A brief history of toilets - Francis de los Reyes

Translator: Noppawat Thitisublert Reviewer: Yada Sattarujawong

On sunny days, the Roman citizens of Ostia

ในวันที่แสงแดดอบอุ่น ชาวโรมันในออสเตีย

could be found on a long stone bench near the Forum.

นั่งอยู่รวมกันที่ม้านั่งหินยาว ใกล้กับฟอรัม

Friends and neighbors exchanged news and gossip

เพื่อนฝูงและเพื่อนบ้านมักจะแลกเปลี่ยน ข่าวและคำนินทา

while simultaneously attending to more... urgent business.

ระหว่างที่กำลัง…ทำธุระด่วน ส่วนตัว

These public latrines could sit up to 20 Romans at a time,

ห้องน้ำสาธารณะเหล่านี้ สามารถบรรจุคนได้ถึง 20 คน

draining waste in water conduits below.

ของเสียจะไหลไปกับท่อน้ำที่อยู่ข้างใต้

Today, most cultures consider trips to the restroom to be a more private occasion.

ทุกวันนี้ วัฒนธรรมส่วนมากเห็นว่า การเข้าห้องน้ำควรเป็นส่วนตัว

But even when going alone, our shared sewage infrastructure

แต่ถึงแม้ว่าเราจะเข้าห้องน้ำคนเดียว เราก็ยังใช้โครงสร้างของระบบน้ำเสียร่วมกัน

is one of the most pivotal inventions in the history of humanity.

ระบบนี้เป็นหนึ่งในการคิดค้นที่สำคัญที่สุด ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

While many ancient religious texts contain instructions

ในขณะที่คัมภีร์ของศาสนาเก่าแก่ ได้ระบุถึงคำสั่ง

for keeping waste away from drinking water and campsites,

ที่ให้นำของเสียไปไว้ให้ห่าง จากน้ำดื่มและที่พัก

waste management took a more familiar shape as early as 3000 BCE.

กระบวนการจัดการของเสียที่เราคุ้นเคยนั้น เริ่มต้นในช่วง 3000 ปีก่อนคริสตศักราช

Ancient Mesopotamian settlements often had clay structures

ที่อยู่อาศัยของชาวเมโสโปเตเมีย มักจะมีโครงสร้างที่ทำจากดินเหนียว

made for squatting or sitting in the most private room of the house.

ที่มีไว้สำหรับการนั่งยองๆ ในที่ๆมีความเป็นส่วนตัวมากที่สุดในบ้าน

These were connected to pipes which used running water to move waste

ที่เหล่านี้ถูกเชื่อมต่อกับท่อ ที่ใช้น้ำในการนำพาของเสีย

into street canals and cesspits.

ออกไปสู่คลองและบ่อพักน้ำเสีย

Water infrastructure like this flourished in the Bronze Age,

โครงสร้างทางน้ำเหล่านี้ เจริญเป็นอย่างมากในยุคสำริด

and in some parts of the Indus Valley,

และในบางส่วนของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ

nearly every house had a toilet connected to a citywide sewage system.

บ้านเกือบทุกหลังมีห้องน้ำที่เชื่อมต่อกับ ระบบบำบัดน้ำเสียของเมือง

Ancient Cretan palaces even offered a manual flushing option.

พระราชวังครีตันมีแม้กระทั่งตัวเลือกในการ กดชักโครกแบบแมนนวล

Researchers can’t say for certain what inspired these early sewage systems,

นักวิจัยไม่แน่ใจว่าอะไรคือต้นแบบ การคิดค้นระบบท่อน้ำทิ้งในยุคก่อน

but we do know that waste management is essential for public health.

แต่เรารู้ว่าการจัดการกับของเสีย เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อสาธารณสุขโดยรวม

Untreated sewage is a breeding ground for dangerous microorganisms,

ท่อน้ำทิ้งที่ไม่ได้ถูกดูแล เป็นแหล่งเพาะเชื้อจุลินทรีย์ที่อันตราย

including those that cause cholera, dysentery, and typhoid.

รวมทั้งพวกที่ทำให้เกิดอหิวาตกโรค โรคบิด และไข้ไทฟอยด์

It would be several millennia before scientists fully understood

ยังเป็นเวลาอีกหลายพันปี ก่อนที่ นักวิทยาศาสตร์จะเข้าใจ

the relationship between sewage and sickness.

ถึงความสัมพันธ์ของระบบน้ำทิ้ง และการเกิดโรคได้อย่างครอบคลุม

But the noxious odors of sewage have recorded associations with disease

แต่กลิ่นที่เป็นอันตรายของระบบน้ำทิ้ง ได้มีการถูกบันทึกว่ามีความเกี่ยวข้องกับโรค

as early as 100 BCE.

ตั้งแต่ 100 ปีก่อนคริสตศักราช

And by 100 AD, more complex sanitation solutions were emerging.

ในปีคริสตศักราชที่100 เราเริ่มต้นใช้ ระบบสุขาภิบาลที่ซับซ้อนมากขึ้น

The Roman Empire had continuously flowing aqueducts

จักรวรรดิโรมันมีท่อระบายน้ำ

dedicated to carrying waste outside city walls.

ที่ใช้สำหรับการนำพาของเสีย นอกกำแพงเมืองโดยเฉพาะ

Chinese dynasties of the same period also had private and public toilets,

ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ราชวงศ์ของจีน ก็มีห้องน้ำส่วนตัวและสาธารณะเหมือนกัน

except their waste was immediately recycled.

แต่ว่าของเสียเหล่านั้น ถูกนำไปรีไซเคิลโดยทันที

Most household toilets fed into pig sties,

ห้องน้ำในบ้านส่วนมาก นำของเสียไปไว้ที่เล้าหมู

and specialized excrement collectors gathered waste from public latrines

ของเสียจากห้องน้ำสาธารณะถูกเก็บรวบรวม โดยผู้ที่มีความชำนาญทางด้านนี้

to sell as fertilizer.

เพื่อนำไปขายเป็นปุ๋ย

In China, this tradition of waste management continued for centuries,

ในประเทศจีน มีประเพณีเกี่ยวกับ การจัดการของเสียที่สืบต่อกันมาเป็นศตวรรษ

but in Europe the fall of the Roman Empire

แต่ในทวีปยุโรป การล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน

brought public sanitation into the Dark Ages.

นำไปสู่ยุคมืดของระบบสุขาภิบาล

Pit latrines called “gongs” became commonplace,

หลุมสุขาที่เรียกว่า “gongs” กลายเป็นสิ่งปกติ

and chamber pots were frequently dumped into the street.

กระโถนในห้องนอนมักถูก นำมาเทไว้บนถนน

Castles ejected waste from tall windows into communal cesspits.

ปราสาทโยนของเสียทิ้งจากหน้าต่าง ลงไปยังบ่อพักน้ำเสีย

At night, so-called gong farmers would load up the waste

ในตอนกลางคืน คนที่ถูกเรียกว่า “gong farmers” จะเก็บของเสียใส่รถ

before traveling beyond city limits to dump their cargo.

แล้วนำไปทิ้งในบริเวณที่ห่างจากตัวเมือง

Europe's unsanitary approach persisted for centuries,

การจัดการที่ไม่ถูกสุขอนามัยของยุโรป คงอยู่ต่อไปนับศตวรรษ

but toilets themselves underwent some major changes.

แต่ตัวโถส้วมนั้น ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายอย่าง

By the late Middle Ages, most wealthy families had commode stools—

ในปลายยุคกลาง ครอบครัวที่ร่ำรวยส่วนมาก มีเก้าอี้สำหรับนั่งถ่าย

wooden boxes with seats and lids.

เป็นกล่องไม้ที่มีที่นั่งและฝาปิด

And in the royal court of England,

ในราชสำนักของอังกฤษ

the commodes were controlled by the Groom of the Stool.

ห้องน้ำพกพานี้ถูกควบคุมโดย ผู้ดูแลโถส้วม

In addition to monitoring the king’s intestinal health,

ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบ สุขภาวะของลำไส้ของกษัตริย์และ

the Groom’s... intimate relationship with the monarch

มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดอย่างยิ่ง

made him a surprisingly influential figure.

ทำให้เขาเป็นคนที่มีอิทธิพล อย่างน่าแปลกใจ

The next major leap in toilet technology came in 1596,

การเปลี่ยนแปลงสำคัญครั้งถัดไป ของโถส้วมเกิดขึ้นในปี 1596

when Sir John Harrington designed the first modern flush toilet

ตอนที่ Sir John Harrington ได้ออกแบบ โถส้วมแบบกดเป็นครั้งแรก

for Queen Elizabeth.

ไว้สำหรับ Queen Elizabeth

Its use of levers to release water and a valve to drain the bowl

การใช้ที่กดชักโครกในการปล่อยน้ำ และวาล์วในการดูดน้ำ

still inform modern designs.

ยังคงสามารถพบได้ในดีไซน์รุ่นใหม่

But Harrington’s invention stank of sewage.

แต่สิ่งประดิษฐ์ของ Harrington นั้น ส่งกลิ่นของท่อระบายน้ำ

Thankfully, in 1775, Scottish inventor Alexander Cumming

โชคดีที่ในปี 1775 นักประดิษฐ์ชาวสก๊อต Alexander Cumming

added a bend in the drainpipe to retain water and limit odors.

ทำให้ท่อมีความโค้งงอ เพื่อเก็บน้ำและกลิ่นไว้

This so-called S-trap was later improved into the modern U-bend by Thomas Crapper—

ท่อที่มีลักษณะโค้งงอคล้ายตัว S นี้ ถูกพัฒนาเป็นท่อรูปตัว U โดย Thomas Crapper

though the term “crap” predates the inventor by several centuries.

แม้ความหมายของคำว่า “crap” จะเกิดมาก่อน ชื่อนักประดิษฐ์มาหลายร้อยปีแล้ว

By the turn of the 19th century,

ก่อนเข้าสู่ศตวรรษที่ 19

many cities had developed modern sewage infrastructure

เมืองหลายเมืองได้พัฒนา โครงสร้างพื้นฐาน ทางระบายน้ำ

and wastewater treatment plants,

และโรงงานบำบัดน้ำเสียขึ้น

and today, toilets have a wide range of features,

ในทุกๆวันนี้ โถส้วมมีหลากหลายรูปแบบ

from the luxurious to the sustainable.

ตั้งแต่แบบหรูหราจนถึงแบบประหยัด

But roughly 2 billion people still don’t have their own toilets at home.

แต่คนประมาณ 2 พันล้านคน ยังคงไม่มีห้องน้ำที่บ้าน

And another 2.2 billion don’t have facilities

และอีก 2.2 พันล้านคน ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก

that properly manage their waste,

ที่สามารถจัดการกับของเสีย ได้อย่างเหมาะสม

putting these communities at risk of numerous diseases.

ซึ่งทำให้ชุมชนเหล่านี้มีความเสี่ยง ในการเกิดโรคมากมาย

To solve this problem, we’ll need to invent new sanitation technologies

การจะแก้ปัญหานี้ เราต้องคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆสำหรับสุขาภิบาล

and address the behavioral, financial, and political issues

และจัดการปัญหาทางพฤติกรรม, ปัญหาด้านงบประมาณ และปัญหาการเมือง

that produce inequity throughout the sanitation pipeline.

ที่ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกัน ในการใช้ท่อสุขาภิบาล