Why do we love? A philosophical inquiry - Skye C. Cleary

ทำไมเราจึงรัก คำถามทางปรัชญา - สกาย ซี. เคลียรี (Skye C. Cleary)

Translator: Kelwalin Dhanasarnsombut Reviewer: Rawee Ma

Ah, romantic love -

โอ้ ความรักความใคร่

beautiful and intoxicating,

มันช่างงดงาม และทำให้มัวเมา

heartbreaking and soul-crushing,

หัวใจสลาย และหลงใหลใครบางคน

often all at the same time.

ทั้งหมดนี้มักเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันเสียด้วย

Why do we choose to put ourselves through its emotional wringer?

ทำไมเราถึงเลือกที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว กับอารมณ์ที่ไม่แน่นอนนี้ด้วย

Does love make our lives meaningful,

รักทำให้ชีวิตมีความหมายหรือเปล่า

or is it an escape from our loneliness and suffering?

หรือมันเป็นแค่การหลีกหนีจากความเดียวดาย

Is love a disguise for our sexual desire,

รักเป็นการซ่อนเร้น จากความใคร่ทางเพศของเราหรือเปล่า

or a trick of biology to make us procreate?

หรือกลลวงทางชีวภาพที่ทำให้เราสืบพันธุ์

Is it all we need?

มันเป็นทุกสิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า

Do we need it at all?

เราต้องการมันหรือเปล่า

If romantic love has a purpose,

ถ้าหากว่าความรักมีจุดประสงค์

neither science nor psychology has discovered it yet.

วิทยาศาสตร์และจิตวิทยาก็ยังไม่ค้นพบมัน

But over the course of history,

แต่ตลอดช่วงประวัติศาสตร์

some of our most respected philosophers have put forward some intriguing theories.

นักปรัชญาที่เรานับถือ ได้เสนอทฤษฎีที่น่าครุ่นคิดเอาไว้

Love makes us whole, again.

รักทำให้เราสมบูรณ์อีกครั้ง

The ancient Greek philosopher Plato

นักปรัชญากรีกโบราณนามว่าพลาโต

explored the idea that we love in order to become complete.

สำรวจความคิดที่เรารัก เพื่อที่จะสมบูรณ์แบบ

In his "Symposium", he wrote about a dinner party,

ใน "ซิมโปเซียม" ของเขา เขาเขียนเกี่ยวกับงานเลี้ยงอาหารค่ำ

at which Aristophanes, a comic playwright,

ที่ซึ่งอริสโตฟานเนส (Aristophanes) นักเขียนบทละครสุขนาฏกรรม

regales the guests with the following story:

ให้ความเพลิดเพลินกับบรรดาแขกเหรื่อ ด้วยเรื่องราวต่อไปนี้

humans were once creatures with four arms, four legs, and two faces.

ครั้งหนึ่งมนุษย์เคยเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสี่แขน สี่ขา และสองหน้า

One day, they angered the gods,

วันหนึ่ง พวกเขาเถียงกับพระเจ้า

and Zeus sliced them all in two.

และซูสก็หั่นพวกเขาออกเป็นสองท่อน

Since then, every person has been missing half of him or herself.

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คนทุกคน เสียตัวตนของตัวเองไปครึ่งหนึ่ง

Love is the longing to find a soulmate who'll make us feel whole again,

รักคือความปรารถนาที่จะหาคู่ชีวิต ที่ทำให้เรารู้สึกสมบูรณ์อีกครั้ง

or, at least, that's what Plato believed a drunken comedian would say at a party.

หรือ อย่างน้อย นั่นก็เป็นสิ่งที่พลาโตเชื่อว่า นักเขียนบทละครตลกเมา ๆ จะพูดในงานเลี้ยง

Love tricks us into having babies.

รักลวงเราให้มีทารก

Much, much later, German philosopher Arthur Schopenhauer

ในเวลาต่อมา นักปรัชญาชาวเยอรมัน อาเทอร์ โชเพนเฮาเออร์

maintained that love based in sexual desire

ยืนยันว่าความรัก ที่มีพื้นฐานมาจากความใคร่ทางเพศ

was a voluptuous illusion.

เป็นภาพลวงที่เย้ายวนในทางกาม

He suggested that we love because our desires lead us to believe

เขากล่าวไว้ว่า พวกเรารักก็เพราะ ความใคร่ทำให้เราเชื่อว่า

that another person will make us happy, but we are sorely mistaken.

อีกคนหนึ่งจะทำให้เรามีความสุข แต่เราเข้าใจผิดโดยสิ้นเชิง

Nature is tricking us into procreating,

ธรรมชาติลวงเราให้เราสืบพันธุ์

and the loving fusion we seek is consummated in our children.

และการหลอมรวมด้วยรักที่เราค้นหา ก็สำเร็จเสร็จสมออกมาเป็นลูก ๆ ของเรา

When our sexual desires are satisfied,

เมื่อความใคร่ทางเพศของเรา เป็นที่พึ่งพอใจแล้ว

we are thrown back into our tormented existences,

เราถูกโยนกลับเข้าไป ในความจริงที่แสนทรมาน

and we succeed only in maintaining the species

และเราก็ทำเสร็จเพียงแค่ การคงเผ่าพันธ์ุของเราไว้เท่านั้น

and perpetuating the cycle of human drudgery.

และทำให้วัฎจักรจำเจของมนุษยชาติ คงอยู่อย่างไม่สิ้นสุด

Sounds like somebody needs a hug.

ฟังดูเหมือนใครบางคนอยากให้กอด

Love is escape from our loneliness.

รักคือการหลีกหนีจากความเดียวดาย

According to the Nobel Prize-winning British philosopher Bertrand Russell,

ตามคำกล่าวอ้างของนักปรัชญาชาวอังกฤษ เจ้าของรางวัลโนเบล เบอร์นาร์ด รัสเซล

we love in order to quench our physical and psychological desires.

เรารักเพื่อที่จะดับความใคร่ ทางกายภาพและทางจิตใจของเรา

Humans are designed to procreate,

มนุษย์มีความต้องการที่จะสืบพันธุ์

but without the ecstasy of passionate love,

แต่เมื่อปราศจากความปลาบปลื้ม จากรักอันเร่าร้อน

sex is unsatisfying.

เพศสัมพันธ์ก็ไม่เพียงพอ ต่อการตอบสนองความต้องการ

Our fear of the cold, cruel world tempts us to build hard shells

ความกลัวของเราต่อความหนาวและโลกที่โหดร้าย ชักจูงให้เราสร้างเกราะแข็ง

to protect and isolate ourselves.

เพื่อปกป้องและแยกตัวเราเอง

Love's delight, intimacy, and warmth helps us overcome our fear of the world,

ความอิ่มเอม ความใกล้ชิด และความอบอุ่น ช่วยให้เราเอาชนะปัญหาความกลัวในโลก

escape our lonely shells,

หลีกหนีออกจากเกราะความเงียบเหงา

and engage more abundantly in life.

และเข้าสัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตมากขึ้น

Love enriches our whole being, making it the best thing in life.

รักส่งเสริมความสมบูรณ์ของตัวตนของเรา ทำให้มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต

Love is a misleading affliction.

รักเป็นความทุกข์ที่เข้าใจผิด

Siddhārtha Gautama,

สิทธัตถะ โคตมะ

who became known as the Buddha, or the Enlightened One,

หรือที่รู้จักกันว่า พระพุทธเจ้า หรือผู้ตื่นด้วยปัญญา

probably would have had some interesting arguments with Russell.

อาจมีข้อโต้เถียงที่น่าสนใจ ต่อแนวคิดของรัสเซล

Buddha proposed that we love because we are trying to satisfy our base desires.

พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่า เรารักเพราะว่า เราพยายามสนองต่อกิเลสพื้นฐาน

Yet, our passionate cravings are defects,

แต่กระนั้น ตัณหาของเราก็เป็นข้อบกพร่อง

and attachments, even romantic love, are a great source of suffering.

และเป็นบ่วง แม้กระทั่งรักอันหวานชื่น ก็เป็นแหล่งที่มาของความทุกข์

Luckily, Buddha discovered the eight-fold path,

โชคดี ที่พระพุทธเจ้าค้นพบมรรคแปด

a sort of program for extinguishing the fires of desire

หลักการลงมือปฏิบัติเพื่อดับไฟแห่งกิเลส

so that we can reach Nirvana,

เพื่อที่เราจะได้ไปถึงนิพพาน

an enlightened state of peace, clarity, wisdom, and compassion.

สภาพตื่นรู้แห่งความสงบ ความแจ่มแจ้ง ความรู้ และความการุญ

The novelist Cao Xueqin illustrated this Buddhist sentiment

เฉาเสวี่ยฉิน (Cao Xueqin) แสดงทัศนคติ ต่อคำกล่าวของพระพุทธเจ้า

that romantic love is folly in one of China's greatest classical novels,

ที่ว่ารักที่เย้ายวนใจเป็นความเขลา เอาไว้ในสุดยอดนิยายอมตะของจีน

"Dream of the Red Chamber."

"ความฝันในหอแดง"

In a subplot, Jia Rui falls in love with Xi-feng

ในเนื้อเรื่องย่อย เจียรุย (Jia Rui) ตกหลุมรักซีฟ่ง (Xi-feng)

who tricks and humiliates him.

ผู้ที่หลอกและทำให้เขาต้องขายหน้า

Conflicting emotions of love and hate tear him apart,

ความขัดแย้งระหว่างรักและชัง ทำให้เขาต้องเจ็บปวดเสียใจ

so a Taoist gives him a magic mirror that can cure him

นักพรตเต๋าจึงมอบกระจกวิเศษให้กับเขา เพื่อเป็นการรักษา

as long as he doesn't look at the front of it.

ตราบใดที่เขาไม่มองด้านหน้าของกระจก

But of course, he looks at the front of it.

แต่แน่ล่ะ เขามองด้านหน้าของกระจก

He sees Xi-feng.

เขาเห็นซีฟ่ง

His soul enters the mirror

และวิญญาณของเขาก็เข้าไปในกระจก

and he is dragged away in iron chains to die.

และถูกลากไปด้วยโซ่ตรวนเหล็กสู่ความตาย

Not all Buddhists think this way about romantic and erotic love,

ไม่ใช่ว่าชาวพุทธทุกคนจะมีแนวคิด เกี่ยวกับความรักความใคร่ในแบบนี้

but the moral of this story

แต่เรื่องสอนใจจากนิทานเรื่องนี้

is that such attachments spell tragedy,

ก็คือการผูกมัดให้ผลที่เป็นทุกข์

and should, along with magic mirrors, be avoided.

เราควรหลีกเลี่ยงทั้งมันและกระจกวิเศษนั่น

Love lets us reach beyond ourselves.

รักทำให้เราเป็นมากกว่าตัวเอง

Let's end on a slightly more positive note.

เรามาจบกันที่เรื่องดี ๆ ดีกว่า

The French philosopher Simone de Beauvoir

นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ซีมอน เดอ โบวัวร์

proposed that love is the desire to integrate with another

เสนอเอาไว้ว่า รักคือความปรารถนา ที่จะรวมเป็นหนึ่งกับอีกฝ่าย

and that it infuses our lives with meaning.

และนั่นจะทำให้เรารู้สึกว่า ชีวิตของเรามีความหมาย

However, she was less concerned with why we love

อย่างไรก็ดี เธอไม่ได้คำนึงถึง ว่าทำไมเราจึงรัก

and more interested in how we can love better.

และให้ความสนใจมากกว่า กับคำถามที่ว่าเราจะรักให้ดีได้อย่างไร

She saw that the problem with traditional romantic love

เธอมองว่าปัญหาของความรักความใคร่ ในแบบดั้งเดิม

is it can be so captivating,

คือมันมีเสน่ห์

that we are tempted to make it our only reason for being.

จนเราถูกชักจูงให้มันเป็นเหตุผลเดียวที่เรามีชีวิตอยู่

Yet, dependence on another to justify our existence

แต่ถึงกระนั้น การพึ่งพาให้คนอื่นตัดสินการมีตัวตนของเรา

easily leads to boredom and power games.

ก็นำไปสู่ความเบื่อและการกุมอำนาจได้โดยง่าย

To avoid this trap, Beauvoir advised loving authentically,

เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงหลุมพรางนั้น โบวัวร์ แนะนำให้รักอย่างแท้จริง

which is more like a great friendship.

ซึ่งเป็นอะไรที่เหมือนกับการเป็นเพื่อนที่ดี

Lovers support each other in discovering themselves,

คู่รักช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ในการค้นพบตัวตนของตัวเอง

reaching beyond themselves,

และไปให้ได้มากกว่าเป็นตัวเอง

and enriching their lives and the world together.

และทำให้ชีวิตและโลกของพวกเขา เต็มสมบูรณ์ไปด้วยกัน

Though we might never know why we fall in love,

แม้ว่าเราอาจไม่รู้ว่าทำไมเราจึงตกหลุมรัก

we can be certain that it will be an emotional rollercoaster ride.

เราสามารถที่จะมั่นใจได้ว่า มันจะเป็นความรู้สึกที่ขึ้นลงไม่แน่นอน

It's scary and exhilarating.

มันน่ากลัวและน่าเบิกบานใจ

It makes us suffer

มันทำให้เราเป็นทุกข์

and makes us soar.

และทำให้เรารู้สึกดีราวกับลอยอยู่บนฟ้า

Maybe we lose ourselves.

บางทีเราอาจเสียตัวตนของเรา

Maybe we find ourselves.

บางทีเราอาจค้นพบตัวตนของเรา

It might be heartbreaking,

มันอาจทำให้คุณใจสลาย

or it might just be the best thing in life.

หรือมันอาจเป็นแค่สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต

Will you dare to find out?

แต่คุณจะกล้าพอที่จะควานหามันหรือเปล่า