

with some of those people in that big amorphous group out there

กับคนจำนวนหนึ่งในกลุ่มคนนิรนามกลุ่มใหญ่ในโลกใบนี้

that was supposed to be far away.

ที่ควรจะอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ห่างไกล

I was starting to be friends and get to know their personal stories.

ฉันเริ่มเป็นเพื่อนกับพวกเขาและเรียนรู้เรื่องราวของเขา

And over and over again,

ครั้งแล้วครั้งเล่า

as I interviewed them and spent my days with them,

ฉันสัมภาษณ์และใช้วันเวลาอยู่กับพวกเขา

I did hear stories of life change

ฉันได้ฟังเรื่องความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต

and amazing little details of change.

และความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ที่น่ามหัศจรรย์

So I would hear from goat herders

ฉันได้ยินเรื่องราวจากคนเลี้ยงแพะ

who had used that money that they had received to buy a few more goats.

ที่ใช้เงินที่เขาได้รับเพื่อซื้อแพะเพิ่มเพียงไม่กี่ตัว

Their business trajectory would change.

เส้นทางธุรกิจของเขาก็จะเปลี่ยนไป

They would make a little bit more money;

เขาจะทำเงินเพิ่มขึ้นได้อีกหน่อย

their standard of living

ความเป็นอยู่ของเขา

would shift and would get better.

ก็จะเปลี่ยนในทางที่ดีขึ้น

And they would make really interesting little adjustments in their lives,

และจะเริ่มมีการปรับเปลี่ยนอะไรเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตอย่างน่าสนใจ

like they would start to send their children to school.

เช่น เริ่มส่งลูกไปโรงเรียน

They might be able to buy mosquito nets.

อาจจะซื้อมุ้งกันยุง

Maybe they could afford a lock for the door and feel secure.

อาจจะมีเงินซื้อกุญแจล็อกประตู ทำให้รู้สึกปลอดภัยขึ้น

Maybe it was just that they could put sugar in their tea

หรือแค่ทำให้เขาสามารถซื้อน้ำตาลเพื่อใส่น้ำชา

and offer that to me when I came as their guest

เพื่อต้อนรับเวลาที่ฉันไปเยี่ยม

and that made them feel proud.

พวกเขาภูมิใจที่ได้ทำเช่นนั้น

But there were these beautiful details, even if I talked to 20 goat herders in a row,

ฉันเจอรายละเอียดที่สวยงามเหล่านี้ แม้ว่าฉันจะคุยกับคนเลี้ยงแพะ 20 คนรวด

and some days that's what happened --

และบางวันก็ได้ทำจริงๆ

these beautiful details of life change

รายละเอียดของความเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่สวยงามเหล่านี้

that were meaningful to them.

มีความหมายสำหรับเขา

That was another thing that really touched me.

นี่คือสิ่งที่ทำให้ฉันประทับใจ

It was really humbling to see for the first time,

ทำให้ฉันได้เข้าใจตัวเอง

to really understand

และเข้าใจจริงๆ ว่า

that even if I could have taken a magic wand and fixed everything,

ถึงแม้ว่าฉันจะมีไม้วิเศษและไปเสกแก้ไขทุกอย่าง

I probably would have gotten a lot wrong.

ฉันคงจะทำผิดพลาดไปมาก

Because the best way for people to change their lives

เพราะวิธีที่ดีที่สุดในการเปลี่ยนแปลงชีวิต

is for them to have control and to do that in a way that they believe is best for them.

คือการให้พวกเขาได้เป็นผู้ควบคุมและทำในวิธีที่พวกเขาเชื่อว่าดีที่สุดสำหรับเขาเอง

So I saw that and it was very humbling.

เมื่อฉันเห็นดังนั้น แล้วมันเป็นเสมือนความถ่อมใจ

Anyway, another interesting thing happened while I was there.

มีอีกอย่างที่เกิดขึ้นตอนที่ฉันอยู่ที่นั่น ซึ่งน่าสนใจมาก

I never once was asked for a donation,

ไม่มีใครขอเงินฉันสักครั้ง

which had kind of been my mode, right.

ซึ่งเหมือนเป็นความเข้าใจของฉันมาตลอด

There's poverty, you give money to help --

มีความยากจนอยู่ที่ไหน ก็ให้เงินไป

no one asked me for a donation.

ไม่มีใครขอเงินฉันสักแดง

In fact, no one wanted me to feel bad for them at all.

ที่จริงแล้ว ไม่มีใครอยากให้ฉันสงสารเขาเลย

If anything, they just wanted to be able to do more of what they were doing already

ถ้าจะอยากอะไรสักอย่าง ก็คงอยากทำในสิ่งที่เขาทำอยู่แล้วให้มันดีขึ้น

and to build on their own capabilities.

และเติบโตจากความสามารถของเขาเอง

So what I did hear, once in a while,

สิ่งที่ฉันได้ยินมาบ้าง

was that people wanted a loan --

คือคนอยากได้เงินกู้

I thought that sounded very reasonable and really exciting.

ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องที่มีเหตุผลและน่าตื่นเต้นมาก

And by the way, I was a philosophy and poetry major in school,

อีกอย่าง ฉันจบด้านปรัชญาและกวีนิพนธ์มา

so I didn't know the difference between profit and revenue when I went to East Africa.

ตอนที่ฉันไปแอฟริกาตะวันออก ฉันไม่รู้หรอกว่ากำไรกับรายได้ต่างกันอย่างไร

I just got this impression that the money would work.

ฉันมีแค่ความรู้สึกว่า เงินนี้จะช่วยได้

And my introduction to business

และฉันก็เข้าสู่โลกธุรกิจ

was in these $100 little infuses of capital.

ด้วยต้นทุนเล็กๆ จำนวน 100 ดอลลาร์ เหล่านี้

And I learned about profit and revenue, about leverage, all sorts of things,

ฉันได้เรียนรู้เรื่องกำไร รายได้ อำนาจเพิ่มผลทางการเงิน และอะไรต่อมิอะไร

from farmers, from seamstresses, from goat herders.

จากชาวนา จากช่างตัดเย็บ จากคนเลี้ยงแพะ

So this idea

ดังนั้นความคิด

that these new stories of business and hope

ที่จะนำเรื่องราวใหม่ๆ เกี่ยวกับธุรกิจและความหวัง

might be shared with my friends and family,

ไปแบ่งปันกับเพื่อนๆ และครอบครัวของฉัน

and through that, maybe we could get some of the money that they needed

และเราอาจจะหาเงินส่วนหนึ่งที่เขาต้องการมาได้

to be able to continue their businesses as loans,

เพื่อให้เขาได้ต่อยอดธุรกิจในรูปของเงินกู้ยืม

that's this little idea that turned into Kiva.

ความคิดเล็กๆ นี้เป็นจุดเริ่มต้นของ Kiva

A few months later, I went back to Uganda

ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ฉันกลับไปที่ยูกานดา

with a digital camera and a basic website

พร้อมกล้องดิจิตอลและเวบไซต์ธรรมดาๆ เวบหนึ่ง

that my partner, Matthew, and I had kind of built,

ที่แฟนของฉัน แมททิว และฉันได้สร้างร่วมกัน

and took pictures of seven of my new friends,

และถ่ายรูปเพื่อนใหม่ของฉัน 7 คน

posted their stories, these stories of entrepreneurship, up on the website,

ลงเรื่องราวของเรา เรื่องราวการประกอบธุรกิจ บนเวบไซต์

spammed friends and family and said, "We think this is legal.

ส่งกระจายไปหาเพื่อนๆ และครอบครัว และบอกว่า "เราคิดว่ามันถูกกฎหมายนะ

Haven't heard back yet from SEC on all the details,

ยังไม่มีคำตอบรับจาก SEC เรื่องรายละเอียด

but do you say, do you want to help participate in this,

แต่พวกเธอว่าอย่างไร อยากจะมีส่วนร่วม

provide the money that they need?"

หาเงินที่เขาต้องการไหม?"

The money came in basically overnight.

เงินเข้ามาเพียงชั่วข้ามคืน

We sent it over to Uganda.

เราส่งไปให้ยูกานดา

And over the next six months, a beautiful thing happened;

ในช่วง 6 เดือนถัดมา สิ่งสวยงามได้เกิดขึ้น

the entrepreneurs received the money,

ผู้ประกอบการได้รับเงิน

they were paid, and their businesses, in fact, grew,

เขาได้เงิน และธุรกิจของเขาก็เติบโต

and they were able to support themselves

เขาดูแลตัวเองได้

and change the trajectory of their lives.

และเปลี่ยนวิถีชีวิตของตน

In October of '05,

ในเดือนตุลาคม ปี 2005

after those first seven loans were paid,

หลังจากได้รับเงินทั้ง 7 ก้อนกลับคืนมา

Matt and I took the word beta off of the site.

แมทและฉันก็เอาคำว่า เบต้า ออกจากเวบไซต์

We said, "Our little experiment has been a success.

เราบอกว่า "การทดลองเล็กๆ ของเราประสบความสำเร็จ

Let's start for real." That was our official launch.

คราวนี้เอาจริงกันเถอะ" และเราก็ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ

And then that first year, October '05 through '06,

ในปีแรก จากตุลาคม 2005 ถึง ตุลาคม 2006

Kiva facilitated $500,000 in loans.

Kiva ได้ให้เงินกู้ยืมทั้งสิ้น 5 แสนดอลลาร์

The second year, it was a total of 15 million.

ปีที่สอง ยอดคือ 15 ล้าน

The third year, the total was up to around 40.

ปีที่สาม ยอดขึ้นไปถึงประมาณ 40 ล้าน

The fourth year, we were just short of 100.

ปีที่สี่ เราเกือบถึง 100 ล้าน

And today, less than five years in,

และวันนี้ ยังไม่ถึง 5 ปีดี

Kiva's facilitated

Kiva หาเงินช่วยเหลือได้

more than 150 million dollars, in little 25-dollar bits,

มากกว่า 150 ล้านดอลลาร์ โดยแบ่งเป็นก้อนๆ ก้อนละ 25 ดอลลาร์

from lenders and entrepreneurs --

จากผู้ให้ยืมและผู้ประกอบการ --

more than a million of those, collectively in 200 countries.

มากกว่า 1 ล้านคนใน 200 ประเทศทั่วโลก

So that's where Kiva is today, just to bring you right up to the present.

นั่นคือสถานการณ์ของ Kiva วันนี้

And while those numbers and those statistics

และขณะที่ตัวเลขและสถิติเหล่านี้

are really fun to talk about and they're interesting,

จะสนุกและน่าสนใจแค่ไหน

to me, Kiva's really about stories.

สำหรับฉัน Kiva เป็นเสมือนเรื่องเล่าของชีวิต

It's about retelling

เป็นเรื่องการเล่าต่อ

the story of the poor,

เรื่องของคนจน

and it's about giving ourselves

และเป็นการให้โอกาสตัวเอง

an opportunity to engage

ที่จะมีส่วนร่วม

that validates their dignity,

ในรูปแบบที่ให้เกียรติเขา

validates a partnership relationship,

เป็นความร่วมมือทางธุรกิจ

not a relationship that's based

ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่อยู่บนพื้นฐาน

on the traditional sort of donor beneficiary

ของผู้ได้รับประโยชน์จากเงินบริจาค

weirdness that can happen.

ที่ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกๆ แบบเดิม

But instead a relationship that can promote respect

แต่กลับเป็นความสัมพันธ์ที่ทำให้เกิดความเคารพ

and hope

และความหวัง

and this optimism

และการมองในแง่ดี

that together we can move forward.

ว่าเราจะเดินต่อไปข้างหน้าด้วยกัน

So what I hope is that,

ฉันหวังว่า

not only can the money keep flowing forth through Kiva --

นอกจากเงินจะยังคงไหลผ่าน Kiva --

that's a very positive and meaningful thing --

ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีและมีความหมายมาก

but I hope Kiva can blur those lines, like I said,

ฉันยังหวังว่า Kiva จะสามารถทำให้เส้นระหว่าง

between the traditional rich and poor categories

ความรวยและความจนในความคิดแบบเดิมๆ เลือนหายไป

that we're taught to see in the world,

ให้เรามองเห็นว่า สิ่งที่เราได้ถูกสอนมา

this false dichotomy of us and them, have and have not.

การแบ่งแยกระหว่างพวกเขาและพวกเรานั้น ทั้งมีและไม่มีอยู่จริง

I hope that Kiva can blur those lines.

ฉันหวังว่า Kiva จะทำให้เส้นเหล่านั้นเลือนหายไปได้

Because as that happens,

เพราะถ้าทำได้

I think we can feel free to interact

ฉันคิดว่าเราจะรู้สึกเป็นอิสระที่จะสื่อสาร

in a way that's more open, more just and more creative,

ด้วยวิธีที่เปิดเผย ยุติธรรม และสร้างสรรค์มากขึ้น

to engage with each other and to help each other.

เพื่อร่วมมือช่วยเหลือกันและกัน

Imagine how you feel

ลองคิดสิว่าคุณจะรู้สึกอย่างไร

when you see somebody on street who is begging

เมื่อคุณเห็นคนๆ หนึ่งบนถนน กำลังขอทาน

and you're about to approach them.

และคุณก็กำลังจะเข้าไปหาเขา

Imagine how you feel;

ลองคิดว่าคุณจะรู้สึกอย่างไร

and then imagine the difference when you might see somebody

และลองคิดถึงความแตกต่าง หากคุณเห็นคนๆ หนึ่ง

who has a story of entrepreneurship and hard work

ซึ่งมีเรื่องราวของการทำงานและความขยัน

who wants to tell you about their business.

ที่อยากจะบอกเล่าเรื่องธุรกิจให้คุณฟัง

Maybe they're smiling, and they want to talk to you about what they've done.

เขาอาจจะยิ้ม และคุยว่าเขาทำอะไรบ้าง

Imagine if you're speaking with somebody

ลองคิดว่า ถ้าคุณกำลังคุยกับคน

who's growing things and making them flourish,

ซึ่งกำลังปลูกสิ่งต่างๆ และกำลังทำให้มันผลิดอกออกผล

somebody who's using their talents

ใครสักคนที่กำลังใช้ความสามารถ

to do something productive,

ในการทำอะไรที่จะเกิดประโยชน์

somebody who's built their own business from scratch,

ใครสักคนที่สร้างธุรกิจของตัวเองจากศูนย์

someone who is surrounded by abundance,

ใครสักคนที่รายล้อมด้วยความอุดมสมบูรณ์

not scarcity,

ไม่ใช่ความขัดสน

who's in fact creating abundance,

ใครสักคนที่กำลังสร้างความอุดมสมบูรณ์

somebody with full hands with something to offer,

ใครสักคนที่มือเต็มไปด้วยสิ่งที่จะให้

not empty hands

ไม่ใช่มือเปล่าๆ

asking for you to give them something.

ที่กำลังขออะไรจากคุณ

Imagine if you could hear a story you didn't expect

ลองจินตนาการว่าถ้าคุณได้ยินเรื่องราวหนึ่งที่คุณไม่คาดคิด

of somebody who wakes up every day

เรื่องของใครสักคนที่ตื่นขึ้นมาทุกวัน

and works very, very hard to make their life better.

และทำงานหนัก หนักมาก เพื่อให้ชีวิตเขาดีขึ้น

These stories can really change the way that we think about each other.

เรื่องราวเหล่านี้สามารถเปลี่ยนวิธีที่เราคิดเกี่ยวกับกันและกัน

And if we can catalyze

และถ้าเราสามารถกระตุ้น

a supportive community to come around these individuals

ให้เกิดชุมชนที่อยากจะช่วยเหลือบุคคลเหล่านี้

and to participate in their story

และมีส่วนร่วมในเรื่องราวของเขา

by lending a little bit of money,

โดยการให้ยืมเงินเล็กๆ น้อยๆ

I think that can change the way we believe in each other

ฉันคิดว่าสิ่งนี้จะสามารถเปลี่ยนความเชื่อที่เรามีต่อกัน

and each other's potential.

และต่อความสามารถของบุคคล

Now for me, Kiva is just the beginning.

สำหรับฉัน Kiva เป็นเพียงจุดเริ่มต้น

And as I look forward to what is next,

และเมื่อฉันมองไปถึงก้าวต่อไป

it's been helpful to reflect on the things I've learned so far.

การนำสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้มาก็มีประโยชน์

The first one is, as I mentioned, entrepreneurship was a new idea to me.

สิ่งแรก อย่างที่ฉันบอก คือ การประกอบการเป็นสิ่งใหม่สำหรับฉัน

Kiva borrowers, as I interviewed them and got to know them over the last few years,

คนที่ยืมเงินจาก Kiva ผู้ที่ฉันได้สัมภาษณ์และเรียนรู้เกี่ยวกับเขาในปีที่ผ่านๆ มา

have taught me what entrepreneurship is.

ได้สอนให้ฉันรู้จักคำว่าการประกอบการ

And I think, at its core, it's deciding that you want your life to be better.

ที่สุดแล้ว มันคือการตัดสินใจว่า คุณอยากพัฒนาชีวิตของคุณ

You see an opportunity

คุณเห็นโอกาส

and you decide what you're going to do to try to seize that.

และคุณก็ตัดสินใจว่า คุณจะทำอะไรเพื่อพิชิตโอกาสนั้น

In short, it's deciding that tomorrow can better than today

สั้นๆ ก็คือ การตัดสินใจว่า วันพรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้

and going after that.

และมุ่งไปทางนั้น

Second thing that I've learned is that loans are a very interesting tool for connectivity.

สอง คือ เงินกู้ยืมเป็นเครื่องมือการเชื่อมสัมพันธ์ที่น่าสนใจมาก

So they're not a donation.

มันไม่ใช่การบริจาค

Yeah, maybe it doesn't sound that much different.

ใช่ อาจจะฟังดูไม่ต่างกันมากนัก

But in fact, when you give something to someone

แต่ความเป็นจริงแล้ว เมื่อคุณให้อะไรกับใคร

and they say, "Thanks," and let you know how things go,

และเขาพูดว่า "ขอบคุณ" และบอกคุณว่าเป็นอย่างไร

that's one thing.

นั่นเป็นสิ่งหนึ่ง

When you lend them money, and they slowly pay you back over time,

เมื่อคุณให้ใครยืมเงิน และเขาค่อยๆ จ่ายคุณคืนในระยะเวลาหนึ่ง

you have this excuse to have an ongoing dialogue.

คุณมีข้ออ้างที่จะดำเนินการพูดคุยกันต่อไป

This continued attention -- this ongoing attention --

การให้ความสนใจอย่างต่อเนื่องนี้

is a really big deal

เป็นเรื่องสำคัญ

to build different kinds of relationships among us.

ในการสร้างความสัมพันธ์ต่างๆ ระหว่างกัน

And then third, from what I've heard from the entrepreneurs I've gotten to know,

และสิ่งที่สามที่ฉันได้ยินจากผู้ประกอบการที่ฉันได้รู้จัก

when all else is equal,

เมื่ออย่างอื่นเท่ากันหมด

given the option to have just money to do what you need to do,

เมื่อต้องเลือกระหว่างแค่เงินเพื่อทำในสิ่งที่ต้องทำ

or money plus the support and encouragement

กับเงินบวกกับแรงสนับสนุนและกำลังใจ

of a global community,

ของประชาคมโลก

people choose the community plus the money.

คนจะเลือกประชาคมโลกกับเงิน

That's a much more meaningful combination, a more powerful combination.

เป็นส่วนผสมที่มีความหมายมากกว่ามาก และมีอำนาจกว่ามาก

So with that in mind, this particular incident

เมื่อได้ความคิดนี้ เหตุการณ์นี้

has led to the things that I'm working on now.

ได้นำไปสู่สิ่งต่างๆ ที่ฉันกำลังทำอยู่ตอนนี้

I see entrepreneurs everywhere now, now that I'm tuned into this.

ปัจจุบันฉันเห็นผู้ประกอบการทั่วไปหมด เมื่อความคิดของฉันปรับมาทางนี้

And one thing that I've seen

และสิ่งหนึ่งที่ฉันเห็น

is there are a lot of supportive communities that already exist in the world.

คือมีชุมชนมากมายที่คอยเป็นแรงใจให้กับคนอื่นๆ อยู่แล้วในโลกใบนี้

With social networks,

เครือข่ายสังคม

it's an amazing way, growing the number of people that we all have around us

เป็นกระบวนการที่น่าทึ้ง สามารถเพิ่มจำนวนคน

in our own supportive communities, rapidly.

ในกลุ่มคนที่คอยสนับสนุนเราอย่างรวดเร็ว

And so, as I have been thinking about this,

ดังนั้น ขณะที่ฉันกำลังคิดถึงเรื่องนี้

I've been wondering: how can we engage these supportive communities

ฉันก็สงสัยว่า เราจะทำอย่างไรให้กลุ่มคนที่คอยสนับสนุนเรานี้

to catalyze even more entrepreneurial ideas

กระตุ้นให้เกิดความคิดทางการประกอบการเพิ่มขึ้นอีก

and to catalyze all of us

และกระตุ้นให้เราทุกคน

to make tomorrow better than today?

ลุกขึ้นทำวันพรุ่งนี้ให้ดีกว่าวันนี้

As I've researched what's going on in the United States,

ฉันได้ทำการวิจัยถึงสถานการณ์ในสหรัฐฯ

a few interesting little insights have come up.

ฉันได้พบสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่าง

So one is that, of course, as we all might expect,

หนึ่งคือ อย่างที่เราอาจคาดไว้คือ

many small businesses in the U.S. and all over the world

ธุรกิจเล็กๆ ในสหรัฐฯ และทั่วโลก

still need money to grow and to do more of what they want to do

ยังต้องการเงินที่จะเติบโตและทำอะไรที่เขาอยากทำเพิ่มขึ้น

or they might need money during a hard month.

หรืออาจต้องการเงินช่วงเดือนที่ลำบาก

But there's always a need for resources close by.

แต่สิ่งที่ต้องการเสมอคือ แหล่งทรัพยากรใกล้เคียง

Another thing is, it turns out,

อีกอย่างคือ ปรากฎว่า

those resources don't usually come from the places you might expect --

ทรัพยากรเหล่านั้น มักไม่ได้มาจากสถานที่ที่คุณอาจคาดไว้ เช่น

banks, venture capitalists,

ธนาคาร นักลงทุน

other organizations and support structures --

องค์กร หรือ โครงสร้างสนับสนุนอื่นๆ

they come from friends and family.

แต่มาจากเพื่อนและครอบครัว

Some statistics say 85 percent or more of funding for small businesses

บางสถิติบอกว่า ร้อยละ 85 หรือมากกว่าของเงินทุนสำหรับธุรกิจเล็กๆ

comes from friends and family.

มาจากเพื่อนและครอบครัว

That's around 130 billion dollars a year --

ทั้งสิ้นประมาณ 130 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี

it's a lot.

สูงมาก

And third, so as people are doing this friends and family fundraising process,

และสิ่งที่สาม คือ ขณะที่ผู้คนกำลังเรี่ยไรเงินจากเพื่อนและครอบครัว

it's very awkward, people don't know exactly what to ask for,

เป็นการขอที่เคอะเขินมาก คนไม่รู้ว่าจะต้องขออะไร

how to ask, what to promise in return,

ขออย่างไร และจะให้อะไรตอบแทน

even though they have the best of intentions

ทั้งๆ ที่พวกเขาก็มีความตั้งใจดี

and want to thank those people that are supporting them.

และอยากขอบคุณทุกคนที่สนับสนุนเขา

So to harness the power of these supportive communities in a new way

ดังนั้น การรวบรวมพลังของชุมชนในรูปแบบใหม่

and to allow entrepreneurs to decide for themselves

และปล่อยให้ผู้ประกอบการมีอำนาจตัดสินใจเอง

exactly what that financial exchange should look like,

การแลกเปลี่ยนทางการเงินนี้จะต้องมีรูปแบบอย่างไร

exactly what fits them and the people around them,

อะไรที่จะเหมาะกับเขาและคนรอบตัวเขา

this week actually,

สัปดาห์นี้

we're quietly doing a launch of Profounder,

เรากำลังเตรียมการเปิดตัวของ Profounder

which is a crowd funding platform for small businesses to raise what they need

ซึ่งเป็นเวทีระดมทุนสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก

through investments from their friends and family.

จากเงินทุนของเพื่อนและครอบครัว

And it's investments, not donations, not loans,

เป็นการลงทุน ไม่ใช่เงินบริจาค ไม่ใช่เงินกู้ยืม

but investments that have a dynamic return.

แต่เป็นเงินลงทุนที่มีผลตอบแทนจริงๆ

So the mapping of participating in the story,

ฉะนั้นแผนของการมีส่วนร่วมในเรื่องราวนี้

it actually flows with the up and down.

ก็จะไหลไปตามสถานการณ์

So in short, it's a do-it-yourself tool

สั้นๆ คือ มันเป็นเครื่องมือช่วยเหลือตัวเอง

for small businesses to raise these funds.

สำหรับธุรกิจเล็กๆ ในการหาเงินทุน

And what you can do is go onto the site, create a profile,

สิ่งที่คุณทำได้คือ คุณเข้าไปในเวบไซต์ สร้างประวัติ

create investment terms in a really easy way.

สร้างเงื่อนไขการลงทุนได้อย่างง่ายๆ

We make it really, really simple for me

เราทำให้มันง่ายมากสำหรับฉัน

as well as anyone else who wants to use the site.

และใครก็ตามที่อยากใช้เวบไซต์นี้

And we allow entrepreneurs to share a percentage of their revenues.

ผู้ประกอบการเองก็จะได้ส่วนแบ่งของรายได้

They can raise up to a million dollars

เขาอาจหาเงินได้ถึง 1 ล้านดอลลาร์

from an unlimited number of unaccredited, unsophisticated investors --

จากนักลงทุนไม่จำกัดจำนวน ไม่จำเป็นต้องมีความรู้และประสบการณ์

everyday people, heaven forbid --

คนธรรมดาสามัญนี่แหละ

and they can share those returns over time --

เขาสามารถแบ่งปันผลตอบแทน

again, whatever terms they set.

ตามเงื่อนไขที่เขาตั้งไว้

As investors choose to become involved

นักลงทุนเลือกที่จะมีส่วนร่วม

based on those terms,

ตามข้อตกลงนั้น

they can either take their rewards back as cash,

เขาอาจเลือกสิ่งตอบแทนเป็นเงิน

or they can decide in advance

หรือตัดสินใจไปเลยว่า

to give those returns away to a non-profit.

จะให้ผลตอบแทนกับองค์กรการกุศล

So they can be a cash, or a cause, investor.

ดังนั้น เขาเป็นได้ทั้งนักลงทุนด้านการเงิน หรือสังคม

It's my hope that this kind of tool can show anybody who has an idea

เป็นความหวังของฉันว่าเครื่องมือนี้ จะเผยให้ใครก็ตามที่มีความคิด

a path to go do what they want to do in the world

ได้เห็นเส้นทางที่จะทำอะไรก็ได้ที่เขาอยากทำ

and to gather the people around them that they already have,

และได้รวบรวมคนรอบตัวที่เขามีอยู่แล้ว

the people that know them best

คนที่รู้จักเขาดีที่สุด

and that love them and want to support them,

คนที่รัก และสนับสนุนเขา

to gather them to make this happen.

ได้รวมตัวกันทำฝันนี้ให้เป็นจริง

So that's what I'm working on now.

นั่นคือสิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่ตอนนี้

And to close, I just want to say, look these are tools.

และก่อนกลับ ฉันอยากจะบอกว่า สิ่งเหล่านี้คือเครื่องมือ

Right now, Profounder's right at the very beginning,

ตอนนี้ Profounder กำลังเริ่มต้น

and it's very palpable; it's very clear to me, that it's just a vessel, it's just a tool.

และมันชัดเจน ชัดเจนมากสำหรับฉัน ว่ามันเป็นเพียงเรือ เป็นเครื่องมือ

What we need are for people to care, to actually go use it,

สิ่งที่เราต้องการคือให้คนใส่ใจพอที่จะไปใช้มัน

just like they've cared enough to use Kiva

เหมือนกับที่เขาใส่ใจพอที่จะใช้ Kiva

to make those connections.

ในการสร้างความสัมพันธ์

But the good news is I don't think I need to stand here and convince you to care --

แต่ข่าวดีคือ ฉันไม่ต้องการมายืนตรงนี้และพร่ำบอกให้คุณใส่ใจ

I'm not even going to try.

ฉันจะไม่พยายามเลยแม้แต่น้อย

I don't think, even though we often hear,

ฉันไม่คิดว่า (แม้เราอาจได้ยินบ่อยครั้ง)

you know, hear the ethical and moral reasons,

นี่เป็น เรื่องเหตุผลทางศีลธรรม คุณธรรม

the religious reasons,

เหตุผลด้านศาสนา ที่ว่า

"Here's why caring and giving will make you happier."

นี่คือเหตุผลที่การใส่ใจและการให้จะทำให้คุณมีความสุข

I don't think we need to be convinced of that. I think we know;

ฉันคิดว่าไม่จำเป็นที่ต้องมาโน้มน้าวเรา ฉันคิดว่าพวกเรารู้

in fact, I think we know so much,

ที่จริงแล้ว ฉันคิดว่าเรารู้มากเหลือเกิน

and it's such a reality

และเป็นความจริงว่า

that we care so deeply,

เราใส่ใจมากอย่างลึกซึ้ง

that in fact, what usually stops us

มากเสียจนมันกลับหยุดเรา

is that we're afraid to try and to mess up,

เพราะเรากลัวที่จะลอง กลัวที่จะทำผิดพลาด

because we care so very much about helping each other

เพราะเรามีความต้องการที่จะช่วยเหลือกันและกันมาก

and being meaningful in each other's lives.

และที่จะมีความหมายในชีวิตของกันและกัน

So what I think I can do today,

สิ่งที่ฉันคิดว่าฉันทำได้ในวันนี้

that best thing I can give you --

สิ่งที่ดีที่สุดที่ฉันจะให้ทุกคน คือ

I've given you my story, which is the best I can do.

ฉันได้ให้เรื่องเล่าของฉัน ฉันทำได้ดีที่สุดเพียงเท่านี้

And I think I can remind us that we do care.

และฉันคิดว่าฉันได้ทำให้ทุกคนระลึกว่า เราใส่ใจซึ่งกันและกันมากนะ

I think we all already know that.

ฉันคิดว่าเราทุกคนตระหนักดีอยู่แล้ว

And I think we know that love is resilient enough

และคิดว่าเรารู้ว่า ความรัก มีแรงผลักพอ ที่จะ

for us to get out there and try.

ทำให้เราลุกขึ้นมาและลองดูสักตั้ง

Just a sec.

สักครู่ค่ะ

(Applause)

(ปรบมือ)

Thanks.

ขอบคุณค่ะ

(Applause)

(ปรบมือ)

Thanks.

ขอบคุณค่ะ

(Applause)

(ปรบมือ)

For me, the best way to be inspired to try

สำหรับฉัน วิธีที่ดีที่สุดที่จะได้รับแรงบันดาลให้ทำอะไรสักอย่าง

is to stop and to listen

คือการหยุดและรับฟัง

to someone else's story.

เรื่องเล่าของคนอื่น

And I'm grateful that I've gotten to do that here at TED.

ฉันรู้สึกตื้นตันใจมากที่ฉันได้ทำสิ่งนั้น ที่นี่ ที่ TED

And I'm grateful that whenever I do that,

และรู้สึกขอบคุณที่ ทุกๆครั้งที่ฉันได้หยุด และรับฟัง

guaranteed, I am inspired --

รับรองได้เลยว่าว่า ฉันได้แรงบันดาลใจ

I am inspired by the person I am listening to.

ฉันได้แรงบันดาลใจจากคนที่ฉันกำลังฟังอยู่

And I believe more and more every time I listen

และทุกครั้งที่ฉันฟัง ฉันเชื่อมั่นมากขึ้นทุกครั้ง

in that that person's potential to do great things in the world

ในความสามารถของคนนั้นในการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในโลกใบนี้

and in my own potential to maybe help.

และในความสามารถของฉันเองที่จะช่วย

And that --

และสิ่งนั้น

forget the tools, forget the moving around of resources --

ลืมไปได้เลยเรื่องเครื่องมือ เรื่องการโยกย้ายทรัพยากร

that stuff's easy.

เรื่องนั้นมันง่ายมาก

Believing in each other,

การมีศรัทธาซึ่งกันและกัน

really being sure when push comes to shove

และมั่นใจว่าเมื่อมีแรงผลักมากระตุ้นเรา

that each one of us can do amazing things in the world,

ว่าเราทุกคนสามารถทำสิ่งที่น่าทึ่งในโลกใบนี้

that is what can make our stories into love stories

สิ่งนี้จะทำให้เรื่องเล่าของเรากลายเป็นเรื่องราวแห่งความรัก

and our collective story

และเรื่องราวของเรารวมกัน

into one that continually perpetuates hope

กลายเป็นหนึ่งเรื่องที่ยื่งใหญ่ ที่จะส่องประกายความหวัง

and good things for all of us.

และสิ่งดีๆ ให้กับเราทุกคน

So that, this belief in each other,

ความเชื่อมั่นในกันและกันนี้

knowing that without a doubt

รู้ให้ลึกทั้งหัวใจ โดยปราศจากข้อสงสัย

and practicing that every day in whatever you do,

และฝึกฝนสิ่งนั้นในทุกๆวัน ไม่ว่าคุณจะทำอะไร

that's what I believe will change the world and make tomorrow better than today.

นั่นคือสิ่งที่ฉันเชื่อว่าจะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ และทำให้วันพรุ่งนี้ดีกว่าวันนี้อย่างแน่นอน

Thank you.

ขอบคุณค่ะ

(Applause)

(ปรบมือ)