To learn is to be free | Shameem Akhtar

A room full of boys.

Translator: Supanida Hanmontree

ห้องที่เต็มไปด้วยเด็กชาย

A girl child, hardly nine or ten years old,

เด็กหญิงคนหนึ่งอายุราว ๆ 9 หรือ 10 ขวบ

she is sitting in the center of the room, surrounded by books.

เธอนั่งอยู่ตรงกลาง ของห้องที่มีหนังสือล้อมรอบ

เธอเป็นหญิงสาวคนเดียวในหมู่เด็กชาย

She is the only girl among boys,

and is barely missing her female cousins and friends,

และก็แทบไม่มี เพื่อนหรือญาติผู้หญิง

who are inside the home instead of the school,

ผู้ที่อยู่ในบ้าน แทนที่จะอยู่ในโรงเรียน

because they are not allowed to get an education alongside boys.

เพราะพวกเธอไม่ได้รับอนุญาต ให้ได้รับการศึกษาเหมือนเด็กผู้ชาย

There isn't a single functional girls' school in her village.

ไม่มีโรงเรียน สตรีสักที่ในหมู่บ้านของเธอ

She was born in a Baloch conservative tribe,

เธอเกิดในบาโล้ช ซึ่งเป็นชนเผ่าอนุรักษ์นิยม

where women and girls are a matter of honor.

ที่ที่ผู้หญิงและเด็กหญิง เป็นสิ่งที่มีเกียรติ

She is the eldest in her family,

เธอเป็นลูกสาวคนโตของครอบครัว

and when she was about to be born, her parents wanted a baby boy.

ตอนที่กำลังจะเกิด พ่อแม่เธออยากได้ลูกชาย

But they had bad luck; a baby girl arrived.

แต่พวกเขาโชคร้าย ที่ลูกสาวมาเกิดแทน

It was customary in her family to keep girls inside the homes.

เป็นธรรมเนียมของครอบครัวของเธอ ที่ให้ลูกสาวอยู่แต่ในบ้าน

But her uncle, who was a university graduate,

แต่ลุงของเธอที่คนที่ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย

he wanted to give her an opportunity to see the world,

เขาต้องการให้โอกาสเธอ ได้เห็นโลก

to be part of the society.

ได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคม

Luckily, she has a name that can be used for both men and women.

โชคดีที่เธอมีชื่อ ที่สามารถใช้ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง

So he saw a chance to change her course of life.

ดังนั้นเขาจึงเห็นโอกาส ที่จะเปลี่ยนเส้นทางชีวิตเธอ

So he decided to raise her as a boy.

ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจเลี้ยงเธอเป็นเด็กชาย

At three months old,

ขณะที่เธออายุ 3 เดือน

she went from being a baby girl, to baby boy.

เธอเปลี่ยนจาก เป็นทารกเพศหญิง เป็นทารกชาย

She is given a boy's getup.

เธอได้ใส่เสื้อของเด็กผู้ชาย

She is allowed to go outside

เธอได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอก

and get an education alongside boys.

และได้รับการศึกษาเหมือนกับเด็กชาย

She is free, she is confident.

เธอมีอิสระและมีความมั่นใจ

She observes, she notes small, everyday injustices

เธอสังเกต จดบันทึก ความยุติธรรมเล็กๆน้อยๆที่มีในทุก ๆ วัน

faced by women and girls in her village.

ที่ผู้หญิงและเด็กสาวเจอในหมู่บ้านของเธอ

When newspapers arrive at her home,

เมื่อหนังสือพิมพ์มาที่บ้าน

she watches as it passes from the eldest man to the youngest man.

เธอมองหนังสือพิมพ์ส่งผ่าน จากชายแก่ที่สุดสู่ชายที่หนุ่มที่สุด

By the time women get hold of the paper,

เมื่อหนังสือพิมพ์มาถึงมือผู้หญิง

it is old news.

มันเป็นข่าวเก่าแล้ว

She completes her eighth-grade year.

เธอเรียนจบเกรด 8

Now fear starts to come in.

ตอนนี้ความกลัวเริ่มเข้ามา

This will be the end of her education,

นี่จะเป็นจุดจบในการศึกษาของเธอ

because the only option for high school for further study

เพราะทางเลือกเดียว ในการเรียนต่อในโรงเรียนมัธยมปลาย

is five kilometers away.

อยู่ไกลไปถึง 5 กิโลเมตร

Boys have bicycles, they are free.

เด็กผู้ชายมีจักรยาน พวกเขามีอิสระ

But she knows

แต่เธอรู้

her father will not allow her to travel on her own,

ว่าพ่อจะไม่อนุญาต ให้เธอเดินทางไปโดยเธอเอง

even if she were posing as a boy.

แม้ว่าเธอจะแสดงออกเหมือนเด็กผู้ชาย

"I can't let you do that.

"พ่อให้หนูทำอย่างนั้นไม่ได้

And I don't have the time to walk you there and back.

และพ่อก็ไม่มีเวลา ที่จะเดินไปส่งและไปรับ

Sorry, it is impossible."

ขอโทษนะ เป็นไปไม่ได้"

She gets very upset.

เธอหงุดหงิดมาก

But a miracle happened.

แต่ก็มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น

A long-distance relative offers to teach her

การเดินทางไกล ได้สอนเธอ

ninth- and tenth-grade curricula

หลักสูตรเกรด 9 และเกรด 10

during summer vacations.

ในช่วงวันหยุดภาคฤดูร้อน

This is how she completed her matriculation.

นี่คือวิธีที่เธอได้ลงเรียนสำเร็จ

The girl whom I am talking about to you

เด็กหญิงที่ฉันกำลังเล่าให้พวกคุณฟัง

is me, Shameem, who is talking before you now.

คือฉันเอง ชามีม คนที่กำลังพูดกับคุณตอนนี้

(Applause)

(เสียงปรบมือ)

กว่าศตวรรษที่ผู้คน ลุกขึ้นสู้เพื่อเอกลักษณ์ของตน

Throughout centuries, people have been fighting for their identity.

People have been loved, privileged, because of their identity,

ผู้คนได้รับความรัก มีสิทธิ์พิเศษ เพราะอัตลักษณ์ของพวกเขา

their nationality, their ethnicity.

สัญชาติของพวกเขาและเชื้อชาติของพวกเขา

Again, people have been hated, denied,

อีกครั้งหนึ่ง ผู้คนเกลียดกัน ไม่ยอมรับกัน

because of their nationality, their identity,

เพราะเรื่องของสัญชาติ อัตลักษณ์ของพวกเขา

their race, their gender, their religion.

เชื้อชาติ เพศ และศาสนาของพวกเขา

Identity determines your position in society, wherever you live.

อัตลักษณ์แบ่งแยกชนชั้นทางสังคมของคุณ ในสังคมที่ที่คุณอยู่

So if you ask me, I would say I hate this question of identity.

ดังนั้นถ้าถามฉัน ฉันจะบอกว่า ฉันเกลียดคำถามเกี่ยวกับเรื่องเอกลักษณ์

Millions of girls in this world are being denied their basic rights

เด็กหญิงกว่าล้านคนบนโลก ถูกปฏิเสธสิทธิพื้นฐานของเธอ

because of being female.

เพราะเป็นผู้หญิง

I would have faced the same, if I hadn't been raised as a boy.

ฉันอาจเจอแบบนั้น ถ้าฉันไม่ถูกเลี้ยงมาแบบเป็นเด็กผู้ชาย

I was determined to continue my studies, to learn, to be free.

ฉันตั้งใจที่จะเรียนต่อ เพื่อจะเรียนรู้ เพื่อจะได้มีอิสระ

After my schooling, even enrolling in college was not easy for me.

หลังจากการเรียน แม้ว่าลงเรียน ในวิทยาลัยจะไม่ง่ายสำหรับฉัน

I went on a three-day hunger strike.

ฉันทำการอดอาหารปะท้วง 3 วัน

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

Then, I got permission for college.

จากนั้น ฉันได้รับอนุญาตให้เรียนวิทยาลัย

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

(Applause)

(เสียงปรบมือ)

In that way, I completed my college.

ด้วยทางนั้น ฉันเรียนจบวิทยาลัย

สองปีต่อมา เมื่อถึงเวลา ที่ฉันต้องเรียนต่อมหาวิทยาลัย

Two years later, when the time came for me to go to university,

my father turned his eyes, his attention, to my younger brothers.

พ่อเปลี่ยน ความสนใจเป็นมาสนใจน้องชายของฉัน

They need to be in school, secure jobs and support the family.

เขาต้องอยู่ในโรงเรียน ต้องมีงานมั่นคงและเลี้ยงครอบครัว

And as a woman, my place was to be home.

และจากที่เป็นผู้หญิง ที่ของฉันต้องเป็นบ้าน

But, I don't give up.

แต่ฉันไม่ยอมแพ้

I sign up for a two-year program to become a lady health visitor.

ฉันสมัครเรียนโปรแกรม 2 ปี เพื่อที่จะเป็นพยาบาลออกเยี่ยมบ้าน

Then I hear about Thardeep Rural Development Program,

ต่อมาฉันได้ยินเกี่ยวกับธาร์ดีป โปรแกรมพัฒนาชนบท

a non-profit organization working to empower rural communities.

องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ทำงานเพื่อพัฒนาชุมชนในชนบท

ฉันแอบหนีไป

I sneak away.

I travel five hours to interview for a position.

ฉันเดินทาง 5 ชั่วโมง เพื่อมาสัมภาษณ์ตำแหน่ง

เป็นครั้งแรกที่ฉันอยู่ไกลที่สุด จากบ้านฉันซึ่งฉันไม่เคยมา

It is the first time I am the farthest from my home I have ever been.

I am closest to my freedom I have ever been.

ฉันใกล้ที่สุดกับอิสรภาพ ที่ฉันเคยเป็น

Luckily, I got the job,

โชคดีมาก ฉันได้งาน

but the hardest part is facing my father.

แต่ความยาก คือ จะต้องเผชิญหน้ากับพ่อ

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

Relatives are already scaring him

ญาติ ๆ ทำให้พ่อกลัวแล้วเรียบร้อย

about his daughter wandering off,

ว่าลูกสาวเขาได้ออกนอกลู่นอกทางไปแล้ว

teasing him with talk of his daughter crossing the border.

แกล้งพ่อด้วยการพูด ว่าลูกสาวของท่านเดินทางข้ามพรมแดน

When I return home,

เมื่อฉันกลับถึงบ้าน

ฉันไม่ต้องการอะไรนอกจากแค่ ยอมรับตำแหน่งงานในธาร์ดีป

I want nothing more than just to accept the position in Thardeep.

So that night, I packed all my things in a bag,

ดังนั้นในคืนนั้น ฉันจัดของ ทุกอย่างใส่กระเป๋าหนึ่งใบ

and I walked into my father's room and told him,

และเดินเข้าไป ในห้องพ่อและบอกพ่อว่า

"Tomorrow morning, the bus is going to come in.

"พรุ่งนี้เช้า รถบัสกำลังจะมา

If you believe in me,

ถ้าพ่อเชื่อมั่นในตัวหนู

if you believe in me,

ถ้าพ่อเชื่อมั่นในตัวหนู

you will wake me up and take me to the bus station.

พ่อจะปลุกหนู และจะไปส่งหนูที่สถานีรถบัส

If you don't, I'll understand."

ถ้าพ่อไม่เชื่อมั่นในตัวหนู หนูเข้าใจพ่อ"

Then I went to sleep.

จากนั้นฉันจึงไปนอน

The next morning, my father was standing beside me

เช้าวันต่อมา พ่อ ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉัน

to take me to the bus stop.

เพื่อไปส่งฉันที่สถานีรถบัส

(Applause)

(เสียงปรบมือ)

That day, I understood the importance of words.

วันนั้น ฉันเข้าใจ ความสำคัญของถ้อยคำ

I understood how words affect our hearts,

ฉันเข้าใจว่าถ้อยคำส่งผลต่อจิตใจ ของเราอย่างไร

how words play an important role in our lives.

ถ้อยคำมีบทบาทความสำคัญต่อชีวิตเราอย่างไร

I understood words are more powerful than fighting.

ฉันเข้าใจว่าถ้อยคำทรงพลังมากกว่าการต่อสู้

At TRDP, I saw there was a Pakistan which I didn't know,

ในทีอาร์ดีพี ฉันได้เห็นว่ายังมีปากีสถาน ที่ฉันไม่รู้จัก

a country much more complex than I had realized.

ประเทศมีอะไรซับซ้อน มากกว่าที่ฉันเคยคิด

จนถึงว่า ฉันคิดว่า ฉันมีชีวิตที่ลำบาก

Until that, I thought I had a difficult life.

But here, I saw what women in other parts of Pakistan were experiencing.

แต่ที่นี่ ฉันเห็นผู้หญิงในภาคอื่นๆ ของปากีสถานที่กำลังประสบ

It really opened my eyes.

ฉันได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ

Some women had 11 children but nothing to feed them.

ผู้หญิงบางคนมีลูก 11 คน แต่ไม่มีอะไรจะเลี้ยงลูก

For getting water, they would walk three hours every day to wells.

เพื่อที่จะเอาน้ำ เขาต้องเดิน 3 ชั่วโมงทุกวันไปบ่อน้ำ

The nearest hospital was at least 32 kilometers away.

โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด อยู่ห่างออกไปอีกอย่างน้อย 32 กิโลเมตร

So if a woman is in labor,

ดังนั้น ถ้าผู้หญิงกำลังจะคลอดลูก

she travels by camel to get to the hospital.

เธอเดินทางโดยอูฐ เพื่อที่จะไปโรงพยาบาล

ทางไกลมาก เธออาจตายระหว่างทาง

The distance is great; she may die on her way.

So now, this became more than just a job for me.

ดังนั้นตอนนี้ เรื่องนี้กลายเป็น มากกว่าแค่งานนึงสำหรับฉัน

I discovered my power.

ฉันค้นพบพลังพิเศษของฉัน

Now, as I was getting salary,

ตอนนี้ ฉันได้เงินเดือนแล้ว

I started sending back money to my home.

ฉันเริ่มส่งเงินกลับบ้าน

Relatives and neighbors were noticing this.

ญาติ ๆ และเพื่อนบ้าน กำลังสังเกตดูสิ่งนี้

Now they started to understand the importance of education.

ตอนนี้ พวกเขาเริ่มเข้าใจถึง ความสำคัญของการศึกษา

By that time, some other parents started sending their daughters to school.

ภายในเวลานั้น พ่อแม่คนอื่นๆ เริ่มส่งลูกสาวไปโรงเรียน

Slowly, it became easier and acceptable

เริ่มง่ายขึ้นและสามารถยอมรับได้อย่างช้า ๆ

for young women to be in college.

สำหรับผู้หญิงกับการได้เรียนในวิทยาลัย

Today, there isn't a single girl out of school in my village.

วันนี้ ไม่มีหญิงคนไหน ในหมู่บ้านไม่ได้เรียน

(Applause)

(เสียงปรบมือ)

Girls are doing jobs in health sites, even in police.

เด็กสาวได้ทำงาน สายสุขภาพ บางคนเป็นถึงตำรวจ

Life was good.

ชีวิตดีขึ้น

But somewhere in my heart,

แต่ส่วนหนึ่งหนึ่งในใจของฉัน

I realized that my region, beyond my village

ฉันตระหนักว่าในภูมิภาคของฉัน นอกเหนือจากหมู่บ้านแล้ว

needs further change.

ต้องการการเปลี่ยนแปลงต่อไป

This was also the time when I joined Acumen Fellowship.

นี่จึงเป็นเวลา ที่ฉันเข้าร่วมอะคูเมนเฟลโลวชิพเช่นกัน

There, I met leaders like me across the country.

ที่นั่น ฉันพบผู้นำเหมือนฉัน จากทั่วประเทศ

And I saw they are taking risks in their lives.

และฉันเห็นว่า พวกเขากำลังเสี่ยงชีวิต

I started to understand

ฉันเริ่มเข้าใจ

what leadership really means.

ว่าภาวะผู้นำจริง ๆ แล้วหมายความว่าอย่างไร

So I decided to go back to my region

ดังนั้น ฉันจึงตัดสินใจกลับไปภูมิภาคของฉัน

and take a position as a teacher in a remote school,

และเข้าทำงานเป็นตำแหน่งครู ในโรงเรียนที่ห่างไกล

a school that I have to reach by bus --

โรงเรียนที่ฉันต้องไปถึงโดยรถบัส

two hours traveling, every morning and evening.

เดินทาง 2 ชั่วโมง ทุกเช้าเย็น

Though it was hard, on my first day I knew

แม้ว่ามันจะลำบาก แต่ในวันแรก ฉันก็รู้ว่า

I made the right decision.

ฉันตัดสินใจถูก

The first day I walked into the school,

วันแรกที่ฉันเดินไปในโรงเรียน

I saw all these little Shameems staring back at me --

ฉันเห็นชามีมน้อยหลายคน จ้องมองกลับมาที่ฉัน

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

with dreams in their eyes,

ด้วยความฝันในสายตาของเขา

the same dream of freedom which I had in my childhood.

ความฝันเดียวกัน ที่จะมีอิสรภาพ ที่ฉันมีในวัยเด็ก

So the girls are eager to learn, but the school is understaffed.

เด็กผู้หญิงใฝ่เรียนมาก แต่โรงเรียนมีบุคลากรไม่เพียงพอ

Girls sit hopeful,

เด็กสาวนั่งด้วยความหวัง

learn nothing,

ไม่ได้เรียนอะไร

and they leave.

แล้วก็ออกไป

I can't bear to see this happening.

ฉันไม่สามารถทนเห็นแบบนี้เกิดขึ้นได้

There was no turning back.

มันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรกลับมาเลย

I found my purpose.

ฉันพบเป้าหมายของฉัน

I enlisted a few of my friends to help me to teach.

ฉันเขียนรายชื่อเพื่อน ๆไม่กี่คน เพื่อมาช่วยฉันสอน

I'm introducing my girls to the outside world

ฉันแนะนำนักเรียนหญิงของฉัน สู่โลกภายนอก

by extracurricular activities and books.

ผ่านกิจกรรมนอกหลักสูตรและหนังสือ

ฉันแบ่งปันให้พวกเธอรู้ประวัติ บรรดาผู้นำที่ดีที่สุดของโลก

I share with them the profiles of the world's best leaders,

like Martin Luther King and Nelson Mandela.

เช่น มาร์ติน ลูเทอร์ คิง และ เนลสัน แมนเดลลา

Last year, a few of our students went to college.

ปีที่แล้ว นักเรียนส่วนน้อย เรียนต่อวิทยาลัย

For me, I never stop studying.

สำหรับฉันแล้ว ฉันไม่เคยหยุดเรียนรู้

Today, I'm working to complete my PhD in education --

ทุกวันนี้ ฉันกำลังทำงานเพื่อ เรียนปริญญาเอกด้านการศึกษาให้จบ

(Applause)

(เสียงปรบมือ)

which will allow me to gain a management position

ซึ่งจะทำให้ฉันได้รับ ตำแหน่งบริหาร

in the school system,

ในระบบโรงเรียน

and I will be able to make more decisions

และฉันจะสามารถทำการตัดสินใจได้มากยิ่งขึ้น

and play a pivotal role in the system.

และมีบทบาทสำคัญในระบบ

I believe that without educating the girls,

ฉันเชื่อว่า ปราศจาก การให้การศึกษาแก่เด็กหญิง

we may not make world peace.

เราอาจไม่ได้ทำให้โลกเกิดสันติภาพ

เราอาจไม่ได้ลดการแต่งงานตั้งแต่เด็ก

We may not reduce child marriage.

We may not reduce infant mortality rate.

เราอาจไม่ได้ลดอัตราการตายของเด็กทารก

We may not reduce maternal mortality rate.

เราอาจไม่ได้ลดอัตราการตายระหว่างตั้งครรภ์

For this, we have to continuously

เพื่อสิ่งนี้ เราต้องทำงานกันอย่างต่อเนื่อง

และร่วมมือกัน

and collectively work together.

At least I am playing my role,

อย่างน้อย ฉันกำลังทำในบทบาทของฉัน

though the destination is not close.

แม้ว่าจุดหมายจะไม่ใกล้

หนทางไม่ง่ายนัก

The road is not easy.

But I have dreams in my eyes,

แต่ฉันมีความฝันในสายตาของฉัน

and I am not going to look back now.

และฉันไม่ได้กำลังจะมองย้อนกลับไปในตอนนี้

ขอบคุณค่ะ

Thank you.

(เสียงปรบมือ)

(Applause)