How do you know you’re not dreaming? - Daniel Gregory

Translator: Thanaporn Aramthaweethong Reviewer: Chawanrat Sukhuwit

You’re a butterfly, fluttering around pursuing a butterfly’s whims.

คุณคือผีเสื้อ ที่กำลังกระพือปีกบินไปรอบ ๆ ตามอำเภอใจ

Then you wake up.

แล้วคุณก็ตื่นขึ้น

But how do you know you’re not dreaming now?

แต่คุณรู้ได้อย่างไรว่า ตอนนี้คุณไม่ได้ฝันอยู่?

The answer might seem obvious,

คำตอบอาจฟังดูชัดเจนอยู่แล้ว

but it’s actually very difficult to explain how, definitively,

แต่จริง ๆ แล้วมันยากมากที่จะรู้ได้ว่า ที่จริงแล้วเราตื่นอยู่หรือเปล่า

you know you’re awake.

So difficult, in fact, that it has puzzled philosophers since ancient times.

ยากซะจนเป็นปริศนาสำหรับ นักปรัชญามาตั้งแต่ยุคโบราณ

In the butterfly scenario,

ในตัวอย่างเหตุการณ์ผีเสื้อ

the ancient Chinese philosopher Zhuangzi surfaced a mystifying possibility:

จวงจื่อ นักปรัชญาชาวจีนโบราณ ได้เผยถึงความเป็นไปได้หนึ่งที่น่าประหลาดใจ

if we can dream of being an entirely different creature,

หากเราสามารถฝันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอื่นได้

who's to say we're not actually

แล้วใครบอกได้ว่าจริง ๆ แล้วเราไม่ใช่

a different creature dreaming of being human?

สิ่งมีชีวิตอื่นที่ฝันว่าเป็นมนุษย์กันล่ะ?

Bizarre things happen in dreams:

สิ่งแปลก ๆ มักเกิดขึ้นในความฝัน

you fly, or conjure an all-you-can-eat dessert buffet out of thin air,

คุณบินได้ หรือเสกบุฟเฟ่ต์ ขนมหวานขึ้นได้ในพริบตา

or get chased by witches through the halls of your elementary school,

หรือแม้กระทั่งถูกแม่มดวิ่งไล่ ที่โถงทางเดินในโรงเรียนประถม

which suddenly looks a lot like Paris.

ซึ่งอยู่ดี ๆ ก็ดูเหมือนอยู่ที่ปารีส

But the strange things that happen in dreams don’t seem strange at the time.

แต่สิ่งแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นในฝันก็ ดูเหมือนจะไม่แปลกตอนที่อยู่ในฝัน

So how do you know you’re not in a dream right now

แล้วคุณรู้ได้อย่างไรล่ะว่า ตอนนี้คุณไม่ได้อยู่ในความฝัน

that will seem very strange after you wake up?

ที่จะกลายเป็นเรื่องแปลกมากเหมือนกัน หลังจากที่คุณตื่นขึ้น?

Well, it is possible to notice

มันก็เป็นไปได้ที่จะสัมผัสได้ถึง

the strangeness of a dream while you’re dreaming.

ความแปลกของความฝัน ในขณะที่คุณกำลังฝันอยู่

Lucid dreamers know they’re dreaming.

คนที่ฝันแบบรู้ตัว จะรู้ว่าตัวเองกำลังฝันอยู่

By definition, if you were having a lucid dream, you would know it.

โดยนิยามแล้ว หากคุณกำลังฝันแบบรู้ตัว คุณจะรู้ว่าตัวเองกำลังฝัน

But all that proves is that you’re not having a lucid dream—

แต่ทั้งหมดนั้นก็พิสูจน์ได้แค่ว่า คุณไม่ได้กำลังฝันแบบรู้ตัว

it doesn’t prove you’re awake.

แต่ไม่ได้พิสูจน์ว่าคุณตื่นอยู่

There has to be a surefire test—

มันต้องมีการทดสอบที่เชื่อถือได้

something that never— or only— happens when you’re awake,

บางอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นขณะที่คุณตื่นอยู่เท่านั้น

something that never— or only— happens in a dream.

บางอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นขณะที่คุณฝันอยู่เท่านั้น

Wake up. No, that isn’t it—

การตื่น ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น

you can wake up in a dream.

คุณสามารถตื่นในความฝันได้

Pinch yourself. If it hurts, aren’t you really awake?

ลองหยิกตัวเองดู ถ้าคุณเจ็บ ไม่ได้แปลว่าคุณตื่นอยู่เหรอ?

Try to read or write something.

พยายามอ่านหรือเขียนอะไรบางอย่าง

Run around the room.

วิ่งไปรอบ ๆ ห้อง

Does your pace seem normal or suspiciously slow?

คุณรู้สึกว่าได้วิ่งด้วยความเร็วปกติ หรือช้าลงแปลก ๆ ไหม?

Suspiciously fast?

เร็วแบบแปลก ๆ ไหม?

Can’t tell? Try to remember the last time you ran.

หรือบอกไม่ได้? พยายามนึกถึง ครั้งสุดท้ายที่คุณวิ่งดูสิ

Actually, that brings us to an even better test

จริง ๆ แล้ว สิ่งนั้นนำไปสู่ การทดสอบที่พัฒนาขึ้นไปอีก

from the 17th century French philosopher René Descartes.

โดยนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส สมัยศตวรรษที่ 17 ชื่อ เรอเน เดการ์ต

He pointed out that in our memories, dreams are disconnected—

เขากล่าวว่า ในความทรงจำของคนเรา ความฝันนั้นไม่ปะติดปะต่อกัน

the events of a dream don’t fit in to the chain of events

เหตุการณ์ในความฝันไม่สามารถ นำมาปะติดปะต่อกับเหตุการณ์ต่าง ๆ

in our waking lives.

ในชีวิตจริงที่เราตื่นอยู่ได้

This seems rock solid, doesn't it?

สิ่งนี้ฟังดูเหมือนจะเชื่อถือได้ใช่ไหม?

You couldn’t possibly have swum with dolphins in a nameless pink sea

คุณคงไม่สามารถว่ายน้ำกับเหล่าโลมา ในทะเลสีชมพูนิรนาม

between Christmas and New Year’s Eve

ในช่วงคริสต์มาสจนถึง วันก่อนวันปีใหม่ได้หรอก

because you didn’t leave Kansas and you have the receipts to prove it.

เพราะคุณยังไม่ได้ออกจากแคนซัส แถมยังมีใบเสร็จเป็นหลักฐานอยู่เลย

Well, one of Descartes’ contemporaries,

หนึ่งในนักปรัชญาร่วมสมัยของเดการ์ต

the English philosopher Thomas Hobbes, had something to say about that:

นักปรัชญาชาวอังกฤษ โธมัส ฮอบส์ มีคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ :

what if Descartes was performing his test in a dream?

ถ้าเกิดว่าเดการ์ตกำลังทำ การทดสอบของเขาในความฝันล่ะ?

What if we ask an expert?

ถ้าเกิดเราไปถามผู้เชี่ยวชาญดูล่ะ?

A neuroscientist can measure the activity in different parts of your brain

นักประสาทวิทยาสามารถวัดการทำงาน ของส่วนต่าง ๆ ในสมองของเราได้

and tell you whether you’re awake or sleeping.

และสามารถบอกได้ว่าคุณกำลังตื่นหรือหลับอยู่

But that just brings us back to the idea that any test you might use

แต่นั่นก็จะพาพวกเรากลับไปสู่ความคิดเดิม ที่ว่าทุก ๆ การทดสอบที่คุณทำ

to prove you’re awake could take place in a dream.

เพื่อพิสูจน์ว่าคุณตื่นอยู่ อาจเกิดขึ้นอยู่ในความฝันก็ได้

So far, no one has found a convincing response to this.

ที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีใคร ค้นพบคำตอบที่สมเหตุสมผล

But let’s be real: there’s a whole lot more detail in our waking experience

แต่หากคิดถึงความเป็นจริง มันมีรายละเอียด อีกมากมายในขณะที่เราตื่นอยู่

than in dreams.

มากกว่าตอนที่เราอยู่ในความฝันมาก

We go to sleep and wake up again day after day for many years,

เรานอนหลับและตื่นขึ้นมา ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลาหลายปี

and each new day is full of countless people, places, things, experiences.

และในทุกวันก็จะมีผู้คน สถานที่ สิ่งต่าง ๆ และประสบการณ์ใหม่ ๆ นับไม่ถ้วน

Even our memories, which capture just a fraction of this experience,

แม้แต่ความทรงจำของเราเอง ซึ่งจดจำ เพียงส่วนเล็ก ๆ ของประสบการณ์เหล่านี้

contain an almost incomprehensibly vast amount of detail:

ก็อัดแน่นไปด้วยรายละเอียดยิบย่อย มากมายเกินกว่าที่เราจะเข้าใจได้

we can recall a line from a favorite book decades later,

เราสามารถนึกถึงประโยคหนึ่งจากหนังสือ เล่มโปรดจากหลายสิบปีที่แล้วขึ้นมาได้

remember the musty smell of its pages

จดจำกลิ่นหนังสือเก่า ๆ จากหน้ากระดาษ

and the taste of the lemonade we drank while reading it,

และรสชาติของน้ำมะนาวที่ เราดื่มระหว่างอ่านหนังสือเล่มนั้น

remember a dream we had about it and tell someone all this.

จดจำความฝัน และเล่าเรื่องราว ทั้งหมดนั้นให้ใครบางคนฟัง

Isn't it ridiculous to suggest a dream could ever simulate this richness?

มันไม่น่าตลกหรอกหรือที่จะบอกว่า ความฝัน สามารถลอกเลียนแบบรายละเอียดเหล่านี้ได้?

Well, as the Persian philosopher al-Ghazali pointed out,

จากที่นักปรัชญาชาวเปอร์เซีย อัล-กาซาลี เคยกล่าวไว้

in the same way we think we are now awake having woken from dreams,

ในทางเดียวกันกับที่เราคิด ว่าเราตื่นจากความฝัน

it is possible that we might wake from our current state

มันก็เป็นไปได้ว่า เราอาจตื่นจากสภาวะปัจจุบัน

into another state of even greater wakefulness.

ไปสู่อีกสภาพหนึ่งที่เราตื่นมากกว่านั้น

Which would mean we’re really in a kind of dream-state

ซึ่งก็จะแปลได้ว่า ที่จริงแล้วเรากำลังฝันอยู่

when we think we’re awake.

ในขณะที่เราคิดว่าเราตื่นแล้ว

What philosophers really want to know is what justifies our belief

สิ่งที่นักปรัชญาอยากจะเข้าใจคือ อะไรคือเครื่องพิสูจน์ความเชื่อ

that we’re awake.

ที่ว่าเราตื่นแล้ว

We all want to believe things because we have reasons for them,

เราทุกคนอยากจะเชื่อในสิ่งต่าง ๆ เพราะเราหาเหตุผลให้กับมันได้

not just because they seem right.

ไม่ใช่เพราะว่ามันดูเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

Sometimes, the biggest challenge is to show why we should believe something

บางครั้งความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดคือ การ แสดงให้เห็นว่าทำไมเราถึงควรเชื่อในบางสิ่ง

that seems completely obvious to us all.

ที่ดูเหมือนจะชัดเจนอยู่แล้วในสายตาเราทุกคน