What causes cavities? - Mel Rosenberg

Translator: Kelwalin Dhanasarnsombut Reviewer: Vera Chicharito

When a team of archaeologists recently came across

เมื่อกลุ่มของนักโบราณคดี

some 15,000 year-old human remains,

พบกับซากมนุษย์อายุราว 15,000 ปี

they made an interesting discovery.

พวกเขาได้ค้นพบบางสิ่งที่น่าสนใจ

The teeth of those ancient humans were riddled with holes.

นั่นก็คือ ฟันของมนุษย์โบราณเหล่านี้ มีรูที่ดูน่าสงสัย

Their cavities were caused by the same thing that still plagues us today,

สาเหตุฟันผุของพวกเขามาจาก สิ่งเดียวกันที่ยังกวนใจพวกเรามาถึงปัจจุบัน

specific tiny microbes that live in our mouths.

ซึ่งก็คือจุลชีพขนาดเล็กจิ๋ว ที่อาศัยอยู่ในปากของเรา

These microbes are with us soon after birth.

จุลชีพเหล่านี้อยู่กับเรามา แทบจะทันทีที่เราเกิด

We typically pick them up as babies from our mothers' mouths.

เราได้พวกมันมาจากปากของแม่ของเรา เมื่อยังเป็นทารก

And as our teeth erupt,

และเมื่อฟันของเราโผล่ขึ้นมา

they naturally begin to accumulate communities of bacteria.

กลุ่มสังคมของแบคทีเรียก็เข้ามารวมตัวกัน ตามธรรมชาติ

Depending on what we eat,

มันขึ้นอยู่กับว่าเรารับประทานอะไร

and specifically how much sugar we consume,

และอาหารของเรามีน้ำตาลมากแค่ไหน

certain microbes can overpopulate and cause cavities.

จุลชีพบางชนิดสามารถมีประชากร มากเกินไปและก่อให้เกิดการฟันผุได้

Diets high in sugary foods cause an explosion of bacteria

การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง ทำให้เกิดการเพิ่มจำนวนของแบคทีเรีย

called mutans streptococci in our mouths.

ที่เรียกว่าเชื้อมิวแทนส์ สเตรปโตคอคไค ในปากของเรา

Like humans, these microorganisms love sugar,

เช่นเดียวกับมนุษย์ จุลชีพเหล่านี้ก็ ชื่นชอบน้ำตาลเช่นกัน

using it as a molecular building block and energy source.

มันใช้น้ำตาลเป็นโมเลกุลพื้นฐาน และแหล่งพลังงาน

As they consume it,

เมื่อมันบริโภคน้ำตาลแล้ว

the bacteria generate byproducts in the form of acids,

แบคทีเรียก็สร้างผลิตผลข้างเคียง ในรูปแบบของกรด

such as lactic acid.

เช่น กรดแลคติก

Mutans streptococci are resistant to this acid,

มิวแทนส์ สเตรปโตคอคไค ทนทานต่อกรดชนิดนี้

but unfortunately, our teeth aren't.

แต่น่าเสียดาย ที่ฟันเราไม่เป็นแบบนั้น

While each human tooth is coated in a hardy, protective layer of enamel,

ในขณะที่ฟันแต่ละซี่ของมนุษย์ ถูกเคลือบด้วยชั้นเคลือบฟันที่แข็งแกร่ง

it's no match for acid.

มันก็ไม่อาจทนทานต่อกรดได้

That degrades the armor over time, leaching away its calcium minerals.

มันทำลายเกราะคุ้มกันไปเรื่อย ๆ ทำให้แร่แคลเซียมของมันถูกชะออกไป

Gradually, acid wears down a pathway for bacteria

ทีละเล็กทีละน้อย กรดที่ได้มาจากแบคทีเรีย

into the tooth's secondary layer called the dentin.

ก็ไหลเข้าไปในชั้นที่สองของฟัน ที่เรียกว่า เดนทิน

Since blood vessels and nerves in our teeth are enclosed deep within,

เนื่องจากหลอดเลือดและเส้นประสาทในฟัน ถูกล้อมลึกอยู่ภายใน

at this stage, the expanding cavity doesn't hurt.

ในระยะนี้ การแผ่ขยายของการฟันผุ ไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวด

But if the damage extends beyond the dentin,

แต่ถ้าการทำลายยังคงขยายต่อไป เกินกว่าชั้นเดนทิน

the bacterial invasion progresses

การบุกรุกของแบคทีเรีย

causing excruciating pain as the nerves become exposed.

จะทำให้เกิดความเจ็บปวดมาก เมื่อเส้นประสาทถูกเผยออก

Without treatment, the whole tooth may become infected

หากปราศจากการรักษา ฟันทั้งซี่อาจติดเชื้อ

and require removal

และต้องถูกถอนทิ้ง

all due to those sugar-loving bacteria.

ด้วยผลพวงทั้งหมด จากแบคทีเรียที่รักน้ำตาลเหล่านั้น

The more sugar our food contains,

ยิ่งอาหารมีน้ำตาลมากเท่าไร

the more our teeth are put at risk.

ฟันของเรา ก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะผุมากเท่านั้น

Those cavemen would hardly have indulged in sugary treats, however,

อย่างไรก็ดี มนุษย์ถ้ำเหล่านั้น แทบไม่มีโอกาสยอมใจกินขนมหวานเหล่านั้น

so what caused their cavities?

แล้วอะไรกันที่ทำให้พวกเขาฟันผุ

In meat-heavy diets, there would have been a low-risk of cavities developing

ในอาหารที่มีเนื้อสัตว์มาก จะมีความเสี่ยงน้อยที่จะเกิดการฟันผุ

because lean meat contains very little sugar,

เพราะเนื้อชนิดไม่ติดมันมีน้ำตาลน้อยมาก

but that's not all our early human ancestors ate.

แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดที่มนุษย์ยุคแรก ๆ ที่เป็นบรรพบุรุษของเรารับประทาน

Cavemen would also have consumed root vegetables, nuts, and grains,

มนุษย์ถ้ำยังบริโภคผักจำพวกรากและหัว ถั่ว และธัญพืช

all of which contain carbohydrates.

ซึ่งทั้งหมดนั้นมีคาร์โบไฮเดรต

When exposed to enzymes in the saliva,

เมื่อมันสัมผัสกับเอนไซม์ในน้ำลาย

carbohydrates get broken down into simpler sugars,

คาร์โบไฮเดรตถูกย่อยสลายเป็นน้ำตาลพื้นฐาน

which can become the fodder for those ravenous mouth bacteria.

ซึ่งกลายเป็นอาหารอันโอชะ ของแบคทีเรียจอมตะกละในปาก

So while ancient humans did eat less sugar compared to us,

ฉะนั้น แม้ว่ามนุษย์โบราณ จะรับประทานน้ำตาลน้อยกว่าเรา

their teeth were still exposed to sugars.

ฟันของพวกเขาก็ยังสัมผัสกับน้ำตาลอยู่ดี

That doesn't mean they were unable to treat their cavities, though.

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะไม่สามารถรักษาฟันที่ผุได้

Archaeological remains show that about 14,000 years ago,

ซากทางโบราณคดีแสดงว่า ประมาณ 14,000 ปีก่อน

humans were already using sharpened flint to remove bits of rotten teeth.

มนุษย์ยังใช้หินเหล็กไฟแหลม ๆ กำจัดซากฟันที่เน่าเสีย

Ancient humans even made rudimentary drills

มนุษย์โบราณทำการเจาะขั้นพื้นฐาน

to smooth out the rough holes left behind

เพื่อทำให้หลุมหยาบ ๆ เรียบ

and beeswax to plug cavities, like modern-day fillings.

และใช้ขึ้ผึ้งในการอุดฟันที่ผุ เช่นเดียวกันสารอุดฟันในปัจจุบัน

Today, we have much more sophisticated techniques and tools,

ทุกวันนี้ เรามีเทคนิคและเครื่องมือ ที่ทันสมัยซับซ้อนกว่านี้มาก

which is fortunate because we also need to contend with our more damaging,

ซึ่งโชคดีแล้ว เพราะว่าเรายังต้องการ ที่จะสู้กับความเสียหาย

sugar-guzzling ways.

จากการสวาปามน้ำตาลที่มากกว่าเดิม

After the Industrial Revolution, the human incidence of cavities surged

หลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม การฟันผุในมนุษย์ก็พุ่งสูงขึ้น

because suddenly we had technological advances

เพราะว่า ในทันทีทันใดนั้น เรามีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี

that made refined sugar cheaper and accessible.

ที่ทำให้น้ำตาลดี ๆ มีราคาถูกกว่าเดิม และหาได้ง่ายกว่าเดิม

Today, an incredible 92% of American adults have had cavities in their teeth.

ทุกวันนี้ น่าทึ่งที่ 92% ของผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน เคยมีฟันผุมาแล้ว

Some people are more susceptible to cavities due to genes

บางคนจะฟันผุได้ง่ายกว่าคนอื่น ๆ เนื่องจากยีน

that may cause certain weaknesses, like softer enamel,

ที่อาจทำให้เกิดความอ่อนแอ เช่น มีเคลือบฟันที่อ่อนกว่าปกติ

but for most, high sugar consumption is to blame.

แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ การบริโภคน้ำตาลมาก ถือเป็นตัวการสำคัญ

However, we have developed other ways of minimizing cavities

อย่างไรก็ดี เราได้พัฒนาวิธีการอื่น ๆ ที่จะลดการเกิดฟันผุ

besides reducing our intake of sugar and starch.

นอกเหนือจากการลดการบริโภคน้ำตาลและแป้ง

In most toothpastes and many water supplies,

ในยาสีฟันส่วนใหญ่ และในน้ำดื่มหลายแห่ง

we use tiny amounts of fluoride.

เราใส่ฟลูออไรด์ลงไปเล็กน้อย

That strengthens teeth and encourages the growth of enamel crystals

นั่นจะทำให้ฟันแข็งแรง และส่งเสริมการเจริญของผลึกเคลือบฟัน

that build up a tooth's defenses against acid.

ที่สร้างขึ้นเป็นชั้นป้องกันต่อกรด

When cavities do develop,

เมื่อเกิดการฟันผุขึ้น

we use tooth fillings to fill and close off the infected area,

เราใช้สารอุดฟันในการอุดและปิด บริเวณที่ติดเชื้อ

preventing them from getting worse.

เพื่อป้องกันพวกมันไม่ให้ย่ำแย่กว่าเดิม

The best way to avoid a cavity is still cutting down on sugar intake

ทางที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงการเกิดฟันผุ คือการลดการบริโภคน้ำตาล

and practicing good oral hygiene

และรักษาสุขภาพความสะอาดของฟัน

to get rid of the bacteria and their food sources.

เพื่อกำจัดแบคทีเรีย และแหล่งอาหารของพวกมัน

That includes regular tooth brushing,

นั่นรวมถึงการแปรงฟันอย่างสม่ำเสมอ

flossing,

การใช้ไหมขัดฟัน

and avoiding sugary,

และการหลีกเลี่ยงอาหารหวาน ๆ

starchy,

and sticky foods that cling to your teeth between meals.

แป้ง ๆ

และอาหารเหนียว ๆ ที่ติดฟันของคุณ ระหว่างมื้ออาหาร

Gradually, the population of sugar-loving microbes in your mouth will decline.

โดยทั่วไปแล้ว ประชากรจุลชีพที่ชื่นชอบน้ำตาล ในปากของคุณจะลดลง

Unlike the cavemen of yesteryear,

ไม่เหมือนกับมนุษย์ถ้ำเมื่อครั้งกระโน้น

today we have the knowledge required to avert a cavity calamity.

ทุกวันนี้ เรามีความรู้ที่จะนำไปใช้ ในการหลีกเลี่ยงสถานการณ์ฟันผุอันเลวร้าย

We just need to use it.

เราแค่ต้องทำให้เป็นนิสัยเท่านั้นเอง