Karen Armstrong: Let's revive the Golden Rule

Translator: Sarinee Achavanuntakul Reviewer: Korawan Kitsommart

For years I've been feeling frustrated,

หลายปีแล้วค่ะที่ฉันรู้สึกอึดอัดใจ

because as a religious historian,

เพราะในฐานะนักประวัติศาสตร์ศาสนา

I've become acutely aware

ฉันได้ตระหนักอย่างชัดเจนว่า

of the centrality of compassion

ความเมตตาเป็นแก่นที่สำคัญเพียงใด

in all the major world faiths.

ในศาสนาหลักทุกศาสนาในโลก

Every single one of them

ศาสนาทุกศาสนา

has evolved their own version

เคยวิวัฒน์แบบฉบับของตัวเอง

of what's been called the Golden Rule.

ของสิ่งที่เรียกกันว่า กฎทองคำ

Sometimes it comes in a positive version --

บ้างก็เป็นเชิงสั่งให้ทำ

"Always treat all others as you'd like to be treated yourself."

"จงปฏิบัติต่อผู้อื่นแบบเดียวกับที่เธออยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเธอ"

And equally important

และที่สำคัญไม่แพ้กัน

is the negative version --

คือเชิงสั่งห้าม -

"Don't do to others what you would not like them to do to you."

"อย่าปฏิบัติต่อผู้อื่นในสิ่งที่เธอไม่อยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเธอ"

Look into your own heart,

มองลึกลงไปในใจคุณเอง

discover what it is that gives you pain

หาให้เจอว่าอะไรที่ทำให้คุณเป็นทุกข์

and then refuse, under any circumstance whatsoever,

แล้วก็จงปฏิเสธ ปฏิเสธเงื่อนไขใดๆ ทั้งหมด

to inflict that pain on anybody else.

ที่จะทำให้คนอื่นเป็นทุกข์เช่นนั้น

And people have emphasized the importance of compassion,

ผู้คนได้เน้นย้ำความสำคัญของความเมตตา

not just because it sounds good,

ไม่ใช่แค่เพราะมันฟังดูดี

but because it works.

แต่เพราะมันใช้การได้

People have found that when they have

ผู้คนได้ค้นพบว่าเมื่อพวกเขา

implemented the Golden Rule

นำกฎทองคำมาปฏิบัติจริง

as Confucius said, "all day and every day,"

"ทั้งวันและทุกวัน" แบบที่ขงจื๊อกล่าว

not just a question of doing your good deed for the day

ไม่ใช่แค่ทำความดีประจำวันหนึ่งอย่าง

and then returning to a life of greed

เสร็จแล้วก็กลับไปใช้ชีวิตแห่งความโลภ

and egotism,

และความเห็นแก่ตัว

but to do it all day and every day,

แต่ทำดีทั้งวันและทุกวัน

you dethrone yourself from the center of your world,

คุณจะล้มล้างตัวเองจากศูนย์กลางของโลกคุณ

put another there, and you transcend yourself.

เอาใจเขามาใส่ใจเรา และข้ามพ้นอัตตาตัวเอง

And it brings you into the presence

และทำให้คุณได้ประสบพบพาน

of what's been called God, Nirvana, Rama, Tao.

สิ่งที่เรียกว่า พระเจ้า นิพพาน พระราม หรือเต๋า

Something that goes beyond

บางสิ่งที่อยู่นอกเหนือ

what we know in our ego-bound existence.

สิ่งที่เรารู้ในการดำรงชีวิตที่ยึดอัตตา

But you know you'd never know it a lot of the time,

แต่คุณก็รู้ว่าคุณจะไม่มีวันตระหนักในเรื่องนี้เท่าไหร่

that this was so central to the religious life.

ไม่ค่อยรู้ว่ามันเป็นหัวใจของชีวิตทางศาสนา

Because with a few wonderful exceptions,

เพราะถ้าไม่นับกรณียกเว้นส่วนน้อยที่น่ายินดีแล้ว

very often when religious people come together,

ส่วนใหญ่เวลาที่คนเคร่งศาสนามาเจอกัน

religious leaders come together, they're arguing about abstruse doctrines

หรือผู้นำทางศาสนามาคุยกัน พวกเขามักจะพูดถึงคำสอนที่เข้าใจยาก

or uttering a council of hatred

หรือกระพือความเกลียดชัง

or inveighing against homosexuality or something of that sort.

หรือโจมตีการรักคนเพศเดียวกัน หรืออะไรแบบนี้

Often people don't really want to be compassionate.

ผู้คนมักจะไม่อยากมีกรุณาต่อกันจริงๆ

I sometimes see

บางครั้งฉันพบว่า

when I'm speaking to a congregation of religious people

เวลาที่คุยกับกลุ่มคนเคร่งศาสนา

a sort of mutinous expression crossing their faces

หน้าตาของพวกเขาจะออกอาการตาขวาง

because people often want to be right instead.

เพราะคนเรามักอยากเป็นฝ่ายถูก

And that of course defeats the object of the exercise.

ซึ่งแน่นอนว่าทำลายเป้าหมายของกิจกรรมนี้ไป

Now why was I so grateful to TED?

ทีนี้ทำไมฉันถึงรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณเท็ด?

Because they took me very gently

เพราะคนจัดงานนี้นำฉันมาอย่างอ่อนโยน

from my book-lined study

จากห้องทำงานที่เต็มไปด้วยหนังสือ

and brought me into the 21st century,

นำฉันเข้าสู่ศตวรรษที่ 21

enabling me to speak to a much, much wider audience

ช่วยให้ฉันได้สื่อสารกับผู้ฟังวงกว้างกว่าเดิมมาก

than I could have ever conceived.

เกินกว่าฉันจะคิดฝันได้

Because I feel an urgency about this.

เพราะฉันรู้สึกว่านี่คือเรื่องเร่งด่วน

If we don't manage to implement

ถ้าเราไม่สามารถนำกฎทองคำ

the Golden Rule globally,

ไปปฏิบัติจริงทั่วโลก

so that we treat all peoples, wherever and whoever they may be,

เพื่อให้เราปฏิบัติต่อคนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใครและแห่งหนใด

as though they were as important as ourselves,

ในฐานะที่พวกเขามีความสำคัญทัดเทียมกับตัวเราเอง

I doubt that we'll have

ถ้าทำไม่ได้ ฉันคิดว่า

a viable world to hand on to the next generation.

เราคงไม่อาจมอบโลกที่อยู่ให้กับคนรุ่นต่อไปได้

The task of our time,

พันธกิจแห่งยุคของเรา

one of the great tasks of our time,

หนึ่งในพันธกิจที่ยิ่งใหญ่แห่งยุคของเรา

is to build a global society, as I said,

คือการสร้างสังคมโลกที่ผู้คน

where people can live together in peace.

จะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีสันติสุข

And the religions that should be making a major contribution

และศาสนาก็ควรจะมีส่วนร่วมอย่างสำคัญ

are instead seen as part of the problem.

แทนที่จะถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา

And of course it's not just religious people who believe in the Golden Rule.

และแน่นอน ไม่ได้มีแต่ผู้นับถือศาสนาเท่านั้นที่เชื่อในกฎทองคำ

This is the source of all morality,

บ่อเกิดของศีลธรรมทั้งมวลคือ

this imaginative act of empathy,

การเอาใจเขามาใส่ใจเรา

putting yourself in the place of another.

จินตนาการว่าตัวคุณคือคนอื่น

And so we have a choice, it seems to me.

ดังนั้นฉันจึงคิดว่า เรามีทางเลือก

We can either go on bringing out or emphasizing

เราจะทำแบบเดิม คือหยิบหรือย้ำ

the dogmatic and intolerant aspects of our faith,

เฉพาะแต่แง่มุมของศาสนาเราที่คาบคัมภีร์และไร้ความอดทนอดกลั้น

or we can go back to

หรือเราจะกลับไปหา

the rabbis. Rabbi Hillel, the older contemporary of Jesus,

พระยิวชื่อฮิลเลล คนรุ่นเดียวกันกับพระเยซู

who, when asked by a pagan

ถูกชายนอกรีตคนหนึ่งขอให้

to sum up the whole of Jewish teaching while he stood on one leg,

สรุปหลักคำสอนของศาสนายิวทั้งหมดขณะยืนกระต่ายขาเดียว

said, "That which is hateful to you, do not do to your neighbor.

ฮิลเลลตอบว่า "อะไรก็ตามที่เธอเกลียด จงอย่าทำอย่างนั้นกับเพื่อนบ้าน

That is the Torah and everything else is only commentary."

นั่นแหละ พระคัมภีร์โตราห์ ที่เหลือเป็นเพียงบทวิจารณ์เสริมเท่านั้น"

And the rabbis and the early fathers of the church who said that

พระยิวคนอื่น และพระคนแรกๆ ในศาสนาคริสต์พูดว่า

any interpretation of scripture

การตีความพระคัมภีร์ใดๆ ก็ตาม

that bred hatred and disdain was illegitimate.

ที่ก่อให้เกิดความเกลียดชังและการรังเกียจล้วนไม่ชอบธรรม

And we need to revive that spirit.

เราจะต้องฟื้นฟูจิตสำนึกเช่นนั้น

And it's not just going to happen

มันเกิดเองไม่ได้

because a spirit of love wafts us down.

ไม่มีจิตวิญญาณของความรักที่จะพัดพาเราไป

We have to make this happen,

เราต้องตั้งใจทำให้มันเกิดขึ้น

and we can do it

และเราก็ทำได้

with the modern communications

ด้วยการสื่อสารสมัยใหม่

that TED has introduced.

ที่เท็ดนำมาเผยแพร่

Already I've been tremendously heartened

ตอนนี้ฉันรู้สึกมีกำลังใจมากแล้ว

at the response of all our partners.

หลังจากฟังปฏิกิริยาของพันธมิตรเราทั้งหมด

In Singapore, we have a group

ในสิงคโปร์ มีคนกลุ่มหนึ่ง

going to use the Charter to heal divisions

ที่จะใช้กฎบัตรนี้เยียวยาความแตกแยก

recently that have sprung up in Singaporean society,

ที่เกิดขึ้นในสิงคโปร์เมื่อไม่นานมานี้

and some members of the parliament want

สมาชิกสภาผู้แทนบางคนอยาก

to implement it politically.

นำไปทำจริงทางการเมือง

In Malaysia, there is going to be an art exhibition

ในมาเลเซีย กำลังจะมีงานนิทรรศการศิลปะ

in which leading artists are going to be

ที่ศิลปินชั้นนำหลายคน

taking people, young people,

จะแสดงให้คนหนุ่มสาวเห็นว่า

and showing them that compassion also lies

ความกรุณานั้น อยู่ที่รากฐาน

at the root of all art.

ของศิลปะทั้งมวล

Throughout Europe, the Muslim communities

ทั่วทั้งทวีปยุโรป ชุมชนชาวมุสลิม

are holding events and discussions,

กำลังจัดงานสัมมนาและอภิปรายกัน

are discussing the centrality of compassion

คุยกันเรื่องแก่นของความกรุณา

in Islam and in all faiths.

ในศาสนาอิสลาม และศาสนาทุกศาสนา

But it can't stop there. It can't stop with the launch.

แต่เราจะหยุดแค่นี้ไม่ได้ หยุดแค่งานเปิดตัวไม่ได้

Religious teaching, this is where we've gone so wrong,

คำสอนทางศาสนาค่ะ นี่คือจุดที่เราทำผิดพลาดมาก

concentrating solely on believing abstruse doctrines.

เราเน้นไปที่การเชื่อหลักคำสอนเข้าใจยากเพียงอย่างเดียว

Religious teaching must always lead to action.

การสอนทางศาสนาจะต้องนำไปสู่การกระทำเสมอ

And I intend to work on this till my dying day.

และฉันก็ตั้งใจว่าจะทำงานเรื่องนี้ไปจนวันตาย

And I want to continue with our partners

ฉันอยากจะทำงานกับพันธมิตรของเราต่อ

to do two things --

เพื่อทำงานสองอย่าง --

educate and stimulate compassionate thinking.

ให้การศึกษา และกระตุ้นการคิดอย่างมีกรุณา

Education because we've so

ให้การศึกษา เพราะเราได้

dropped out of compassion.

ละเลยความกรุณามากไปแล้ว

People often think it simply means

คนมักจะคิดว่ามันหมายถึงแค่

feeling sorry for somebody.

การรู้สึกสงสารคนอื่น

But of course you don't understand compassion

แต่แน่นอนว่า คุณไม่มีวันเข้าใจความกรุณา

if you're just going to think about it.

ถ้าคุณแค่คิดถึงมันอย่างเดียว

You also have to do it.

คุณจะต้องลงมือทำด้วย

I want them to get the media involved

ฉันอยากให้สื่อมีส่วนร่วม

because the media are crucial

เพราะสื่อนั้นสำคัญมาก

in helping to dissolve some of the stereotypical views

ในการที่จะช่วยทำลายมุมมองแบบพิมพ์นิยม

we have of other people,

ที่เราใช้มองคนอื่น

which are dividing us from one another.

มุมมองที่กำลังทำให้เราแตกแยกกัน

The same applies to educators.

เรื่องนี้ต้องประยุกต์ใช้กับนักการศึกษาด้วย

I'd like youth to get a sense of

ฉันอยากให้เยาวชนได้เข้าใจถึง

the dynamism, the dynamic and challenge

พลวัตรและความท้าทาย

of a compassionate lifestyle.

ของวิถีชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยการุณยธรรม

And also see that it demands acute intelligence,

และมองเห็นว่ามันต้องใช้ความฉลาดหลักแหลม

not just a gooey feeling.

ไม่ใช่แค่ความรู้สึกนุ่มนิ่มเท่านั้น

I'd like to call upon scholars to explore

ฉันอยากเรียกร้องให้ปัญญาชนได้ศึกษา

the compassionate theme

เรื่องความกรุณา

in their own and in other people's traditions.

ในประเพณีของตนเองและของผู้อื่น

And perhaps above all,

และบางที เหนือสิ่งอื่นใด

to encourage a sensitivity about

ก็เพื่อส่งเสริมความตระหนักรู้

uncompassionate speaking,

ในการพูดที่ไร้กรุณา

so that because people have this Charter,

ผู้คนที่ยึดมั่นในกฏบัตรนี้

whatever their beliefs or lack of them,

ไม่ว่าจะมีความเชื่ออะไร หรืออาจจะไม่มี

they feel empowered

ทุกคนจะรู้สึกว่ามีพลัง

to challenge uncompassionate speech,

ที่จะท้าทายคำพูดที่ไร้เมตตา

disdainful remarks

วาจาดูถูก

from their religious leaders, their political leaders,

ที่ออกจากปากของผู้นำทางศาสนา ผู้นำทางการเมือง

from the captains of industry.

และผู้นำในโลกธุรกิจ

Because we can change the world,

เพราะเราเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้

we have the ability.

เรามีความสามารถค่ะ

I would never have thought of putting the Charter online.

ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะโพสกฎบัตรนี้ออนไลน์

I was still stuck in the old world

ฉันยังติดอยู่ในโลกเก่า

of a whole bunch of boffins sitting together in a room

โลกที่พวกนักวิชาการนั่งสุมหัวกันในห้อง

and issuing yet another arcane statement.

แล้วออกแถลงการณ์อ่านไม่รู้เรื่องอีกหนึ่งฉบับ

And TED introduced me to a whole new way

เท็ดแนะนำให้ฉันรู้จักวิธีใหม่ถอดด้าม

of thinking and presenting ideas.

ของการคิดและนำเสนอความคิด

Because that is what is so wonderful about TED.

เพราะสิ่งที่สุดยอดจริงๆ เกี่ยวกับเท็ด

In this room, all this expertise,

ในห้องนี้, ด้วยความเชี่ยวชาญทั้งหมดนี้

if we joined it all together,

ถ้าเรานำมันมารวมกัน

we could change the world.

เราก็จะเปลี่ยนโลกได้

And of course the problems sometimes seem insuperable.

แน่นอนค่ะ ถึงบางครั้งปัญหาต่างๆ ดูเหมือนจะไร้ทางออก

But I'd just like to quote, finish at the end

แต่ก่อนจบ ฉันอยากจะอ้างอิงคำพูด

with a reference to a British author, an Oxford author

ของนักเขียนชาวอังกฤษ จากอ็อกซ์ฟอร์ด

whom I don't quote very often,

คนที่ฉันไม่ค่อยอ้างอิงเท่าไหร่

C.S. Lewis.

คือ ซี.เอส. ลูวิส

But he wrote one thing that stuck in my mind

แต่เขาเขียนท่อนหนึ่งที่ฉันยังจำฝังใจ

ever since I read it when I was a schoolgirl.

ตั้งแต่ตอนที่ได้อ่านสมัยเป็นนักเรียน

It's in his book "The Four Loves."

ท่อนนี้อยู่ในหนังสือของเขาเรื่อง ความรักสี่ประการ

He said that he distinguished between erotic love,

เขาบอกว่า เขาแยกแยะ ระหว่างความรักแบบกามารมณ์

when two people gaze, spellbound, into each other's eyes.

แบบที่คนสองคนจ้องลึกลงไปในนัยน์ตาของกันและกัน ราวต้องมนต์สะกด

And then he compared that to friendship,

เขาเปรียบเทียบความรักแบบนี้กับความเป็นเพื่อน

when two people stand side by side, as it were, shoulder to shoulder,

แบบที่คนสองคนยืนเคียงข้างกัน ไหล่เคียงไหล่

with their eyes fixed on a common goal.

ด้วยสายตาจับจ้องไปที่เป้าหมายเดียวกัน

We don't have to fall in love with each other,

เราไม่จำเป็นต้องตกหลุมรักกัน

but we can become friends.

แต่เราก็เป็นเพื่อนกันได้

And I am convinced.

และฉันก็เชื่อมั่น

I felt it very strongly

รู้สึกอย่างแรงกล้า

during our little deliberations at Vevey,

ระหว่างที่เราคุยกันที่เมืองวีวีย์

that when people of all different persuasions

ว่าถ้าคนทุกหมู่เหล่าที่แตกต่างกัน

come together, working side by side

มาทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กัน

for a common goal,

โดยมีเป้าหมายร่วมกัน

differences melt away.

ความแตกต่างทั้งมวลก็จะสลายไป

And we learn amity.

เราจะเรียนรู้ความปรองดอง

And we learn to live together and to get to know one another.

เรียนรู้วิธีอยู่ร่วมกัน และได้ทำความรู้จักซึ่งกันและกันค่ะ

Thank you very much.

ขอบคุณมากค่ะ

(Applause)

(ปรบมือ)