Where do new words come from? - Marcel Danesi

Translator: Natthacha Sangchaitaveeruk Reviewer: Sakunphat Jirawuthitanant

Every year, about 1,000 new words are added to the Oxford English Dictionary.

ทุก ๆ ปี คำศัพท์เกิดใหม่ประมาณ 1,000 คำ ถูกเพิ่มลงในพจนานุกรมอังกฤษของออกซ์ฟอร์ด

Where do they come from,

ศัพท์เหล่านี้มาจากไหนกัน

and how do they make it into our everyday lives?

และเข้ามาในชีวิตประจำวันของเราได้อย่างไร

With over 170,000 words currently in use in the English language,

ปัจจุบันศัพท์จำนวนกว่า 170,000 คำ ถูกใช้ในภาษาอังกฤษ

it might seem we already have plenty.

อาจดูเหมือนว่ามีมากมายแล้ว

Yet, as our world changes,

แต่ในขณะที่โลกของเราเปลี่ยนแปลงไป

new ideas and inventions spring forth,

ความคิดและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ผุดขึ้นมา

and science progresses,

และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์

our existing words leave gaps in what we want to express

คำที่เรามีอยู่ยังคงเว้นช่องว่าง ในสิ่งที่เราต้องการสื่อออกมา

and we fill those gaps in several ingenious,

และเราเติมช่องว่างเหล่านั้นด้วย ความแยบยลหลายอย่าง

practical,

การประยุกต์

and occasionally peculiar ways.

และบางครั้งก็ใช้วิธีที่เฉพาะทาง

One way is to absorb a word from another language.

วิธีหนึ่งคือ การซึมซับคำศัพท์จากภาษาอื่น

English has borrowed so many words over its history

ภาษาอังกฤษยืมคำต่อหลายคำ มาตลอดประวัติศาสตร์

that nearly half of its vocabulary comes directly from other languages.

ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งของคำศัพท์ มาจากภาษาอื่นโดยตรง

Sometimes, this is simply because the thing the word describes

บางครั้ง นี่เป็นวิธีที่ง่ายเพราะ คำอธิบายของสิ่งนั้น

was borrowed itself.

ได้ถูกยืมมาด้วย

Rome and France brought legal and religious concepts,

โรมและฝรั่งเศสนำแนวคิด ทางกฎหมายและทางศาสนาเข้ามา

like altar and jury, to Medieval England,

เช่น Altar (แท่นบูชา) และ Jury (คณะลูกขุน) ในช่วงยุคกลางของอังกฤษ

while trade brought crops and cuisine,

ขณะที่การค้านำพืชผลและอาหารเข้ามา

like Arabic coffee,

เช่น กาแฟอาราบิกา

Italian spaghetti,

สปาเก็ตตี้อิตาเลียน

and Indian curry.

และแกงเผ็ดของอินเดีย

But sometimes, another language has just the right word

แต่ในบางครั้ง ภาษาอื่น ๆ มี คำที่ดีและเหมาะสม

for a complex idea or emotion,

สำหรับความคิดที่ซับซ้อนหรืออารมณ์

like naïveté

เช่น naïveté (ไร้เดียงสา)

machismo,

machismo (ความเป็นชาย)

or schadenfreude.

หรือ schadenfreude (สุขเมื่อผู้อื่นมีทุกข์)

Scientists also use classical languages to name new concepts.

นักวิทยาศาสตร์ยังใช้ภาษา คลาสสิกเพื่อตั้งชื่อสิ่งใหม่ๆ

Clone, for example, was derived from the Ancient Greek word for twig

ตัวอย่างเช่น คำว่า Clone มาจาก คำกรีกโบราณ ที่หมายถึงกิ่งก้าน

to describe creating a new plant from a piece of the old.

เพื่ออธิบายถึงการเพาะต้นใหม่ จากกิ่งก้านเดิม

And today, the process works both ways,

ในปัจจุบัน กระบวนการมีอยู่สองวิธี

with English lending words like software to languages all over the world.

ด้วยการคำยืมภาษาอังกฤษ เช่น software ไปใช้ในภาษาต่าง ๆ ทั่วโลก

Another popular way to fill a vocabulary gap

อีกวิธีหนึ่งที่เป็นที่นิยมเพื่อเติม ช่องว่างของคำศัพท์

is by combining existing words that each convey part of the new concept.

คือ การรวมคำแต่ละคำที่สื่อแนวคิดใหม่ ๆ ที่เรามีอยู่

This can be done by combining two whole words into a compound word,

โดยนำศัพท์ 2 คำ มารวมเป็นคำประสม

like airport

เช่น airport (สนามบิน)

or starfish,

หรือ starfish (ปลาดาว)

or by clipping and blending parts of words together, like spork,

หรือการตัดและการผสมผสานบางส่วน ของคำเข้าด้วยกันเช่น spork (ช้อนกึ่งส้อม)

brunch,

brunch (มื้อสาย)

or internet.

หรือ internet (อินเตอร์เน็ต)

And unlike borrowings from other languages,

ซึ่งวิธีนี้แตกต่างจากการยืมคำจากภาษาอื่น ๆ

these can often be understood the first time you hear them.

เพราะเราสามารถเข้าใจได้ ตั้งแต่ได้ยินเป็นครั้งแรก

And sometimes a new word isn't new at all.

และบางครั้ง คำใหม่ ก็ไม่ได้ใหม่ไปซะทีเดียว

Obsolete words gain new life by adopting new meanings.

คำเก่า ๆ ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง โดยถูกเปลี่ยนความหมายใหม่

Villain originally meant a peasant farmer, but in a twist of aristocratic snobbery

Villain แต่เดิมหมายถึง ชาวนา แต่การบิดเบือนของขุนนางหัวสูง

came to mean someone not bound by the knightly code of chivalry

ถูกเปลี่ยนความหมายเป็น ผู้ที่ไม่ปฎิบัติตามกฏของอัศวิน

and, therefore, a bad person.

ดังนั้นจึงหมายถึง อันธพาล

A geek went from being a carnival performer

Geek ที่แต่เดิมหมายถึง นักแสดงตลก

to any strange person

ถูกเปลี่ยนความหมายเป็น คนที่ทำตัวแปลก

to a specific type of awkward genius.

โดยถูกเจาะจงความหมายว่าเป็น อัจฉริยะที่หมกมุ่น

And other times, words come to mean their opposite through irony,

บางครั้ง คำศัพท์ก็เปลี่ยนความหมาย เป็นทางตรงกันข้าม มีทั้งการเหน็บแนม

metaphor,

การอุปมา

or misuse,

หรือ การถูกใช้ในทางที่ผิด

like when sick or wicked are used to describe something literally amazing.

เช่น sick (ป่วย) และ wicked (ชั่วร้าย) ถูกนำมาใช้ในความหมายว่า สุดยอด เจ๋ง

But if words can be formed in all these ways,

แต่ถ้าคำศัพท์ถูกสร้างโดยวิธีเหล่านี้

why do some become mainstream while others fall out of use

ทำไมบางคำถึงกลายเป็นที่นิยม ในขณะที่บางคำกลับถูกเลิกใช้

or never catch on in the first place?

หรือไม่ได้เป็นที่นิยมตั้งแต่แรก

Sometimes, the answer is simple,

คำตอบนั้นง่าย ๆ เลย

as when scientists or companies give an official name to a new discovery

เมื่อนักวิทยาศาสตร์หรือบริษัทต่าง ๆ ตั้งชื่อทางการให้กับสิ่งใหม่ที่ค้นพบ

or technology.

หรือ เทคโนโลยี

And some countries have language academies to make the decisions.

บางประเทศมีสถาบันภาษา ที่ทำหน้าที่ตัดสินใจการเลือกใช้คำศัพท์

But for the most part, official sources like dictionaries

แต่ส่วนมากจะใช้แหล่งอ้างอิงทางการ อย่าง พจนานุกรม

only document current usage.

สำหรับใช้งานเอกสารในปัจจุบัน

New words don't originate from above, but from ordinary people

ศัพท์ใหม่ไม่ได้เกิดจากที่กล่าวไว้ข้างต้น แต่มาจากคนธรรมดา

spreading words that hit the right combination

ที่กระจายคำศัพท์ที่มีความผสมผสานที่โดนใจ

of useful and catchy.

ในการนำมาใช้และติดหู

Take the word meme,

ส่วนคำว่า meme (มีม)

coined in the 1970s by sociobiologist Richard Dawkins

เกิดขึ้นในยุค1970 โดยนักสังคมวิทยา นามว่า ริชาร์ด ดอว์คินส์

from the Ancient Greek for imitation.

จากการเลียนแบบกรีกโบราณ

He used it to describe how ideas and symbols propagate through a culture

เขาใช้คำนี้เพื่ออธิบายความคิด และสัญลักษณ์ที่เผยแพรวัฒนธรรม

like genes through a population.

ตั้งแต่ยีนส์ไปจนถึงประชากร

With the advent of the Internet,

เพราะอินเตอร์เน็ตถือกำเนิด

the process became directly observable in how jokes and images

กระบวนการคือการสังเกตมุกตลกและรูปภาพ

were popularized at lightning speed.

ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว

And soon, the word came to refer to a certain kind of image.

หลังจากนั้น คำจึงหมายถึงการอ้างถึงรูปนั้นๆ

So meme not only describes how words become part of language,

ดังนั้น มีม ไม่ได้อธิบายว่าคำศัพท์ กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของภาษาได้อย่างไร

the word is a meme itself.

คำศัพท์ต่างหากที่ใช้ความหมายคำว่า มีม ด้วยตัวของมันเอง

And there's a word for this phenomenon of words that describe themselves:

ปรากฎการณ์นี้เรียกว่า Autological

autological.

หมายถึงการที่คำจะให้ความหมายในตัวมันเอง

Not all new words are created equal.

ศัพท์ใหม่ทุกคำไม่ได้ ถูกสร้างขึ้นอย่างเท่าเทียม

Some stick around for millennia,

บางคำใช้เวลากว่าพันปี

some adapt to changing times,

บางคำถูกดัดแปลงตามกาลเวลา

and others die off.

และบางคำค่อย ๆ หายไป

Some relay information,

บางคำถ่ายทอดข้อมูล

some interpret it,

บางคำใช้ตีความ

but the way these words are created

แต่วิธีการสร้างคำเหล่านี้

and the journey they take to become part of our speech

การเดินทางกลายเป็นส่วนหนึ่งของคำพูด

tells us a lot about our world and how we communicate within it.

ที่บอกเรื่องราวของโลก และวิธีที่เราใช้สื่อสารภายในนั้น