The history of keeping time - Karen Mensing

ประวัติศาสตร์เรื่องเวลา - คาเรน เมนซิง (Karen Mensing)

Translator: Rawee Ma Reviewer: Thitiporn Ratanapojnard

We check the time every day, all day long.

เราดูเวลาทุกวัน ตลอดทั้งวัน

But did you ever wonder - where did telling time come from?

แต่คุณเคยสงสัยไหมว่า การบอกเวลาเริ่มต้นมาจากไหน

Why does it matter what time it is?

ทำไมมันถึงสำคัญว่า กี่โมงแล้ว

Who determined the clock

ใครตัดสินเรื่องนาฬิกา

and why in the world are there so many different time zones?

ทำไมโลกนี้จึงมีเขตเวลาที่ต่างกันมากมาย

The first form of telling time was the sundial

รูปแบบแรกสุดในการบอกเวลาคือ นาฬิกาแดด

and the earliest sundials known from the archaeological record

และนาฬิกาแดดเริ่มแรกสุดที่รู้จักกันตาม บันทึกทางโบราณคดี

are obelisks from nearly 5,000 years ago.

คือแท่งหินโอบิลิสค์ที่มีด้านทั้งสี่ลาดเอียง และมีปลายแหลมเกือบ 5,000 ปีก่อน

Sundials indicate the time by casting a shadow

นาฬิกาแดดบอกเวลาด้วยการทอดเงา

onto a surface.

ลงบนพื้นดิน

The object that casts the shadow is a stick in the center known as a gnomon.

วัตถุที่ทอดเงาคือแท่งไม้ที่อยู่ตรงกลาง เรียกว่า โนมอน

A well-constructed sundial can measure time with remarkable accuracy,

นาฬิกาแดดที่สร้างอย่างดีสามารถบอกเวลา ได้อย่างเที่ยงตรงมาก

and sundials were used to monitor the performance of clocks until the modern era.

และนาฬิกาแดดถูกใช้ในการประเมินการทำงานของนาฬิกา จนกระทั่งถึงยุคสมัยใหม่

But sundials have their limitations too.

แต่นาฬิกาแดดก็มีข้อจำกัดด้วยเช่นกัน

Obviously they require the sun to shine,

เห็นได้ชัดว่าพวกมันต้องการแสงอาทิตย์

so they don't work at all during the night when it's dark.

ดังนั้นพวกมันจึงทำงานไม่ได้ ในตอนกลางคืนเวลามืด

Many different devices have been used over the years to estimate the passage of time:

มีการใช้อุปกรณ์หลายอย่างมานานหลายปีแล้ว เพื่อประมาณเวลาที่ผ่านไป

candles and sticks of incense that burn down at fairly predictable speeds

การใช้เทียนไขและแท่งกำยานที่เผาไหม้ ในอัตราที่คาดเดาได้

have been used, along with the hourglass.

นาฬิกาทรายก็ด้วย

Hourglasses are devices in which fine sand

นาฬิกาทรายเป็นอุปกรณ์ที่ทรายละเอียด

pours through a tiny hole at a constant rate

ไหลผ่านรูขนาดเล็กในอัตราคงที่

and indicates a predetermined passage of an arbitrary period of time.

และบ่งชี้ถึงเวลาที่ผ่านพ้นไป เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง

The origin of the hourglass is uncertain,

กำเนิดของนาฬิกาทรายไม่ชัดเจน

although beginning in the 14th century, the hourglass was used commonly,

แม้ว่าในตอนต้นศตวรรษที่ 14 นาฬิกาทรายจะใช้กันทั่วไป

especially on board ships.

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเดินเรือ

The motion of the boat on the water did not affect the hourglass,

การเคลื่อนที่ของเรือในน้ำไม่มีผลกับนาฬิกาทราย

unlike other time-measuring devices.

ไม่เหมือนกับอุปกรณ์จับเวลาอย่างอื่น

The mechanical clock was invented in the 13th century

นาฬิกากลไกถูกประดิษฐ์ขึ้นในศตวรรษที่ 13

which sparked a big change in traditional timekeeping methods.

ซึ่งจุดประกายการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เกี่ยวกับเรื่องเวลาตามแบบเดิม

This modern clock relied on the swing of a pendulum

นาฬิกาสมัยใหม่ใช้การแกว่งของลูกตุ้ม

or the vibration of a quartz crystal, which was far more accurate than sand

หรือการสั่นสะเทือนของผลึกแร่ควอซ ที่แม่นยำมากกว่าทราย

or candles.

หรือเทียนไข

Today, the basis for scientific time

ทุกวันนี้พื้นฐานเวลาทางวิทยาศาสตร์

is a continuous count of seconds

มีการนับต่อเนื่องเป็นวินาที

based on atomic clocks all around the world, known as the international atomic time.

ด้วยนาฬิกาปรมาณูที่มีอยู่ทั่วโลก เรียกกันว่าเวลาปรมาณูสากล

Why does it matter that we keep track of time?

ทำไมจึงสำคัญนักที่เราต้องคอยดูเวลา

Well, time regulates our daily lives

แน่นอน เวลามีผลกับการใช้ชีวิตประจำวัน

and makes it possible to accurately communicate with people

และทำให้สื่อสารกับผู้คนได้อย่างเที่ยงตรง

all over the world.

ทั่วโลก

Without a time system, we would have many challenges in farming,

ถ้าไม่มีระบบเวลา เราจะเจอเรื่องท้าทายมากมาย ในการทำไร่ทำสวน

social structures, communication, and business.

โครงสร้างสังคม การสื่อสารและธุรกิจ

Take the American railroad system, for example.

ต้วอย่างเช่น ระบบโดยสารรถไฟในอเมริกา

In the mid-19th century, each railroad used its own standard time

ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 รถไฟแต่ละสายต่างมีเวลามาตรฐานของตนเอง

generally based on the local time of its headquarters,

โดยทั่วไปแล้วใช้เวลาท้องถิ่นของสำนักงานใหญ่

and the railroad's train schedules were published using its own time.

และตารางเวลาก็ถูกจัดพิมพ์ โดยใช้เวลาของตัวเอง

Some major railroad junctions

ในชุมทางรถไฟสายหลักบางแห่ง

served by several different railroads

ให้บริการรถไฟที่แตกต่างกันหลายสาย

had a separate clock for each railroad, each showing a different time.

มีนาฬิกาที่แยกต่างหากกันในรถไฟแต่ละขบวน แต่ละเรือนบอกเวลาที่แตกต่างกัน

The distance between New York and Boston is about 2 degrees, or 8 minutes,

ระยะทางจากนิวยอร์คไปบอสตัน ใช้เวลา 2 องศา หรือ 8 นาที

which can be the difference between making or missing your train connection.

ซึ่งมีผลเลยว่าจะทันเปลี่ยนขบวนรถไฟหรือตกรถไฟ

If the difference between New York and Boston

ถ้าระยะทางจากนิวยอร์คและบอสตัน

is 8 minutes, imagine the difference

คือ 8 นาที ลองจิตนาการความแตกต่าง

between Boston and Australia.

ระหว่างบอสตันกับออสเตรเลีย

The use of time zones irons out these differences

การใช้เขตเวลามาตรฐานลดความแตกต่างนี้

and makes communication significantly smoother.

และทำให้การสื่อสารราบรื่นขึ้นอย่างมาก

A time zone is a region on earth

เขตเวลาคือเขตพื้นที่บนโลก

that has a uniform standard time.

ซึ่งมีมาตรฐานเวลาเดียวกัน

There are 40 time zones on land

มีเขตเวลา 40 เขตบนพื้นโลก

because the earliest and latest time zones

เพราะเขตเวลาแรกสุดและเขตเวลาท้ายสุด

are 26 hours apart.

ต่างกัน 26 ชั่วโมง

Any given calendar date exists at some point

วันที่ใด ๆ บนปฏิทิน เป็นวันในที่ต่าง ๆ

on the globe for 50 hours.

บนโลกถึง 50 ชั่วโมง

So the next time someone asks you

คราวต่อไปถ้ามีคนถามคุณว่า

"What time is it?"

ตอนนี้กี่โมงแล้ว

Your answer may be a whole lot more complicated than it used to be.

คำตอบของคุณอาจจะซับซ้อนยุ่งยากมากกว่าเดิม