How the jump rope got its rhythm | Small Thing Big Idea, a TED series

Translator: Krystian Aparta Reviewer: Camille Martínez

Translator: Donlawat Chuanprae Reviewer: Orm Wiwitumpon

If you do it right, it should sound like:

ถ้าคุณทำมันถูกต้องเสียงมันจะเหมือน

TICK-tat, TICK-tat, TICK-tat, TICK-tat, TICK-tat, TICK-tat.

ทิค-แทท, ทิค-แทท, ทิค-แทท, ทิค-แทท, ทิค-แทท, ทิค-แทท

If you do it wrong, it sounds like:

ถ้าคุณทำผิดเสียงมันจะเป็นแบบนี้

Tick-TAT, tick-TAT, tick-TAT.

ทิค-แทท, ทิค-แทท, ทิค-แทท,

[Small thing. Big idea.]

[เรื่องเล็กๆ ความคิดใหญ่ๆ]

[Kyra Gaunt on the Jump Rope]

คีร่า เกนท์ เรื่อง การกระโดดเชือก

The jump rope is such a simple object.

เชือกสำหรับกระโดดเป็นสิ่งของธรรมดา

It can be made out of rope, a clothesline, twine.

มันสามารถทำมาจาก ที่ตากผ้า หรือ เชือกปั่น

It has, like, a twirl on it. (Laughs)

ที่ดูเหมือนเกลียวๆน่ะ (หัวเราะ)

I'm not sure how to describe that.

ฉันไม่รู้จะอธิบายยังไงดี

What's important is that it has a certain weight,

สิ่งที่สำคัญคือน้ำหนักของมัน

and that they have that kind of whip sound.

และเสียงของมันที่ดังวิป

It's not clear what the origin of the jump rope is.

ยังไม่เป็นที่แน่ชัด ว่าต้นกำเนิดของมันมาจากไหน

There's some evidence that it began in ancient Egypt, Phoenicia,

มีหลักฐานบางชิ้นบอกว่ามันเริ่มที่แถวๆ อียิปต์และโฟนีเชีย

and then it most likely traveled to North America with Dutch settlers.

และมันก็เดินทางมาอเมริกาเหนือ พร้อมผู้อพยพชาวดัดช์

The rope became a big thing when women's clothes became more fitted

เชือกเริ่มเข้ามามีส่วนสำคัญ เวลาผู้หญิงต้องการใส่ชุดพอดีตัว

and the pantaloon came into being.

และกางเกงขายาวก็เริ่มเข้ามา

And so, girls were able to jump rope

ซึ่งมันช่วยให้ผู้หญิงกระโดดเชือกได้

because their skirts wouldn't catch the ropes.

โดยที่ชายผ้าไม่ติดกับเชือก

Governesses used it to train their wards to jump rope.

พวกพี่เลี้ยงก็ฝึกให้คนของพวกเธอ กระโดดเชือกเช่นกัน

Even formerly enslaved African children in the antebellum South

แม้แต่เด็กสาวชาวแอฟริกัน ที่ตกเป็นทาสทางตอนใต้

jumped rope, too.

ก็กระโดดเชือกเช่นกัน

In the 1950s, in Harlem, Bronx, Brooklyn, Queens,

ในปี 1950 แถบฮาร์เล็ม บร็องซ์ บรู้คลิน และ ควีนส์

you could see on the sidewalk, lots of girls playing with ropes.

คุณจะเห็นว่าตามทางเดินจะมี เด็กผู้หญิงจำนวนมากเล่นกระโดดเชือก

Sometimes they would take two ropes and turn them as a single rope together,

พวกเธอจะนำเชือกทั้งสองเส้น มารวมกันเป็นหนึ่ง

but you could separate them and turn them in like an eggbeater on each other.

แต่คุณสามารถแยกมันออกมาเป็นสอง และเหวี่ยงมันเหมือนที่ตีไข่

The skipping rope was like a steady timeline --

การกระโดดเชือกเสียงเหมือน เวลาที่เดินอย่างเที่ยงตรง

tick, tick, tick, tick --

ทิค ทิค ทิค

upon which you can add rhymes and rhythms and chants.

คุณสามารถเพิ่มจังหวะ ทำนอง และ เนื้อร้อง ให้มันได้

Those ropes created a space

เชือกพวกนั้นสร้างพื้นที่

where we were able to contribute to something

ที่ ๆ เราสามารถมีส่วนในร่วมในบางอย่าง

that was far greater than the neighborhood.

บางอย่างที่เจ๋งกว่าเพื่อนบ้านของเรา

Double Dutch jump rope remains a powerful symbol of culture and identity

การกระโดดเชือกดับเบิ้ลดัตช์เป็นสัญลักษณ์ ที่ทรงพลังของวัฒนธรรมและอัตลักษณ์

for black women.

สำหรับผู้หญิงผิวสี

Back from the 1950s to the 1970s,

ย้อนกลับไปในปี 1950 ถึง 1970

girls weren't supposed to play sports.

เด็กผ้หญิงถูกห้ามเล่นกีฬา

Boys played baseball, basketball and football,

เด็กผู้ชายเล่น เบสบอล บาสเก็ตบอลและฟุตบอล

and girls weren't allowed.

แต่เด็กผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาต

A lot has changed, but in that era,

หลายสิ่งเปลี่ยนไปมาก แต่ในช่วงเวลานั้น

girls would rule the playground.

เด็กหญิงจะเป็นผู้ครอบครองสนามเด็กเล่น

They'd make sure that boys weren't a part of that.

พวกเธอจะไม่ให้เด็กผู้ชายมีส่วนร่วมในสนาม

It's their space, it's a girl-power space.

มันเป็นที่ของพวกเธอ ที่แห่งพลังของเด็กผู้หญิง

It's where they get to shine.

ที่ ๆ พวกเธอจะเปล่งแสงเจิดจ้า

But I also think it's for boys,

แต่ฉันก็คิดว่ามันเป็นของเด็กผู้ชายนะ

because boys overheard those,

เพราะพวกผู้ชายแอบฟังน่ะสิ

which is why, I think, so many hip-hop artists

นั่นทำให้ฉันคิดว่าศิลปินฮิพฮอพมากมาย

sampled from things that they heard in black girls' game songs.

ได้ตัวอย่างจากสิ่งที่พวกเขาได้ยินจากการ ละเล่นของเด็กผู้หญิงผิวสี

(Chanting) ... cold, thick shake, act like you know how to flip,

... cold, thick shake, act like you know how to flip,

Filet-O-Fish, Quarter Pounder, french fries, ice cold, thick shake,

Filet-O-Fish, Quarter Pounder, french fries, ice cold, thick shake,

act like you know how to jump.

act like you know how to jump.

Why "Country Grammar" by Nelly became a Grammy Award-winning single

ทำไมเพลง "Country Grammar" โดย Nelly ถึงชนะรางวัลแกรมมี่อวอร์ด

was because people already knew

เพราะผู้คนส่วนใหญ่รู้อยู่แล้ว

"We're going down down baby your street in a Range Rover ... "

"We're going down down baby your street in a Range Rover ... "

That's the beginning of "Down down, baby, down down the roller coaster,

นั่นเป็นท่อนเริ่มของ "Down down, baby, down down the roller coaster,

sweet, sweet baby, I'll never let you go."

sweet, sweet baby, I'll never let you go."

All people who grew up in any black urban community

ทุกคนที่โตมาในเขตชุมชนของคนผิวสี

would know that music.

จะรู้จักเพลงนี้

And so, it was a ready-made hit.

และมันก็ดังอยู่แล้ว

The Double Dutch rope playing helped maintain these songs

การกระโดดเชือกดับเบิลดัตช์ ช่วยรักษาเพลงเหล่านั้นเอาไว้

and helped maintain the chants and the gestures that go along with it,

และช่วยรักษาเนื้อร้องและท่าทาง ที่คลอไปกับมันเอาไว้

which is very natural to what I call "kinetic orality" --

มันเป็นธรรมชาติอย่างที่ฉันเรียกว่า "การขยับเพื่อส่ือสาร"

word of mouth and word of body.

ผสานคำพูดจากปากกับการสื่อสารผ่านร่างกาย

It's the thing that gets passed down over generations.

ซึ่งถูกส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น

In some ways, the rope is the thing that helps carry it.

อีกนัยนึงคือเชือกเป็นตัวช่วย สืบทอดสิ่งเหล่านี้

You need some object to carry memory through.

คุณต้องมีของบางสิ่งเพื่อรักษาความทรงจำไว้

So, a jump rope, you can use it for all different kinds of things.

เชือกพวกนี้ สามารถใช้ได้ประโยชน์ได้หลายอย่าง

It crosses cultures.

มันมีความหมายข้ามวัฒนธรรม

And I think it lasted because people need to move.

และฉันคิดว่ามันจะคงอยู่ตลอดไป เพราะผู้คนต้องการเคลื่อนไหว

And I think sometimes the simplest objects can make the most creative uses.

และฉันคิดว่าบางครั้งของธรรมดา ๆ สามารถสร้างการใช้งานที่สร้างสรรค์ที่สุดได้