4 signs of emotional abuse - Viann Nguyen-Feng

Translator: Thanaporn Aramthaweethong Reviewer: Sakunphat Jirawuthitanant

Emotional abuse can be incredibly damaging,

การทำร้ายทางจิตใจ เป็นอันตรายอย่างไม่น่าเชื่อ

increasing a person’s chances of developing depression and anxiety

ซึ่งจะเพิ่มโอกาสให้คนนั้นมี ภาวะเครียดและหดหู่

sometimes for decades after the fact.

ในบางครั้งอาจเกิดขึ้นอีกหลายทศวรรษต่อมา

Broadly speaking, emotional abuse involves one person controlling another

หากพูดในภาพกว้างๆ การทำร้ายทางจิตใจ ประกอบด้วยคนหนึ่งคนที่ควบคุมอีกหนึ่งคน

by undermining their sense of self-worth and personal agency.

โดยบั่นทอนความรู้สึกถึงคุณค่า และการกระทำของเหยื่อ

But emotionally abusive behaviors can be subtle and difficult to spot,

แต่พฤติกรรมการทำร้ายทางจิตใจอาจเข้าใจ และสังเกตเห็นได้ยาก

both from within and outside the abusive relationship.

ทั้งจากภายในและภายนอก ความสัมพันธ์ที่ทำร้ายกัน

That’s partly because emotional abuse often exploits

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการทำร้าย ทางจิดใจมักจะเอาเปรียบ

or creates power imbalances between individuals,

หรือทำให้ขาดสมดุลของอำนาจระหว่างบุคคล

especially in relationships where safety, care, and trust

โดยเฉพาะในความสัมพันธ์ที่ควรมี ความปลอดภัย การดูแลกัน และความเชื่อใจกัน

are supposed to be guaranteed,

like the relationship between a caregiver and a child,

เหมือนกับความสัมพันธ์ ระหว่างพี่เลี้ยงและเด็ก

healthcare provider and patient, teacher and student, or intimate partners.

แพทย์หรือพยาบาลและคนไข้ ครูและนักเรียน หรือแม้กระทั่งคู่ชีวิต

It’s especially insidious because it often makes people doubt

การทำร้ายจิตใจนั้นอันตรายเป็นพิเศษ เพราะมันมักจะทำให้คนสงสัย

their perceptions of their own mistreatment.

การรับรู้เกี่ยวกับการทำทารุณกรรมที่พบเจอมา

So let’s walk through some of the most common signs of emotional abuse,

ดังนั้น เรามาพูดถึงบางสัญญาณของการ ทำร้ายจิตใจที่พบได้บ่อยมากที่สุดกันเถอะ

to make these behaviors and patterns easier to spot in real life.

เพื่อให้พฤติกรรมเหล่านี้ง่ายต่อการสังเกต เห็นมากขึ้นในชีวิตจริง

First, the content of someone’s words:

อันดับแรก ความหมายของคำพูดของคนหนึ่ง

criticism that’s out of proportion to a situation,

การวิจารณ์ที่ไม่สมควรในเหตุการณ์หนึ่ง

excessively harsh or personal, or makes sweeping generalizations

ที่รุนแรงหรือละเมิดความเป็นส่วนตัว มากเกินไป เป็นการเหมารวมที่กว้างเกินไป

or baseless negative predictions for the future

หรือแม้กระทั่งการคาดการณ์อนาคตในแง่ลบ

is a warning sign of emotional abuse.

ล้วนเป็นสัญญาณเตือนของการทำร้ายจิตใจ

Statements like, “You always make such stupid decisions,”

คำพูด เช่น “เธอตัดสินใจอะไรโง่ๆ ตลอด”

“You never do anything right,” and “Nobody else will ever love you,”

“เธอไม่เคยทำอะไรถูกเลย” หรือ “ไม่มีใครรักเธอหรอก

aren’t constructive; they’re never warranted,

ไม่ใช่คำพูดที่สร้างสรรค์และให้เหตุผล

and someone’s use of them is a red flag.

และใครก็ตามที่ใช้คำพูดเหล่านี้ แสดงถึงเจตนาอันตราย

Second, tone and non-verbal cues:

อันดับที่สอง น้ำเสียงและภาษากาย

yelling, ignoring and showing contempt through body language are all ways

การตวาด เมินเฉย และเหยียดหยามผ่านภาษากาย เป็นช่องทางสื่อสาร

to degrade someone.

ที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่ลง

Dismissive behaviors like eye rolling, glaring, or refusal to make eye contact,

พฤติกรรมไม่พอใจ เช่น การกลอกตา การจ้อง หรือการเลี่ยงการสบตา

along with refusing to speak to someone or acknowledge their presence—

รวมถึงการไม่พูดหรือแสดงออกว่า รับรู้ถึงการมีอยู่ของคู่สนทนา

sometimes called “the silent treatment”—

บางครั้งเรียกว่า การปฏิบัติตนที่นิ่งเงียบ

can all feature in patterns of emotional abuse.

เป็นลักษณะเฉพาะในแบบแผนของการทำร้ายจิดใจ

These behaviors can painfully transform

พฤติกรรมเหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลง ความหมายของคำพูดที่อาจมีเจตนาดีให้แย่ลง

the meaning of spoken statements that might otherwise seem benign.

Third, how someone reacts to being told they’ve said

อันดับที่สาม วิธีการโต้ตอบ เมื่อทราบว่าได้พูด

or done something hurtful can give important insight:

หรือทำอะไรที่เสียหาย ทำให้เรารู้สิ่งที่สำคัญ

do they apologize sincerely and act differently in the future,

พวกเขาได้ขอโทษอย่างจริงใจและ จะปรับปรุงตัวในอนาคตหรือไม่

or do they dismiss and minimize the pain they’ve caused?

หรือพวกเขาจะเพิกเฉย และลดความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น

It’s common for abusers to try to undermine

มันเป็นปกติสำหรับผู้กระทำที่พยายามที่ จะทำให้การรับรู้ถึงอันตรายของเหยื่อลดลง

their target’s perceptions of events—

this is sometimes referred to as “gaslighting.”

บางครั้งจึงเรียกว่าเป็นการ ปั่นหัวเหยื่อให้มีความเชื่อผิดๆ

Following up demeaning, humiliating, or threatening remarks

ตามด้วยการลดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การทำให้ขายหน้า หรือการพูดคุกคาม

with comments that dismiss the impact of those remarks,

ด้วยความเห็นที่ไม่ใส่ใจต่อ ผลกระทบของคำพูดที่ส่อเสียด

like “I’m just trying to help you improve yourself— you should be grateful,”

เช่น “ฉันแค่พยายามจะช่วยเธอ พัฒนาตัวเองนะ เธอควรรู้สึกขอบคุณด้วยซ้ำ”

or “It’s really you that’s selfish and manipulative— you’re hurting me,”

หรือ “เธอนั่นแหละที่เห็นแก่ตัว และคอยชักใยคนอื่น เธอกำลังทำร้ายฉันนะ”

are examples of this behavior.

เป็นตัวอย่าง ของพฤติกรรมทำร้ายจิดใจ

Lastly, when someone directs any of these behaviors at you,

สุดท้าย เมื่อมีคนทำพฤติกรรมแบบนี้กับคุณ

take note of whether this is part of a pattern of behavior from them.

ให้จำไว้ว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของ พฤติกรรมทำร้ายจิตใจหรือไม่

A one-time incident of name-calling or a demeaning insult

การเรียกชื่อหรือหมิ่นประมาทเพียงครั้งเดียว

might not be emotional abuse,

อาจไม่ใช่การทำร้ายจิตใจ

while repetition over time can have a much more serious impact.

ในขณะที่พฤติกรรมซ้ำๆ อาจ ส่งผลกระทบที่รุนแรงขึ้นมาก

Both frequency, how often these behaviors occur in a given period of time,

ทั้งในเรื่องความถี่ ว่าพฤติกรรมเหล่านี้ เกิดขึ้นบ่อยแค่ไหนในช่วงเวลาหนึ่ง

and duration, or how long they last, whether days or years,

หรือในเรื่องระยะเวลา ว่าพฤติกรรมเหล่านี้ เกิดขึ้นกี่วันหรือกี่ปี

can contribute to the severity of the abuse.

สามารถก่อให้เกิดความรุนแรง ของการทำร้ายกันได้

It’s also important to remember that abusers rarely engage

และควรจำไว้เหมือนกันว่า ผู้กระทำแทบจะไม่พัวพัน

in abusive behaviors 100% of the time—

กับพฤติกรรมทำร้ายผู้อื่นตอลดเวลา

moments of kindness or calm don’t invalidate moments of abuse,

บางเวลาของความใจดีและอ่อนโยน ไม่ได้ลดความรุนแรงของการทำร้ายผู้อื่น

but are actually part of the cycle of emotional manipulation.

แต่จริงๆ แล้วเป็นส่วนหนึ่งของ วงจรการควบคุมจิตใจผู้อื่น

So what can you do if you think you or someone you care about

ดังนั้น คุณสามารถทำอะไรได้บ้าง หากคิดว่าคุณหรือคนที่คุณรัก

is experiencing emotional abuse?

กำลังประสบปัญหาการทำร้ายจิดใจล่ะ

Maintaining interpersonal ties with people other than the abuser is crucial,

การรักษาความสัมพันธ์กับผู้อื่น นอกจากผู้กระทำนั้นสำคัญมาก

as abusers often try to isolate their targets from others close to them.

เนื่องจากผู้กระทำมักพยายาม แยกเหยื่อออกจากคนรอบข้าง

If you think you might be experiencing emotional abuse,

หากคุณคิดว่าคุณกำลังพบกับการทำร้ายจิดใจ

consider sharing your experiences with a trusted friend or relative

ให้นึกถึงการแบ่งปันประสบการณ์ กับญาติมิตรที่ไว้ใจได้

to get outside support.

เพื่อรับแรงสนับสนุนจากภายนอก

Or you can seek local or national confidential advocacy centers

หรือคุณสามารถเข้าพบศูนย์สนับสนุนเหยื่อ

that can provide helpful resources.

ที่จะจัดหาการช่วยเหลือที่เหมาะสม

And if you think someone you know is being emotionally abused,

และหากคุณคิดว่าคนที่คุณรู้จัก กำลังถูกทำร้ายจิตใจ

check in with them.

ลองเข้าไปคุยกับพวกเขานะ

Let them know you’re thinking of them

ทำให้พวกเขารู้ว่าคุณใส่ใจ

and that you're ready to listen whenever they'd like to share.

และคุณพร้อมรับฟังเมื่อ พวกเขาต้องการเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น

While emotional abusers may convince people that they deserve to be mistreated,

ในขณะที่ผู้กระทำอาจชักจูงว่า พวกเขาสมควรที่จะถูกทำร้าย

nobody does: everyone deserves kindness and respect.

ไม่มีใครควรถูกทำร้ายหรอก ทุกๆ คนควร ได้รับความเมตตาและเคารพซึ่งกันและกัน