The science behind the myth: Homer's "Odyssey" - Matt Kaplan

วิทยาศาสตร์เบื้องหลังตำนาน: "โอดิซี" ของโฮเมอร์ - แมท คาเพลน (Matt Kaplan)

Translator: Kelwalin Dhanasarnsombut Reviewer: Rawee Ma

Homer's "Odyssey",

"โอดิซีย์" ของโฮเมอร์

one of the oldest works of Western literature,

หนึ่งในงานเขียนตะวันตกที่เก่าแก่ที่สุด

recounts the adventures of the Greek hero Odysseus

ที่เล่าเรื่องการผจญภัยของวีรบุรุษกรีก โอดิซูส (Odysseus)

during his ten-year journey home from the Trojan War.

ระหว่างใช้เวลาเดินทางกลับบ้านถึงสิบปี จากสงครามโทรจัน

Though some parts may be based on real events,

แม้ว่าบางส่วนอาจมีพื้นฐานมาจากเรื่องจริง

the encounters with strange monsters, terrifying giants and powerful magicians

การพบกับสัตว์ประหลาด ยักษ์ และนักมายากล

are considered to be complete fiction.

ถูกพิจารณาว่าเป็นนิยายล้วน ๆ

But might there be more to these myths than meets the eye?

แต่มันจะมีอะไรมากไปกว่านี้อีกไหม สำหรับนิทานปรัมปรานี้

Let's look at one famous episode from the poem.

ลองมาดูที่บทหนึ่งจากกลอนอันโด่งดัง

In the midst of their long voyage,

ในการเดินทางอันยาวนานของพวกเขา

Odysseus and his crew find themselves on the mysterious island of Aeaea.

โอดิซุอุสและลูกเรือของเขาพบว่า พวกเขาอยู่บนเกาะปริศนานามว่า อีเลีย (Aeaea)

Starving and exhausted, some of the men stumble upon a palatial home

พวกเขาทั้งหิวและเหนื่อย บางคนหลงไปพบบ้านอันโอ่อ่า

where a stunning woman welcomes them inside for a sumptuous feast.

ที่ซึ่งมีหญิงเลอโฉมให้การต้อนรับพวกเขา ด้วยอาหารอันแสนหรูหรา

Of course, this all turns out to be too good to be true.

แน่ล่ะ มันฟังดูดีเกินจะเป็นจริง

The woman, in fact, is the nefarious sorceress Circe,

อันที่จริงแล้ว ผู้หญิงคนนั้นคือ แม่มดจอมชั่วร้าย เซอร์ซี (Circe)

and as soon as the soldiers have eaten their fill at her table,

และเมื่อทหารรับประทานกันจนเต็มพุง

she turns them all into animals with a wave of her wand.

นางก็สาปพวกเขากลายร่างเป็นสัตว์ ด้วยการกวาดไม้กายสิทธิ์

Fortunately, one of the men escapes,

โชคยังดี ที่ชายคนหนึ่งหนีออกมาได้

finds Odysseus and tells him of the crew's plight.

ตามหาโอดีซุส และแจ้งเหตุเลวร้ายเกี่ยวกับลูกเรือ

But as Odysseus rushes to save his men,

แต่เมื่อโอดีซุสรุดไปเพื่อช่วยคนของเขา

he meets the messenger god, Hermes,

เขาก็พบกับผู้นำสารจากพระเจ้า เฮอเมส (Hermes)

who advises him to first consume a magical herb.

ผู้ซึ่งแนะนำให้เขารับประทานสมุนไพรวิเศษเสียก่อน

Odysseus follows this advice,

โอดีซุสทำตามคำแนะนำ

and when he finally encounters Circe, her spells have no effect on him,

และในที่สุดเมื่อเขาได้พบกับเซอร์ซี มนต์ของนางก็ไม่เป็นผลกับเขา

allowing him to defeat her and rescue his crew.

ทำให้เขาเอาชนะนางได้ และช่วยลูกเรือได้สำเร็จ

Naturally, this story of witchcraft and animal transformations

โดยธรรมชาติแล้ว เรื่องราวแม่มดมนต์ดำ และการกลายร่างเป็นสัตว์

was dismissed as nothing more than imagination for centuries.

ถูกเมิน ว่ามันไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่า จินตนาการที่เก่าแก่หลายศตวรรษ

But in recent years, the many mentions of herbs and drugs throughout the passage

แต่ไม่นานมานี้ การกล่าวถึงสมุนไพรและยา ตลอดทั้งบทความนั้น

have piqued the interest of scientists,

กระตุ้นความสนใจของนักวิทยาศาสตร์

leading some to suggest

ทำให้มีการเสนอว่า

the myths might have been fictional expressions of real experiences.

นิทานปรัมปราอาจเป็นการนำเสนอในแบบนิยาย จากประสบการณ์จริงก็เป็นได้

The earliest versions of Homer's text

ข้อความของโฮเมอร์ฉบับที่เก่าที่สุด

say that Circe mixed baneful drugs into the food

กล่าวว่า เซอร์ซี ผสมยาที่เป็นอันตราย ลงในอาหาร

such that the crew might utterly forget their native land.

ซึ่งยานั้นจะทำให้ลูกเรือ ลืมบ้านเกิดของเขาไปอย่างสิ้นเชิง

As it happens, one of the plants growing in the Mediterranean region

ในขณะเดียวกัน พืชอย่างหนึ่ง ที่เติบโตในเขตเมดิเตอเรเนียน

is an innocent sounding herb known as Jimson weed,

คือสมุนไพรที่ฟังดูไร้พิษภัย ที่รู้จักกันในชื่อ จิมสัน วีด (Jimson weed)

whose effects include pronounced amnesia.

ซึ่งผลของมันรวมถึงการทำให้เกิด อาการความจำเสื่อมอย่างชัดเจน

The plant is also loaded with compounds that disrupt the vital neurotransmitter

พืชยังเต็มไปด้วยองค์ประกอบ ที่ขัดขวางการทำงานของสารส่งประสาทที่สำคัญ

called acetylcholine.

ที่เรียกว่า อะซิทิลโคลีน

Such disruption can cause vivid hallucinations,

การขัดขวางสามารถทำให้ เกิดอาการภาพหลอนอย่างชัดเจน

bizarre behaviors,

มีพฤติกรรมแปลกๆ

and general difficulty distinguishing fantasy from reality,

และโดยทั่วไป จะทำให้ยากที่จะแยก จินตนาการความฝันออกจากความจริง

just the sorts of things

อาจเป็นสิ่งนั้นเอง

which might make people believe they've been turned into animals,

ซึ่งอาจทำให้คนเชื่อว่า พวกเขาถูกสาปให้กลายร่างเป็นสัตว์

which also suggests that Circe was no sorceress,

ซึ่งยังเป็นการอธิบายอีกว่า เซอร์ซีไม่ได้เป็นแม่มด

but in fact a chemist who knew how to use local plants to great effect.

แต่อันที่จริง นักเคมีรู้ว่าจะใช้พืชท้องถิ่น ให้เกิดผลดีได้อย่างไร

But Jimson weed is only half the story.

แต่จิมสัน วีด เป็นแค่ครึ่งหนึ่งของเรื่องนี้

Unlike a lot of material in the Odyssey,

ไม่เหมือนกับงานส่วนอื่นๆ ในโอดิซี

the text about the herb that Hermes gives to Odysseus is unusually specific.

ข้อความเกี่ยวกับสมุนไพรที่เฮอเมส ให้กับโอดีซุสเป็นอะไรที่จำเพาะอย่างไม่ธรรมดา

Called moly by the gods,

สิ่งที่เรียกว่า ยาแก้มนตร์เสน่ห์โดยพระเจ้า

it's described as being found in a forest glen,

ถูกบรรยายไว้ว่ามันสามารถพบได้ในป่าหุบเขา

black at the root and with a flower as white as milk.

รากสีดำและดอกไม้สีขาวเหมือนนม

Like the rest of the Circe episode,

เช่นเดียวกันกับบทอื่นที่มี เซอร์ซี

moly was dismissed as fictional invention for centuries.

ยาแก้มนตร์เสน่ห์ถูกเมิน ว่าเป็นการประดิษฐ์ แนวงานวรรมกรรมมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ

But in 1951, Russian pharmacologist Mikhail Mashkovsky

แต่ในค.ศ. 1951 นักเภสัชศาสตร์ชาวรัสเซีย มิคาฮิล มาร์ชคอฟสคี

discovered that villagers in the Ural Mountains

ค้นพบว่า ชาวเมืองในเทือกเขาอูราล (Ureal)

used a plant with a milk-white flower and a black root

ใช้พืชที่มีดอกสีขาวเหมือนนม และรากดำ

to stave off paralysis in children suffering from polio.

เพื่อขจัดอาการอัมพาตในเด็ก ที่ป่วยเป็นโรคโปลิโอ

The plant, called snowdrop,

พืชที่เรียกว่า สโนว์ดรอป (snowdrop)

turned out to contain a compound called galantamine

กลายเป็นว่ามีองค์ประกอบที่เรียกว่า กาแลนตาไมน์ (galantamine)

that prevented the disruption of the neurotransmitter acetylcholine,

ที่ป้องกันการขัดขวาง ของสารสื่อประสาทอะซิทิลโคลีน

making it effective in treating not only polio

ทำให้มันไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพ ในการรักษาโปลิโอเท่านั้น

but other disease, such as Alzheimer's.

แต่ยังมีประสิทธิภาพกับโรคอื่น ๆ ด้วย เช่น อัลไซเมอร์

At the 12th World Congress of Neurology,

ที่การประชุมประสาทวิทยาโลกครั้งที่ 12

Doctors Andreas Plaitakis and Roger Duvoisin

นายแพทย์ อันเดรส พลาอิทาคิส และโรเจอร์ ดูวอยซิน

first proposed that snowdrop was, in fact, the plant Hermes gave to Odysseus.

ได้เสนอเป็นครั้งแรกว่าอันที่จริง สโนวดรอป คือพืชที่เฮอเมสให้กับโอดีซุส

Although there is not much direct evidence that people in Homer's day

แม้ว่ามันอาจไม่ใช่หลักฐานโดยตรง ที่ว่าคนในยุคโอเมอร์

would have known about its anti-hallucinatory effects,

รู้ถึงผลกระทบของมัน ที่เกี่ยวข้องกับภาพหลอน

we do have a passage from 4th century Greek writer Theophrastus

เรามีบทความจากศตวรรษที่ 4 นักเขียนชาวกรีก ทีโอฟราสทัส (Theophrastus)

stating that moly is used as an antidote against poisons.

กล่าวไว้ว่ายาแก้มนตร์เสน่ห์ ถูกใช้เพื่อเป็นยาถอน ไว้ต้านพิษ

So, does this all mean

ฉะนั้น หรือทั้งหมดนี้หมายความว่า

that Odysseus, Circe, and other characters in the Odyssey were real?

โอซีอุส, เซอร์ซี และตัวละครอื่นๆ ในโอดิซีส์ มีตัวตนจริง ๆ

Not necessarily.

ไม่จำเป็น

But it does suggest that ancient stories may have more elements of truth to them

แต่นั่นเสนอแนวคิดที่ว่า เรื่องโบราณอาจมีส่วนที่เป็นเรื่องจริงอยู่

than we previously thought.

มากกว่าที่เราเคยคิดเอาไว้

And as we learn more about the world around us,

และเมื่อเราได้เรียนรู้ เกี่ยวกับโลกรอบ ๆ ตัวเรามากขึ้น

we may uncover some of the same knowledge

เราอาจได้เปิดเผยความรู้เดียวกันบางอย่าง

hidden within the myths and legends of ages passed.

ที่ถูกซ่อนอยู่ในนิทานปรัมปราและตำนาน ที่ผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน