The strangest summer in recorded history - David Biello

Translator: Nunnaphat Khananai Reviewer: Napat Kerewanmas

It’s April 10th, 1815, and in just a few moments,

วันนี้คือวันที่ 10 เมษายน ปี 1815 และในอีกไม่กี่อึดใจ

the sun is going to disappear.

ดวงอาทิตย์กำลังจะลับหายไป

On an island in present-day Indonesia,

บนเกาะที่ในปัจจุบันคือประเทศอินโดนีเซีย

Mount Tambora erupts with a boom that can be heard over 2,000 kilometers away.

ภูเขาไฟตัมโบราได้เกิดการระเบิด จนสามารถได้ยินไปไกลกว่า 2,000 กิโลเมตร

Sulfurous plumes of steam and ash billow thousands of meters into the sky,

ไอละอองกำมะถันและขี้เถ้า พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าหลายพันเมตร

forming dark storm clouds of soot and lightning.

ก่อตัวเป็นพายุเมฆดำ ที่ประกอบด้วยเขม่าและฟ้าแลบ

This eruption will go down as the largest in recorded history,

การปะทุครั้งนี้จะครอบคลุมพื้นที่ กว้างที่สุดในประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้

but, at this point, its impact is only just beginning.

แต่ ณ จุดนี้ ผลกระทบของมัน เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

Ascending high into the atmosphere,

สูงขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศ

Tambora’s emissions spread across the globe,

ฝุ่นควันจากภูเขาไฟตัมโบรา แผ่กระจายไปทั่วโลก

blotting out the sun for almost an entire year.

บดบังแสงจากดวงอาทิตย์เกือบตลอดทั้งปี

The hazy skies and cold weather of 1816 wreak havoc on agriculture,

ท้องฟ้าที่มืดสลัวและอากาศที่หนาวเย็น ในปี 1816 สร้างความเสียหายต่อภาคการเกษตร

leading to famines all across the Northern Hemisphere.

ส่งผลให้เกิดภาวะข้าวยากหมากแพง ไปทั่วทั้งซีกโลกเหนือ

Nations struggle with epidemics,

ประเทศต่าง ๆ เผชิญกับโรคระบาด

and artists craft bleak tributes to these seemingly apocalyptic times.

และศิลปินหลายคนสร้างศิลปะอันน่าหดหู่ เพื่อแสดงถึงลักษณะของช่วงเวลาเหล่านี้

This was the year without summer—

นี่คือปีที่ไม่มีฤดูร้อน

literally one of the darkest periods in human history.

ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด ช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ก็ว่าได้

So why are some modern researchers looking for ways to repeat it?

แล้วทำไมในปัจจุบัน นักวิจัยบางคน จึงมองหาวิธีทำให้เกิดเหตุการณ์นั้นซ้ำล่ะ

Obviously, no one wants to replicate this period’s famine and despair.

แน่นอนว่าไม่มีใครอยากให้เกิด ภาวะอดอยากและความสิ้นหวังในยุคนี้อีก

But some scientists are interested in using sulfurous haze to block out the sun,

แต่นักวิทยาศาสตร์บางคนสนใจที่จะใช้ หมอกกำมะถันมาบังแสงอาทิตย์

and hopefully, slow the effects of global warming.

โดยหวังให้ช่วยชะลอผลกระทบ จากภาวะโลกร้อน

This is one of many proposals in the realm of geoengineering—

นี่เป็นหนึ่งในข้อเสนอมากมาย จากสาขาวิศวกรรมธรณี

a class of deliberate, large-scale interventions in Earth’s natural systems

ซึ่งเป็นศาสตร์ในการแทรกแซง ระบบธรรมชาติขนาดใหญ่ของโลก

intended to help restrain climate change.

โดยมีจุดประสงค์เพื่อช่วยยับยั้ง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

Different geoengineering schemes intervene in different systems.

แผนวิศวกรรมธรณีที่แตกต่างกัน ใช้แทรกแซงในระบบที่แตกต่างกัน

Any plans to cool the planet by blocking the amount of sunlight reaching the earth

แผนใด ๆ ที่จะทำให้โลกเย็นลงโดยการปิดกั้น ปริมาณแสงแดดที่ส่องมายังโลก

would fall in the category of solar radiation management.

จะจัดอยู่ในหมวดหมู่ การจัดการรังสีดวงอาทิตย์

Some of these proposals are massive in scale,

ข้อเสนอเหล่านี้บางข้อมีสเกลใหญ่มาก

such as suggestions to create a helpful version of volcanic plumes

เช่น การสร้างควันภูเขาไฟ ที่เป็นประโยชน์

or build a giant sunshade in Earth’s orbit.

หรือการสร้างม่านบังแดดขนาดยักษ์ ในวงโคจรของโลก

Others are more limited, focusing on enhancing natural cooling systems.

ข้อเสนออื่น ๆ มีขอบเขตแคบลงมากขึ้น โดยเน้นปรับปรุงระบบลดความร้อนตามธรรมชาติ

For example, researchers might enlarge marine clouds

เช่น นักวิจัยอาจขยายเมฆ ในบริเวณมหาสมุทรให้ใหญ่ขึ้น

or make Earth reflect more sunlight by building huge swaths of white surfaces.

หรือทำให้โลกสะท้อนแสงอาทิตย์มากขึ้น โดยการสร้างแนวพื้นผิวสีขาวเป็นวงกว้าง

Many of these plans sound more than a little strange.

แผนเหล่านี้ส่วนใหญ่อาจฟังดูแปลกไปบ้าง

But there’s reason to believe they might work,

แต่มีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าแผนอาจใช้ได้ผล

not least because of natural events like the eruption of Tambora.

ดูอย่างเหตุการณ์ทางธรรมชาติ เช่น การปะทุของภูเขาไฟตัมโบรา

Scientists know that volcanic eruptions have periodically cooled the climate.

นักวิทยาศาสตร์รู้ว่าการปะทุของภูเขาไฟ ทำให้สภาพอากาศเย็นลงได้ช่วงหนึ่ง

Both the Pinatubo eruption in 1991

ทั้งการปะทุของภูเขาไฟพินาตูโบในปี 1991

and 1883′s blast of Krakatoa reduced global average temperatures

และการระเบิดของภูเขาไฟกรากะตัวในปี 1883 ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกลดลง

by at least half-a-degree Celsius for up to a year.

อย่างน้อยครึ่งองศาเซลเซียส เป็นเวลานานถึงหนึ่งปี

These cooling effects are global and fast acting—

ผลจากความร้อนที่ลดลงเหล่านี้ กระจายไปทั่วโลกและเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

but they're also incredibly risky.

แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน

The Earth is a chaotic system where even the smallest changes

โลกเป็นระบบที่ยุ่งเหยิง ซึ่งแม้แต่การเปลี่ยนแปลงที่เล็กน้อยที่สุด

can create countless unpredictable ripple effects.

ก็สามารถสร้างผลกระทบเป็นระลอกคลื่น ที่คาดเดาไม่ได้นับครั้งไม่ถ้วน

We know that cooling temperatures impacts precipitation,

เราทราบกันว่าอุณหภูมิที่ลดลง ส่งผลต่อปริมาณน้ำฝน

extreme weather, and other climate phenomena,

สภาพอากาศสุดขั้ว และปรากฏการณ์ทางสภาพอากาศอื่น ๆ

but it’s difficult for even the most advanced computer models

แต่มันเป็นเรื่องยาก แม้แต่แบบจำลองคอมพิวเตอร์ที่ล้ำที่สุด

to predict how or where these consequences will occur.

ก็ยังพยากรณ์ได้ยากว่า ผลสืบเนื่องเหล่านี้ จะเกิดขึ้นได้อย่างไรหรือที่ไหน

One country’s solar radiation management

ระบบจัดการรังสีดวงอาทิตย์ของประเทศหนึ่ง

might be another country’s unnatural disaster,

อาจเป็นภัยต่อประเทศอื่น

causing extreme weather or crop failures like those following Tambora’s eruption.

เป็นเหตุของสภาพอากาศรุนแรงหรือ พืชผลเสียหาย เหมือนหลังการปะทุของตัมโบรา

And even if these schemes did safely cool the planet,

และแม้ว่าแผนการเหล่านี้ จะทำให้โลกเย็นลงอย่างปลอดภัย

solar radiation management doesn’t address the greenhouse gases

แต่การจัดการรังสีดวงอาทิตย์ ก็ไม่ได้แก้ปัญหาก๊าซเรือนกระจก

that are causing global warming.

ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน

These solutions are just highly experimental band-aids

ทางออกเหล่านี้เปรียบเป็นเพียง ผ้าพันแผลชั่วคราว

that the world would have to endure for at least a few decades

ที่โลกจะต้องทนใช้ต่อไปอีก อย่างน้อยสองสามทศวรรษ

while we work on actually removing CO2 from the air.

ในขณะที่เรากำลังกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ ออกจากอากาศอย่างจริงจัง

And if we pulled that band-aid off prematurely,

และถ้าเราเอาผ้าพันแผลนั้นออกไปก่อนกำหนด

global temperatures could rapidly rebound,

อุณหภูมิของโลกอาจพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

causing a period of intense super warming.

ส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อนขึ้นอย่างรุนแรง

For these reasons and more solar radiation management is risky.

ด้วยเหตุผลเหล่านี้เอง การจัดการรังสีดวงอาทิตย์จึงมีความเสี่ยง

Today, researchers are running small-scale experiments,

ในปัจจุบัน นักวิจัยกำลังทดลองจากสเกลเล็ก

such as enhancing marine clouds to protect the Great Barrier Reef

เช่น การสร้างเมฆเหนือมหาสมุทร เพื่อป้องกันแนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟ

from further heating and bleaching.

จากความร้อนและการฟอกขาวที่เพิ่มมากขึ้น

And most scientists agree that we should pursue ways to cut emissions

และนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า เราควรหาวิธีลดการปล่อยมลพิษ

and remove atmospheric CO2 first and foremost.

และกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ ในบรรยากาศเป็นอันดับแรก

However, there are reasons to keep studying these more aggressive approaches.

อย่างไรก็ตาม มีเหตุผลมากมายที่สนับสนุน ให้เราศึกษาวิธีการเชิงรุกเหล่านี้ต่อไป

Desperate times call for desperate measures, and in the future,

ในเวลาที่เข้าตาจน ก็ต้องใช้วิธีการที่เสี่ยง และในอนาคต

geoengineering might be civilization’s last resort.

วิศวกรรมธรณีอาจเป็น ที่พึ่งสุดท้ายของมนุษยชาติ

Furthermore, some of these plans would be shockingly easy to execute

ยิ่งไปกว่านั้น แผนเหล่านี้บางแผน สามารถดำเนินการได้ง่าย

by some rogue actor with enough cash.

แค่โดยผู้ที่มีเงินมากพอ

So we’ll want to be prepared if someone starts geoengineering

ดังนั้น เราจึงต้องเตรียมตัวให้พร้อม หากมีคนเริ่มปฏิบัติการวิศวกรรมธรณี

without governmental approval.

โดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาล

But perhaps the most important reason to investigate the impacts of geoengineering

แต่บางที เหตุผลที่สำคัญที่สุด ในการตรวจสอบผลกระทบของวิศวกรรมธรณี

is that people are already making large scale interventions in the atmosphere.

คือการที่ผู้คนได้ทำการแทรกแซงขนาดใหญ่ ในชั้นบรรยากาศไปแล้ว

In many ways, climate change is an unintended geoengineering project

ในหลาย ๆ แง่มุม สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง เป็นผลจากโครงการวิศวกรรมธรณีโดยไม่ตั้งใจ

fueled by the emissions

ขับเคลื่อนโดยการปล่อยก๊าซ

generated from centuries of burning fossil fuels.

ที่เกิดจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลหลายศตวรรษ

And unless we take action to curb emissions

และหากเราไม่ควบคุมการปล่อยมลพิษ

and draw CO2 out of the atmosphere soon,

และกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ ออกจากชั้นบรรยากาศโดยเร็ว

summer may never be the same again.

ฤดูร้อนอาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป