Your kids might live on Mars. Here's how they'll survive | Stephen Petranek

Translator: Apichart Hortiangtham Reviewer: Kelwalin Dhanasarnsombut

ทุกท่านโปรดเตรียมตัวให้พร้อม

Strap yourselves in,

we're going to Mars.

เรากำลังจะไปดาวอังคาร

Not just a few astronauts --

ไม่ใช่เพียงแค่นักบินอวกาศจำนวนหนึ่ง

thousands of people are going to colonize Mars.

แต่ผู้คนนับพันคน กำลังจะไปตั้งรกรากบนดาวอังคาร

And I am telling you that they're going to do this soon.

และผมบอกได้เลยว่า สิ่งนี้กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้

Some of you will end up working on projects on Mars,

พวกคุณบางคนกำลังจะได้ทำงาน ในโครงการบนดาวอังคาร

and I guarantee that some of your children will end up living there.

และผมกล้ายืนยันเลยว่า ลูก ๆ ของคุณบางคนจะได้ไปอาศัยอยู่ที่นั่น

That probably sounds preposterous,

นี่อาจจะฟังดูเกินจริง

ผมจะเล่าให้ฟังว่าสิ่งเหล่านี้ จะเกิดขึ้นอย่างไรและเมื่อไหร่

so I'm going to share with you how and when that will happen.

But first I want to discuss the obvious question:

ก่อนอื่น ผมขอพูดถึงคำถามสำคัญข้อหนึ่งก่อน

เราจะไปดาวอังคารกันทำไม

Why the heck should we do this?

12 years ago,

เมื่อ 12 ปีที่แล้ว

I gave a TED talk on 10 ways the world could end suddenly.

ผมได้บรรยายที่ TED ในหัวข้อ 10 วิธีที่โลกจะถึงกาลอวสานแบบไม่ทันตั้งตัว

We are incredibly vulnerable to the whims of our own galaxy.

พวกเรานั้นเปราะบางมาก จากความเป็นไปของกาแลคซี่ของเราเอง

A single, large asteroid could take us out forever.

อุกกาบาตขนาดใหญ่เพียงลูกเดียว ก็สามารถทำลายล้างมนุษยชาติไปสิ้นซาก

เพื่อที่จะอยู่รอด เราต้องก้าวพ้น ออกไปจากดาวเคราะห์บ้านเกิด

To survive we have to reach beyond the home planet.

Think what a tragedy it would be

ลองคิดดูสิครับว่าจะน่าเศร้าเพียงใด

if all that humans have accomplished were suddenly obliterated.

ถ้าอารยธรรมทั้งหมดที่มนุษย์ได้สั่งสมมา หายวับไปในพริบตา

And there's another reason we should go:

และมีอีกเหตุผลหนึ่งที่เราควรต้องไปก็คือ

exploration is in our DNA.

การออกสำรวจมันอยู่ในดีเอ็นเอของเรา

Two million years ago humans evolved in Africa

เมื่อสองล้านปีก่อน มนุษย์มีวิวัฒนาการอยู่ในทวีปแอฟริกา

and then slowly but surely spread out across the entire planet

จากนั้นจึงขยายเผ่าพันธุ์ไปทั่วโลก อย่างช้า ๆ แต่มั่นคง

ด้วยการก้าวข้ามไปยังดินแดน ที่ไม่เคยมีใครไปมาก่อน

by reaching into the wilderness that was beyond their horizons.

This stuff is inside us.

สิ่งเหล่านี้อยู่ภายในตัวมนุษย์เรา

And they prospered doing that.

และเขาเหล่านั้นได้ทำสำเร็จมาแล้ว

Some of the greatest advances in civilization and technology

ความก้าวหน้าทางอารยธรรม และเทคโนโลยีบางส่วนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

จากการที่เราออกสำรวจ

came because we explored.

จริงอยู่ที่ว่า เราทำอะไรดี ๆ อย่างอื่นได้มากมาย

Yes, we could do a lot of good

with the money it will take to establish a thriving colony on Mars.

จากเงินที่จะใช้ ในการตั้งถิ่นฐานบนดาวอังคาร

And yes we should all be taking far better care of our own home planet.

และจริงอยู่ ที่ว่าเราควรจะพยายาม ให้มากขึ้นในการดูแลรักษาโลกของเรา

อันที่จริง ผมกังวลว่าเราจะทำร้ายดาวอังคาร เหมือนอย่างที่เราได้ทำกับโลกมาแล้ว

And yes, I worry we could screw up Mars the way we've screwed up Earth.

But think for a moment,

แต่ลองหยุดคิดดูสักนิด

what we had when John F. Kennedy told us we would put a human on the moon.

เรามีอะไรบ้าง เมื่อตอนที่ จอห์น เอฟ เคเนดี บอกเราว่า เราจะพามนุษย์ไปดวงจันทร์

He excited an entire generation to dream.

เขากระตุ้นผู้คนทั้งหลายในยุคนั้น ให้กล้าที่จะใฝ่ฝัน

Think how inspired we will be to see a landing on Mars.

ลองคิดดูว่า การลงจอดบนดาวอังคาร จะสร้างแรงบันดาลใจมากเพียงใด

Perhaps then we will look back at Earth

บางที หลังจากนั้นเราจะมองกลับมายังโลก

แล้วเห็นว่า นั่นเป็นเพียงคนหนึ่งคน ไม่ใช่ผู้คนมากมาย

and see that that is one people instead of many

and perhaps then we will look back at Earth,

และบางที เราจะมองกลับมายังโลก

ในขณะที่เรากำลังดิ้นรน เพื่ออยู่รอดบนดาวอังคาร

as we struggle to survive on Mars,

and realize how precious the home planet is.

และตระหนักว่า โลกของเรานั้นมีค่ามากเพียงใด

So let me tell you about the extraordinary adventure we're about to undertake.

ดังนั้น ผมจึงขอเล่าเกี่ยวกับ การผจญภัยอันยิ่งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้

แต่ก่อนอื่น

But first,

a few fascinating facts about where we're going.

มาดูข้อเท็จจริง เกี่ยวกับที่ที่เรากำลังจะไปก่อน

รูปนี้แสดงขนาดของดาวอังคาร เปรียบเทียบกับโลก

This picture actually represents the true size of Mars compared to Earth.

Mars is not our sister planet.

ไม่เชิงว่าดาวอังคารนั้น เป็นดาวพี่น้องของเรา

It's far less than half the size of the Earth,

มันมีขนาดเล็กกว่าครึ่งหนึ่งของโลกมาก

อีกทั้ง นอกจากความจริงที่ว่า มันมีขนาดเล็กกว่า

and yet despite the fact that it's smaller,

the surface area of Mars that you can stand on

พื้นผิวที่คุณสามารถยืนอยู่ได้บนดาวอังคาร

is equivalent to the surface area of the Earth that you can stand on,

มีขนาดเทียบเท่ากับพื้นผิว ที่คุณสามารถยืนอยู่ได้บนโลก

because the Earth is mostly covered by water.

เพราะว่าพื้นผิวโลกส่วนใหญ่ เป็นมหาสมุทร

ชั้นบรรยากาศของดาวอังคารนั้นบางมาก

The atmosphere on Mars is really thin --

100 times thinner than on Earth --

บางกว่าโลกถึง 100 เท่า

and it's not breathable, it's 96 percent carbon dioxide.

และไม่สามารถใช้หายใจได้ มันประกอบด้วย คาร์บอนไดออกไซด์ถึง 96 เปอร์เซ็นต์

It's really cold there.

รวมทั้งมีอากาศหนาวมาก

The average temperature is minus 81 degrees,

อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ ติดลบ 81 องศาฟาเรนไฮต์

although there is quite a range of temperature.

แม้ว่าช่วงอุณหภูมิจะค่อนข้างกว้าง

A day on Mars is about as long as a day on Earth,

หนึ่งวันบนดาวอังคาร ยาวนานพอ ๆ กันกับหนึ่งวันบนโลก

plus about 39 minutes.

บวกไปอีกประมาณ ​39 นาที

Seasons and years on Mars are twice as long as they are on Earth.

ฤดูกาลและปีบนดาวอังคาร ยาวนานเป็นสองเท่าเทียบกับโลก

และสำหรับใครที่ฝันว่าจะหาปีกมาติดหลัง เพื่อที่จะบินได้ในสักวันหนึ่ง

And for anybody who wants to strap on some wings and go flying one day,

Mars has a lot less gravity than on Earth,

ดาวอังคารมีแรงโน้มถ่วงน้อยกว่าโลกมาก

and it's the kind of place

ที่นั่นจะทำแบบนั้นได้

where you can jump over your car instead of walk around it.

ที่นั่นคุณสามารถกระโดดข้ามรถของคุณ แทนที่จะต้องเดินอ้อม

คุณคงจะเห็นแล้วว่า ดาวอังคารไม่ได้คล้ายกับโลกมากนัก

Now, as you can see, Mars isn't exactly Earth-like,

but it's by far the most livable other place in our entire solar system.

แต่มันก็เป็นสถานที่ที่มีความเป็นไปได้ ในการดำรงชีวิตมากที่สุดในระบบสุริยะ

Here's the problem.

แต่ปัญหาก็คือ

Mars is a long way away,

ดาวอังคารอยู่ไกลมาก

ไกลกว่าระยะทาง จากโลกถึงดวงจันทร์ถึงพันเท่า

a thousand times farther away from us than our own moon.

The Moon is 250,000 miles away

ดวงจันทร์อยู่ห่างออกไป 250,000 ไมล์

and it took Apollo astronauts three days to get there.

นักบินอวกาศอพอลโล ใช้เวลาสามวันในการเดินทาง

Mars is 250 million miles away

ดาวอังคารอยู่ห่างจากโลก 250 ล้านไมล์

and it will take us eight months to get there --

และเราต้องใช้เวลาแปดเดือน ในการเดินทาง

ซึ่งคือ 240 วัน

240 days.

และจะเป็นเช่นนั้นได้ก็ต่อเมื่อ เราปล่อยยานในวันที่จำเพาะ

And that's only if we launch on a very specific day,

at a very specific time,

ในเวลาที่เฉพาะเจาะจงมาก ๆ

once every two years,

ซึ่งจะมีเพียงหนึ่งครั้งในทุก ๆ สองปี

when Mars and the Earth are aligned just so,

นั่นก็คือช่วงเวลาที่ดาวอังคารและโลก อยู่ในตำแหน่งตรงกัน

so the distance that the rocket would have to travel will be the shortest.

ซึ่งเป็นระยะทางที่สั้นที่สุด ที่เราจะสามารถใช้จรวดในการเดินทางได้

240 days is a long time to spend trapped with your colleagues in a tin can.

240 วันนี่ถือว่าเป็นเวลาที่นานมาก ที่จะต้อง อยู่ร่วมกับเพื่อนร่วมงานในกระป๋องแคบ ๆ

And meanwhile, our track record of getting to Mars is lousy.

และในขณะเดียวกัน บันทึกเกี่ยวกับ การไปดาวอังคารของเราก็ไม่ดีนัก

We and the Russians, the Europeans, the Japanese,

ทั้งเรา รัสเซีย ยุโรป ญี่ปุ่น

the Chinese and the Indians,

จีน และอินเดีย

เคยส่งจรวดไปรวมทั้งหมด 44 ลำ

have actually sent 44 rockets there,

and the vast majority of them have either missed or crashed.

ส่วนมากพลาดเป้าหรือไม่ก็ตก

Only about a third of the missions to Mars have been successful.

มีเพียงหนึ่งในสามเท่านั้นที่สำเร็จ

And we don't at the moment have a rocket big enough to get there anyway.

และขณะนี้เรายังไม่มีจรวดลำใหญ่มากพอ ที่จะพาคนไปได้

เราเคยมีจรวดลำหนึ่งคือ แซทเทิร์น ห้า (Saturn V)

We once had that rocket, the Saturn V.

A couple of Saturn Vs would have gotten us there.

แซทเทิร์น ห้า สักสองสามลำ น่าจะสามารถพาเราไปได้

It was the most magnificent machine ever built by humans,

มันคือเครื่องจักรที่พิเศษสุด ที่มนุษย์เคยสร้างเลยล่ะครับ

and it was the rocket that took us to the Moon.

และเจ้าจรวดนี้นี่แหละ ที่พาเราไปดวงจันทร์มาแล้ว

แต่ลำสุดท้ายที่เราใช้ คือใช้ส่ง สถานีอวกาศสกายแลบ ในปี ค.ศ. 1973

But the last Saturn V was used in 1973 to launch the Skylab space station,

แล้วเราก็ตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้สิ่งที่เรียกว่า กระสวยอวกาศ

and we decided to do something called the shuttle

instead of continuing on to Mars after we landed on the Moon.

แทนที่จะพัฒนาจรวดต่อเพื่อไปดาวอังคาร หลังจากที่เราสามารถลงจอดที่ดวงจันทร์ได้

The biggest rocket we have now

จรวดลำใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน

มีขนาดเพียงครึ่งหนึ่ง ของลำที่ไปดาวอังคารได้

is only half big enough to get us anything to Mars.

So getting to Mars is not going to be easy

ฉะนั้น การจะไปดาวอังคารจึงไม่ใช่เรื่องง่าย

and that brings up a really interesting question ...

และนี่นำมาซึ่งคำถามสำคัญ

how soon will the first humans actually land here?

เมื่อไหร่ที่มนุษย์คนแรก จะสามารถเหยียบดาวอังคารได้สักที

ผู้เชี่ยวชาญคาดกันว่า ถ้าเราไปถึงที่นั่นได้ภายในปี ค.ศ. 2050

Now, some pundits think if we got there by 2050,

that'd be a pretty good achievement.

นั่นจะถือเป็นความสำเร็จที่ค่อนข้างน่าประทับใจ

These days, NASA seems to be saying that it can get humans to Mars by 2040.

ในปัจจุบัน นาซ่าคาดการณ์ว่า มนุษย์จะไปถึงดาวอังคารภายในปี ค.ศ. 2040

Maybe they can.

ไม่แน่ พวกเขาอาจทำได้

I believe that they can get human beings into Mars orbit by 2035.

ผมเชื่อครับว่า พวกเขาสามารถพามนุษย์ ไปถึงวงโคจรของดาวอังคารภายในปี ค.ศ. 2035

But frankly,

แต่เรียนตามตรง

ผมไม่คิดว่า ในปี ค.ศ. 2035 พวกเขาจะง่วนอยู่กับการส่งจรวด

I don't think they're going to bother in 2035 to send a rocket to Mars,

because we will already be there.

เพราะว่าเราจะไปถึงที่นั่นเรียบร้อยแล้ว

We're going to land on Mars in 2027.

เราจะไปถึงดาวอังคารในปี ค.ศ. 2027

And the reason is

และเหตุผลก็คือ

this man is determined to make that happen.

ผู้ชายคนนี้ มุ่งมั่นจะทำให้มันเกิดขึ้น

His name is Elon Musk, he's the CEO of Tesla Motors and SpaceX.

เขาชื่อ อีลอน มัสค์ ซีอีโอของเทสล่ามอเตอร์ และสเปซเอ็กซ์

Now, he actually told me that we would land on Mars by 2025,

เขาบอกกับผมว่า เราจะไปถึงดาวอังคารให้ได้ ภายในปี ค.ศ. 2025

แต่ อีลอน มัสค์ มองโลกในแง่ดีกว่าผม

but Elon Musk is more optimistic than I am --

and that's going a ways --

และออกจะดีเกินไปด้วยซ้ำ

so I'm giving him a couple of years of slack.

ดังนั้นผมจะให้เวลาเขาเพิ่มอีกสักสองสามปี

Still ...

แต่อย่างไรก็ตาม

you've got to ask yourself,

คุณยังคงต้องถามตัวเองว่า

can this guy really do this by 2025 or 2027?

ผู้ชายคนนี้จะทำสิ่งเหล่านี้ได้ ภายในปี ค.ศ. 2025 หรือ ค.ศ. 2027 จริงหรือ

Well, let's put a decade with Elon Musk into a little perspective.

เอาล่ะ ลองดูช่วงเวลาสิบปี ของ อีลอน มัสก์ กัน

Where was this 10 years ago?

10 ปีที่ผ่านมาเขาทำอะไรบ้าง

That's the Tesla electric automobile.

นั่นคือรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ของบริษัทเทสล่า

In 2005, a lot of people in the automobile industry were saying,

ในปี ค.ศ. 2005 คนส่วนใหญ่ในวงการ อุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้าต่างพูดกันว่า

we would not have a decent electric car for 50 years.

เราจะยังไม่มีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าดี ๆ ใช้ จนกว่าอีก 50 ปีข้างหน้า

And where was that?

แล้วมีอะไรอีก

นี่คือจรวดฟอลคอน 9 ของบริษัทสเปซเอ็กซ์

That is SpaceX's Falcon 9 rocket,

lifting six tons of supplies to the International Space Station.

ที่นำพาสัมภาระหนักถึงหกตัน ขึ้นสู่สถานีอวกาศนานาชาติ

10 years ago,

เมื่อ 10 ปีก่อน

SpaceX had not launched anything, or fired a rocket to anywhere.

ก่อนหน้านี้บริษัทสเปซเอ็กซ์ยังไม่เคยส่งอะไร หรือยิงจรวดไปที่ไหนเลยด้วยซ้ำ

So I think it's a pretty good bet

ดังนั้นผมว่ามันเป็นการเดิมพันที่ดีเลยแหละ

ที่ว่าคนที่ปฏิวัติวงการอุตสาหกรรมรถยนต์

that the person who is revolutionizing the automobile industry

in less than 10 years

ภายในเวลาไม่ถึง 10 ปี

and the person who created an entire rocket company in less than 10 years

และคนที่ก่อตั้งบริษัทจรวดทั้งหมด ภายในเวลาน้อยกว่า 10 ปี

will get us to Mars by 2027.

จะสามารถพาเรา ไปดาวอังคารได้ก่อนปี ค.ศ. 2027

Now, you need to know this:

คุณควรจะรู้ด้วยว่า

governments and robots no longer control this game.

รัฐบาลและหุ่นยนต์ ไม่ใช่ผู้ควบคุมอีกต่อไปแล้ว

บริษัทเอกชนได้กระโจนเข้ามามีบทบาท ในกิจกรรมทางอวกาศ

Private companies are leaping into space

and they will be happy to take you to Mars.

และเขาก็ยินดีที่จะพาคุณไปดาวอังคาร

And that raises a really big question.

และนั่นทำให้เกิดคำถามสำคัญคำถามหนึ่ง

Can we actually live there?

เราจะสามารถอาศัยอยู่ที่นั่นได้จริงหรือไม่

Now, NASA may not be able to get us there until 2040,

จริงอยู่ที่นาซ่าอาจไม่สามารถพาเราไปที่นั่น ก่อนปี ค.ศ. 2040

or we may get there a long time before NASA,

หรือบางทีเราอาจไปที่นั้นได้ก่อนนาซ่าหลายปี

แต่นาซ่าได้ทำหน้าที่ศึกษามาตลอดว่า เราจะอาศัยอยู่บนดาวอังคารได้อย่างไร

but NASA has taken a huge responsibility in figuring out how we can live on Mars.

Let's look at the problem this way.

ลองมามองปัญหาในลักษณะนี้ดู

Here's what you need to live on Earth:

นี่คือสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตบนโลก

food, water, shelter and clothing.

อาหาร น้ำ ที่อยู่อาศัย และเครื่องนุ่งห่ม

And here's what you need to live on Mars:

และต่อไปนี้คือสิ่งที่จำเป็น ต่อการดำรงชีวิตบนดาวอังคาร

all of the above, plus oxygen.

ทั้งหมดที่กล่าวมา รวมถึงออกซิเจน

ดังนั้น ลองมาดูสิ่งที่สำคัญที่สุด ในรายการนี้กันก่อน

So let's look at the most important thing on this list first.

Water is the basis of all life as we know it,

เรารู้กันว่า น้ำเป็นปัจจัยพื้นฐาน ของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง

and it's far too heavy for us to carry water from the Earth to Mars to live,

และมันหนักเกินไป ที่จะขนน้ำจากโลกไปดาวอังคาร

so we have to find water if our life is going to succeed on Mars.

ดังนั้นเราต้องหาน้ำให้เจอ หากเราอยากจะอยู่รอดบนดาวอังคาร

And if you look at Mars, it looks really dry,

และถ้าคุณมองดาวอังคาร จะเห็นว่ามันดูแห้งแล้งมาก

it looks like the entire planet is a desert.

ดูราวกับว่าดาวเคราะห์ทั้งดวง เป็นทะเลทราย

But it turns out that it's not.

แต่จริง ๆ แล้ว มันไม่เป็นอย่างนั้น

The soil alone on Mars contains up to 60 percent water.

ดินบนดาวอังคารมีน้ำเป็นส่วนประกอบ ถึง 60 เปอร์เซ็นต์

And a number of orbiters that we still have flying around Mars have shown us --

และยานของเราที่โคจรอยู่รอบดาวอังคาร ได้แสดงให้เเห็นว่า --

and by the way, that's a real photograph --

อ้อ ผมจะบอกว่านั่นคือรูปถ่ายจริงนะครับ --

หุบเหวจำนวนมากบนดาวอังคาร มีแผ่นน้ำแข็งอยู่ภายใน

that lots of craters on Mars have a sheet of water ice in them.

มันจึงไม่ใช่ที่ที่เลวร้ายนัก ที่เราจะไปตั้งอาณานิคม

It's not a bad place to start a colony.

Now, here's a view of a little dig the Phoenix Lander did in 2008,

นี่คือภาพของการขุดเจาะ โดยยานฟีนิกซ์ ในปี ค.ศ. 2008

ที่แสดงให้เห็นว่าใต้พื้นผิวดินนั้นเป็นน้ำแข็ง

showing that just below the surface of the soil is ice --

that white stuff is ice.

ที่เห็นสีขาวนั่นคือน้ำแข็ง

In the second picture,

ในรูปที่สอง

ซึ่งเป็นเวลาสี่วันหลังจากภาพแรก

which is four days later than the first picture,

you can see that some of it is evaporating.

คุณจะเห็นว่าบางส่วนของมัน กำลังระเหยอยู่

ยานโคจรยังบอกเราอีกว่า

Orbiters also tell us

that there are huge amounts of underground water on Mars

มีน้ำใต้ดินปริมาณมากบนดาวอังคาร

as well as glaciers.

มากพอ ๆ กับธารน้ำแข็ง

In fact, if only the water ice at the poles on Mars melted,

ที่จริงแล้ว หากน้ำแข็งทั้งหมด ที่ขั้วโลกทั้งสองของดาวอังคารละลาย

most of the planet would be under 30 feet of water.

พื้นที่ส่วนใหญ่ของดาวจะจมอยู่ใต้น้ำ 30 ฟุต

So there's plenty of water there,

ดังนั้น ที่นั่นมีน้ำอยู่เยอะมาก

แต่เกือบทั้งหมดนั้น เป็นน้ำแข็งและอยู่ใต้ดิน

but most of it's ice, most of it's underground,

it takes a lot of energy to get it and a lot of human labor.

เราต้องใช้พลังงานและกำลังคนอย่างมาก เพื่อให้ได้น้ำดังกล่าวมาใช้

นี่คืออุปกรณ์ที่ประดิษฐ์ขึ้นโดย มหาวิทยาลัยแห่งวอชิงตัน

This is a device cooked up at the University of Washington

back in 1998.

เมื่อปี ค.ศ. 1998

It's basically a low-tech dehumidifier.

มันคือเครื่องลดความชื้นแบบโบราณ

And it turns out the Mars atmosphere is often 100 percent humid.

และบรรยากาศของดาวอังคาร ก็มักจะมีความชื้นถึง 100 เปอร์เซ็น

ดังนั้นเจ้าเครื่องนี้จะสามารถสกัดน้ำ ได้เพียงพอกับที่มนุษย์ต้องการ

So this device can extract all the water that humans will need

simply from the atmosphere on Mars.

จากบรรยากาศของดาวอังคารได้โดยง่าย

ต่อไป เราต้องมาคิดว่าเราจะเอาอะไรหายใจ

Next we have to worry about what we will breathe.

จริง ๆ แล้ว ผมตกใจมาก

Frankly, I was really shocked

ที่พบว่านาซ่าแก้ปัญหานี้ได้เรียบร้อยแล้ว

to find out that NASA has this problem worked out.

This is a scientist at MIT named Michael Hecht.

นี่คือนักวิทยาศาสตร์ที่สถาบันเอ็มไอที ชื่อ ไมเคิล เฮคท์

เขาได้พัฒนาเครื่องจักรที่ชื่อ ม๊อกซี่

And he's developed this machine, Moxie.

I love this thing.

ผมชอบเจ้าสิ่งนี้มาก

It's a reverse fuel cell, essentially,

โดยหลักแล้ว มันคือเซลล์เชื้อเพลิงแบบย้อนกลับ

that sucks in the Martian atmosphere and pumps out oxygen.

ที่ดูดบรรยากาศบนดาวอังคาร และปล่อยออกซิเจนออกมา

And you have to remember that CO2 --

และคุณจะต้องตระหนักว่า CO2

carbon dioxide, which is 96 percent of Mars' atmosphere --

หรือคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งมีอยู่ 96 เปอร์เซ็นต์ของชั้นบรรยากาศดาวอังคาร

มีออกซิเจนอยู่ถึง 78 เปอร์เซ็นต์

CO2 is basically 78 percent oxygen.

Now, the next big rover that NASA sends to Mars in 2020

ยานสำรวจพื้นผิวดาวลำถัดไปที่นาซ่า จะส่งไปดาวอังคารในปี ค.ศ. 2020

is going to have one of these devices aboard,

จะมีอุปกรณ์แบบนี้ติดไปด้วย

and it will be able to produce enough oxygen

และมันจะสามารถสร้างออกซิเจนได้เพียงพอ

to keep one person alive indefinitely.

ให้มนุษย์หนึ่งคนมีชีวิตรอดได้ไปตลอด

But the secret to this --

แต่ความพิเศษของเจ้าเครื่องนี้

จากการทดสอบ

and that's just for testing --

the secret to this is that this thing was designed from the get-go

ก็คือมันถูกออกแบบมาตั้งแต่แรก

ให้ถูกปรับเพิ่มความสามารถได้ถึง 100 เท่า

to be scalable by a factor of 100.

Next, what will we eat?

ลำดับต่อไป เราจะกินอะไร

เราจะปลูกพืชแบบไม่ใช้ดิน (hydroponics)

Well, we'll use hydroponics to grow food,

แต่เราจะไม่สามารถปลูกพืช

but we're not going to be able to grow

more than 15 to 20 percent of our food there,

ได้มากเกินกว่า 15 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ของอาหารที่เราต้องการ

อย่างน้อยก็จนกว่าจะมีน้ำไหลบนผิวดิน บนดาวอังคาร

at least not until water is running on the surface of Mars

and we actually have the probability and the capability of planting crops.

และจนกว่าเราจะมีโอกาส และสามารถปลูกพืชไร่ได้จริง ๆ

In the meantime,

ในระหว่างนั้น

most of our food will arrive from Earth,

อาหารส่วนใหญ่จะมาจากโลก

และมันจะเป็นอาหารแห้ง

and it will be dried.

And then we need some shelter.

ต่อไปคือ เราต้องการที่อยู่อาศัย

ตอนแรกเราสามารถใช้ ตึกแบบที่พองตัวด้วยความดัน

At first we can use inflatable, pressurized buildings

as well as the landers themselves.

เช่นเดียวกับการใช้ยานสำรวจเป็นที่อาศัย

แต่มันเป็นไปได้เฉพาะในเวลากลางวันเท่านั้น

But this really only works during the daytime.

มีรังสีจากดวงอาทิตย์ และรังสีคอสมิกมากเกินไป

There is too much solar radiation and too much radiation from cosmic rays.

ดังนั้นเราจึงต้องลงไปอยู่ใต้ดิน

So we really have to go underground.

Now, it turns out that the soil on Mars,

บังเอิญว่าดินบนดาวอังคาร

ส่วนมากเหมาะสมต่อการนำมาทำอิฐ

by and large, is perfect for making bricks.

และนาซ่าก็คิดแก้ปัญหาเรื่องนี้ไว้แล้วเช่นกัน

And NASA has figured this one out, too.

They're going to throw some polymer plastic into the bricks,

พวกเขาจะผสมพลาสติกโพลิเมอร์บางอย่าง ลงในอิฐ

shove them in a microwave oven,

แล้วก็อบพวกมันในตู้อบไมโครเวฟ

จากนั้นเราจะสามารถสร้างตึกที่มีผนังหนา ๆ ได้

and then you will be able to build buildings with really thick walls.

Or we may choose to live underground in caves or in lava tubes,

หรือไม่เราก็อาจจะเลือกอาศัยอยู่ใต้ดิน ในถ้ำหรือในปล่องลาวา

of which there are plenty.

ซึ่งมีมากมายอยู่แล้ว

และลำดับสุดท้ายก็คือเสื้อผ้า

And finally there's clothing.

บนโลก มีชั้นบรรยากาศหนาหลายไมล์ ปกคลุมเราอยู่

On Earth we have miles of atmosphere piled up on us,

which creates 15 pounds of pressure on our bodies at all times,

ซึ่งทำให้เกิดความดัน 15 ปอนด์ กดทับร่างกายเราตลอดเวลา

and we're constantly pushing out against that.

และร่างกายเราออกแรงต้านมันอยู่ตลอดเวลา

On Mars there's hardly any atmospheric pressure.

บนดาวอังคารแทบจะไม่มีความดันบรรยากาศเลย

So Dava Newman,

ดังนั้นคุณ ดาวา นิวแมน

a scientist at MIT,

นักวิทยาศาสตร์จากเอ็มไอที

ได้สร้างชุดอวกาศสุดเจ๋งนี้ขึ้น

has created this sleek space suit.

It will keep us together,

มันจะช่วยปกป้องเรา

block radiation and keep us warm.

ป้องกันรังสีและช่วยให้เราอบอุ่นด้วย

ดังนั้น ลองคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูสักหนึ่งนาที

So let's think about this for a minute.

อาหาร ที่อยู่อาศัย เสื้อผ้า น้ำ ออกซิเจน

Food, shelter, clothing, water, oxygen ...

we can do this.

เราสามารถทำได้ทั้งหมด

We really can.

ทำได้จริง ๆ

But it's still a little complicated and a little difficult.

แต่มันก็ยังค่อนข้างที่จะยุ่งยาก และลำบากอยู่พอสมควร

So that leads to the next big --

ดังนั้น นี่จึงนำไปสู่ก้าวต่อไปที่ยิ่งใหญ่

really big step --

และมันก็เป็นก้าวที่ใหญ่มาก ๆ

in living the good life on Mars.

ในการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพบนดาวอังคาร

และนั่นก็คือการปรับเปลี่ยนสภาพดาวเคราะห์

And that's terraforming the planet:

making it more like Earth,

ทำให้มันมีสภาพเหมือนกับโลกมากขึ้น

reengineering an entire planet.

ปรับโครงสร้างดาวเคราะห์ทั้งดวง

นั่นอาจฟังดูเหมือนจะเป็นเรื่องเกินจริง

That sounds like a lot of hubris,

แต่ความจริงก็คือว่า

but the truth is

that the technology to do everything I'm about to tell you already exists.

เทคโนโลยีที่จะใช้เพื่อทำทุกสิ่ง ที่ผมจะบอกต่อไปนี้มีอยู่แล้วทั้งสิ้น

First we've got to warm it up.

อย่างแรกคือเราต้องทำให้ดาวอบอุ่นขึ้น

Mars is incredibly cold because it has a very thin atmosphere.

ดาวอังคารเย็นมากเพราะชั้นบรรยากาศที่บาง

คำตอบนั้นอยู่ที่ขั้วโลกใต้และเหนือ ของดาวอังคาร

The answer lies here, at the south pole and at the north pole of Mars,

both of which are covered

ขั้วทั้งสองถูกปกคลุม

with an incredible amount of frozen carbon dioxide --

ด้วยคาร์บอนไดออกไซด์แข็ง จำนวนมหาศาล

dry ice.

น้ำแข็งแห้งนั่นเอง

If we heat it up,

ถ้าเราให้ความร้อนกับมัน

it sublimes directly into the atmosphere

มันจะระเหิดไปอยู่ในชั้นบรรยากาศ

and thickens the atmosphere the same way it does on Earth.

และทำให้ชั้นบรรยากาศหนาขึ้น ในแบบเดียวกับที่เกิดขึ้นบนโลก

And as we know,

และเรารู้อยู่แล้วว่า

CO2 is an incredibly potent greenhouse gas.

CO2 คือตัวการสำคัญของก๊าซเรือนกระจก

Now, my favorite way of doing this is to erect a very, very large solar sail

วิธีการที่ผมชอบที่สุดในการทำสิ่งนี้ก็คือ การวางแผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่

and focus it --

และโฟกัสมัน

ให้มันทำหน้าที่เป็นกระจก

it essentially serves as a mirror --

and focus it on the south pole of Mars at first.

และโฟกัสมันไปที่ขั้วใต้ของดาวอังคารก่อน

As the planet spins, it will heat up all that dry ice, sublime it,

ขณะที่ดาวหมุนรอบตัวเอง มันจะทำให้น้ำแข็งแห้งร้อนขึ้นและระเหิด

and it will go into the atmosphere.

และไปอยู่ในชั้นบรรยากาศ

It actually won't take long

จริง ๆ แล้วมันใช้เวลาไม่นานนัก

ที่อุณหภูมิบนดาวอังคารจะเริ่มสูงขึ้น

for the temperature on Mars to start rising,

probably less than 20 years.

บางที อาจจะน้อยกว่า 20 ปี

Right now,

ในตอนนี้

on a perfect day at the equator,

วันเวลาที่เหมาะเจาะที่เส้นศูนย์สูตร

in the middle of summer on Mars,

ในกลางฤดูร้อนบนดาวอังคาร

temperatures can actually reach 70 degrees,

อุณหภูมิอาจสูงถึง 70 องศาฟาเรนไฮต์

but then they go down to minus 100 at night.

แต่เมื่อตกกลางคืน อุณหภูมิอาจติดลบ 100 องศา

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

What we're shooting for is a runaway greenhouse effect:

สิ่งที่เราต้องการก็คือปรากฏการณ์เรือนกระจก

enough temperature rise to see a lot of that ice on Mars --

ที่จะให้อุณหภูมิสูงพอที่จะทำให้น้ำแข็ง บนดาวอังคาร

especially the ice in the ground -- melt.

โดยเฉพาะน้ำแข็งที่อยู่ใต้พื้นดินละลาย

แล้วต่อไปจะดูราวกับว่าเรามีเวทมนต์

Then we get some real magic.

เมื่อชั้นบรรยากาศหนาขึ้น ทุกอย่างจะเริ่มดีขึ้น

As the atmosphere gets thicker, everything gets better.

We get more protection from radiation,

เราจะมีเกราะป้องกันรังสีมากขึ้น

more atmosphere makes us warmer, makes the planet warmer,

ชั้นบรรยากาศที่หนาขึ้นจะทำให้เราอบอุ่นขึ้น มันจะทำให้ดาวเคราะห์อุ่นขึ้น

so we get running water

เราก็จะเริ่มมีน้ำที่เป็นของเหลวบนผิวดาว

and that makes crops possible.

และการเพาะปลูกก็จะเริ่มเป็นไปได้

Then more water vapor goes into the air, forming yet another potent greenhouse gas.

จากนั้น ไอน้ำจำนวนมากจะระเหยขึ้นสู่อากาศ กลายเป็นอีกส่วนหนึ่งของก๊าซเรือนกระจก

It will rain and it will snow on Mars.

มันจะมีฝนและหิมะตกบนดาวอังคาร

ชั้นบรรยากาศที่หนาขึ้น จะสร้างความดันที่เพียงพอ

And a thicker atmosphere will create enough pressure

so that we can throw away those space suits.

ที่เราจะสามารถถอดชุดอวกาศทิ้งได้

เราต้องการความดันเพียงห้าปอนด์ เพื่อดำรงชีวิต

We only need about five pounds of pressure to survive.

Eventually, Mars will be made to feel a lot like British Columbia.

ท้ายที่สุด ดาวอังคารจะถูกทำให้เรารู้สึก เหมือนกับว่าเป็นเมืองบริทิชโคลัมเบีย

แต่เรายังคงมีปัญหาที่ซับซ้อนอย่างหนึ่ง

We'll still be left with the complicated problem

of making the atmosphere breathable,

ซึ่งก็คือการทำให้บรรยากาศ สามารถใช้หายใจได้

เรียนตามตรง มันอาจต้องใช้เวลา 1,000 ปีถึงจะสำเร็จ

and frankly that could take 1,000 years to accomplish.

But humans are amazingly smart and incredibly adaptable.

แต่มนุษย์ฉลาดมากและมีความสามารถ ในการปรับตัวอย่างน่าเหลือเชื่อ

There is no telling what our future technology will be able to accomplish

เราคงไม่สามารถบอกได้ว่า เทคโนโลยีในอนาคตจะทำอะไรได้บ้าง

and no telling what we can do with our own bodies.

และบอกไม่ได้ว่าด้วยร่างกายนี้ เราจะสามารถปรับตัวจนทำอะไรได้บ้าง

In biology right now,

ในทางชีววิทยา ณ เวลานี้

we are on the very verge of being able to control our own genetics,

เรากำลังอยู่ในจุดที่แทบจะสามารถ ควบคุมพันธุกรรมของเราเองได้

what the genes in our own bodies are doing,

ควบคุมสิ่งที่ยีนในร่างกายเรากำลังทำอยู่

และแน่นอน

and certainly,

eventually, our own evolution.

ในที่สุด ก็จะรวมถึงวิวัฒนาการของเราด้วย

We could end up with a species of human being on Earth

เราอาจกลายเป็นสายพันธุ์มนุษย์ที่อยู่บนโลก

that is slightly different from the species of human beings on Mars.

ที่แตกต่างออกไปจากสายพันธุ์มนุษย์ ที่อยู่บนดาวอังคารไปเล็กน้อย

But what would you do there? How would you live?

แต่คุณจะทำอะไรและใช้ชีวิตอย่างไรที่นั่น

It's going to be the same as it is on Earth.

จะยังคงเหมือนกันกับที่เกิดขึ้นบนโลก

Somebody's going to start a restaurant,

ใครบางคนจะเปิดร้านอาหาร

somebody's going to build an iron foundry.

ใครบางคนจะเปิดโรงงานหล่อเหล็ก

Someone will make documentary movies of Mars

ใครบางคนจะทำหนังสารคดีเกี่ยวกับดาวอังคาร

และขายมันบนโลก

and sell them on Earth.

Some idiot will start a reality TV show.

คนโง่บางคนจะเริ่มทำรายการทีวีเรียลลิตี้

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

There will be software companies,

จะมีบริษัทผลิตซอฟแวร์เกิดขึ้น

there will be hotels, there will be bars.

จะมีโรงแรม บาร์

This much is certain:

มันจะเป็นแบบนี้แน่นอน

it will be the most disruptive event in our lifetimes,

มันจะเป็นจุดพลิกผันครั้งใหญ่ ในช่วงชีวิตของเรา

and I think it will be the most inspiring.

และผมคิดว่ามันจะเป็นแรงบันดาลใจที่ดีที่สุด

Ask any 10-year-old girl if she wants to go to Mars.

ลองถามเด็กหญิงอายุ 10 ขวบสิ ว่าอยากไปดาวอังคารไหม

Children who are now in elementary school are going to choose to live there.

เด็ก ๆ ที่เรียนอยู่ในชั้นประถมในตอนนี้ จะมีโอกาสที่จะได้ไปใช้ชิวิตที่นั่น

Remember when we landed humans on the Moon?

จำตอนที่เราส่งมนุษย์ไปถึงดวงจันทร์ได้ไหม

When that happened, people looked at each other and said,

เมื่อมันเกิดขึ้นจริง ผู้คนต่างหันหน้าหากัน และพูดว่า

"ในเมื่อเราทำสิ่งนี้สำเร็จได้ ก็ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้"

"If we can do this, we can do anything."

What are they going to think when we actually form a colony on Mars?

แล้วผู้คนจะคิดอย่างไร เมื่อตอนที่เรา ตั้งอาณานิคมบนดาวอังคารได้สำเร็จจริง ๆ

Most importantly,

และที่สำคัญที่สุด

it will make us a spacefaring species.

มันจะทำให้มนุษย์ กลายเป็นเผ่าพันธุ์นักท่องอวกาศ

And that means humans will survive no matter what happens on Earth.

และนั่นหมายความว่ามนุษยชาติจะอยู่รอด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกก็ตาม

We will never be the last of our kind.

และเราจะไม่มีทางจะเป็นคนรุ่นสุดท้าย ของเผ่าพันธุ์มนุษยชาติ

Thank you.

ขอบคุณครับ

(Applause)

(เสียงปรบมือ)