The case for optimism on climate change | Al Gore

Translator: Paded Chotikunchon Reviewer: Pitchaya Phookpun

I was excited to be a part of the "Dream" theme,

ผมตื่นเต้นมากที่จะได้เป็นส่วนหนึ่ง ของธีม "ความฝัน"

and then I found out I'm leading off the "Nightmare?" section of it.

แต่ปรากฏว่าผมกลายเป็นผู้นำ ในส่วน "ฝันร้าย" ของธีมนี้

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

And certainly there are things about the climate crisis that qualify.

ซึ่งแน่นอนว่ามันก็มีหลายๆอย่าง เกี่ยวกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่เป็นฝันร้าย

And I have some bad news,

และผมมีข่าวร้ายอยู่บ้าง

but I have a lot more good news.

แต่ผมมีข่าวดีเยอะกว่ามาก

I'm going to propose three questions

ผมจะเสนอคำถามขึ้นมาสามคำถามข้อ

and the answer to the first one

และคำตอบของคำถามแรก

necessarily involves a little bad news.

จำเป็นจะต้องมีข่าวร้ายเข้ามาเกี่ยวบ้าง

But -- hang on, because the answers to the second and third questions

แต่เดี๋ยวก่อน เพราะคำตอบของ คำถามที่สองและสาม

really are very positive.

เป็นไปในทางบวกจริง ๆ

So the first question is, "Do we really have to change?"

คำถามแรกก็คือ "เราจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงจริง ๆ หรือ"

And of course, the Apollo Mission, among other things

และแน่นอนว่าหนึ่งในหลาย ๆ อย่างนั้น รวมไปถึง ภารกิจอะพอลโล

changed the environmental movement,

ได้เปลี่ยนแปลงการเคลื่อนไหวเรื่องสิ่งแวดล้อม

really launched the modern environmental movement.

ผลักดันให้เกิดการเคลื่อนไหวเรื่อง สิ่งแวดล้อมสมัยใหม่

18 months after this Earthrise picture was first seen on earth,

18 เดือนหลังจากที่ผู้คนบนโลกได้เห็น ภาพโลกจากดวงจันทร์นี้

the first Earth Day was organized.

ก็มีการจัดตั้งวันโลกขึ้นมาเป็นครั้งแรก

And we learned a lot about ourselves

เราได้เรียนรู้อะไรมากมายเกี่ยวกับพวกเราเอง

looking back at our planet from space.

ผ่านการมองโลกจากอวกาศ

And one of the things that we learned

หนึ่งในหลาย ๆ อย่างที่เราได้เรียนรู้

confirmed what the scientists have long told us.

ก็ได้ยืนยันสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ บอกเรามานานแล้ว

One of the most essential facts

หนึ่งในข้อเท็จจริงที่สำคัญที่สุด

about the climate crisis has to do with the sky.

เกี่ยวกับวิกฤติสภาพภูมิอากาศนั้น เกี่ยวข้องกับท้องฟ้า

As this picture illustrates,

อย่างที่ภาพนี้แสดงให้เห็น

the sky is not the vast and limitless expanse

ท้องฟ้าไม่ใช่พื้นที่กว้างไกลไร้ขอบเขต

that appears when we look up from the ground.

อย่างที่เราเห็น เวลามองขึ้นไปจากพื้นดิน

It is a very thin shell of atmosphere

แต่มันเป็นเปลือกอันบอบบางของ ชั้นบรรยากาศ

surrounding the planet.

ที่โอบล้อมโลกไว้

That right now is the open sewer for our industrial civilization

และนั่นก็คือท่อระบายแบบเปิด สำหรับอารยธรรมอุตสาหกรรมของเรา

as it's currently organized.

อย่างที่จัดการกันอยู่ปัจจุบัน

We are spewing 110 million tons

ทุก ๆ 24 ชั่วโมง เราทิ้งมลพิษโลกร้อน ที่กักเก็บความร้อน

of heat-trapping global warming pollution into it every 24 hours,

ปริมาณ 110 ล้านตันขึ้นไปบนท้องฟ้า

free of charge, go ahead.

ไม่คิดเงิน เอาเลยตามสบาย

And there are many sources of the greenhouse gases,

และมันยังมีแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก อีกมากมายเหลือเกิน

I'm certainly not going to go through them all.

ผมจะไม่พูดถึงมันทั้งหมดแน่ ๆ

I'm going to focus on the main one,

ผมจะเจาะจงไปที่แหล่งที่สำคัญที่สุด

but agriculture is involved, diet is involved, population is involved.

แต่การเกษตรก็มีส่วน อาหารการกินก็มีส่วน จำนวนประชากรมีมีส่วน

Management of forests, transportation,

การจัดการป่าไม้ การคมนาคม

the oceans, the melting of the permafrost.

มหาสมุทร การละลายของชั้นดินเยือกแข็ง

But I'm going to focus on the heart of the problem,

แต่ผมจะเจาะจงไปที่หัวใจหลักของปัญหา

which is the fact that we still rely on dirty, carbon-based fuels

ซึ่งคือข้อเท็จจริงที่ว่า เรายังคงพึ่งพา เชื้อเพลิงคาร์บอนที่สกปรกอยู่

for 85 percent of all the energy that our world burns every year.

เป็นปริมาณร้อยละ 85 ของพลังงานทั้งหมด ที่โลกเราเผาผลาญแต่ละปี

And you can see from this image that after World War II,

และคุณจะเห็นจากภาพนี้ว่า หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง

the emission rates started really accelerating.

อัตราการปล่อยก๊าซเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

And the accumulated amount of man-made, global warming pollution

และปริมาณสะสมของมลพิษโลกร้อนที่มนุษย์ผลิต

that is up in the atmosphere now

อยู่ในชั้นบรรยากาศ ณ ตอนนี้

traps as much extra heat energy as would be released

กักเก็บพลังงานความร้อนส่วนเกินมากเท่ากับ

by 400,000 Hiroshima-class atomic bombs exploding

ที่ระเบิดนิวเคลียร์ระดับฮิโรชิม่าจำนวน 400,000 ลูกจะปล่อยออกมา

every 24 hours, 365 days a year.

ทุก 24 ชั่วโมง 365 วันต่อปี

Fact-checked over and over again,

จากการตรวจทานข้อเท็จจริง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

conservative, it's the truth.

มันเป็นเรื่องจริง

Now it's a big planet, but --

แน่นอนโลกของเรามันใหญ่ แต่ว่า

(Explosion sound)

(เสียงระเบิด)

that is a lot of energy,

นั่นก็เป็นพลังงานปริมาณมากเช่นกัน

particularly when you multiply it 400,000 times per day.

ยิ่งถ้าคูณมันเป็น 400,000 เท่าทุก ๆ วัน

And all that extra heat energy

และพลังงานความร้อนส่วนเกินนี้

is heating up the atmosphere, the whole earth system.

กำลังทำให้ชั้นบรรยากาศ และระบบโลกทั้งระบบร้อนขึ้น

Let's look at the atmosphere.

เรามาดูชั้นบรรยากาศกัน

This is a depiction

นี่คือภาพ

of what we used to think of as the normal distribution of temperatures.

ของสิ่งที่เราเคยคิดกันว่าเป็น กราฟการกระจายปกติของอุณหภูมิ

The white represents normal temperature days;

สีขาวแทนวันที่อุณหภูมิปกติ

1951-1980 are arbitrarily chosen.

โดยเลือกใช้ข้อมูลระหว่างปี 1951-1980

The blue are cooler than average days,

สีฟ้าคือวันที่หนาวกว่าปกติ

the red are warmer than average days.

และสีแดงคือวันที่ร้อนกว่าปกติ

But the entire curve has moved to the right in the 1980s.

แต่เส้นโค้งทั้งเส้นขยับไปทางขวา ในช่วงทศวรรษที่ 1980

And you'll see in the lower right-hand corner

และคุณจะเห็นที่มุมขวาล่าง

the appearance of statistically significant numbers

ว่ามีตัวเลขที่มีนัยยสำคัญทางสถิติ

of extremely hot days.

ของวันที่ร้อนอย่างยิ่ง

In the 90s, the curve shifted further.

ในยุคปี 90 เส้นโค้งได้ขยับไกลออกไปมากขึ้น

And in the last 10 years, you see the extremely hot days

และในช่วงสิบปีที่ผ่านมา คุณจะเห็นว่าวันที่ร้อนอย่างยิ่ง

are now more numerous than the cooler than average days.

มีจำนวนมากกว่าวันที่หนาวกว่าค่าเฉลี่ย

In fact, they are 150 times more common on the surface of the earth

อันที่จริง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมากกว่าปกติ ถึง 150 เท่า บนบริเวณพื้นผิวโลก

than they were just 30 years ago.

เมื่อเทียบกับ 30 ปีที่แล้ว

So we're having record-breaking temperatures.

ดังนั้น เรามีสถิติอุณหภูมิสูงที่สุด ถูกทำลายอยู่เรื่อย ๆ

Fourteen of the 15 of the hottest years ever measured with instruments

14 ใน 15 ปีที่ร้อนที่สุด เท่าที่เคยวัดได้ด้วยเครื่องมือ

have been in this young century.

อยู่ในช่วงทศวรรษล่าสุด

The hottest of all was last year.

และปีที่ร้อนที่สุดคือปีที่แล้ว

Last month was the 371st month in a row

เดือนที่แล้วเป็นเดือนที่ 371 ติดต่อกัน

warmer than the 20th-century average.

ที่ร้อนกว่าค่าเฉลี่ยในศตวรรษที่ 20

And for the first time, not only the warmest January,

และเป็นครั้งแรก นี่ไม่ได้เป็นแค่มกราคมที่ร้อนที่สุด

but for the first time, it was more than two degrees Fahrenheit warmer

แต่ยังเป็นมกราคมที่ร้อนกว่าเฉลี่ย

than the average.

ถึง 2 องศาฟาเรนไฮต์

These higher temperatures are having an effect on animals,

อุณหภูมิที่สูงขึ้นนี้ กำลังส่งผลกระทบต่อสัตว์

plants, people, ecosystems.

พืช ผู้คน ระบบนิเวศน์

But on a global basis, 93 percent of all the extra heat energy

แต่ตามมาตรฐานของโลก ร้อยละ 93 ของพลังงานความร้อนส่วนเกิน

is trapped in the oceans.

ถูกกักไว้ในมหาสมุทร

And the scientists can measure the heat buildup

และนักวิทยาศาสตร์สามารถวัด การก่อตัวของความร้อน

much more precisely now

ได้อย่างแม่นยำขึ้นมาก

at all depths: deep, mid-ocean,

ในทุกช่วงความลึก ทั้งลึกมาก ปานกลาง

the first few hundred meters.

หรือไม่กี่ร้อยเมตรใต้ผิวน้ำ

And this, too, is accelerating.

และมันก็กำลังเพิ่มขึ้นเช่นกัน

It goes back more than a century.

กราฟนี้ย้อนไปกว่าร้อยปี

And more than half of the increase has been in the last 19 years.

และเกินครึ่งหนึ่งของการเพิ่มสูงขึ้นของอุณหภูมิ เกิดในช่วง 19 ปีที่ผ่านมา

This has consequences.

สิ่งนี้มีผลกระทบตามมา

The first order of consequence:

ผลกระทบลำดับแรก

the ocean-based storms get stronger.

พายุที่เกิดจากมหาสมุทรรุนแรงขึ้น

Super Typhoon Haiyan went over areas of the Pacific

ซูเปอร์ไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนเคลื่อนไปตาม พื้นที่แปซิฟิก

five and a half degrees Fahrenheit warmer than normal

ด้วยอุณหภูมิสูงกว่าปกติ 5.5 องศาฟาเรนไฮต์

before it slammed into Tacloban,

ก่อนที่จะเข้าฝั่งเมืองตักโลบัน

as the most destructive storm ever to make landfall.

และกลายเป็นพายุที่มีพลังทำลายล้าง มากที่สุดเท่าที่เคยขึ้นฝั่ง

Pope Francis, who has made such a difference to this whole issue,

พระสันตปาปาฟรานซิสซึ่งได้สร้าง ความเปลี่ยนแปลงมากมายกับปัญหานี้

visited Tacloban right after that.

เข้าเยี่ยมเยือนตักโลบันทันทีหลังจากนั้น

Superstorm Sandy went over areas of the Atlantic

เฮอริเคนแซนดี้เคลื่อนไปตามพื้นที่แอตแลนติก

nine degrees warmer than normal

อุณหภูมิสูงกว่าปกติ 9 องศาฟาเรนไฮต์

before slamming into New York and New Jersey.

ก่อนจะเข้าฝั่งที่นิวยอร์กและนิวเจอร์ซี

The second order of consequences are affecting all of us right now.

ผลกระทบลำดับที่สอง คือสิ่งที่พวกเราทั้งหมดกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้

The warmer oceans are evaporating much more water vapor into the skies.

มหาสมุทรที่อุ่นขึ้นมากกำลังระเหย เป็นไอน้ำปริมาณมากขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้า

Average humidity worldwide has gone up four percent.

ความชื้นเฉลี่ยทั่วโลกเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 4

And it creates these atmospheric rivers.

และได้สร้างแม่น้ำในชั้นบรรยากาศ

The Brazilian scientists call them "flying rivers."

นักวิทยาศาสตร์บราซิลเรียกพวกมันว่า "แม่น้ำบินได้"

And they funnel all of that extra water vapor over the land

และไอน้ำส่วนเกินเหล่านั้นก็รวมกัน เป็นรูปกรวยรดลงมาบนพื้นดิน

where storm conditions trigger these massive record-breaking downpours.

ในจุดที่สภาวะพายุกระตุ้นให้เกิด ฝนกระหน่ำทำลายสถิติเหล่านี้

This is from Montana.

ภาพนี้ถ่ายจากมอนทานา

Take a look at this storm last August.

ดูพายุเมื่อเดือนสิงหาคมที่แล้วสิครับ

As it moves over Tucson, Arizona.

ระหว่างที่มันเคลื่อนที่ผ่านเมืองทูซอน มลรัฐแอริโซนา

It literally splashes off the city.

เห็นได้ชัดว่ามันได้กระหน่ำเมืองนั้นอย่างรุนแรง

These downpours are really unusual.

พายุฝนพวกนี้ไม่ปกติเลยครับ

Last July in Houston, Texas,

กรกฎาคมที่แล้วที่เมืองฮูสตัน มลรัฐเท็กซัส

it rained for two days, 162 billion gallons.

ฝนตกยาวนานถึงสองวัน ปริมาณน้ำฝน 162,000 ล้านแกลลอน

That represents more than two days of the full flow of Niagara Falls

นั่นมันมากกว่าปริมาณน้ำจากน้ำตกไนแอการา ในระยะเวลารวมสองวัน

in the middle of the city,

ตกลงมากลางเมือง

which was, of course, paralyzed.

ซึ่งแน่นอนว่าทำให้ทั้งเมืองเป็นอัมพาตไปเลย

These record downpours are creating historic floods and mudslides.

พายุฝนทำลายสถิติเหล่านี้ทำให้เกิด น้ำท่วมและโคลนถล่มครั้งประวัติศาสตร์

This one is from Chile last year.

นี่เกิดขึ้นที่ชิลีปีที่แล้ว

And you'll see that warehouse going by.

คุณจะเห็นโกดังหลังนั่นลอยผ่านไป

There are oil tankers cars going by.

รถบรรทุกน้ำมันลอยผ่านไป

This is from Spain last September,

นี่มาจากสเปนเมื่อกันยายนปีที่แล้ว

you could call this the running of the cars and trucks, I guess.

คุณจะเรียกมันว่าเป็นการไหลของ รถยนต์และรถบรรทุกก็ได้ ผมว่า

Every night on the TV news now is like a nature hike

ทุกคืนที่เปิดรายการข่าวทีวี มันเหมือนเห็นธรรมชาติ

through the Book of Revelation.

กำลังไต่ขึ้นไปตาม คัมภีร์วิวรณ์

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

I mean, really.

จริง ๆ ครับ ผมหมายความตามนั้นเลย

The insurance industry has certainly noticed,

อุตสาหกรรมประกันภัยได้ตระหนัก

the losses have been mounting up.

ถึงความสูญเสียที่เพิ่มขึ้นแล้วแน่ ๆ

They're not under any illusions about what's happening.

พวกเขาไม่ได้เห็นภาพลวงตาอะไรทั้งนั้น กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

And the causality requires a moment of discussion.

และเราก็ควรจะมานั่งคิดถึงเรื่อง สาเหตุและผลกระทบกันใหม่

We're used to thinking of linear cause and linear effect --

เราคุ้นชินกับการคิดถึงสาเหตุและ ผลกระทบในเชิงเส้น

one cause, one effect.

หนึ่งเหตุ หนึ่งผลกระทบ

This is systemic causation.

นี่คือความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผล ที่เป็นระบบ

As the great Kevin Trenberth says,

อย่างที่เควิน เทรนเบิร์ธกล่าวไว้

"All storms are different now.

"ปัจจุบันพายุทุกลูกได้เปลี่ยนไปแล้ว

There's so much extra energy in the atmosphere,

มีพลังงานส่วนเกินในชั้นบรรยากาศ มากเหลือเกิน

there's so much extra water vapor.

มีไอน้ำส่วนเกินมากเหลือเกิน

Every storm is different now."

พายุทุกลูกได้เปลี่ยนไปแล้ว"

So, the same extra heat pulls the soil moisture out of the ground

ความร้อนส่วนเกินเดียวกันนี้ ดึงความชิ้นออกจากผืนดิน

and causes these deeper, longer, more pervasive droughts

ทำให้เกิดความแห้งแล้งที่รุนแรงขึ้น ยาวนานขึ้น และกินพื้นที่กว้างขึ้น

and many of them are underway right now.

และเป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในหลายที่ตอนนี้

It dries out the vegetation

มันทำให้พืชแห้งแล้ง

and causes more fires in the western part of North America.

และทำให้เกิดไฟป่ามากขึ้นในฝั่งตะวันตก ของอเมริกาเหนือ

There's certainly been evidence of that, a lot of them.

แน่นอนว่ามีหลักฐานของสิ่งเหล่านี้ มีเยอะเสียด้วย

More lightning,

เกิดฟ้าผ่ามากขึ้น

as the heat energy builds up, there's a considerable amount

เมื่อพลังงานความร้อนสะสมมากขึ้น

of additional lightning also.

ก็มีฟ้าผ่าเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน

These climate-related disasters also have geopolitical consequences

หายนะที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศเหล่านี้ ยังส่งผลกระทบถึงภูมิรัฐศาสตร์ด้วย

and create instability.

และทำให้เกิดความไม่มั่นคง

The climate-related historic drought that started in Syria in 2006

ความแห้งแล้งที่เกี่ยวเนื่องกับสภาพภูมิอากาศ ครั้งประวัติศาสตร์เริ่มที่ซีเรีย ปี 2006

destroyed 60 percent of the farms in Syria,

ทำลายร้อยละ 60 ของพื้นที่เพาะปลูกในซีเรีย

killed 80 percent of the livestock,

คร่าชีวิตปศุสัตว์ไปร้อยละ 80

and drove 1.5 million climate refugees into the cities of Syria,

และผลักผู้ลี้ภัยทางสภาพภูมิอากาศ 1.5 ล้านคน เข้าสู่เมืองต่าง ๆ ในซีเรีย

where they collided with another 1.5 million refugees

ที่ซึ่งพวกเขาพบกับผู้ลี้ภัยอีก 1.5 ล้านคน

from the Iraq War.

ที่หนีสงครามอิรัก

And along with other factors, that opened the gates of Hell

และเมื่อรวมกับปัจจัยอื่น ๆ มันได้เปิดประตูนรก

that people are trying to close now.

ที่ผู้คนยังกำลังพยายามปิดอยู่ขณะนี้

The US Defense Department has long warned

กระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาได้เตือน

of consequences from the climate crisis,

ถึงเรื่องผลกระทบของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ มานานแล้ว

including refugees, food and water shortages

รวมไปถึงประเด็นเรื่องผู้ลี้ภัย การขาดแคลนน้ำและอาหาร

and pandemic disease.

และการระบาดของโรค

Right now we're seeing microbial diseases from the tropics spread

ตอนนี้เราได้เห็นโรคพื้นถิ่นจากเขตร้อนชิ้น กระจาย

to the higher latitudes;

สูงขึ้นไปตามเส้นละติจูดที่เพิ่มขึ้น

the transportation revolution has had a lot to do with this.

การปฏิวัติการคมนาคม มีส่วนทำให้เกิดเรื่องนี้อย่างมาก

But the changing conditions change the latitudes and the areas

แต่ปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ได้เปลี่ยนเส้นละติจูดและอาณาบริเวณ

where these microbial diseases can become endemic

ที่โรคพื้นถิ่นเหล่านี้จะสามารถระบาดได้

and change the range of the vectors, like mosquitoes and ticks that carry them.

และทำให้สัตว์เช่นยุงและเห็บที่เป็นพาหะของโรค สามารถกระจายตัวได้กว้างขึ้น

The Zika epidemic now --

การระบาดของซิก้า ณ ตอนนี้

we're better positioned in North America

เราโชคดีที่อยู่ในอเมริกาเหนือ

because it's still a little too cool and we have a better public health system.

เพราะมันยังหนาวเกินไปหน่อย และเรายังมีระบบสาธารณสุขที่ดีกว่า

But when women in some regions of South and Central America

แต่เมื่อผู้หญิงในบางพื้นที่ของ อเมริกาใต้และอเมริกากลาง

are advised not to get pregnant for two years --

ได้รับคำแนะนำไม่ให้ตั้งท้อง ในระยะสองปีนี้

that's something new, that ought to get our attention.

นั่นเป็นอะไรที่ใหม่ นั่นควรจะได้รับความสนใจจากเรา

The Lancet, one of the two greatest medical journals in the world,

The Lancet หนึ่งในสองวารสารทางการแพทย์ ที่โด่งดังที่สุดในโลก

last summer labeled this a medical emergency now.

ได้เรียกสิ่งนี้ว่าเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ เมื่อฤดูร้อนที่แล้ว

And there are many factors because of it.

ซึ่งมีปัจจัยที่ทำให้เกิดมากมาย

This is also connected to the extinction crisis.

และนี่ยังเชื่อมโยงกับวิกฤตการสูญพันธุ์

We're in danger of losing 50 percent of all the living species on earth

เราตกอยู่ในอันตรายที่จะสูญเสียร้อยละ 50 ของสปีชีส์ที่ยังมีอยู่บนโลก

by the end of this century.

ภายในสิ้นศตวรรษนี้

And already, land-based plants and animals

และ ณ เวลาปัจจุบัน พืชและสัตว์บก

are now moving towards the poles

กำลังเคลื่อนย้ายไปสู่ขั้วโลก

at an average rate of 15 feet per day.

โดยเฉลี่ย 15 ฟุตต่อวัน

Speaking of the North Pole,

เมื่อพูดถึงขั้วโลกเหนือ

last December 29, the same storm that caused historic flooding

29 ธันวาคมปีที่แล้ว พายุลูกเดียว กับที่ทำให้เกิดน้ำท่วมครั้งประวัติศาสตร์

in the American Midwest,

ในอเมริกาตะวันตกกลาง

raised temperatures at the North Pole

ได้ทำให้อุณหภูมิของขั้วโลกเหนือ

50 degrees Fahrenheit warmer than normal,

สูงขึ้น 50 องศาฟาเรนไฮต์กว่าปกติ

causing the thawing of the North Pole

ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลาย

in the middle of the long, dark, winter, polar night.

ตอนกลางดึกที่มืดและยาวนานในฤดูหนาวของขั้วโลก

And when the land-based ice of the Arctic melts,

และเมื่อน้ำแข็งบนบกที่อาร์คติกละลาย

it raises sea level.

มันทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น

Paul Nicklen's beautiful photograph from Svalbard illustrates this.

ภาพที่งดงามของพอล นิคเลน ถ่ายที่สฟาลบาร์แสดงให้เห็นถึงสิ่งนี้

It's more dangerous coming off Greenland

มันยิ่งอันตรายยิ่งกว่าเมื่อมาจากกรีนแลนด์

and particularly, Antarctica.

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง แอนตาร์กติกา

The 10 largest risk cities for sea-level rise by population

10 เมืองที่เสี่ยงอันตรายสูงสุดจากระดับน้ำทะเล ที่เพิ่มสูงขึ้นเมื่อวัดตามประชากรแล้ว

are mostly in South and Southeast Asia.

ส่วนมากอยู่ในเอเชียใต้และตะวันออกเฉียงใต้

When you measure it by assets at risk, number one is Miami:

เมื่อคุณวัดความเสี่ยงตามสินทรัพย์ อันดับหนึ่งคือไมอามี่

three and a half trillion dollars at risk.

เงิน 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ กำลังตกอยู่ในความเสี่ยง

Number three: New York and Newark.

อันดับที่สาม นิวยอร์กและนวร์ก

I was in Miami last fall during the supermoon,

ผมอยู่ที่ไมอามี่ฤดูใบไม้ร่วงที่แล้ว ในช่วงที่เกิดซุปเปอร์มูน

one of the highest high-tide days.

หนึ่งในวันที่น้ำขึ้นสูงที่สุด

And there were fish from the ocean swimming in some of the streets

และตอนนั้นมีปลาจากทะเล ว่ายน้ำอยู่ถนนบางสาย

of Miami Beach and Fort Lauderdale

ในหาดไมอามี่และฟอร์ตลอเดอร์เดล

and Del Rey.

และเดลเรย์

And this happens regularly during the highest-tide tides now.

และนี่ได้กลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติ ช่วงที่น้ำขึ้นสูงสุด

Not with rain -- they call it "sunny-day flooding."

ไม่ได้เกิดจากฝน พวกเขาเรียกมันว่า "น้ำท่วมวันแดดออก"

It comes up through the storm sewers.

น้ำมันเอ่อขึ้นมาจากท่อระบายน้ำฝน

And the Mayor of Miami speaks for many when he says

และผู้ว่าการไมอามี่ได้พูด แทนคนจำนวนมาก เมื่อเขาพูดว่า

it is long past time this can be viewed through a partisan lens.

เราไม่สามารถจะมองเรื่องนี้ ผ่านแว่นตาการเมืองได้อีกแล้ว

This is a crisis that's getting worse day by day.

นี่เป็นวิกฤตที่กำลังย่ำแย่ลงทุกวัน

We have to move beyond partisanship.

เราจะต้องมองข้ามเรื่อง การแบ่งพรรคพวกการเมืองไป

And I want to take a moment to honor these House Republicans --

และผมอยากจะใช้เวลานี้ชื่นชม นักการเมืองพรรครีพับลิกันเหล่านี้

(Applause)

(เสียงปรบมือ)

who had the courage last fall

ที่กล้าหาญมากพอ

to step out and take a political risk,

ที่จะก้าวออกมาและยอมเสี่ยงในทางการเมือง

by telling the truth about the climate crisis.

ด้วยบอกความจริงเกี่ยวกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ

So the cost of the climate crisis is mounting up,

ต้นทุนของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ กำลังเพิ่มพูนขึ้น

there are many of these aspects I haven't even mentioned.

ยังมีหลายประเด็น ที่ผมยังไม่ได้กล่าวถึงด้วยซ้ำ

It's an enormous burden.

มันเป็นภาระที่ใหญ่หลวงเหลือเกิน

I'll mention just one more,

ผมจะกล่าวถึงอีกเพียงหนึ่งอย่าง

because the World Economic Forum last month in Davos,

เนื่องจากสภาเศรษฐกิจโลกเมื่อเดือนที่แล้ว ในดาวอส

after their annual survey of 750 economists,

หลังจากได้เก็บข้อมูลประจำปี จากนักเศรษฐศาสตร์ 750 คน

said the climate crisis is now the number one risk

กล่าวว่าวิกฤตสภาพภูมิอากาศเป็น ความเสี่ยงอันดับหนึ่ง

to the global economy.

ต่อเศรษฐกิจโลก

So you get central bankers

คุณได้ยินคนของธนาคารกลาง

like Mark Carney, the head of the UK Central Bank,

อย่างมาร์ค คาร์นีย์ หัวหน้าธนาคารกลางสหราชอาณาจักร

saying the vast majority of the carbon reserves are unburnable.

พูดว่าพลังงานคาร์บอนสำรองจำนวนมาก ไม่สามารถเผาผลาญได้

Subprime carbon.

ซับไพรม์คาร์บอน

I'm not going to remind you what happened with subprime mortgages,

ผมจะไม่ย้ำว่าเกิดอะไรขึ้น กับสินเชื่อซับไพรม์

but it's the same thing.

แต่มันเป็นสิ่งเดียวกัน

If you look at all of the carbon fuels that were burned

ถ้าคุณดูเชื้อเพลิงคาร์บอนทั้งหมด ที่ถูกเผาผลาญ

since the beginning of the industrial revolution,

ตั้งเต่เริ่มการปฏิวัติอุตสาหกรรม

this is the quantity burned in the last 16 years.

นี่คือปริมาณที่เผาผลาญในช่วง 16 ปีที่ผ่านมา

Here are all the ones that are proven and left on the books,

นี่คือทั้งหมดที่ได้รับการพิสูจน์ และถูกบันทึกไว้

28 trillion dollars.

28 ล้านล้านดอลลาร์

The International Energy Agency says only this amount can be burned.

องค์การพลังงานระหว่างประเทศบอกว่า มีเพียงเท่านี้ที่สามารถเผาผลาญได้

So the rest, 22 trillion dollars --

ดังนั้นที่เหลือ 22 ล้านล้านดอลลาร์

unburnable.

ก็คือเผาผลาญไม่ได้

Risk to the global economy.

ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก

That's why divestment movement makes practical sense

นี่คือเหตุผลที่การรณรงค์ให้ลดทอน การลงทุนสมเหตุสมผลในทางปฏิบัติ

and is not just a moral imperative.

และไม่ใช่แค่สิ่งที่ต้องทำในเชิงจริยธรรม

So the answer to the first question, "Must we change?"

ดังนั้นคำตอบของคำถามแรก "เราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงหรือไม่"

is yes, we have to change.

ใช่แล้วครับ เราต้องเปลี่ยนแปลง

Second question, "Can we change?"

คำถามถัดมา "เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่"

This is the exciting news!

นี่แหละคือข่าวที่น่าตื่นเต้น

The best projections in the world 16 years ago

การคาดการณ์ที่ดีที่สุดในโลก เมื่อ 16 ปีที่แล้ว

were that by 2010, the world would be able to install

บอกว่าเมื่อถึงปี 2010 โลกจะสามารถ ติดตั้งกังหันลม

30 gigawatts of wind capacity.

ที่ผลิตไฟฟ้าได้ 30 กิกกะวัตต์

We beat that mark by 14 and a half times over.

ซึ่งเราทำได้มากกว่าที่คาดไว้ถึง 14.5 เท่า

We see an exponential curve for wind installations now.

เราได้เห็นกราฟเอ็กซ์โพเนนเชียล ในการพัฒนาพลังงานลมแล้ว

We see the cost coming down dramatically.

เราได้เห็นราคาไฟฟ้าลดต่ำลง อย่างรวดเร็ว

Some countries -- take Germany, an industrial powerhouse

ในบางประเทศ เช่น เยอรมนี มหาอำนาจอุตสาหกรรม

with a climate not that different from Vancouver's, by the way --

ที่ภูมิอากาศไม่ได้ต่าง กับแวนคูเวอร์มากเท่าไหร่นั้น

one day last December,

วันหนึ่งในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว

got 81 percent of all its energy from renewable resources,

ได้รับพลังงานร้อยละ 81 มาจาก ทรัพยากรหมุนเวียน

mainly solar and wind.

หลัก ๆ คือจากแสงอาทิตย์และลม

A lot of countries are getting more than half on an average basis.

หลายประเทศก็กำลังใช้พลังงานสะอาดเหล่านี้ เกินครึ่งหนึ่งโดยเฉลี่ย

More good news:

ยังมีข่าวดีอีก

energy storage, from batteries particularly,

แหล่งเก็บพลังงาน โดยเฉพาะแบตเตอรี่

is now beginning to take off

กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก

because the cost has been coming down very dramatically

เพราะราคาได้ลดลงมาอย่างรวดเร็ว

to solve the intermittency problem.

เพื่อแก้ปัญหาความไม่สม่ำเสมอ

With solar, the news is even more exciting!

ยิ่งมีพลังงานแสงอาทิตย์ ข่าวนี้ก็ยิ่ง น่าตื่นเต้นขึ้นไปอีก

The best projections 14 years ago were that we would install

การคาดการที่ดีที่สุดเมื่อ 14 ปีที่แล้ว

one gigawatt per year by 2010.

คือเราจะผลิตได้ปีละ 1 กิกกะวัตต์ ในปี 2010

When 2010 came around, we beat that mark by 17 times over.

เมื่อถึงปี 2010 เราเอาชนะ ตัวเลขนั้นได้ถึง 17 เท่า

Last year, we beat it by 58 times over.

ปีที่แล้ว เราทำได้มากกว่าถึง 58 เท่า

This year, we're on track to beat it 68 times over.

ปีนี้ เรากำลังจะทำได้มากกว่าถึง 68 เท่า

We're going to win this.

เราจะเอาชนะมัน

We are going to prevail.

และเราจะผ่านมันไปได้

The exponential curve on solar is even steeper and more dramatic.

กราฟเอ็กซ์โพเนนเชียลของพลังงานแสงอาทิตย์ ชันกว่าและรวดเร็วกว่าอีก

When I came to this stage 10 years ago,

ตอนที่ผมขึ้นมาพูดบนเวทีนี้ 10 ปีที่แล้ว

this is where it was.

นี่คือจุดที่มันเคยอยู่

We have seen a revolutionary breakthrough

และเราได้เห็นการค้นพบที่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง

in the emergence of these exponential curves.

จากความรวดเร็วของ กราฟเอ็กซ์โพเนนเชียลเหล่านี้

(Applause)

(เสียงปรบมือ)

And the cost has come down 10 percent per year

และราคาก็ลดลงร้อยละ 10 ต่อปี

for 30 years.

เป็นเวลา 30 ปี

And it's continuing to come down.

และมันก็ยังคงลดลงอยู่

Now, the business community has certainly noticed this,

ปัจจุบัน ประชาคมธุรกิจได้สังเกตเห็น สิ่งเหล่านี้แล้วแน่นอน

because it's crossing the grid parity point.

เพราะมันกำลังข้ามจุดที่พลังงานทางเลือกมีราคาถูกลงเท่ากับพลังงานที่ได้จากรูปแบบเดิม

Cheaper solar penetration rates are beginning to rise.

อัตราการลดลงของราคาพลังงานแสงอาทิตย์ เริ่มเพิ่มสูงขึ้น

Grid parity is understood as that line, that threshold,

Grid parity คือระดับเส้นวิกฤติที่บ่งบอกว่า

below which renewable electricity is cheaper than electricity

ใต้เส้นนั้น พลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน มีราคาถูกกว่าไฟฟ้าที่มาจาก

from burning fossil fuels.

การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล

That threshold is a little bit like the difference

ระดับกั้นนี้ก็คล้าย ๆ กับความต่าง

between 32 degrees Fahrenheit and 33 degrees Fahrenheit,

ระหว่าง 32 องศาฟาเรนไฮต์ กับ 33 องศาฟาเรนไฮต์

or zero and one Celsius.

หรือศูนย์และหนึ่งองศาเซลเซียส

It's a difference of more than one degree,

มันเป็นความต่างที่มากกว่าหนึ่งองศา

it's the difference between ice and water.

มันคือความต่างระหว่างน้ำแข็งกับน้ำ

And it's the difference between markets that are frozen up,

และมันเป็นความต่างระหว่างตลาด ที่กำลังหยุดนิ่ง

and liquid flows of capital into new opportunities for investment.

กับการไหลของเงินทุน เข้าไปหาโอกาสในการลงทุนใหม่ ๆ

This is the biggest new business opportunity

นี่เป็นโอกาสการทำธุรกิจใหม่ที่ใหญ่ที่สุด

in the history of the world,

ในประวัติศาสตร์โลก

and two-thirds of it is in the private sector.

และสองในสามอยู่ในภาคเอกชน

We are seeing an explosion of new investment.

เรากำลังเห็นความเฟื่องฟู ของการลงทุนใหม่ ๆ

Starting in 2010, investments globally in renewable electricity generation

ตั้งแต่ปี 2010 การลงทุนทั่วโลก ในยุคพลังงงานไฟฟ้าหมุนเวียน

surpassed fossils.

ชนะพลังงานจากฟอสซิล

The gap has been growing ever since.

ช่องว่างนี้ก็ได้ขยายขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่นั้น

The projections for the future are even more dramatic,

การคาดการณ์อนาคตยัง น่าตื่นตาตื่นใจกว่านั้นอีก

even though fossil energy is now still subsidized

แม้ว่าปัจจุบันจะยังมีการให้เงินอุดหนุน พลังงานฟอสซิลอยู่

at a rate 40 times larger than renewables.

ในอัตรา 40 เท่าของพลังงานหมุนเวียน

And by the way, if you add the projections for nuclear on here,

และถ้าคุณรวมการคาดการณ์ เกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์เข้าไปด้วย

particularly if you assume that the work many are doing

โดยเฉพาะหากคุณคิดถึง สิ่งที่หลาย ๆ คนกำลังทำอยู่

to try to break through to safer and more acceptable,

เพื่อค้นพบรูปแบบของนิวเคลียร์ ที่ปลอดภัยกว่า

more affordable forms of nuclear,

ยอมรับได้มากกว่า และราคาถูกกว่า

this could change even more dramatically.

ก็ยิ่งทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นอีก

So is there any precedent for such a rapid adoption

เคยมีเหตุการณ์ไหน ที่โลกรับเอาเทคโนโลยีใหม่

of a new technology?

เข้ามาใช้อย่างรวดเร็วเช่นนี้อีกไหม

Well, there are many, but let's look at cell phones.

ครับ มีหลายเหตุการณ์ทีเดียว แต่มาดูที่โทรศัพท์มือถือกัน

In 1980, AT&T, then Ma Bell,

ในปี ค.ศ. 1980 AT&T ตามด้วย Ma Bell

commissioned McKinsey to do a global market survey

จ้างให้ McKinsey ทำการสำรวจตลาดโลก

of those clunky new mobile phones that appeared then.

เกี่ยวกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ใหม่ รูปทรงหนา ๆ ที่ปรากฏขึ้นในสมัยนั้น

"How many can we sell by the year 2000?" they asked.

"เราจะขายได้เท่าไหร่เมื่อถึงปี ค.ศ. 2000" พวกเขาถาม

McKinsey came back and said, "900,000."

McKinsey กลับมาพร้อมคำตอบว่า "900,000"

And sure enough, when the year 2000 arrived,

และแน่นอน เมื่อถึงปี 2000

they did sell 900,000 -- in the first three days.

พวกเขาก็ได้ขายไป 900,000 เครื่อง ภายในสามวันแรก

And for the balance of the year, they sold 120 times more.

และถึงช่วงงบดุลประจำปี พวกเขาก็ขายได้มากกว่านั้น 120 เท่า

And now there are more cell connections than there are people in the world.

และตอนนี้มีการเชื่อมต่อทางโทรศัพท์มือถือ มากกว่าจำนวนคนบนโลก

So, why were they not only wrong, but way wrong?

ถ้าอย่างนั้นทำไมพวกเขาถึงไม่ได้แค่คาดผิด แต่คาดผิดไปไกลนักล่ะ

I've asked that question myself, "Why?"

ผมถามคำถามนั้นกับตัวเอง "ทำไมนะ"

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

And I think the answer is in three parts.

และผมคิดว่าคำตอบอยู่ในส่วนที่สาม

First, the cost came down much faster than anybody expected,

ส่วนแรก ราคามันลดฮวบลงมา เร็วกว่าที่ใคร ๆ จะคาดการณ์

even as the quality went up.

ทั้ง ๆ ที่คุณภาพพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ

And low-income countries, places that did not have a landline grid --

และประเทศรายได้ต่ำ ที่ไม่มีการวางสายโทรศัพท์บนดิน

they leap-frogged to the new technology.

พวกเขาก็กระโดดเข้าตะครุบเทคโนโลยีใหม่นี้

The big expansion has been in the developing counties.

การขยายตัวขนาดใหญ่เกิดขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา

So what about the electricity grids in the developing world?

แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับพลังงานไฟฟ้า ในโลกที่กำลังพัฒนาล่ะ

Well, not so hot.

มันไม่เป็นที่นิยมเท่าไหร่นัก

And in many areas, they don't exist.

และหลาย ๆ พื้นที่ไม่มีมันเลยด้วยซ้ำ

There are more people without any electricity at all in India

จำนวนคนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้เลยในอินเดีย มีจำนวนมากกว่า

than the entire population of the United States of America.

จำนวนประชากรทั้งหมด ในสหรัฐอเมริกา

So now we're getting this:

ดังนั้นเราก็เลยมีพวกนี้

solar panels on grass huts

แผงเซลล์สุริยะบนหลังคาหญ้า

and new business models that make it affordable.

และโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ที่ทำมันมีราคาที่พอจะซื้อได้

Muhammad Yunus financed this one in Bangladesh with micro-credit.

มูฮัมหมัด ยูนุส ให้เงินติดตั้งแผงนี้ที่บังกลาเทศ ด้วยการปล่อยสินเชื่อขนาดเล็ก

This is a village market.

นี่คือตลาดของหมู่บ้าน

Bangladesh is now the fastest-deploying country in the world:

บังกลาเทศในปัจจุบันเป็นประเทศ ที่ติดตั้งด้วยอัตราที่เร็วที่สุดในโลก

two systems per minute on average, night and day.

สอบระบบต่อนาทีโดยเฉลี่ย

And we have all we need:

และเรามีทุกอย่างที่จำเป็น

enough energy from the Sun comes to the earth

พลังงานแสงอาทิตย์ที่มาถึงโลก ในทุก ๆ ชั่วโมงนั้นมากพอ

every hour to supply the full world's energy needs for an entire year.

ที่จะตอบสนองความจำเป็น ทางด้านพลังงานของโลกได้ทั้งปี

It's actually a little bit less than an hour.

จริง ๆ แล้วใช้แสงอาทิตย์ น้อยกว่าหนึ่งชั่วโมงนิดหน่อยก็ยังได้

So the answer to the second question, "Can we change?"

ดังนั้น คำตอบของคำถามข้อสองก็คือ "เราเปลี่ยนแปลงได้ไหม"

is clearly "Yes."

นั้นชัดเจนแล้วว่า "ได้"

And it's an ever-firmer "yes."

และมันก็เป็น "ได้" ที่หนักแน่นเสียยิ่งกว่า

Last question, "Will we change?"

คำถามข้อสุดท้าย "เราจะเปลี่ยนแปลงไหม?"

Paris really was a breakthrough,

ข้อตกลงปารีสนั้นเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่

some of the provisions are binding

มีบางบทที่เป็นข้อผูกมัด

and the regular reviews will matter a lot.

และการทบทวนอย่างสม่ำเสมอก็สำคัญอย่างมาก

But nations aren't waiting, they're going ahead.

แต่ชาติต่าง ๆ ก็ไม่ได้รีรอ พวกเขากำลังเดินไปข้างหน้า

China has already announced that starting next year,

จีนได้ประกาศไปแล้วว่าตั้งแต่ปีถัดไป

they're adopting a nationwide cap and trade system.

พวกเขาจะรับเอาระบบการค้าขายแลกเปลี่ยน ก๊าซเรือนกระจกทั่วประเทศ

They will likely link up with the European Union.

พวกเขามีแนวโน้มจะเชื่อมกับสหภาพยุโรป

The United States has already been changing.

สหรัฐอเมริกาก็กำลังเปลี่ยนแปลง

All of these coal plants were proposed

โรงไฟฟ้าถ่านหินทั้งหมดที่ได้วางโครงการ

in the next 10 years and canceled.

ในช่วง 10 ปีข้างหน้า ก็ได้ถูกยกเลิก

All of these existing coal plants were retired.

และโรงไฟฟ้าถ่านหินทั้งหมดที่มีอยู่เดิม ก็ถูกปลดระวาง

All of these coal plants have had their retirement announced.

โรงไฟฟ้าถ่านหินทั้งหมดนี้ มีแผนการปลดระวางที่ได้ประกาศแล้ว

All of them -- canceled.

ทั้งหมดทั้งมวล ถูกยกเลิก

We are moving forward.

พวกเรากำลังก้าวไปข้างหน้า

Last year -- if you look at all of the investment

ปีที่แล้ว ถ้าคุณดูการทั้งหมดทั้งหมด

in new electricity generation in the United States,

ในพลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ ในสหรัฐอเมริกา

almost three-quarters was from renewable energy,

เกือบสามในสี่ เป็นพลังงานหมุนเวียน

mostly wind and solar.

ส่วนใหญ่เป็นพลังงานลมและแสงอาทิตย์

We are solving this crisis.

พวกเรากำลังแก้ไขวิกฤติการณ์นี้

The only question is: how long will it take to get there?

และคำถามเดียวก็คือ จะใช้เวลาเท่าไหร่จึงจะสำเร็จ?

So, it matters that a lot of people are organizing

มันสำคัญมากที่ผู้คนกำลังจัดตั้งกลุ่ม

to insist on this change.

เพื่อยืนหยัดในการเปลี่ยนแปลงนี้

Almost 400,000 people marched in New York City

ผู้คนเกือบ 400,000 คนเดินขบวน ในเมืองนิวยอร์ก

before the UN special session on this.

ก่อนการประชุมวาระพิเศษของสหประชาชาติ เกี่ยวกับเรื่องนี้

Many thousands, tens of thousands,

หลายพันคน เป็นหมื่น ๆ คน

marched in cities around the world.

เดนขบวนในเมืองต่าง ๆ ทั่วโลก

And so, I am extremely optimistic.

และก็ ผมเป็นคนมองโลกในแง่ดีสุด ๆ

As I said before, we are going to win this.

อย่างที่ผมได้พูดไปก่อนหน้านี้ เรากำลังเอาชนะมัน

I'll finish with this story.

ผมจะปิดท้ายด้วยเรื่องนี้

When I was 13 years old,

ตอนผมมีอายุได้ 13 ปี

I heard that proposal by President Kennedy

ผมได้ยินการเสนอโครงการนั้น ของประธานาธิบดีเคนเนดี้

to land a person on the Moon and bring him back safely

ที่จะส่งคนไปยังดวงจันทร์ และนำเขากลับมาอย่างปลอดภัย

in 10 years.

ภายใน 10 ปี

And I heard adults of that day and time say,

ผมได้ยินผู้ใหญ่ในเวลานั้นพูดว่า

"That's reckless, expensive, may well fail."

"นั่นมันขาดความยั้งคิด สิ้นเปลือง และอาจจะล้มเหลวอีกต่างหาก"

But eight years and two months later,

แต่ 8 ปี 2 เดือนถัดมา

in the moment that Neil Armstrong set foot on the Moon,

ณ เวลาที่นีล อาร์มสตรอง ก้าวเท้าลงบนดวงจันทร์

there was great cheer that went up in NASA's mission control in Houston.

มีเสียงโห่ร้องยินดีในห้องควบคุมภารกิจของ NASA ที่เมืองฮุสตัน

Here's a little-known fact about that:

นี่เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้กัน

the average age of the systems engineers,

อายุเฉลี่ยของวิศวกรระบบ

the controllers in the room that day, was 26,

ผู้ควบคุมที่อยู่ในห้องนั้น ในวันนั้น คือ 26 ปี

which means, among other things,

ซึ่งหมายความว่า นอกจากเรื่องอื่่น ๆ แล้ว

their age, when they heard that challenge, was 18.

อายุตอนที่พวกเขาได้ยินการท้าทายนี้ คือ 18 ปี

We now have a moral challenge

ตอนนี้เรามีความท้าท้ายทางศีลธรรม

that is in the tradition of others that we have faced.

ที่มีอยู่ในประเพณีของผู้อื่น ที่พวกเราได้พบเจอ

One of the greatest poets of the last century in the US,

หนึ่งในกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในช่วงศตวรรษที่แล้วของสหรัฐฯ

Wallace Stevens,

วอลเลส สตีเวนส์

wrote a line that has stayed with me:

ได้เขียนบทหนึ่งที่ผมยังคงตราตรึง

"After the final 'no,' there comes a 'yes,'

"หลัง 'ไม่' สุดท้าย 'ใช่' ก็จะมา

and on that 'yes', the future world depends."

และ 'ใช่' นั้น ที่อนาคตของโลกพึ่งพิง"

When the abolitionists started their movement,

เมื่อกลุ่มผู้สนับสนุนการเลือกทาส เริ่มต้นการเคลื่อนไหว

they met with no after no after no.

พวกเขาพบกับคำว่า ไม่ ซ้ำแล้วซ้ำอีก

And then came a yes.

และจากนั้นก็มีคำว่า ใช่

The Women's Suffrage and Women's Rights Movement

สิทธิออกเสียงเลือกตั้งของสตรี และขบวนการเพื่อสิทธิสตรี

met endless no's, until finally, there was a yes.

เจอกับคำว่า ไม่ แทบไม่สิ้นสุด จนกระทั่ง สุดท้ายแล้ว ก็มีคำว่า ใช่

The Civil Rights Movement, the movement against apartheid,

ขบวนการเพื่อสิทธิพลเมือง การเคลื่อนไหวที่ต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ

and more recently, the movement for gay and lesbian rights

และที่ล่าสุดกว่านี้ การเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิของเกย์และเลสเบียน

here in the United States and elsewhere.

ที่นี่ในสหรัฐฯ และที่อื่น ๆ

After the final "no" comes a "yes."

หลังคำว่า "ไม่" ครั้งสุดท้าย คำว่า "ใช่" ก็มา

When any great moral challenge is ultimately resolved

เมื่อความท้าทายทางศีลธรรมครั้งใหญ่ใด ๆ ที่ในที่สุดได้ถูกแบ่งแยก

into a binary choice between what is right and what is wrong,

ออกเป็นทางเลือกสองแพร่ง ระหว่างสิ่งที่ถูก และสิ่งที่ผิด

the outcome is fore-ordained because of who we are as human beings.

ผลลัพธ์ได้ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะสิ่งที่เราเป็นในฐานะป็นมนุษย์

Ninety-nine percent of us, that is where we are now

ร้อยละ 99 ของพวกเรา นั่นคือที่ที่เราอยู่ตอนนี้

and it is why we're going to win this.

และนี่คือเหตุผลว่าทำไมเราถึงจะชนะ

We have everything we need.

เรามีทุกอย่างที่จำเป็น

Some still doubt that we have the will to act,

บางคนยังคงสงสัย ว่าเรามีปณิธานที่จะลงมือทำหรือไม่

but I say the will to act is itself a renewable resource.

แต่ผมพูดได้ว่า ปณิธานที่จะลงมือทำนั้น คือตัวแหล่งพลังงานหมุนเวียนนั่นเอง

Thank you very much.

ขอบคุณมากครับ

(Applause)

(เสียงปรบมือ)

Chris Anderson: You've got this incredible combination of skills.

คริส แอนเดอร์สัน: คุณมีการผสมผสาน ที่น่าเหลือเชื่อของทักษะต่าง ๆ

You've got this scientist mind that can understand

คุณมีหัวคิดของแบบนักวิทยาศาสตร์ ที่สามารถเข้าใจ

the full range of issues,

ขอบเขตทั้งหมดของปัญหา

and the ability to turn it into the most vivid language.

และความสามารถที่จะส่งมันออกมา ด้วยภาษาที่มีชีวิตชีวาที่สุด

No one else can do that, that's why you led this thing.

ไม่มีใครอีกแล้วที่สามารถทำได้แบบนี้ คุณถึงได้เป็นผู้นำในเรื่องนี้

It was amazing to see it 10 years ago, it was amazing to see it now.

มันช่างวิเศษที่ได้เห็นมันเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มันช่างวิเศษที่ได้เห็นมันตอนนี้

Al Gore: Well, you're nice to say that, Chris.

อัล กอร์: ครับ คุณเองก็สุภาพ ที่พูดแบบนั้น คริส

But honestly, I have a lot of really good friends

แต่เอาตามตรง ผมมีเพื่อนที่ดีมากมาย

in the scientific community who are incredibly patient

ในประชาคมวิทยาศาสตร์ ที่มีความอดทนอย่างน่าเหลือเชื่อ

and who will sit there and explain this stuff to me

และผู้ที่จะนั่งอยู่ตรงนั้น และอธิบายเรื่องนี้กับผม

over and over and over again

ซ้ำแล้ว ซ้ำแล้วซ้ำอีก

until I can get it into simple enough language

จนกว่าผมจะสามารถรับมัน ด้วยภาษาที่เรียบง่ายเพียงพอ

that I can understand it.

ที่ผมจะสามารถเข้าใจมันได้

And that's the key to trying to communicate.

และนั่นคือหัวใจ ของการพยายามที่จะสื่อสาร

CA: So, your talk. First part: terrifying,

คริส: การสนทนาของคุณ ช่วงแรก น่าสะพรึง

second part: incredibly hopeful.

ส่วนที่สอง ให้ความหวังอย่างน่าเหลือเชื่อ

How do we know that all those graphs, all that progress, is enough

คุณทราบได้อย่างไรว่ากราฟทั้งหมดนั่น ความก้าวหน้าทั้งหมดนั่น เพียงพอแล้ว

to solve what you showed in the first part?

ที่จะแก้ไขในสิ่งที่คุณแสดงให้เห็น ในส่วนแรก

AG: I think that the crossing --

อัล กอร์: ผมคิดว่า การตัดกันของเส้น

you know, I've only been in the business world for 15 years.

คุณก็รู้ ผมอยู่ในโลกธุรกิจเพียงแค่ 15 ปี

But one of the things I've learned is that apparently it matters

แต่หนึ่งในสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ก็คือ มันมีความสำคัญอย่างชัดแจ้ง

if a new product or service is more expensive

ว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่นั้นแพงกว่า

than the incumbent, or cheaper than.

ของที่มีอยู่เดิม หรือถูกกว่า

Turns out, it makes a difference if it's cheaper than.

ผลก็คือ มันสร้างความแตกต่าง ถ้ามันถูกกว่า

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

And when it crosses that line,

และเมื่อมันได้ตัดกับเส้นนั้น

then a lot of things really change.

สิ่งต่าง ๆ มากมายก็จะเปลี่ยนแปลงจริง ๆ

We are regularly surprised by these developments.

พวกเราต่างประหลาดใจอยู่บ่อยครั้ง ต่อการพัฒนาเหล่านี้

The late Rudi Dornbusch, the great economist said,

อย่างที่รูดี ดอร์นบุช นักเศรษฐศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ได้เคยกล่าวไว้

"Things take longer to happen then you think they will,

"สิ่งต่าง ๆ ใช้เวลายาวนานกว่าจะเกิดขึ้น ทันใดนั้น คุณคิดว่ามันจะเกิด

and then they happen much faster than you thought they could."

และพวกมันก็เกิดขึ้นรวดเร็วกว่าที่พวกคุณ ได้คิดไว้ว่ามันจะทำได้"

I really think that's where we are.

ผมคิดจริง ๆ ว่านั่นคือจุดที่เรากำลังอยู่

Some people are using the phrase "The Solar Singularity" now,

บางคนกำลังใช้คำว่า "ภาวะเอกฐานสุริยะ" ตอนนี้

meaning when it gets below the grid parity,

หมายความว่า เมื่อพลังงานแสงอาทิตย์ ไปถึงจุดที่ตำกว่าค่าของพลังงานกริด

unsubsidized in most places,

ที่ไม่ได้รับการอุดหนุนในพื้นที่ส่วนใหญ่

then it's the default choice.

มันจะกลายเป็นทางเลือกโดยปริยาย

Now, in one of the presentations yesterday, the jitney thing,

เอาหละ ในการนำเสนอหนึ่ง เมื่อวานนี้ เรื่องรถสองแถว

there is an effort to use regulations to slow this down.

มีความพยายามที่จะใช้กฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อชะลอเรื่องนี้ลง

And I just don't think it's going to work.

และผมก็ไม่คิดว่ามันจะได้ผล

There's a woman in Atlanta, Debbie Dooley,

มีผู้หญิงคนหนึ่งในเมืองแอตแลนต้า เด็บบี้ ดูเลย์

who's the Chairman of the Atlanta Tea Party.

ซึ่งเป็นประธานของขบวนการเลี้ยงน้ำชา เมืองแอตแลนต้า

They enlisted her in this effort to put a tax

พวกเขาเรียกร้องจากเธอ ในความพยายามที่จะจัดเก็บภาษี

on solar panels and regulations.

จากแผงเซลล์สุริยะ และกฎระเบียบต่าง ๆ

And she had just put solar panels on her roof

และเธอก็เพิ่งจะติดตั้งแผงเซลล์สุริยะ บนหลังคาบ้านตัวเองไปหมาด ๆ

and she didn't understand the request.

และเธอก็ไม่เข้าใจข้อเรียกร้องนี้

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

And so she went and formed an alliance with the Sierra Club

ดังนั้นเธอจึงไปและจัดตั้งพันธมิตรกับเซียร่า คลับ

and they formed a new organization called the Green Tea Party.

และพวกเขาก็ได้จัดตั้งองค์การใหม่ขึ้นมา เรียกว่า ขบวนการเลี้ยงน้ำชาเขียว

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

(Applause)

(เสียงปรบมือ)

And they defeated the proposal.

และพวกเขาก็ได้ล้มข้อเสนอนั้นลง

So, finally, the answer to your question is,

ดังนั้น สุดท้ายแล้ว คำตอบของคำถามของคุณก็คือ

this sounds a little corny and maybe it's a cliché,

นี่อาจจะฟังดูเชยและอาจจะจำเจ

but 10 years ago -- and Christiana referred to this --

แต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว และคริสเตียนาพูดถึงเรื่องนี้

there are people in this audience who played an incredibly significant role

มีหลายคนในบรรดาผู้ฟัง ที่ได้มีบทบาทสำคัญอย่างไม่น่าเชื่อ

in generating those exponential curves.

ในการสร้างกราฟเอ็กซ์โปเนนเชียลเหล่านั้น

And it didn't work out economically for some of them,

และมันก็ไม่ได้ผลในทางเศรษฐกิจ สำหรับพวกเขาบางคน

but it kick-started this global revolution.

แต่นั่นก็ได้ก่อให้เกิดการปฏิวัติระดับโลกนี้

And what people in this audience do now

และสิ่งที่ผู้ฟังทำตอนนี้

with the knowledge that we are going to win this.

ด้วยความรู้ที่ว่า พวกเราจะเอาชนะมันได้

But it matters a lot how fast we win it.

แต่มันก็สำคัญมาก ๆ ที่ว่า เราจะชนะมันได้เร็วแค่ไหน

CA: Al Gore, that was incredibly powerful.

คริส: อัล กอร์ครับ นั่นทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ

If this turns out to be the year,

ถ้านี่กลับกลายเป็นปี

that the partisan thing changes,

ทีเรื่องของฝ่ายการเมืองเปลี่ยนแปลง

as you said, it's no longer a partisan issue,

อย่างที่คุณพูดไว้ มันไม่ใช่ประเด็น เกี่ยวกับฝ่ายการเมืองอีกต่อไปแล้ว

but you bring along people from the other side together,

แต่คุณได้นำพาผู้คนจากต่างฝ่าย เข้ามาไว้ด้วยกัน

backed by science, backed by these kinds of investment opportunities,

หนุนหลังด้วยวิทยาศาสตร์ ด้วยโอกาสในการลงทุนเหล่านั้น

backed by reason that you win the day --

ด้วยเหตุผลที่คุณชนะการโต้เถียง

boy, that's really exciting.

โอ้ ช่างน่าตื่นเต้นเสียจริง

Thank you so much.

ขอบคุณมากครับ

AG: Thank you so much for bringing me back to TED.

อัล กอร์: ขอบคุณมากครับ ที่พาผมกลับมายัง TED

Thank you!

ขอบคุณครับ

(Applause)

(เสียงปรบมือ)