Laura Snyder: The Philosophical Breakfast Club

Translator: Joseph Geni Reviewer: Morton Bast

Translator: Suwitcha Chandhorn Reviewer: Kelwalin Dhanasarnsombut

I'd like you to come back with me for a moment

ฉันอยากให้คุณมากับฉันซักประเดี๋ยว

to the 19th century,

ย้อนไปยังศตวรรษที่ 19

specifically to June 24, 1833.

โดยเฉพาะในวันที่ 24 มิถุนายน 1833

The British Association for the Advancement of Science

สมาคมอังกฤษเพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ (The British Association for the Advancement of Science)

is holding its third meeting at the University of Cambridge.

จัดการประชุมครั้งที่ 3 ขึ้นที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์

It's the first night of the meeting,

นั่นเป็นคืนแรกของการประชุม

and a confrontation is about to take place

และการเผชิญหน้าที่กำลังจะเกิดขึ้น

that will change science forever.

จะเปลี่ยนวิทยาศาสตร์ไปตลอดกาล

An elderly, white-haired man stands up.

ท่านผู้เฒ่าผมขาวท่านหนึ่งได้ยืนขึ้น

The members of the Association are shocked to realize

สมาชิกของสมาคมต่างตื่นตะลึง เมื่อได้รู้ว่า

that it's the poet Samuel Taylor Coleridge,

ท่านคือกวีนาม ซามูเอล เทเลอร์ โคลริดจ์ (Samuel Taylor Coleridge)

who hadn't even left his house in years until that day.

ผู้ซึ่งไม่เคยย่างกราย ออกจากบ้านของตนเองเลย จนกระทั่งวันนั้น

They're even more shocked by what he says.

พวกเขายิ่งตกตะลึงมากขึ้น กับสิ่งที่ท่านได้กล่าว

"You must stop calling yourselves natural philosophers."

"คุณต้องหยุดเรียกตนเองว่า นักปรัชญาธรรมชาติ เสียที"

Coleridge felt that true philosophers like himself

โคลริดจ์รู้สึกว่านักปรัชญาที่แท้จริงเช่นเขา

pondered the cosmos from their armchairs.

มักครุ่นคิดถึงจักรวาล จากเก้าอี้ของเขาเอง

They were not mucking around in the fossil pits

พวกเขาไม่ขุดคุ้ยหลุมซากดึกดำบรรพ์

or conducting messy experiments with electrical piles

หรือทำการทดลองยุ่งเหยิง ด้วยกลไกอิเล็กทรอนิกส์

like the members of the British Association.

เหมือนกับสมาชิกทั้งหลายของสมาคมอังกฤษ

The crowd grew angry and began to complain loudly.

ผู้ชมต่างโกรธเคือง และเริ่มส่งเสียงบ่นโหวกเหวกโวยวาย

A young Cambridge scholar named William Whewell stood up

นักศึกษาหนุ่มเคมบริดจ์นาม วิลเลียม วีห์เวล (William Whewell) ยืนขึ้น

and quieted the audience.

และทำให้ผู้ชมสงบลง

He politely agreed that an appropriate name

เขายอมรับอย่างสุภาพว่า ไม่มีชื่อที่เหมาะสม

for the members of the association did not exist.

สำหรับเรียกเหล่าบรรดาสมาชิกของสมาคม

"If 'philosophers' is taken to be too wide and lofty a term,"

"ถ้าคำว่า นักปรัชญา เป็นคำที่กว้างและสูงส่งเกินไป"

he said, "then, by analogy with 'artist,'

เขากล่าวต่อ "งั้น ด้วยการเปรียบกับคำว่า ศิลปิน

we may form 'scientist.'"

เราอาจจะได้คำว่า นักวิทยาศาสตร์"

This was the first time the word scientist

นี่เป็นครั้งแรกที่คำว่า นักวิทยาศาสตร์

was uttered in public,

ได้ถูกกล่าวอย่างเป็นทางการในที่สาธารณะ

only 179 years ago.

แค่ 179 ปีที่แล้วมานี่เอง

I first found out about this confrontation when I was in graduate school,

ฉันได้ทราบเรื่องการเผชิญหน้านี้ เมื่อตอนฉันเรียนปริญญาโท

and it kind of blew me away.

มันทำให้ฉัน ถึงกับมึน

I mean, how could the word scientist

เป็นไปได้ไงที่คำว่า นักวิทยาศาสตร์

not have existed until 1833?

ไม่เคยถูกใช้เลยจนกระทั่งปี 1833

What were scientists called before?

แล้วพวกนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ ถูกเรียกว่าอะไร ก่อนหน้านั้น

What had changed to make a new name necessary

อะไรคือจุดเปลี่ยนที่จำเป็นจะต้องใช้ชื่อใหม่

precisely at that moment?

ณ ช่วงเวลาจุดนั้น

Prior to this meeting, those who studied the natural world

ก่อนหน้าที่จะมีการประชุมนั้น ผู้คนที่ศึกษาโลกธรรมชาติ

were talented amateurs.

เป็นพวกมือสมัครเล่นที่มีพรสวรรค์

Think of the country clergyman or squire

ลองนึกถึงผู้ที่เป็นสมาชิกองค์กรทางศาสนา หรือ ผู้ติดตาม

collecting his beetles or fossils,

สะสมแมลง หรือ ซากดึกดำบรรพ์

like Charles Darwin, for example,

ตัวอย่างเช่น ชาลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin)

or, the hired help of a nobleman, like Joseph Priestley,

หรือ ผู้ช่วยรับจ้างของขุนนาง เช่น โจเซพห์ เพรสท์เลย์ (Joseph Priestley)

who was the literary companion

ผู้ซึ่งเป็นเหมือนคนสนิท

to the Marquis of Lansdowne

ของ ท่านมาร์ควิส แห่ง แลนส์ดอว์น

when he discovered oxygen.

เมื่อเขาได้ค้นพบออกซิเจน

After this, they were scientists,

หลังจากนี้ พวกเขาคือนักวิทยาศาสตร์

professionals with a particular scientific method,

มืออาชีพซึ่งใช้วิธีการเฉพาะตามแบบวิทยาศาสตร์

goals, societies and funding.

มี เป้าหมาย เครือข่าย และ เงินทุน

Much of this revolution can be traced to four men

การปฏิวัติในครั้งนี้ สามารถสาวเรื่องไปถึงบุคคล 4 ท่าน

who met at Cambridge University in 1812:

ผู้ซึ่งพบกันที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในปี 1812:

Charles Babbage, John Herschel, Richard Jones and William Whewell.

ชาร์ล แบบบาจ, จอห์น เฮอส์เชล, ริชาร์ด โจนส์ และ วิลเลี่ยม วีเวล

These were brilliant, driven men

ท่านเหล่านี้คือ ผู้ผลักดันชั้นเยี่ยม

who accomplished amazing things.

ซึ่งสร้างความสำเร็จอันวิจิตรพิสดารไว้หลายประการ

Charles Babbage, I think known to most TEDsters,

ชาร์ลส แบบบาจ (Charles Babbage) ฉันคิดว่าชาว TED คงรู้จักดี

invented the first mechanical calculator

เป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องกลคิดเลข เครื่องแรกของโลก

and the first prototype of a modern computer.

และเป็นเครื่องต้นแบบตัวแรก ของเครื่องคอมพิวเตอร์สมัยใหม่

John Herschel mapped the stars of the southern hemisphere,

จอห์น เฮอส์เชล (John Herschel) ทำแผนที่ดาวซีกโลกใต้

and, in his spare time, co-invented photography.

และ ในยามว่าง ก็ช่วยคิดค้นเรื่องการถ่ายภาพ

I'm sure we could all be that productive

ฉันคิดว่าพวกเราทุกคน สามารถผลิตผลงานได้มาก

without Facebook or Twitter to take up our time.

ถ้าไม่เอาเวลาไปเล่นเฟสบุ๊ค และทวิตเตอร์เสียหมด

Richard Jones became an important economist

ริชาร์ด โจนส์ (Richard Jones) กลายเป็นนักเศรษฐศาสตร์คนสำคัญ

who later influenced Karl Marx.

ผู้ซึ่งมีอิทธิพลกับ คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ในเวลาต่อมา

And Whewell not only coined the term scientist,

และวีเวล (William Whewell) ไม่ได้แค่บัญญัติศัพท์คำว่า นักวิทยาศาสตร์

as well as the words anode, cathode and ion,

ตลอดจนคำว่า แอโนด (anode) แคโทด (cathod) และ ไอออน (ion) เท่านั้น

but spearheaded international big science

แต่ยังเป็นหัวหอกใหญ่ให้กับวิทยาศาสตร์ ระดับนานาชาติ

with his global research on the tides.

ด้วยการวิจัยระดับโลกเรื่องกระแสน้ำ

In the Cambridge winter of 1812 and 1813,

ในฤดูหนาว ที่เคมบริดจ์ ช่วงปี 1812 และ 1813

the four met for what they called philosophical breakfasts.

ทั้งสี่ท่านได้พบกัน ในวาระที่พวกเขาเรียกว่า อาหารเช้าแห่งปรัชญา

They talked about science

พวกเขาถกกันเรื่องวิทยาศาสตร์

and the need for a new scientific revolution.

และเห็นพ้องกันว่า ต้องการการปฏิวัติใหม่ในวงการ

They felt science had stagnated

พวกเขารู้สึกว่า วิทยาศาสตร์ได้ซบเซาลง

since the days of the scientific revolution that had happened

นับจากวันแห่งการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้เกิดขึ้น

in the 17th century.

ในช่วงศตวรรษที่ 17 ที่ผ่านมา

It was time for a new revolution,

มันถึงเวลาสำหรับการปฏิวัติครั้งใหม่แล้ว

which they pledged to bring about,

ซึ่งพวกเขาจะต้องเป็นผู้ผลักดันให้เกิดขึ้น

and what's so amazing about these guys is,

และสิ่งที่มหัศจรรย์เกี่ยวกับคนกลุ่มนี้ก็คือ

not only did they have these

ไม่เพียงแต่ว่าพวกเขาจะมี

grandiose undergraduate dreams,

ความฝันของนักศึกษาที่ยิ่งใหญ่

but they actually carried them out,

แต่พวกเขาลงมือทำมันขึ้นมาจริงๆ

even beyond their wildest dreams.

เกินยิ่งไปกว่าความฝันอันคึกคะนองที่สุดของพวกเขา

And I'm going to tell you today

และฉันกำลังจะบอกพวกคุณวันนี้

about four major changes to science these men made.

เกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงสำคัญ 4 เรื่องที่พวกเขาทำ

About 200 years before,

เมื่อประมาณ 200 ปีก่อน

Francis Bacon and then, later, Isaac Newton,

ฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon) และจากนั้น ไอแซค นิวตัน (Isaac Newton)

had proposed an inductive scientific method.

ได้การยื่นเสนอ วิธีทางวิทยาศาสตร์แบบอุปนัย

Now that's a method that starts from

ซึ่งเป็นวิธีการที่เริ่มต้นจาก

observations and experiments

การเฝ้าสังเกต และ การทดลอง

and moves to generalizations about nature called natural laws,

แล้วไปยัง การสรุปองค์ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับธรรมชาติ ที่เรียกว่า กฏของธรรมชาติ

which are always subject to revision or rejection

ซึ่งทุกครั้งจะลงเอยด้วยการทบทวน หรือ การปฏิเสธ

should new evidence arise.

เมื่อมีหลักฐานใหม่ปรากฎขึ้น

However, in 1809, David Ricardo muddied the waters

อย่างไรก็ดี ในปี 1809 เดวิด ริคาร์โด (David Ricardo) ได้กวนน้ำให้ขุ่น

by arguing that the science of economics

ด้วยการให้เหตุผลว่า ศาสตร์แห่งเศรษฐศาสตร์

should use a different, deductive method.

ควรจะใช้วิธีการแบบนิรนัย ซึ่งมันต่างออกไป

The problem was that an influential group at Oxford

ปัญหาคือว่า กลุ่มที่มีอิทธิพลที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด

began arguing that because it worked so well in economics,

เริ่มที่จะเถียงว่า เพราะมันใช้งานได้ดีในทางเศรษฐศาสตร์

this deductive method ought to be applied

วิธีการอนุมานแบบนิรนัยนี้ จึงควรจะถูกนำไปใช้

to the natural sciences too.

ในทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติด้วย

The members of the philosophical breakfast club disagreed.

บรรดาสมาชิกของชมรมอาหารเช้าแห่งปรัชญาไม่เห็นด้วย

They wrote books and articles promoting inductive method

พวกเขาเขียนหนังสือและบทความ สนับสนุนวิธีการแบบอุปนัย

in all the sciences

ในวิทยาศาสตร์ทั้งมวล

that were widely read by natural philosophers,

ซึ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ในหมู่นักปรัชญาธรรมชาติ

university students and members of the public.

นักศึกษามหาวิทยาลัย และ สมาชิกทั่วไปในสังคม

Reading one of Herschel's books

การได้อ่านหนังสือของเฮอส์เชลเล่มหนึ่ง

was such a watershed moment for Charles Darwin

เปรียบประดุจดังจุดหักเหสำหรับ ชาลส์ ดาร์วิน

that he would later say, "Scarcely anything in my life

ซึ่งเขากล่าวในภายหลังว่า "แทบที่จะไม่มีสิ่งใดเลยในชีวิตผม

made so deep an impression on me.

ที่สร้างรอยประทับในใจผมได้มากมายเยี่ยงนี้

It made me wish to add my might

มันทำให้ผมอยากจะทุ่มเทพลังของผม

to the accumulated store of natural knowledge."

ให้กับการสะสมความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ"

It also shaped Darwin's scientific method,

มันยังช่วยทำให้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ของดาร์วินเฉียบคมขึ้น

as well as that used by his peers.

เช่นเดียวกันกับที่บรรดาเพื่อนของเขาที่ใช้วิธีดังกล่าว

[Science for the public good]

[วิทยาศาสตร์เพื่อปวงชน]

Previously, it was believed that scientific knowledge

ก่อนหน้านี้ เป็นที่เชื่อกันว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์

ought to be used for the good of the king or queen,

ควรถูกสงวนไว้เพื่อประโยชน์ของพระราชา หรือพระราชินี

or for one's own personal gain.

หรือเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนของใครบางคนเท่านั้น

For example, ship captains needed to know

ยกตัวอย่างเช่น กัปตันเรือจำเป็นต้องรู้

information about the tides in order to safely dock at ports.

ข้อมูลเกี่ยวกับกระแสน้ำ เพื่อที่จะนำเรือเทียบท่าได้อย่างปลอดภัย

Harbormasters would gather this knowledge

เจ้าท่า จะเป็นผู้เก็บข้อมูลเหล่านี้

and sell it to the ship captains.

และขายมันให้กับกัปตันเรือ

The philosophical breakfast club changed that,

ชมรมอาหารเช้าแห่งปรัชญา เปลี่ยนแปลงสิ่งนี้

working together.

ด้วยการร่วมมือกันทำงาน

Whewell's worldwide study of the tides

การศึกษาเรื่องกระแสน้ำทั่วโลกของวีห์เว (Whewell)

resulted in public tide tables and tidal maps

ทำให้เกิดตารางกระแสน้ำ และแผนที่น้ำขึ้นน้ำลง

that freely provided the harbormasters' knowledge

ซึ่งกระจายความรู้ของเจ้าท่านั้น

to all ship captains.

ให้กับกัปตันเรือต่างๆ ฟรีๆ

Herschel helped by making tidal observations

เฮอส์เชล ได้ช่วยเหลือโดยเฝ้าสังเกตน้ำขึ้นน้ำลง

off the coast of South Africa,

แถบชายฝั่งแอฟริกาใต้

and, as he complained to Whewell,

และ ตามที่เขาเคยบ่นกับวีห์เวล

he was knocked off the docks during a violent high tide for his trouble.

เขาถูกซัดตกจากท่าด้วยคลื่นสูง ในขณะที่ทำงานนี้

The four men really helped each other in every way.

ทั้งสี่คนต่างช่วยเหลือกันอย่างจริงจังในทุกวิถีทาง

They also relentlessly lobbied the British government

พวกเขาช่วยกันชักจูงรัฐบาลอังกฤษอย่างไม่ลดละ

for the money to build Babbage's engines

เพื่อให้ได้ทุนในการสร้างเครื่องจักรของแบบบาจ (Babbage)

because they believed these engines

เพราะพวกเขาเชื่อว่า เครื่องจักรชนิดนี้

would have a huge practical impact on society.

จะมีบทบาทอันใหญ่หลวงต่อสังคม

In the days before pocket calculators,

ก่อนที่เราจะมีเครื่องคิดเลขแบบพกพา

the numbers that most professionals needed --

จำนวนต่างๆ ที่มืออาชีพทั้งหลายต้องใช้

bankers, insurance agents, ship captains, engineers —

นายธนาคาร ตัวแทนประกันภัย กัปตันเรือ วิศวกร

were to be found in lookup books like this,

ถูกบันทึกไว้ในหนังสือ เช่นฉบับนี้

filled with tables of figures.

เต็มไปด้วยตารางของตัวเลข

These tables were calculated

ตารางเหล่านี้ถูกคำนวณ

using a fixed procedure over and over

ด้วยกระบวนการเดียวกัน ซ้ำไปซ้ำมา

by part-time workers known as -- and this is amazing -- computers,

โดยพนักงานชั่วคราว ตามที่รู้จักกัน... และนี่คือคอมพิวเตอร์ที่น่าอัศจรรย์

but these calculations were really difficult.

แต่การคำนวณเหล่านั้น ช่างแสนยากเย็นจริงๆ

I mean, this nautical almanac

ฉันหมายถึง ปูมบันทึกสถิติข้อมูลเพื่อการเดินเรือนี้

published the lunar differences for every month of the year.

ตีพิมพ์ การโคจรของดวงจันทร์ที่แตกต่างกัน ทุกๆเดือนของปี

Each month required 1,365 calculations,

ทุกเดือนต้องคำนวณถึง 1,365 ครั้ง

so these tables were filled with mistakes.

ดังนั้นตารางจึงเต็มไปด้วยความผิดพลาด

Babbage's difference engine was the first mechanical calculator

เครื่องคำนวณความแตกต่างของแบบบาจ (Babbage's difference engine) เป็นเครื่องจักรสำหรับคำนวณเครื่องแรก

devised to accurately compute any of these tables.

ที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ เพื่อคำนวณตารางเหล่านี้ให้ถูกต้อง

Two models of his engine were built in the last 20 years

เครื่องของเขาสองแบบได้ถูกสร้างขึ้น ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

by a team from the Science Museum of London

ด้วยฝีมือทีมงานจากพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งลอนดอน

using his own plans.

ด้วยแบบแผนของพวกเขาเอง

This is the one now at the Computer History Museum in California,

นี่คือเครื่องหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์คอมพิวเตอร์แห่งแคลิฟอร์เนีย

and it calculates accurately. It actually works.

และมันคำนวณได้อย่างถูกต้อง มันทำงานได้จริงๆ

Later, Babbage's analytical engine

ในเวลาต่อมา เครื่องวิเคราะห์ของแบบบาจ

was the first mechanical computer in the modern sense.

ถูกนับเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรก ในยุคปัจจุบัน

It had a separate memory and central processor.

มันมีหน่วยความจำแยก และตัวประมวลผลกลาง

It was capable of iteration, conditional branching

มันมีความสามารถในการแยกคำนวณ คำนวณตามข้อกำหนด

and parallel processing,

และคำนวณแบบคู่ขนานได้

and it was programmable using punched cards,

และมันสามารถคำนวณตามลำดับขั้นได้ด้วยบัตรตอก

an idea Babbage took from Jacquard's loom.

ซึ่งเป็นแนวคิดที่แบบบาจ นำมาจากเครื่องทอผ้าของแจ็คเวิร์ด (Jacquard)

Tragically, Babbage's engines never were built in his day

น่าเศร้า ที่เครื่องจักรของแบบบาจ ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นในยุคของเขา

because most people thought that

เพราะคนส่วนใหญ่คิดว่า

non-human computers would have no usefulness

เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่ใช้มนุษย์ จะไม่มีประโยชน์

for the public.

สำหรับสาธารณะ

[New scientific institutions]

[สถาบันทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่]

Founded in Bacon's time, the Royal Society of London

ราชสมาคมแห่งลอนดอน ถูกก่อตั้งขึ้นในสมัยของเบคอน (Bacon)

was the foremost scientific society in England

เป็นสมาคมวิทยาศาสตร์ที่ล้ำหน้าที่สุดในอังกฤษ

and even in the rest of the world.

หรือที่สุดในโลกก็ว่าได้

By the 19th century, it had become

ในศตวรรษที่ 19 มันกลายเป็น

a kind of gentleman's club

คล้ายๆ กับชมรมสำหรับสุภาพบุรุษ

populated mainly by antiquarians, literary men and the nobility.

ซึ่งเต็มไปด้วย นักศึกษาโบราณวัตถุ นักประพันธ์ และ ชนชั้นสูง

The members of the philosophical breakfast club

สมาชิกของชมรมอาหารเช้าแห่งปรัชญา

helped form a number of new scientific societies,

ได้ช่วยให้กลุ่มสังคมทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เป็นรูปเป็นร่างขึ้น

including the British Association.

รวมไปถึงสมาคมอังกฤษ

These new societies required

กลุ่มสังคมใหม่นี้ กำหนดให้สมาชิก

that members be active researchers publishing their results.

เป็นนักวิจัยที่ตื่นตัว ตีพิมพ์ผลงานของพวกเขา

They reinstated the tradition of the Q&A

พวกเขานำวิธีการถามตอบแบบดั้งเดิม กลับมาใช้ใหม่

after scientific papers were read,

หลังจากที่ผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ถูกอ่าน

which had been discontinued by the Royal Society

ซึ่งได้เคยถูกเลิกไปโดยราชสมาคม

as being ungentlemanly.

ด้วยความเห็นที่ว่ามันไม่เป็นสุภาพบุรุษ

And for the first time, they gave women a foot in the door of science.

และเป็นครั้งแรกที่ พวกเขามอบก้าวแรกแห่งวิทยาศาสตร์ให้กับสตรี

Members were encouraged to bring their wives,

สมาชิกถูกสนับสนุนให้นำภรรยาของพวกเขา

daughters and sisters to the meetings of the British Association,

บุตรสาว และ พี่น้องที่เป็นสตรี มาเข้าร่วมประชุมด้วย

and while the women were expected to attend

และในขณะที่สตรี ถูกคาดหวังว่าจะให้เข้าร่วม

only the public lectures and the social events like this one,

เฉพาะในการบรรยายสาธารณะ และการสังสรรค์ เช่นนี้

they began to infiltrate the scientific sessions as well.

พวกเธอก็เริ่มที่จะแทรกซึมเข้าไป ในการประชุมทางวิทยาศาสตร์ เช่นกัน

The British Association would later be the first

ต่อมา สมาคมอังกฤษได้กลายเป็นแห่งแรก

of the major national science organizations in the world

ในบรรดาองค์กรทางวิทยาศาสตร์ระดับชาติในโลก

to admit women as full members.

ที่ยอมรับสตรีเป็นสมาชิกเต็มตัว

[External funding for science]

[แหล่งทุนภายนอก เพื่อวิทยาศาสตร์]

Up to the 19th century,

เรื่อยมาจนกระทั่งศตวรรษที่ 19

natural philosophers were expected to pay

นักปรัชญาทางธรรมชาติ มักจะต้องจ่ายเงิน

for their own equipment and supplies.

เพื่อซื้ออุปกรณ์และวัตถุดิบของตนเอง

Occasionally, there were prizes,

บางครั้ง มีการตั้งเงินรางวัล

such as that given to John Harrison in the 18th century,

เช่น ที่เคยให้กับ จอห์น แฮริสัน (John Harrison) ในศตวรรษที่ 18

for solving the so-called longitude problem,

ในการไขปริศนา สิ่งที่เรียกว่าปัญหาลองจิจูด

but prizes were only given after the fact,

แต่เงินรางวัลได้ถูกมอบให้ ภายหลังจากความจริงกระจ่าง

when they were given at all.

หากรางวัลนั้นมีการมอบเกิดขึ้นจริงๆ

On the advice of the philosophical breakfast club,

ด้วยคำปรึกษาของชมรมอาหารเช้าแห่งปรัชญา

the British Association began to use the extra money

สมาคมอังกฤษเริ่มที่จะมอบเงินพิเศษ

generated by its meetings to give grants

ที่รวบรวมได้จากการประชุม เพื่อให้กับ

for research in astronomy, the tides, fossil fish,

การวิจัยเรื่องดาราศาสตร์ กระแสน้ำ ซากปลาดึกดำบรรพ์

shipbuilding, and many other areas.

การต่อเรือ และเรื่องอื่นๆอีกมาก

These grants not only allowed

เงินทุนวิจัยเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะทำให้

less wealthy men to conduct research,

คนที่ไม่ค่อยมีฐานะ สามารถทำวิจัยได้

but they also encouraged thinking outside the box,

แต่มันยังสนับสนุนให้คนคิดนอกกรอบ

rather than just trying to solve one pre-set question.

แทนที่จะแค่แก้ปัญหา ที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าเพียงอย่างเดียว

Eventually, the Royal Society

ในที่สุด ราชสมาคม

and the scientific societies of other countries followed suit,

และกลุ่มสังคมวิทยาศาสตร์ในประเทศอื่นๆ ก็ทำตาม

and this has become -- fortunately it's become --

และโชคดี -- ที่มันกลายเป็น --

a major part of the scientific landscape today.

ส่วนหลักของภูมิสถาปัตย์ทางวิทยาศาสตร์ทุกวันนี้

So the philosophical breakfast club

ดังนั้น ชมรมอาหารเช้าแห่งปรัชญา

helped invent the modern scientist.

เป็นผู้ช่วยให้กำเนิดนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่

That's the heroic part of their story.

นั่นคือส่วนที่เป็นพระเอกของเรื่อง

There's a flip side as well.

มีเรื่องราวอีกด้านหนึ่งเช่นกัน

They did not foresee at least one consequence

พวกเขาไม่ได้คาดว่าจะเกิดผลกระทบอย่างหนึ่ง

of their revolution.

ในการปฏิวัติครั้งนี้

They would have been deeply dismayed

พวกเขาคงจะขวัญหนีดีฝ่อ

by today's disjunction between science and the rest of culture.

ต่อความแตกแยกระหว่างวิทยาศาสตร์ กับส่วนอื่นๆของวัฒนธรรมในปัจจุบัน

It's shocking to realize

มันน่าวิตก ที่ได้รู้ว่า

that only 28 percent of American adults

มีผู้ใหญ่ชาวอเมริกันเพียงแค่ 28% เท่านั้น

have even a very basic level of science literacy,

ที่มีความรู้ถึงระดับพื้นฐานขั้นต่ำทางวิทยาศาสตร์

and this was tested by asking simple questions like,

และเราสามารถทำการทดสอบ ได้ด้วยการถามคำถามง่ายๆ เช่น

"Did humans and dinosaurs inhabit the Earth at the same time?"

"มนุษย์และไดโนเสาร์ มีชีวิตอยู่ในยุคเดียวกันหรือไม่"

and "What proportion of the Earth is covered in water?"

และ "ในโลกถูกปกคลุมด้วยน้ำเป็นสัดส่วนเท่าใด"

Once scientists became members of a professional group,

เมื่อนักวิทยาศาสตร์ กลายเป็นสมาชิกของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ

they were slowly walled off from the rest of us.

พวกเขาได้ค่อยๆ ตั้งกำแพงกับพวกเราที่เหลืออย่างช้าๆ

This is the unintended consequence of the revolution

นี่เป็นผลกระทบที่ไม่ตั้งใจให้เกิดขึ้นจากการปฏิวัติ

that started with our four friends.

ซึ่งเริ่มมาจากเพื่อนของเราทั้งสี่

Charles Darwin said,

ชาลส์ ดาร์วิน กล่าวไว้ว่า

"I sometimes think that general and popular treatises

"บางที ผมก็คิดว่าศาสตรนิพนธ์สำหรับสาธารณชนทั่วไป

are almost as important for the progress of science

มีความสำคัญกับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เกือบจะเทียบเท่า

as original work."

กับงานที่เป็นต้นแบบเลยทีเดียว"

In fact, "Origin of Species" was written

ความจริงแล้ว "กำเนิดของสรรพชีวิต" (Origin of Species) ได้ถูกเขียนขึ้น

for a general and popular audience,

สำหรับผู้อ่านทั่วๆไป

and was widely read when it first appeared.

และมันถูกอ่านอย่างกว้างขวาง เมื่อถูกตีพิมพ์เป็นครั้งแรก

Darwin knew what we seem to have forgotten,

ดาร์วิน รู้ในสิ่งที่เราเหมือนจะหลงลืมไป

that science is not only for scientists.

ว่าวิทยาศาสตร์นั้น ไม่ใช่แค่สิ่งที่พึงสงวนไว้ ให้กับเฉพาะนักวิทยาศาสตร์ด้วยกันเท่านั้น

Thank you.

ขอบคุณค่ะ

(Applause)

(เสียงปรบมือ)