Lewis Pugh's mind-shifting Mt. Everest swim

Translator: Thipnapa Huansuriya Reviewer: Nithiroj Tripatarasit

Last year when I was here, I was speaking to you about a swim

ปีที่แล้วตอนผมอยู่ตรงนี้ ผมเล่าเรื่องที่ผมว่ายน้ำ

which I did across the North Pole.

ข้ามขั้วโลกเหนือให้คุณฟัง

And while that swim took place three years ago,

แม้ว่าการว่ายน้ำครั้งนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อสามปีมาแล้ว

I can remember it as if it was yesterday.

ผมยังจำมันได้เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้

I remember standing on the edge of the ice,

ผมจำได้ว่าผมยืนอยู่ที่ขอบน้ำแข็ง

about to dive into the water,

กำลังจะกระโดดลงไปในน้ำ

and thinking to myself, I have never ever

และคิดในใจว่า ผมไม่เคยเห็น

seen any place on this earth

ที่ไหนในโลก

which is just so frightening.

ที่น่ากลัวเท่านี้มาก่อน

The water is completely black.

ผืนน้ำตรงหน้าเป็นสีดำสนิท

The water is minus 1.7 degrees centigrade,

อุณหภูมิของน้ำติดลบ 1.7 องศาเซนติเกรด

or 29 degrees Fahrenheit.

หรือ 29 องศาฟาเรนไฮต์

It's flipping freezing in that water.

มันเย็นสุดๆ เลย

And then a thought came across my mind:

แล้วผมก็มีความคิดแวบเข้ามาในสมอง

if things go pear-shaped on this swim,

ว่า ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมาในการว่ายน้ำครั้งนี้

how long will it take for my frozen body

มันจะใช้เวลานานเท่าไหร่ กว่าร่างกายที่เป็นน้ำแข็งของผม

to sink the four and a half kilometers

จะจมลงในน้ำลึกสี่กิโลเมตรครึ่ง

to the bottom of the ocean?

ไปถึงก้นมหาสมุทร

And then I said to myself, I've just got to get this thought

แล้วผมก็บอกตัวเองว่า ผมต้องกำจัดความคิดนี้

out of my mind as quickly as possible.

ออกจากสมองให้เร็วที่สุด

And the only way I can dive

ทางเดียวที่ผมจะโดดลงน้ำ

into that freezing cold water

ที่เย็นเฉียบขนาดนั้น

and swim a kilometer

แล้วว่ายไปหนึ่งกิโลเมตรได้

is by listening to my iPod and really revving myself up,

ผมต้องฟังไอพอด แล้วปลุกใจตัวเองให้ฮึกเหิม

listening to everything from beautiful opera

ผมฟังตั้งแต่เพลงโอเปราที่งดงาม

all the way across to Puff Daddy,

ไปจนถึงพัฟ แดดดี้

and then committing myself a hundred percent --

แล้วบอกตัวเองให้เชื่อมั่นร้อยเปอร์เซนต์ว่า

there is nothing more powerful than the made-up mind --

ไม่มีอะไรที่มีพลังมากไปกว่าจิตใจที่มุ่งมั่น

and then walking up to the edge of the ice

แล้วก็เดินออกไปที่ขอบตลิ่งที่เป็นน้ำแข็ง

and just diving into the water.

แล้วก็โดดลงน้ำไป

And that swim took me

การว่ายน้ำครั้งนั้น ผมใช้เวลา

18 minutes and 50 seconds,

18 นาที 50 วินาที

and it felt like 18 days.

แต่ผมรู้สึกเหมือนมันนาน 18 วัน

And I remember getting out of the water

ผมจำได้ตอนที่ขึ้นจากน้ำ

and my hands feeling so painful

มือผมเจ็บมาก

and looking down at my fingers,

ผมก้มลงมองดูนิ้วมือตัวเอง

and my fingers were literally the size of sausages

แล้วพบว่ามันบวมเท่าไส้กรอก

because -- you know, we're made partially of water --

เพราะว่า ร่างกายคนเราส่วนหนึ่งประกอบด้วยน้ำ

when water freezes it expands,

เวลาน้ำแข็งตัว มันจะขยายตัว

and so the cells in my fingers

เซลล์ที่นิ้วของผม

had frozen and expanded

ก็แข็งแล้วขยายตัว

and burst.

จนระเบิด

And the most immediate thought when I came out of that water

ความคิดแวบแรกที่เข้ามาในหัวตอนที่ผมขึ้นจากน้ำ

was the following:

ก็คือ

I'm never, ever

ชีวิตนี้ผมจะไม่มีวัน

going to do another cold water swim

ว่ายน้ำในน้ำเย็นแบบนี้

in my life again.

อีกเด็ดขาด

Anyway, last year, I heard about the Himalayas

แต่แล้ว เมื่อปีที่แล้ว ผมได้ข่าวเกี่ยวกับเทือกเขาหิมาลัย

and the melting of the -- (Laughter)

และการละลาย -- (เสียงหัวเราะ)

and the melting of the glaciers

และการละลายตัวของธารน้ำแข็ง

because of climate change.

เพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

I heard about this lake, Lake Imja.

ผมได้ยินเกี่ยวกับทะเลสาปอิมจา

This lake has been formed in the last couple of years

ทะเลสาปนี้เพิ่งเกิดเมื่อสองสามปีมานี้เอง

because of the melting of the glacier.

เพราะการละลายตัวของธารน้ำแข็ง

The glacier's gone all the way up the mountain

ธารน้ำแข็งลดน้อยลงไปจนเหลือแค่บนเขาสูงๆ

and left in its place this big lake.

น้ำแข็งที่ละลายกลายเป็นทะเลสาปใหญ่มาแทนที่

And I firmly believe

ผมเชื่อเหลือเกินว่า

that what we're seeing in the Himalayas

สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นบนเทือกเขาหิมาลัย

is the next great, big battleground

จะกลายเป็นสมรภูมิขนาดใหญ่แห่งใหม่

on this earth.

บนโลกนี้

Nearly two billion people --

มีคนเกือบสองพันล้านคน

so one in three people on this earth --

นั่นคือหนึ่งในสามของคนบนโลกนี้

rely on the water from the Himalayas.

พึ่งพาน้ำจากเทือกเขาหิมาลัย

And with a population increasing as quickly as it is,

และด้วยอัตราการเพิ่มประชากรที่รวดเร็วเช่นนี้

and with the water supply from these glaciers --

กับปริมาณน้ำจากธารน้ำแข็งเหล่านี้

because of climate change --

ซึ่งลดน้อยลงไปมาก เนื่องจาก

decreasing so much,

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

I think we have a real risk of instability.

เรามีความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางทรัพยากรจริงๆ นะครับ

North, you've got China; south, you've India, Pakistan, Bangladesh,

ทางเหนือ เรามีจีน ทางใต้ ก็มีอินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศ

all these countries.

หลายประเทศเลย

And so I decided

ผมก็เลยตัดสินใจ

to walk up to Mt. Everest,

เดินขึ้นเขาเอเวอเรสต์

the highest mountain on this earth,

ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก

and go and do a symbolic swim

เพื่อไปว่ายน้ำเป็นสัญลักษณ์

underneath the summit

อยู่ใต้เงาของยอดสูงสุด

of Mt. Everest.

ของยอดเขาเอเวอเรสต์

Now, I don't know if any of you have had the opportunity to go to Mt. Everest,

ทีนี้ ผมไม่รู้ว่าพวกคุณเคยไปภูเขาเอเวอเรสต์มาหรือยัง

but it's quite an ordeal getting up there.

มันสาหัสเอาการเลยล่ะครับกว่าจะขึ้นไปได้

28 great, big, powerful yaks

เราใช้จามรีตัวโตๆ ตั้ง 28 ตัว

carrying all the equipment up onto this mountain --

ขนเครื่องไม้เครื่องมือทั้งหมดขึ้นไปบนเขา

I don't just have my Speedo,

ผมไม่ได้มีแค่กางเกงว่ายน้ำตัวเดียว

but there's a big film crew who then

แต่ผมมีทีมถ่ายทำภาพยนตร์ขึ้นไปด้วย

send all the images around the world.

เพื่อจะเก็บภาพมาเผยแพร่ต่อไปทั่วโลก

The other thing which was so challenging about this swim

อีกอย่างหนึ่งที่ท้าทายมากในการว่ายน้ำครั้งนี้

is not just the altitude.

ไม่ใช่แค่ความสูง

I wanted to do the swim at 5,300 meters above sea level.

ผมจะว่ายน้ำที่ระดับความสูง 5,300 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล

So it's right up in the heavens.

สูงเหมือนอยู่บนสวรรค์

It's very, very difficult to breath. You get altitude sickness.

มันหายใจยากมากเลย คุณจะมีอาการป่วยเพราะขาดออกซิเจนเมื่ออยู่ในที่สูง

I feels like you've got a man standing behind you with a hammer

คุณจะรู้สึกเหมือนมีใครถือค้อนมายืนข้างหลัง

just hitting your head all the time.

แล้วทุบหัวคุณตลอดเวลา

That's not the worst part of it.

นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่แย่ที่สุด

The worst part was this year was the year where they decided

ที่แย่สุดๆ คือ ปีนี้เป็นปีที่ทางการตัดสินใจ

to do a big cleanup operation on Mt. Everest.

ทำความสะอาดครั้งใหญ่บนยอดเขาเอเวอเรสต์

Many, many people have died on Mt. Everest,

มีคนตายบนเขาเอเวอเรสต์เยอะมากๆ

and this was the year they decided to go

แล้วปีนี้ก็เป็นปีที่ทางการเขาตัดสินใจ

and recover all the bodies of the mountaineers

ขึ้นไปเก็บศพนักปีนเขาเหล่านั้น

and then bring them down the mountain.

กลับลงมาข้างล่าง

And when you're walking up the mountain

แล้วขณะที่คุณกำลังเดินขึ้นเขา

to attempt to do something

เพื่อไปทำอะไรบางอย่าง

which no human has ever done before, and, in fact, no fish --

ที่ไม่มีมนุษย์คนไหนเคยทำ ที่จริงไม่มีปลาตัวไหนเคยทำเลย

there are no fish up there swimming at 5,300 meters --

เพราะไม่มีปลาขึ้นไปว่ายน้ำอยู่ที่ความสูง 5,300 เมตร

When you're trying to do that,

ขณะที่คุณพยายามจะทำสิ่งนั้น

and then the bodies are coming past you,

ศพเหล่านั้นก็ถูกลำเลียงสวนทางกับคุณลงไป

it humbles you,

มันทำให้คุณสงบเสงี่ยมเจียมตัว

and you also realize very, very clearly

และตระหนักอย่างชัดแจ้งเลยว่า

that nature is so much more powerful

ธรรมชาติมีพลังยิ่งใหญ่

than we are.

กว่าพวกเรามากมาย

And we walked up this pathway,

แล้วเราก็เดินต่อไปตามเส้นทางนี้

all the way up.

ขึ้นไปจนสุด

And to the right hand side of us

ทางขวามือของเรา

was this great Khumbu Glacier.

คือธารน้ำแข็งคุมบูที่ยิ่งใหญ่

And all the way along the glacier we saw

ไกลลงไปสุดธารน้ำแข็ง

these big pools of melting ice.

เราเห็นบ่อที่เกิดจากน้ำแข็งที่ละลาย

And then we got up to this small lake

แล้วเราก็ขึ้นมาถึงทะเลสาปเล็กๆ แห่งนี้

underneath the summit of Mt. Everest,

ภายใต้ยอดสูงสุดของเอเวอเรสต์

and I prepared myself

ผมเตรียมตัวให้พร้อม

the same way as I've always prepared myself,

เหมือนกับที่ผมเตรียมตัว

for this swim which was going to be so very difficult.

ว่ายน้ำในสถานการณ์ที่ยากๆ ทุกครั้ง

I put on my iPod, I listened to some music,

ผมใส่หูฟังไอพอด ฟังเพลง

I got myself as aggressive as possible --

ปลุกใจตัวเองให้ฮึกเหิมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

but controlled aggression --

แต่ฮึกเหิมแบบมีสตินะครับ

and then I hurled myself

แล้วผมก็กระโจน

into that water.

ลงไปในน้ำนั่น

I swam as quickly as I could

ผมว่ายน้ำอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

for the first hundred meters,

ในช่วงร้อยเมตรแรก

and then I realized very, very quickly,

แล้วก็รู้ตัวอย่างรวดเร็วว่า

I had a huge problem on my hands.

ผมเจอปัญหาใหญ่เข้าแล้ว

I could barely breathe.

ผมหายใจแทบไม่ออก

I was gasping for air.

ผมหอบ

I then began to choke,

และเริ่มสำลัก

and then it quickly led to me vomiting in the water.

จนผมอาเจียนออกมา

And it all happened so quickly:

มันเกิดขึ้นเร็วมาก

I then -- I don't know how it happened -- but I went underwater.

แล้ว ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ผมเริ่มจมลงใต้น้ำ

And luckily, the water was quite shallow,

โชคดีที่น้ำค่อนข้างตื้น

and I was able to push myself off the bottom of the lake

ผมจึงถีบตัวเองขึ้นมาจากก้นทะเลสาป

and get up and then take another gasp of air.

ขึ้นมาหายใจได้อีกครั้ง

And then I said, carry on. Carry on. Carry on.

ผมบอกตัวเองว่า ไปต่อ ไปต่อ ไปต่อ

I carried on for another five or six strokes,

ผมว่ายต่อไปได้อีกห้าหรือหกจังหวะ

and then I had nothing in my body,

แล้วก็รู้สึกเหมือนร่ายกายว่างเปล่า

and I went down to the bottom of the lake.

ผมจมลงสู่ก้นทะเลสาปอีกครั้ง

And I don't where I got it from,

ผมไม่รู้ว่าผมเอากำลังมาจากไหน

but I was able to somehow

แต่ในที่สุดผมก็สามารถถีบตัวเอง

pull myself up and as quickly as possible

ขึ้นมาจากน้ำได้ และว่ายเข้าหาฝั่ง

get to the side of the lake.

อย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

I've heard it said that drowning

ผมเคยได้ยินมาว่า การจมน้ำ

is the most peaceful death that you can have.

เป็นการตายที่สงบที่สุด

I have never, ever heard

ผมไม่เคยได้ยินอะไร

such utter bollocks.

ที่โกหกหลอกลวงขนาดนี้มาก่อนเลย

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

It is the most frightening and panicky feeling

มันเป็นความรู้สึกกลัวและตื่นตกใจมากที่สุด

that you can have.

ที่คุณจะรู้สึกได้ต่างหาก

I got myself to the side of the lake.

ผมว่ายเข้าหาฝั่ง

My crew grabbed me,

ทีมงานของผมคว้าตัวผมขึ้นจากน้ำ

and then we walked as quickly as we could

แล้วเราก็เดินอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

down -- over the rubble --

บนถนนที่เต็มไปด้วยเศษหิน

down to our camp.

กลับลงไปที่แคมป์ของเรา

And there, we sat down,

พอไปถึง ผมนั่งลง

and we did a debrief about what had gone wrong

แล้วเราก็คุยกันว่ามันเกิดข้อผิดพลาดอะไร

there on Mt. Everest.

ตอนอยู่บนยอดเขาเอเวอเรสต์

And my team just gave it to me straight.

ทีมของผมพูดกับผมตรงๆ ว่า

They said, Lewis, you need to have

ลูอิส นายจะต้อง

a radical tactical shift

เปลี่ยนยุทธวิธีใหม่หมดเลย

if you want to do this swim.

ถ้านายอยากว่ายน้ำครั้งนี้ให้สำเร็จ

Every single thing which you have learned

ทุกสิ่งทุกอย่างที่นายเรียนรู้มา

in the past 23 years of swimming,

ตลอด 23 ปีของการว่ายน้ำ

you must forget.

นายต้องลืมให้หมด

Every single thing which you learned

ทุกอย่างที่นายเรียนรู้มา

when you were serving in the British army,

ตอนที่นายอยู่ในกองทัพอังกฤษ

about speed and aggression,

เกี่ยวกับความรวดเร็ว ความก้าวร้าว

you put that to one side.

นายต้องวางมันลง

We want you to walk up the hill in another two days' time.

เราอยากให้นายเดินขึ้นเขาไปใหม่ในอีกสองวันข้างหน้า

Take some time to rest and think about things.

พักผ่อนซะ แล้วคิดทบทวนสิ่งต่างๆ ดู

We want you to walk up the mountain in two days' time,

เราอยากให้นายเดินขึ้นเขาไปใหม่ ในอีกสองวันข้างหน้า

and instead of swimming fast,

และแทนที่จะว่ายน้ำอย่างเร็ว

swim as slowly as possible.

ว่ายให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้

Instead of swimming crawl, swim breaststroke.

แทนที่จะว่ายท่าฟรีสไตล์ ให้นายว่ายท่ากบ

And remember, never ever swim with aggression.

และจำไว้ อย่าว่ายด้วยความก้าวร้าว

This is the time to swim

ตอนนี้เป็นเวลาที่นายจะว่ายน้ำ

with real humility.

ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน

And so we walked back up

แล้วเราก็เดินกลับขึ้นไปบนเขา

to the mountain two days later.

ในสองวันหลังจากนั้น

And I stood there

ผมยืนอยู่ตรงนั้น

on the edge of the lake,

ที่ริมทะเลสาป

and I looked up at Mt. Everest --

มองขึ้นไปบนยอดเขาเอเวเรส

and she is one of the most beautiful mountains on the earth --

ซึ่งเป็นหนึ่งในภูเขาที่สวยที่สุดในโลก

and I said to myself, just do this slowly.

แล้วบอกกับตัวเองว่า ว่ายไปช้าๆ นะ

And I swam across the lake.

แล้วผมก็ว่ายน้ำข้ามทะเลสาปได้สำเร็จ

And I can't begin to tell you

ผมไม่รู้จะอธิบายให้คุณฟังยังไง

how good I felt

ว่าผมรู้สึกดีขนาดไหน

when I came to the other side.

เมื่อผมว่ายไปถึงอีกฝั่งหนึ่ง

But I learned two very, very

แต่ผมได้บทเรียนที่สำคัญมากๆ สองบท

important lessons there on Mt. Everest,

จากบนยอดเขาเอเวอเรสต์

and I thank my team of Sherpas who taught me this.

ขอบคุณทีมงานชาวเชอร์ปา (คนพี้นเมืองในเทือกเขาหิมาลัย) ที่สอนให้ผมเข้าใจ

The first one is

บทเรียนบทแรกคือ

that just because something has worked in the past so well,

การที่อะไรบางอย่างใช้ได้ผลดีมากๆ ในอดีต

doesn't mean it's going to work in the future.

ไม่ได้หมายความว่ามันจะใช้ได้ดีในอนาคต

And similarly,

และทำนองเดียวกัน

now, before I do anything,

เดี๋ยวนี้ ก่อนที่ผมจะลงมือทำอะไร

I ask myself what type of mindset

ผมจะถามตัวเองก่อนว่า ผมต้องใช้

do I require

กรอบวิธีคิดแบบไหน

to successfully complete a task.

จึงจะทำงานนั้นๆ ได้สำเร็จ

And taking that into the world of climate change --

และเมื่อพูดถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

which is, frankly,

ซึ่งพูดตรงๆ ก็จัดว่าเป็นปัญหาใหญ่

the Mt. Everest of all problems --

เหมือนยอดเขาเอเวอเรสของปัญหาทั้งหมด

just because we've lived the way we have lived for so long,

แค่เพียงเพราะเราใช้ชีวิตอย่างนี้กันมานาน

just because we have consumed the way we have for so long

แค่เพียงเพราะเราใช้ทรัพยากรอย่างที่เราใช้กันมานาน

and populated the earth the way we have for so long,

และครอบครองพี้นที่บนโลกแบบนี้มานานแล้ว

doesn't mean that we can carry on

ไม่ได้แปลว่าเราจะสามารถใช้ชีวิตแบบเดิม

the way we are carrying on.

อย่างที่เราเป็นอยู่ได้ต่อไปเรื่อยๆ

The warning signs are all there.

เราเห็นสัญญาณเตือนแล้ว

When I was born, the world's population

ตอนที่ผมเกิด ประชากรโลก

was 3.5 billion people.

มีอยู่ 3.5 พันล้านคน

We're now 6.8 billion people,

ตอนนี้โลกเรามีประชากร 6.8 พันล้านคน

and we're expected to be 9 billion people

และคาดว่าจะขึ้นไปถึง 9 พันล้านคน

by 2050.

ภายในปี 2050

And then the second lesson,

ดังนั้น บทเรียนบทที่สองของผม

the radical, tactical shift.

ก็คือ การรื้อและเปลี่ยนยุทธวิธีใหม่

And I've come here to ask you today:

ผมมาที่นี่ในวันนี้ เพื่อถามคุณว่า

what radical tactical shift

คุณจะเปลี่ยนแปลงอะไรแบบสุดขั้วสักอย่างได้ไหม

can you take in your relationship to the environment,

ในความสัมพันธ์ที่คุณมีกับสิ่งแวดล้อม

which will ensure

เพื่อให้แน่ใจว่า

that our children and our grandchildren

ลูกหลานของเรา

live in a safe world

จะมีชีวิตอยู่ในโลกที่ปลอดภัย

and a secure world,

โลกที่มั่นคง

and most importantly, in a sustainable world?

และที่สำคัญ โลกที่ยั่งยืน

And I ask you, please, to go away from here

ผมขอร้องคุณ ว่าเมื่อคุณออกไปจากที่นี่

and think about that one

ขอให้คุณคิดถึงการเปลี่ยนแปลง

radical tactical shift

แบบสุดขั้วอันนั้น

which you could make,

ที่คุณจะทำได้

which will make that big difference,

ที่จะสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่

and then commit a hundred percent to doing it.

และยึดมั่นร้อยเปอร์เซนต์ที่จะทำมัน

Blog about it, tweet about it, talk about it,

เขียนบล็อก ทวีต และพูดถึงมัน

and commit a hundred percent,

ทุ่มเทอย่างจริงจังร้อยเปอร์เซนต์

because very, very few things

เพราะมีไม่กี่อย่างหรอกครับ

are impossible to achieve

ที่จะเป็นไปไม่ได้

if we really put our whole minds to it.

ถ้าเราทุ่มเทให้มันหมดใจ

So thank you very, very much.

ขอบคุณมากๆ ครับ

(Applause)

(เสียงปรบมือ)