What happens when the Arctic permafrost melts? - Brendan Rogers and Jessica Howard

Translator: Tasneem Hlb Reviewer: Sakunphat Jirawuthitanant

In June 2022, a gold miner in the Canadian Yukon

เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2022 คนขุดแร่ทองในยูคอน ประเทศแคนาดา

made a remarkable discovery.

ได้ค้นพบสิ่งที่น่าสนใจมาก

While working on the traditional lands of the Tr’ondëk Hwëch’in First Nation,

ขณะกำลังขุดหาแร่ในดินแดนของ กลุ่มชนพื้นเมืองทรอนเดกควิชิน

he uncovered the exceptionally well-preserved frozen remains

เขาพบซากที่ถูกแช่แข็ง คงสภาพไว้อย่างดีเยี่ยม

of a woolly mammoth calf that died 30,000 years ago.

ของลูกช้างแมมมอธขนยาว ที่ตายไปตั้งแต่ 30,000 ปีก่อน

But this find isn’t the only of its kind

การค้นพบลักษณะนี้ไม่ได้มีเพียงหนเดียว

because the Arctic holds many buried secrets...

เพราะภายใต้แผ่นดินอาร์กติกนั้น มีความลับซุกซ่อนอยู่มากมาย

About 15% of the Northern Hemisphere contains permafrost—

ราว ๆ 15% ของซีกโลกเหนือ เป็นชั้นดินเยือกแข็งคงตัว (permafrost)

that is, ground that doesn’t thaw seasonally,

ซึ่งก็คือชั้นดินเยือกแข็ง ที่ไม่ละลายไปตามฤดูกาล

but has instead stayed frozen for at least two years—

แต่จะคงสภาพเป็นน้ำแข็งอย่างน้อยสองปี

and, typically, much longer.

และโดยทั่วไปก็นานกว่านั้นมาก

The oldest permafrost yet discovered is located in the Yukon

ชั้นดินเยือกแข็งที่มีอายุมากที่สุด ที่เราเคยพบมา ตั้งอยู่ในเขตยูคอน

and has been frozen for 740,000 years.

ที่นี่คงสภาพเป็นน้ำแข็งมานานถึง 740,000 ปี

The thickness of permafrost also ranges,

ชั้นดินเยือกแข็งมีความหนาหลายระดับ

from just 1 meter in some areas to over a kilometer in others.

ตั้งแต่ 1 เมตรในบางพื้นที่ ไปจนถึงความหนากว่า 1 กิโลเมตร

And permafrost is exceptionally good at preserving biological remains.

ชั้นดินเยือกแข็งสามารถรักษาสภาพ ของเศษซากชีวภาพได้เป็นอย่างดี

If any ice crystals are close to remains buried in permafrost,

หากมีเกล็ดน้ำแข็งใกล้ ๆ ซาก ที่ถูกฝังใต้ชั้นดินเยือกแข็ง

they help draw moisture away.

มันก็จะช่วยดูดความชื้นออกไป

And microorganisms that would otherwise quickly decompose

จุลินทรีย์ที่ปกติจะย่อยสลาย เนื้อเยื่อพืชและสัตว์อย่างรวดเร็ว

plant and animal tissues operate at slower metabolic rates

ก็จะมีอัตราการย่อยสลายที่ช้าลง

in these subfreezing temperatures.

ในสภาวะที่อุณหภูมิต่ำกว่า จุดเยือกแข็งเช่นนี้

The outcome is that, instead of having to rely on fossilized skeletons

ผลก็คือ จากที่นักวิทยาศาสตร์ ต้องอาศัยแต่เพียงเศษซากโครงกระดูก

to extrapolate what an ancient animal might have looked like,

ในการอนุมานรูปร่างหน้าตา ของสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์

permafrost can sometimes offer scientists literal freeze-frames of times long gone.

ชั้นดินเยือกแข็งทำให้เรามีโอกาสได้เห็น ภาพชัด ๆ ของอดีตอันไกลโพ้นที่ถูกแช่แข็งไว้

In 2016, another gold miner came face-to-face

ในปี 2016 คนขุดแร่ทองอีกคน ได้ขุดพบซากลูกหมาป่าอายุ 7 สัปดาห์

with a 7-week-old grey wolf pup

that had been preserved in permafrost for 57,000 years.

ซึ่งคงสภาพอยู่ใต้ชั้นดินเยือกแข็ง มานานถึง 57,000 ปี

Researchers learned that she’d been feasting on salmon,

นักวิจัยพบว่ามันจับปลาแซลมอนกินเป็นอาหาร

and think she died quickly,

และน่าจะตายอย่างกะทันหัน

possibly when the den she was nestled in collapsed.

ตอนที่โพรงของมันพังถล่มลงมาทับ

In 2020, reindeer herders encountered remains

ในปี 2020 คนเลี้ยงกวางเรนเดียร์ ก็ได้พบซากหมี ที่ดูเหมือนหมีทั่ว ๆ ไป

that unmistakably belonged to a bear.

But it turned out that they were as much as 39,500 years old.

แต่ปรากฏว่าซากนั้นมีอายุถึง 39,500 ปี

They belonged to a cave bear.

และเป็นซากของหมีถ้ำ

Its species went extinct about 24,000 years ago.

ซึ่งสูญพันธุ์ไปเมื่อประมาณ 24,000 ปีก่อน

Before this, scientists had only ever seen cave bear skeletal remains.

ก่อนหน้านั้น นักวิทยาศาสตร์เคยเห็น เพียงแค่ซากโครงกระดูกของมันเท่านั้น

Even incomplete animal remains found in permafrost

แม้แต่เศษซากอันไม่สมบูรณ์ของสัตว์ ที่เราพบใต้ชั้นดินเยือกแข็งนั้น

have yielded incredible results.

ก็ได้ให้ข้อมูลชิ้นสำคัญทีเดียว

In 2021, researchers identified a new species of mammoth

ในปี 2021 นักวิจัยระบุสายพันธุ์ใหม่ ของช้างแมมมอธได้

by reconstructing DNA sequences from 1.6-million-year-old mammoth teeth—

ด้วยการสกัดลำดับดีเอ็นเอ จากซากฟันแมมมอธอายุ 1.6 ล้านปี

making it the oldest sequenced DNA on record.

นี่นับว่าเป็นลำดับดีเอ็นเอ ที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยบันทึกมา

And extraordinary finds go beyond the animal kingdom:

และการค้นพบอันน่าอัศจรรย์เหล่านี้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในอาณาจักรสัตว์เท่านั้น

in 2012, scientists successfully regenerated a flowering tundra plant

ในปี 2012 นักวิทยาศาสตร์ชุบชีวิตพืชดอก ที่เคยเติบโตในทุ่งทุนดราได้สำเร็จ

from seeds they found encased in 32,000-year-old squirrel burrows.

จากเมล็ดพันธุ์ที่พบในโพรงกระรอก อายุ 32,000 ปี

However, all the prehistoric remains we have yet to discover in permafrost

ทว่า ซากดึกดำบรรพ์ใต้ชั้นดินเยือกแข็ง ที่เรายังไม่ค้นพบ และอื่น ๆ อีกมากมาย

are at risk, along with much more, because permafrost is thawing rapidly.

กำลังอยู่ในภาวะวิกฤต

เนื่องจากตอนนี้ชั้นดินเยือกแข็ง หลอมละลายลงอย่างรวดเร็ว

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศทำให้ อุณหภูมิในอาร์กติกเพิ่มสูงขึ้น

Climate change is warming the Arctic at 3 to 4 times the rate

ด้วยอัตราความเร็วที่มากกว่า บริเวณอื่น ๆ ของโลกถึง 3-4 เท่า

of the rest of the world.

And an increased frequency in extreme weather events,

อุบัติภัยทางธรรมชาติต่าง ๆ อย่างฟ้าผ่าและไฟป่าที่เกิดถี่ขึ้น

like lightning and wildfires,

is burning the plants and soil that otherwise help to keep permafrost cool.

ก็กำลังเผาไหม้ต้นไม้และดินที่คอยรักษา ความเย็นของชั้นดินเยือกแข็งไว้

When permafrost thaws, it has concerning and far-reaching effects.

การละลายของชั้นดินเยือกแข็ง ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง

The ground can fracture and collapse in on itself,

ผิวดินอาจเกิดรอยแตกและยุบตัวลง

and the landscape can experience flooding and erosion,

บริเวณนั้นอาจเกิดน้ำท่วมและดินทลายได้

making previously stable trees tilt and form so-called “drunken forests.”

ทำให้ต้นไม้ที่เคยตั้งตรงแข็งแรง เริ่มเอนเอียง

กลายเป็นบริเวณที่เรียกกันว่า “ป่าเมา” (drunken forests)

It can also trigger massive landslides and threaten critical infrastructure.

ยิ่งไปกว่านั้น อาจทำให้เกิดดินถล่มรุนแรง และกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญได้

By the year 2050, permafrost thaw may endanger 3.6 million people.

ภายในปี 2050 การละลายของชั้นดินเยือกแข็ง อาจเป็นภัยร้ายแรงต่อประชากรถึง 3.6 ล้านคน

This includes many Indigenous and First Nations people

ซึ่งรวมถึงชนพื้นเมืองจำนวนมาก

who have lived across the Arctic region since time immemorial.

ที่อาศัยอยู่ทั่วบริเวณอาร์กติกมาเนิ่นนาน

Right now, they’re dealing with difficult decisions

ตอนนี้พวกเขากำลังขบคิด หาวิธีปกป้องชุมชน

about how to protect their communities and traditional ways of life

และรักษาวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของตน

in the face of climate change.

ในสภาวะที่เกิดการเปลี่ยนแปลง ของสภาพภูมิอากาศเช่นนี้

The effects of thawing will also extend far beyond the Arctic.

การละลายของชั้นดินเยือกแข็งนี้จะส่งผลกระทบ ไปถึงบริเวณอื่น ๆ นอกเหนือจากอาร์กติกด้วย

This is because permafrost stores an estimated 1.6 trillion tons of carbon.

เพราะว่าชั้นดินเยือกแข็งนั้นสะสมคาร์บอน เอาไว้ถึง 1.6 ล้านล้านตันโดยประมาณ

That’s over double the amount in Earth’s atmosphere as of 2022—

นั่นมากกว่าปริมาณคาร์บอนที่มีอยู่ บนชั้นบรรยากาศโลกในปี 2022 เกินเท่าตัว

and more than humans have ever released by burning fossil fuels.

และมากกว่าปริมาณคาร์บอนจากการเผาไหม้ เชื้อเพลิงฟอสซิลทั้งหมดที่มนุษย์เคยปล่อยมา

Permafrost is one of the world’s largest carbon reservoirs

ชั้นดินเยือกแข็งเป็นแหล่งสะสมคาร์บอน ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

because of all the organic material it contains—

เพราะใต้นั้นมีวัสดุอินทรีย์จำนวนมาก

some as intact remains,

บ้างก็เป็นเศษซากที่ยังคงรูปเดิมอยู่

but much of it in the form of partially decomposed soils and sediments.

แต่จำนวนมากถูกย่อยสลาย เป็นดินและตะกอนไปบ้างแล้ว

When it begins thawing,

เมื่อชั้นดินเยือกแข็งเริ่มละลาย

microorganisms decompose organic material more efficiently,

จุลินทรีย์จะย่อยสลายวัสดุอินทรีย์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

and release gases like carbon dioxide and methane.

และปลดปล่อยก๊าซต่าง ๆ เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ และมีเทน

This triggers a feedback loop:

นี่ทำให้เกิดวงจรสะท้อนกลับซ้ำ ๆ

as more gases are released, the climate warms,

เมื่อมีการปล่อยก๊าซต่าง ๆ มากขึ้น สภาพภูมิอากาศก็อุ่นขึ้น

causing more permafrost to thaw and release even more greenhouse gases.

ทำให้ชั้นดินเยือกแข็งละลายมากขึ้น แล้วก็ยิ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้นไปอีก

To preserve snapshots of what the planet was like thousands of years ago—

การจะรักษาสิ่งที่หลงเหลือ มาจากโลกสมัยดึกดำบรรพ์

when mammoths and cave bears trod its terrain—

ในยุคที่ช้างแมมมอธและหมีถ้ำ ยังคงเยื้องย่างไปตามผืนแผ่นดิน

and to support the diversity of life on Earth thousands of years to come,

และการจะรักษาความหลากหลาย ทางชีวภาพให้คงอยู่บนโลกต่อไปนั้น

the Arctic needs to keep its cool.

อาร์กติกจะต้องเย็นไว้