The rise and fall of the medieval Islamic Empire - Petra Sijpesteijn & Birte Kristiansen

Translator: Nitchamat Watthanasiriphawong Reviewer: Sakunphat Jirawuthitanant

In the 7th century CE, one man started a chain of events

ในศตวรรษที่ 7 มีชายคนหนึ่งผู้ที่ทำให้ เรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้น

that would change the world order for good.

ซึ่งเปลี่ยนระเบียบกฎเกณฑ์ของ โลกใบนี้ไปในทางที่ดี

The prophet Muhammad united the people of the Arabian Peninsula

ศาสดานบีมูฮัมหมัดได้รวบรวมผู้คน ในแถบคาบสมุทรอาหรับ

through the formation of Islam.

ด้วยการสถาปนาศาสนาอิสลาม

These people included both nomadic Bedouin tribes

ประชากรเหล่านี้ประกอบด้วย เผ่าเบดูอินเร่ร่อน

and the inhabitants of oasis cities like Mecca and Medina.

และคนพื้นเมืองในแถบโอเอซิส อย่างมักกะฮ์ และมะดีนะฮ์

Until Muhammad’s time, the region hadn’t been considered a serious match

จวบจนถึงยุคสมัยของมูฮัมหมัด แคว้นแห่งนี้ ยังไม่ถือว่าเป็นคู่แข่งที่สำคัญ

for the powerful neighboring Persian and Byzantine empires.

สำหรับจักรวรรดิยิ่งใหญ่อย่าง เปอร์เซียและไบแซนไทน์

But the alliance Muhammad formed was political as well as religious,

แต่สมาชิกที่นบีมูฮัมหมัดรวบรวมนั้น เกี่ยวเนื่องกับการเมืองและศาสนา

an empire with Medina as its political heart

อย่างนครมะดีนะฮ์ที่เป็น ส่วนสำคัญทางการเมือง

and a force to be reckoned with.

และเป็นกองกำลังที่สำคัญ

Muhammad was a one-of-a-kind leader.

มูฮัมหมัดเป็นผู้นำที่ไม่เหมือนใคร

He had been a member of the Quraysh, the tribe that controlled Mecca.

เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูลคูยาสห์ ที่ควบคุมนครเมกกะฮ์

After Muhammad’s death,

หลังจากมูฮัมหมัดเสียชีวิต

those close to him deliberated who should succeed him—

คนใกล้ชิดก็ตั้งใจที่จะสืบทอดต่อจากเขา

a contentious question.

ซึ่งเป็นประเด็นที่ถกเถียงกัน

Abū Bakr, Muhammad’s father-in-law,

อะบูบักร์ ผู้ซึ่งเป็นพ่อตาของมูฮัมหมัด

emerged victorious and became the new caliph, or successor.

ปรากฏตัวขึ้นและได้เป็นกาหลิบคนใหม่ หรือเรียกกันว่าผู้สืบทอด

Over the next 30 years, four caliphs, all from Muhammad's tribe,

30 ปีถัดมา กาหลิบทั้งสี่จากตระกูล ของนบีมูฮัมหมัด

conquered vast areas beyond Arabia,

ได้พิชิตดินแดนกว้างใหญ่นอกดินแดนอาหรับ

including their mighty neighbors, the Persians and the Byzantines.

รวมถึงเพื่อนบ้านเรืองอำนาจอย่าง จักรวรรดิเปอร์เซียและไบแซนไทน์

But as the empire expanded, dissent within it grew

อย่างไรก็ตามในขณะที่จักรวรรดิ แผ่ขยายอิทธิพล

ความขัดแย้งภายในและสงคราม กลางเมืองก็ประทุขึ้น

and a civil war erupted.

The fourth caliph, Ali, was assassinated.

อาลี กาหลิบคนที่ 4 ถูกลอบสังหาร

Afterwards, the Umayyad Dynasty came to power.

หลังจากนั้นราชวงศ์อุมัยยะฮ์ได้ สถาปนาตนเองขึ้นปกครอง

The Umayyads were from the same tribe as Muhammad,

อุมัยยะฮ์มาจากตระกูลเดียวกับนบีมูฮัมหมัด

but from a different, rival clan.

แต่เป็นคู่แข่งกัน

They extended the empire’s reach from present-day Spain to India

พวกเขาขยายขอบเขตของจักรวรรดิ จากสเปนในปัจจุบันไปจนถึงอินเดีย

and made Damascus their capital.

และสถาปนาเมืองมาดัสกัสเป็นเมืองหลวง

But an empire this vast, full of many different peoples,

แต่จักรวรรดิกว้างใหญ่ไพศาลเพียงนี้ ที่เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา

was at risk of conflict and fracture.

ก็เสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งและการแตกหัก

The Umayyads stabilized it by replacing the ruling elite in conquered territories

อุมัยยะฮ์จึงนำเจ้าหน้าที่มุสลิมไปปกครอง ดินแดนต่าง ๆ เพื่อสร้างเสถียรภาพ

with Muslim officials,

while largely allowing the day-to-day customs of local populations—

ในขณะที่ส่วนใหญ่ยังปล่อยให้มีกิจวัตรเดิม ในแต่ละวันของคนพื้นถิ่นดำเนินต่อไป

including their religious preferences— to continue.

ซึ่งรวมถึงกิจวัตรในทางศาสนา

Arabic was used as the administrative language,

มีการใช้ภาษาอาหรับเป็นภาษาราชการ

unifying political affairs across the empire,

เพื่อควบรวมการเมืองทั่วจักรวรรดิ

but people continued to speak and write local languages, too.

แต่ผู้คนก็ยังคงใช้ภาษาพื้นถิ่นอยู่

Still, many in the empire were dissatisfied with Umayyad rule

ในขณะนั้นคนส่วนใหญ่ไม่พอใจกับ การปกครองของอุมัยยะฮ์

and questioned the dynasty's legitimacy.

และตั้งข้อสงสัยถึงสิทธิ ความชอบธรรมของราชวงศ์

The Abbasid family capitalized on these sentiments,

ราชวงศ์อับบาสิยะฮ์จึงได้รับ ผลประโยชน์จากสิ่งนี้

promoting themselves as more direct descendants of the prophet,

และได้บอกต่อว่าตนเป็นทายาท สายตรงของนบีมูฮัมหมัด

though their actual relation to Muhammad was more tenuous than they claimed.

แม้ว่าเลือดเนื้อเชื้อไขระหว่างเขากับ มูฮัมหมัดไม่ได้ใกล้ชิดกันมากขนาดตามที่อ้าง

They overthrew the Umayyad caliphate in 750 CE,

ในปีค.ศ. 750 ราชวงศ์อับบาสิยะฮ์จึง เข้ายึดอำนาจอุมัยยะฮ์

becoming the second great dynasty of the Islamic Empire.

กลายเป็นราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ของ จักรวรรดิอิสลามครั้งที่สอง

To establish themselves as the new rulers,

เพื่อสถาปนาตนเองเป็นผู้ปกครองคนใหม่

they relocated the capital once more,

พวกเขาจึงย้ายเมืองหลวงอีกครั้งหนึ่ง

this time building a new city: Baghdad.

คราวนี้สร้างเมืองใหม่ที่ชื่อว่าแบกแดด

Under Abbasid rule, the elite enjoyed a lifestyle of luxury,

ชนชั้นสูงรื่นเริงไปกับชีวิตที่หรูหรา ภายใต้การปกครองของอับบาสิยะฮ์

thanks to extensive trade networks that brought both products and people

ด้วยเครือข่ายการค้าที่กว้างขวาง ที่นำเข้าทั้งสินค้าและผู้คน

from all over the known world to Baghdad.

จากทั่วทุกมุมโลกมาสู่กรุงแบกแดด

Byzantine, Persian, Indian and Arab cultures and knowledge intermingled,

มีการผสมปนเปของวัฒนธรรมและภาษาของจักรวรรดิ ไบแซนไทน์ เปอร์เซีย อินเดีย และอาหรับ

leading to artistic and scientific advancement.

ทำให้ศิลปวิทยาการและวิทยาศาสตร์ มีความก้าวหน้า

The caliph was wealthy and powerful beyond imagination.

กาหลิบมีอิทธิพล และร่ำรวยเหนือจินตนาการ

But there was never a clear line of succession

แต่เส้นสายการสืบทอดว่าใคร จะเป็นกาหลิบคนต่อไปก็ยังไม่ชัดเจน

dictating who would become the next caliph.

Any male relative of the former caliph was eligible,

ผู้ชายที่เป็นญาติของกาหลิบคนก่อน จะมีสิทธิ์ในการสืบทอด

so brothers, nephews, and uncles fought to gain power.

ดังนั้นพี่ชาย น้องชาย หลานชาย และลุง ๆ ต่างต่อสู้เพื่อที่จะได้ตำแหน่งนี้

Within the court, army officers, wives, concubines, and government officials

ในราชสำนัก นายทหาร ภรรยา นางสนม และข้าราชการ

all demanded their share of the treasury.

ต่างเรียกร้องส่วนแบ่งจากคลังสมบัติ

Because the caliph depended on his entourage to stay in power,

เนื่องจากกาหลิบต้องพึ่งบริวาร เพื่อครองอำนาจ

each transition of rulership opened the doors for favoritism and corruption.

ดังนั้นช่วงเปลี่ยนการปกครองในแต่ละครั้ง จึงนำไปสู่การเล่นพรรคเล่นพวกและทุจริต

Outside the court,

ภายนอกราชสำนักผู้คนยังตั้งคำถามถึง ความชอบธรรมของกาหลิบ

many questioned the legitimacy of the caliph,

noting that the caliph’s religious duty to moral excellence

โดยสังเกตหน้าที่ทางศาสนาของกาหลิบ ไปจนถึงศีลธรรมอันดีงาม

was at odds with the court’s decadent displays of wealth.

มีความขัดแย้งกับการแสดงออกที่ไม่งาม ถึงความมั่งคั่งของราชสำนัก

In 1258 CE, the Mongols approached Baghdad.

ในปี ค.ศ.1258 จักรวรรดิมองโกล เข้ามารุกรานแบกแดด

They encountered little resistance as they thoroughly destroyed the city.

มีการต่อต้านชาวมองโกลเพียงบางส่วน ในขณะที่มีการบุกโจมตีทั่วแบกแดด

Legend has it that they rolled the caliph in a rug

ตำนานเล่าว่าพวกเขาใช้พรมห่อกาหลิบ

and had horses trample him to death,

และใช้ม้าเหยีบย่ำจนตาย

and that the Tigris River ran black from the ink of the manuscripts

แม่น้ำไทกริสกลายเป็นสีดำจาก ซึ่งมาจากหมึกในหนังสือที่โยนลงไป

that were thrown into it.

The siege of Baghdad laid bare a longstanding reality:

การล้อมโจมตีในแบกแดดเปิดเผย ความจริงที่มีมายาวนาน

for centuries, the caliphs had ruled mostly symbolically.

หลายศตวรรษที่ปกครองเมือง โดยมีกาหลิบเป็นสัญลักษณ์

Local leaders throughout the empire had grown more powerful,

ผู้นำต่าง ๆ ทั่วจักรวรรดิ ขยายอำนาจมากยิ่งขึ้น

and they refused to pay taxes,

หลีกเลี่ยงภาษี

spending the money on their own courts instead.

ใช้จ่ายภาษีไปกับราชสำนักของตน

The time of one united Islamic Empire was over,

จักรวรรดิอิสลามอันเป็นหนึ่งเดียวได้ล่มสลาย

but its influence through written and spoken Arabic,

อย่างไรก็ตาม ยังส่งต่ออิทธิพล ผ่านทางภาษาอาหรับ

Islam, and the ideas of its greatest intellectuals,

ศาสนาอิสลามและแนวคิดของ ปัญญาชนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

left a lasting mark on the world.

ที่ได้ทิ้งร่องรอยอารยธรรมให้กับโลกใบนี้