The myth of Prometheus - Iseult Gillespie

Translator: Nuchpraweepawn Saleeon Reviewer: Sritala Dhanasarnsombut

Before the creation of humanity,

ก่อนกำเนิดมนุษยชาติ

the Greek gods won a great battle against a race of giants called the Titans.

เหล่าทวยเทพชนะศึกครั้งใหญ่กับ เผ่ายักษ์ที่เรียกว่า ไททัน

Most Titans were destroyed or driven to the eternal hell of Tartarus.

ไททันเกือบทั้งหมดถูกสังหาร ไม่ก็ขับไล่สู่ขุมนรกธาธารัสไปตลอดกาล

But the Titan Prometheus, whose name means foresight,

แต่ไททันโพรมีธีอุส ซึ่งชื่อมีความหมายว่าการมองการไกล

persuaded his brother Epimetheus to fight with him on the side of the gods.

ชักชวนน้องชายเอพิมีธีอุส ให้เข้าร่วมรบกับเหล่าเทพ

As thanks, Zeus entrusted the brothers

เพื่อเป็นการขอบคุณ ซุสมอบความไว้วางใจให้สองพี่น้อง

with the task of creating all living things.

ให้ทำภารกิจสร้างสรรค์ สิ่งมีชีวิตทั้งหมด

Epimetheus was to distribute the gifts of the gods among the creatures.

เอพิมีธีอุสแจกจ่ายของขวัญของเหล่าเทพ สู่สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย

To some, he gave flight;

สำหรับบางกลุ่ม เขาให้การบิน

to others, the ability to move through water

สำหรับกลุ่มอื่น ๆ เป็นความสามารถในการเคลื่อนที่ใต้น้ำ

or race through grass.

หรือวิ่งอย่างว่องไวผ่านพงหญ้า

He gave the beasts glittering scales,

เขาให้เกล็ดวาววับแก่อสุรกาย

soft fur,

ขนนุ่ม

and sharp claws.

และกรงเล็บแหลมคม

Meanwhile, Prometheus shaped the first humans out of mud.

ในขณะที่โพรมีธีอุส ปั้นแต่งมนุษย์กลุ่มแรกจากโคลน

He formed them in the image of the gods,

เขาสร้างเหล่ามนุษย์ด้วยมโนภาพของเทพเจ้า

but Zeus decreed they were too remain mortal

แต่ซุสมีคำสั่งให้เหล่ามนุษย์ไม่เป็นอมตะ

and worship the inhabitants of Mount Olympus from below.

และบูชาผู้อาศัยบนเขาโอลิมปัสจากเบื้องล่าง

Zeus deemed humans subservient creatures vulnerable to the elements

ซุสเชื่อว่ามนุษย์ผู้ยอมจำนนนั้น อ่อนแอต่อธรรมชาติ

and dependent on the gods for protection.

และพึ่งพาเหล่าเทพเพื่อการคุ้มครอง

However, Prometheus envisioned his crude creations with a greater purpose.

แต่โพรมีธีอุสคิดสร้างสิ่งมีชีวิตนี้ ด้วยจุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่กว่า

So when Zeus asked him to decide how sacrifices would be made,

ดังนั้น เมื่อซุสต้องการให้เขาตัดสินใจ ว่าจะจัดการบวงสรวงอย่างไร

the wily Prometheus planned a trick that would give humans some advantage.

โพรมีธีอุสจอมเจ้าเล่ห์วางแผน ที่จะให้ข้อได้เปรียบแก่มนุษย์

He killed a bull and divided it into two parts to present to Zeus.

เขาฆ่ากระทิงและแบ่งมันออกเป็นสองซีก เพื่อมอบให้ซุส

On one side, he concealed the succulent flesh and skin

ฝั่งหนึ่ง เขาซ่อนเนื้อชุ่มฉ่ำและหนังกระทิง

under the unappealing belly of the animal.

เอาไว้ใต้ท้องไม่น่าดูของมัน

On the other, he hid the bones under a thick layer of fat.

อีกฝั่ง เขาซ่อนกระดูกใต้ชั้นไขมันหนา

When Zeus chose the seemingly best portion for himself,

เมื่อซุสเลือก ส่วนแบ่งที่ดูดีที่สุดให้ตัวเอง

he was outraged at Prometheus's deception.

เขาโกรธแค้นการหลองลวงของโพรมีธีอุส

Fuming, Zeus forbade the use of fire on Earth,

ด้วยความโกรธที่พุ่งพล่าน ซุสห้ามไม่ให้มีการใช้ไฟบนโลก

whether to cook meat or for any other purpose.

ไม่ว่าจะเพื่อการปรุงเนื้อสัตว์ หรือเพื่อจุดประสงค์อื่นๆ

But Prometheus refused to see his creations denied this resource.

แต่โพรมีธีอุสไม่ยอมให้สิ่งสรรสร้างของเขา ถูกห้ามไม่ให้ใช้ทรัพยากรนี้

And so, he scaled Mount Olympus to steal fire

ดังนั้น เขาจึงปีนเขาโอลิมปัส เพื่อที่จะขโมยไฟ

from the workshop of Hephaestus and Athena.

จากห้องทำงานของเฮเฟสตัสและอธีนา

He hid the flames in a hollow fennel stalk and brought it safely down to the people.

เขาซ่อนเปลวไฟในก้านกลวงของเม็ดยี่หร่า และนำลงมาให้แก่เหล่ามนุษย์อย่างปลอดภัย

This gave them the power to harness nature for their own benefit

เป็นการให้อำนาจมนุษย์ในการควบคุมธรรมชาติ เพื่อประโยชน์ของพวกเขาเอง

and ultimately dominate the natural order.

และมีอำนาจเหนือธรรมชาติทั่วไปอย่างสมบูรณ์

With fire, humans could care for themselves with food and warmth.

เมื่อมีไฟ มนุษย์สามารถดูแลตัวเอง ด้วยอาหารและความอบอุ่ม

But they could also forge weapons and wage war.

แต่พวกเขาก็สามารถตีอาวุธและทำสงครามได้

Prometheus's flames acted as a catalyst for the rapid progression of civilization.

เปลวไฟของโพรมีธีอุสทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้น ในกระบวนการสร้างอารยธรรมที่รวดเร็ว

When Zeus looked down at this scene, he realized what had happened.

เมื่อซุสมองลงมายังโลก เขาตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้้น

Prometheus had once again wounded his pride

โพรมีธีอุสได้บั่นทอนความภาคภูมิ

and subverted his authority.

และบ่อนทำลายอำนาจของเขาอีกครั้ง

Furious, Zeus imposed a brutal punishment.

ด้วยความโกรธจัด ซุสกำหนดบทลงโทษร้ายแรง

Prometheus was to be chained to a cliff for eternity.

โพรมีธีอุสต้องถูกล่ามโซ่กับหน้าผาไปตลอดกาล

Each day, he would be visited by a vulture who would tear out his liver

ในแต่ละวัน จะมีนกแร้งคอยฉีกทึ้งตับของเขา

and each night his liver would grow back to be attacked again in the morning.

และในแต่ละคืน ตับจะสร้างขึ้นมาใหม่ และถูกทำลายอีกครั้งในตอนเช้า

Although Prometheus remained in perpetual agony,

แม้โพรมีธีอุสต้องอยู่กับความทุกข์ทรมาณ ไปตลอดกาล

he never expressed regret at his act of rebellion.

แต่เขาก็ไม่เคยแสดงความเสียใจ ต่อการก่อกบฏของเขา

His resilience in the face of oppression made him a beloved figure in mythology.

ความเข้มแข็งต่อการกดขี่ของเขา ทำให้เขาเป็นบุคคลที่รักในเทวตำนาน

He was also celebrated for his mischievous and inquisitive spirit,

เขายังได้รับชื่อเสียงในด้านจิตใจ ที่ซุกซนและอยากรู้อยากเห็น

and for the knowledge, progress, and power he brought to human hands.

ด้านความรู้ ความก้าวหน้า และพลังที่เขาหยิบยื่นให้มนุษย์

He's also a recurring figure in art and literature.

เขายังเป็นบุคคลที่ผู้คนนึกถึงด้านศิลปะและวรรณกรรม

In Percy Bysshe Shelley's lyrical drama "Prometheus Unbound,"

ในบทละครของเพอร์ซี่ บีช เชลลี่ (Percy Bysshe Shelley) เรื่อง "ปลดปล่อยโพรมีธีอุส"

the author imagines Prometheus as a romantic hero

ผู้เขียนได้จินตนาการให้โพรมีธีอุส เป็นวีรบุรุษยุคโรแมนติก

who escapes and continues to spread empathy and knowledge.

ที่หลบหนีและคอยแจกจ่ายความเมตตาและความรู้

Of his protagonist, Shelley wrote,

เชลลี่เขียนถึงตัวละครหลักของเขาว่า

"Prometheus is the type of the highest perfection

"โพรมีธีอุสคือสิ่งที่เป็น ความสมบูรณ์แบบอย่างสูงสุด

of moral and intellectual nature,

ของจริยธรรม และอุปนิสัยอันชาญฉลาด

impelled by the purest and the truest motives

ซึ่งถูกผลักดันด้วยแรงจูงใจที่บริสุทธิ์ และสัตย์ซื่อที่สุด

to the best and noblest ends."

เพื่อเป้าหมายที่ดีและมีเกียรติสูงสุด"

His wife Mary envisaged Prometheus as a more cautionary figure

แมรี่ ภรรยาของเชลลี่ จินตนาการโพรมีธีอุส เป็นบุคคลที่คอยเตือนใจมากกว่า

and subtitled her novel "Frankenstein: The Modern Prometheus."

และบรรยายนวนิยายของเธอว่า "แฟรงเกนสไตน์: โพรมีธีอุสสมัยใหม่"

This suggests the damage of corrupting the natural order

ซึ่งชี้แนะให้เห็นผลเสีย ของการฝืนความเป็นไปตามธรรมชาติ

and remains relevant to the ethical questions

และยังสำคัญต่อคำถามในเชิงจริยธรรม

surrounding science and technology today.

ที่รายล้อมวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีในทุกวันนี้

As hero, rebel, or trickster,

ด้วยความเป็นวีรบุรษ กบฎ หรือผู้เล่นกล

Prometheus remains a symbol of our capacity to capture the powers of nature,

โพรมีธีอุสยังเป็นสัญลักษณ์ของความสามารถเรา ที่จะควบคุมพลังแห่งธรรมชาติ

and ultimately,

และท้ายที่สุด

he reminds us of the potential of individual acts to ignite the world.

เขาเตือนให้เรานึกถึงศักยภาพ จากการกระทำของปัจเจกที่จุดไฟให้แก่โลก