How we can make energy more affordable for low-income families | DeAndrea Salvador

Translator: Sirinard P Reviewer: Chawankorn Kasinobhas

So, as a child,

ตอนที่ฉันยังเด็ก

I used to spend all of my time at my great-grandmother's house.

ฉันใช้เวลาไปกับการอยู่ที่บ้านยายทวดเยอะมาก

On hot, humid, summer days, I would dash across the floor

ในวันที่อากาศร้อนชื้น ฉันจะไถตัวไปบนพื้น

and stick my face in front of her only air conditioner.

แล้วเอาหน้าไปจ่อแอร์ตัวเดียวที่มี

But I didn't realize that that simple experience,

โดยไม่เคยรู้เลยว่าแค่เรื่องเรียบง่ายแค่นี้

though brief,

แม้จะเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้นๆ

was a privileged one in our community.

มันก็เป็นสิทธิพิเศษของสังคม

Growing up, stories of next-door neighbors having to set up fake energy accounts

พอโตขึ้น การเห็นเพื่อนบ้านปลอมบัญชีไฟฟ้า

or having to steal energy

หรือแอบขโมยไฟฟ้า

seemed normal to me.

ก็กลายเป็นเรื่องปกติสำหรับฉัน

During the winter, struggling to get warm,

ในฤดูหนาวที่ทุกคนต้องควานหาความอบอุ่น

my neighbors would have no choice but to bypass the meter

พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต่อสายอ้อมมิเตอร์

after their heat was shut off,

หลังปิดฮีทเตอร์ไป

just to keep their family comfortable for one more day.

เพียงเพื่อให้ครอบครัวสบายขึ้น ได้อีกหนึ่งวัน

These kinds of dangerous incidents can take root

เรื่องอันตรายเหล่านี้กลายเป็นเรื่องธรรมดา

when people are faced with impossible choices.

ในสถานการณ์ที่ผู้คนไม่มีทางเลือก

In the US, the average American spends three percent of their income on energy.

ในอเมริกา ผู้คนใช้ 3% ของรายได้ไปกับค่าไฟฟ้า

In contrast, low-income and rural populations

แต่สำหรับคนที่มีรายได้น้อย หรือคนในชนบท

can spend 20, even 30 percent of their income on energy.

พวกเขาต้องใช้เงินถึง 20-30% ของรายได้

In 2015, this caused over 25 million people to skip meals

ในปี 2015 นี่คือสาเหตุทำให้ ผู้คน25ล้านคนต้องอดอาหาร

to provide power to their homes.

เพื่อให้มีเงินจ่ายค่าไฟในบ้าน

This is when energy becomes a burden.

กลายเป็นว่าพลังงาน มันเป็นภาระไปแล้ว

But energy burdens are so much more than just a number.

แต่ภาระเหล่านี้ยังไม่จบเพียงแค่เป็นตัวเลข

They present impossible and perilous choices:

มันยังแสดงถึงทางเลือกที่เป็นไปไม่ได้ และอันตราย

Do you take your child to get her flu medicine,

คุณได้พาลูกไปฉีดวัคซีนกันไข้หวัดใหญ่ไหม

or do you feed her?

หรือให้เธอกินอิ่มดีหรือเปล่า

หรือให้เธอได้อยู่ในที่อุ่นๆเสมอไหม

Or do you keep her warm?

It's an impossible choice,

มันเป็นทางเลือกที่ทำไม่ได้

and nearly every month,

และในเกือบทุกเดือน

seven million people choose between medicine and energy.

คนกว่าเจ็ดล้านคนต้องเลือกระหว่าง ยารักษาโรคกับไฟฟ้า

This exposes a much larger and systemic issue.

นี่ทำให้เห็นปัญหาของโครงสร้าง หนักกว่าเดิมอีก

Families with high energy burdens are disproportionately people of color,

ครอบครัวที่มีภาระค่าไฟมากเป็นคนผิวสี

who spend more per square foot than their white counterparts.

ที่ใช้ไฟต่อตารางฟุตมากกว่าคนผิวขาว

But it's also nurses, veterans and even schoolteachers

และยังมีพยาบาล ทหารผ่านศึก หรือแม้แต่ครู

who fall into the mass of 37 million people a year

ตกเป็นคนอยู่จำนวนกว่า 37 ล้านคนต่อปี

who are unable to afford energy for their most basic needs.

ทีไม่สามารถเข้าถึงพลังงาน ได้แม้ในยามจำเป็น

As a result, those with high energy burdens

ด้วยเหตุนี้ คนที่มีภาระค่าไฟมาก

have a greater likelihood of conditions like heart disease and asthma.

จึงมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหัวใจหรือโรคหอบหืด

Look -- given our rockets to Mars and our pocket-sized AI,

หากลองคิดดูการส่งจรวดไปดาวอังคาร หรือเครื่อง AI ขนาดจิ๋ว

we have the tools to address these systemic inequities.

เรามีเครื่องมือที่จะช่วยแก้ไข ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางโครงสร้างได้

The technology is here.

เทคโนโลยีเหล่านี้ไง

Cost of renewables, insulation, microgrids and smart home technology

พลังงานทดแทน ฉนวนความร้อน ไฟฟ้าแรงดันต่ำ

และบ้านอัจฉริยะ

are all decreasing.

กำลังทำให้ค่าไฟลดลง

However, even as we approach cost parity,

และแม้ค่าใช้จ่ายระบบพลังแสงอาทิตย์ ราคาถูกลงเรื่อยๆ

the majority of those who own solar earn much more than the average American.

แต่คนส่วนใหญ่ที่ติดตั้งมันได้ ก็ต้องมีรายได้มากกว่าคนอเมริกันโดยเฉลี่ย

This is why, when I was 22, I founded the nonprofit RETI.

นี่เป็นเหตุให้ตอนฉันอายุ 22 ฉันก่อตั้งองค์กรไม่แสวงหากำไร RETI

Our mission is to alleviate energy burdens by working with communities,

เป้าหมายของเราคือลดภาระค่าไฟฟ้า ด้วยการทำงานร่วมกับชุมชน

utilities and government agencies alike

ธุรกิจสาธารณูปโภค และหน่วยงานจากภาครัฐ

to provide equitable access to clean energy,

เพื่ออำนวยการเข้าถึงพลังงานสะอาด อย่างเสมอภาค

energy efficiency and energy technology.

รวมถึงประสิทธิภาพและเทคโนโลยีของพลังงาน

But there's no one way to solve this.

แต่ทางแก้ปัญหานี้ไม่ได้มีเพียงทางเดียว

I believe in the power of local communities,

ฉันเชื่อในพลังของชุมชนท้องถิ่น

in the transforming effect of relationships.

ที่จะเกิดขึ้นได้จากความสัมพันธ์ที่ดี

So we start by working directly with the communities

ดังนั้นเราจึงเริ่มทำงานโดยตรงกับชุมชน

that have the highest energy burdens.

ที่มีภาระค่าไฟฟ้ามากที่สุด

We host workshops and events for communities

เราจัดกิจกรรมในชุมชนเพื่อศึกษา ปัญหาพลังงานไม่พอของพวกเขา

to learn about energy poverty,

and how making even small updates to their homes

และวิธีการปรับปรุงสิ่งเล็กๆในบ้าน

like better insulation for windows and water heaters

เช่นติดฟิล์มกันความร้อนที่หน้าต่าง หรือเครื่องทำน้ำอุ่น

can go a long way to maximize efficiency.

และอีกหลายๆอย่างเพื่อก่อประสิทธิภาพสูงสุด

We're connecting neighborhoods to community solar

เราผลักดันโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ชุมชน

and spearheading community-led smart home research

การวิจัยบ้านอัจฉริยะภายในชุมชน

and installation programs

รวมถึงการติดตั้งโปรแกรมต่าง ๆ

to help families bring down their energy bills.

เพื่อช่วยลดค่าไฟในครัวเรือน

We're even working directly with elected officials,

เรายังทำงานกับเจ้าหน้าที่ ที่มาจากการเลือกตั้ง

advocating for more equitable pricing,

สนับสนุนให้เกิดราคาที่เสมอภาคมากขึ้น

because to see this vision of energy equity and resilience succeed,

เพราะที่ความเท่าเทียมด้านพลังงาน เหล่านี้จะเป็นจริงได้

we have to work together sustainably.

พวกเราจะต้องทำงานร่วมกันอย่างยั่งยืน

Now, the US spends over three billion a year

ในตอนนี้ อเมริกาใช้เงินมากกว่าสามพันล้านต่อปี

on energy bill payment assistance.

เพื่อช่วยเหลือในการจ่ายค่าไฟฟ้า

And these programs do help millions of people,

โครงการนี้ได้ช่วยประชาชนหลายล้านคน

but they're only able to help a fraction of those in need.

แต่นี่ก็ยังเป็นแค่ส่วนเสี้ยวของ คนที่ต้องการความช่วยเหลือ

In fact,

ที่จริงแล้ว

there is a 47-billion-dollar home-energy affordability gap,

มีเงินส่วนต่างที่ต้องจ่ายถึง 4.7 หมื่นล้านดอลลาร์

so assistance alone is not sustainable.

ดังนั้น การเยียวยาเพียงอย่างเดียว จึงไม่ใช่การแก้ไขที่ยั่งยืน

But by building energy equity and resilience into our communities,

ซึ่งการสร้างพลังงานที่เท่าเทียมให้ในชุมชน

we can assure fair and impartial access

เราจะมั่นใจได้ว่าเค้าสามารถเข้าถึง พลังงานที่สะอาดปลอดภัย ราคาย่อมเยา

to energy that is clean, reliable and affordable.

ได้อย่างยุติธรรมและเสมอภาค

At scale, microgrid technology, clean technology and energy efficiency

ในประมาณที่มากพอ ระบบไฟฟ้าแรงดันต่ำ เทคโนโลยีสะอาด

และการใช้พลังงาน อย่างมีประสิทธิภาพ

dramatically improve public health.

จะช่วยพัฒนาสาธารณสุขได้เป็นอย่างมาก

And for those with high energy burdens,

และสำหรับคนที่มีภาระค่าไฟฟ้าสูง

it can help them reclaim 20 percent of their income --

มันยังช่วยให้เขาได้รายได้คืนกว่า 20%

20 percent of a person's income who's struggling to make ends meet.

เงินรายได้ 20% ของ ผู้ที่ต้องใช้ชีวิตแบบเดือนชนเดือน

This is life-changing.

นี่คือการเปลี่ยนชีวิตเลยนะ

This is an opportunity for families to use their energy savings

นี่คือการให้โอกาสหลายๆ ครอบครัว ที่จะได้ประหยัดเงินจากพลังงาน

to sponsor their future.

และเอาเงินไปสร้างอนาคตของพวกเขา

I think back to my great-grandmother and her neighbors,

ฉันกลับไปคิดถึงยายทวดของฉัน และเพื่อนบ้านของเธอ

the impossible choices that they had to make

ทางเลือกที่พวกเขาไม่มีให้เลือก

and the effect it had on our whole community.

และผลกระทบของมันที่เกิดต่อทั้งชุมชน

But this is not just about them.

ซึ่งตอนนี้มันไม่ใช่แค่นั้นแล้ว

There are millions nationwide having to make the same impossible choices today.

มีอีกหลายล้านคนทั่วประเทศ ที่กำลังเผชิญกับสิ่งเดียวกัน

And I know high energy burdens are a tremendous barrier to overcome,

และฉันรู้ว่าภาระค่าไฟที่สูงลิ่วนี้ มันเป็นอุปสรรคใหญ่ในการก้าวข้าม

but through relationships with communities and technology,

แต่ด้วยการรวมพลังกัน ระหว่างชุมชนและเทคโนโลยี

we have the paths to overcome them.

เรามีหนทางที่จะเอาชนะมันได้

And when we do,

และเมื่อเราทำได้

we will all be more resilient.

เราจะเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิม

Thank you.

ขอบคุณค่ะ

(Applause)

(เสียงปรบมือ)