A new superweapon in the fight against cancer | Paula Hammond

Translator: yamela areesamarn Reviewer: Rawee Ma

Cancer affects all of us --

โรคมะเร็งส่งผลกระทบต่อพวกเราทุกคน --

especially the ones that come back over and over again,

โดยเฉพาะผู้ป่วยที่กลับมาเป็นซํ้าแล้วซํ้าเล่า

the highly invasive and drug-resistant ones,

ผู้ป่วยที่โรคลุกลามไปมากและดื้อยา

the ones that defy medical treatment,

ผู้ป่วยที่ขัดขืนการรักษาทางเวชกรรม

even when we throw our best drugs at them.

แม้ว่าเราจะโยนยาที่ดีที่สุดของเราไปให้พวกเขา

Engineering at the molecular level,

ส่วนวิศวกรก็ปฏิบัติงานที่ระดับโมเลกุล

working at the smallest of scales,

ทำงานกับสัดส่วนขนาดที่เล็กที่สุด

can provide exciting new ways

สามารถเอื้อให้มีวิธีการใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้นขึ้นมาได้

to fight the most aggressive forms of cancer.

เพื่อสู้กับรูปแบบของมะเร็ง ที่ลุกลามอย่างรวดเร็วที่สุด

Cancer is a very clever disease.

มะเร็งเป็นโรคที่ฉลาดมาก ๆ

There are some forms of cancer,

มีรูปแบบของมะเร็งบางชนิด

which, fortunately, we've learned how to address relatively well

ที่นับว่าโชคดี เราได้เรียนรู้ วิธีที่จะจัดการกับมันค่อนข้างดี

with known and established drugs and surgery.

ด้วยยาและการผ่าตัดที่เป็นที่รู้จัก และยอมรับกัน

But there are some forms of cancer

แต่ก็ยังมีรูปแบบของมะเร็งบางชนิด

that don't respond to these approaches,

ที่ไม่ตอบสนองกับวิธีการต่าง ๆ เหล่านี้

and the tumor survives or comes back,

และเนื้องอกนั้นก็ไม่ตาย หรือไม่ก็กลับมาอีก

even after an onslaught of drugs.

แม้กระทั่ง หลังการโจมตีทำลายล้างของยา

We can think of these very aggressive forms of cancer

เราสามารถคิดถึงรูปแบบของมะเร็ง ที่ลุกลามรวดเร็วมากเหล่านี้ได้

as kind of supervillains in a comic book.

ว่าคล้ายกับตัวยอดวายร้าย ในหนังสือการ์ตูน

They're clever, they're adaptable,

พวกมันฉลาด พวกมันปรับตัวได้

and they're very good at staying alive.

และพวกมันก็เก่งมากที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้

And, like most supervillains these days,

และก็เหมือนกับตัววายร้ายส่วนมากในปัจจุบัน

their superpowers come from a genetic mutation.

อำนาจที่ยิ่งใหญ่ของมันนั้นได้มาจาก การกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม

The genes that are modified inside these tumor cells

ยีนที่ถูกเปลี่ยนแปลงไป ในเซลล์เนื้องอกเหล่านี้

can enable and encode for new and unimagined modes of survival,

สามารถเข้ารหัสเป็นรูปของการอยู่รอด แบบใหม่ซึ่งเราคาดไม่ถึง

allowing the cancer cell to live through

ทำให้เซลล์มะเร็งรอดชีวิตมาได้

even our best chemotherapy treatments.

แม้จากการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด ที่ดีที่สุดของเรา

One example is a trick in which a gene allows a cell,

ยกตัวอย่างหนึ่ง คือ เล่ห์กล ที่ยีนยอมให้เซลล์ตัวหนึ่ง

even as the drug approaches the cell,

แม้ขณะที่ยาเข้าไปใกล้เซลล์

to push the drug out,

ให้ผลักดันยาออกไป

before the drug can have any effect.

ก่อนที่ยาจะสามารถทำให้เกิดผลใด ๆ ขึ้นได้

Imagine -- the cell effectively spits out the drug.

ลองนึกดูซิคะ -- เซลล์พ่นยาให้พ้นออกไป อย่างได้ผล

This is just one example of the many genetic tricks

นี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียวของเล่ห์กล มากมายหลายอย่าง

in the bag of our supervillain, cancer.

ที่อยู่ในถุงของยอดวายร้าย มะเร็ง

All due to mutant genes.

ทั้งหมดนี้ เนื่องมาจากยีนที่กลายพันธุ์ไป

So, we have a supervillain with incredible superpowers.

ดังนั้น เราจึงมียอดวายร้ายที่มีพลังอำนาจ อย่างเหลือเชื่อ

And we need a new and powerful mode of attack.

และเราจำต้องมีแบบของการโจมตี ที่ใหม่และทรงพลัง

Actually, we can turn off a gene.

แท้จริงแล้วเราสามารถปิดสวิตช์ยีน ไปเสียก็ได้

The key is a set of molecules known as siRNA.

กุญแจสำคัญคือ ชุดของโมเลกุล ที่รู้จักกันว่า siRNA

siRNA are short sequences of genetic code

siRNA นั้น คือลำดับสั้น ๆ ของรหัสพันธุกรรม

that guide a cell to block a certain gene.

ที่นำทางให้เซลล์ไปสกัดกั้นยีนบางตัวไว้

Each siRNA molecule can turn off a specific gene

โมเลกุลของ siRNA แต่ละตัวนั้น สามารถปิดสวิตช์ยีนเฉพาะบางตัว

inside the cell.

ภายในเซลล์ได้

For many years since its discovery,

เวลานานหลายปีแล้วตั้งแต่การค้นพบเรื่องนี้

scientists have been very excited

นักวิทยาศาสตร์ตื่นเต้นกันมาก

about how we can apply these gene blockers in medicine.

เกี่ยวกับวิธีที่เราสามารถนำยีนสกัดกั้นนี้ มาใช้ทางการแพทย์

But, there is a problem.

แต่มันก็มีปัญหา

siRNA works well inside the cell.

siRNA นั้น ทำงานได้อย่างดีภายในเซลล์

But if it gets exposed to the enzymes

แต่ถ้ามันไปสัมผัสกับเอนไซม์

that reside in our bloodstream or our tissues,

ที่อยู่ในกระแสเลือดหรือเนื้อเยื่อ ของเราแล้ว

it degrades within seconds.

มันก็จะเสื่อมสภาพไปภายในไม่กี่วินาที

It has to be packaged, protected through its journey through the body

มันจึงต้องถูกห่อหุ้มปกป้องไว้ ตลอดการเดินทางของมันไปทั่วร่างกาย

on its way to the final target inside the cancer cell.

บนเส้นทางของมันไปสู่เป้าหมายปลายทาง ภายในเซลล์มะเร็ง

So, here's our strategy.

ดังนั้น นี่คือกลยุทธ์ของเรา

First, we'll dose the cancer cell with siRNA, the gene blocker,

อันดับแรก เราจะให้ siRNA หรือตัวสกัดกั้นยีนนี้กับเซลล์มะเร็ง

and silence those survival genes,

ทำให้ยีนที่ยังรอดอยู่นั้นอยู่นิ่ง

and then we'll whop it with a chemo drug.

แล้วเราก็จะทุบตีมันอย่างแรง ด้วยยาเคมีบำบัด

But how do we carry that out?

แต่เราจะทำวิธีการนั้นอย่างไรหรือ

Using molecular engineering,

การใช้วิศวกรรมเชิงโมเลกุลนั้น

we can actually design a superweapon

เราสามารถออกแบบอาวุธชั้นยอด ขึ้นได้จริง ๆ

that can travel through the bloodstream.

ที่จะสามารถเดินทางไปตามกระแสเลือด ได้ตลอด

It has to be tiny enough to get through the bloodstream,

มันต้องเล็กจิ๋วจนพอที่จะผ่านเข้าไป ตามกระแสเลือดได้ตลอด

it's got to be small enough to penetrate the tumor tissue,

มันต้องเล็กพอที่จะผ่านทะลุเข้าไป ในเนื้อเยื่อของเนื้องอกนั้น

and it's got to be tiny enough to be taken up inside the cancer cell.

และมันจะต้องเล็กจิ๋วพอที่จะยังคงอยู่ได้ ภายในเซลล์มะเร็ง

To do this job well,

และเพื่อที่จะทำงานนี้ได้อย่างดี

it has to be about one one-hundredth the size of a human hair.

มันจะต้องมีขนาดประมาณเศษหนึ่งส่วนร้อย ของเส้นผมของมนุษย์

Let's take a closer look at how we can build this nanoparticle.

เอาละ เรามาดูกันใกล้ ๆ กว่านี้ ถึงวิธีที่เราสามารถสร้างอนุภาคนาโนนี้ได้

First, let's start with the nanoparticle core.

อันดับแรก เรามาเริ่มต้นกัน ด้วยแกนอนุภาคนาโนนั้น

It's a tiny capsule that contains the chemotherapy drug.

มันเป็นแคปซูลเล็กจิ๋ว ที่บรรจุตัวยาเคมีบำบัด

This is the poison that will actually end the tumor cell's life.

นี่เป็นยาพิษที่จะปลิดชีวิตของเซลล์เนื้องอก ได้จริง ๆ

Around this core, we'll wrap a very thin,

รอบ ๆ แกนนี้ เราจะห่อหุ้มไว้ด้วย แผ่นชั้นที่บางมาก ๆ

nanometers-thin blanket of siRNA.

ของ siRNA ที่บางขนาดนาโนเมตร

This is our gene blocker.

นี่เป็นตัวสกัดกั้นยีนของเรา

Because siRNA is strongly negatively charged,

เพราะว่า siRNA นั้น มีประจุเป็นลบอย่างแรง

we can protect it

เราจึงสามารถปกป้องมันได้

with a nice, protective layer of positively charged polymer.

ด้วยแผ่นชั้นป้องกันโพลิเมอร์อย่างดี ที่อัดประจุบวกไว้

The two oppositely charged molecules stick together

โมเลกุลสองชนิดมีประจุไฟฟ้าตรงกันข้ามกัน ติดแน่นเข้าด้วยกัน

through charge attraction,

โดยการดึงดูดของประจุไฟฟ้า

and that provides us with a protective layer

และนั่นทำให้เราได้มีชั้นป้องกัน

that prevents the siRNA from degrading in the bloodstream.

ที่กัน siRNA นั้น ไม่ให้เสื่อมสภาพไป ในกระแสเลือด

We're almost done.

เราทำเกือบจะเสร็จแล้ว

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

But there is one more big obstacle we have to think about.

แต่มีอุปสรรคใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง ที่เราจะต้องคิด

In fact, it may be the biggest obstacle of all.

ที่จริง มันอาจจะเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุด ในทั้งหมด

How do we deploy this superweapon?

คือ เราจะนำอาวุธชั้นยอดนี้ ไปใช้อย่างไร

I mean, every good weapon needs to be targeted,

ดิฉันหมายถึง อาวุธที่ดีทุกชนิดนั้น จำต้องเล็งไปที่เป้า

we have to target this superweapon to the supervillain cells

เราต้องเล็งอาวุธชั้นยอดนี้ ไปที่เซลล์ยอดวายร้าย

that reside in the tumor.

ที่อยู่ในเนื้องอกนั้น

But our bodies have a natural immune-defense system:

แต่ร่างกายของเรามีระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อป้องกันตามธรรมชาติ

cells that reside in the bloodstream

เซลล์ทั้งหลายที่อยู่ในกระแสเลือดนั้น

and pick out things that don't belong,

และค้นหาจนพบสิ่งต่าง ๆ ที่แปลกปลอม

so that it can destroy or eliminate them.

เพื่อที่มันจะสามารถทำลาย หรือขจัดสิ่งเหล่านั้นไป

And guess what? Our nanoparticle is considered a foreign object.

และลองเดาซิคะ อนุภาคนาโนของเรานั้น ก็ถือได้ว่าเป็นวัตถุแปลกปลอม

We have to sneak our nanoparticle past the tumor defense system.

เราต้องให้อนุภาคนาโนของเรา หลบหลีกผ่านระบบป้องกันของเนื้องอกนั้น

We have to get it past this mechanism of getting rid of the foreign object

เราต้องทำให้มันผ่านกลไก ของการกำจัดวัตถุแปลกปลอมนี้ไป

by disguising it.

ด้วยการปลอมตน

So we add one more negatively charged layer

ดังนั้น เราจึงเพิ่มชั้นประจุไฟฟ้าลบ ขึ้นมาอีกหนึ่งชั้น

around this nanoparticle,

รอบ ๆ อนุภาคนาโนนี้

which serves two purposes.

ซึ่งใช้เพื่อจุดประสงค์ 2 อย่าง

First, this outer layer is one of the naturally charged,

อย่างแรก ชั้นด้านนอกนี้ เป็นชั้นที่มีประจุตามธรรมชาติ

highly hydrated polysaccharides that resides in our body.

เป็นพอลิแซ็กคาไรด์ซึ่งมีโมเลกุลของนํ้าสูง ที่อยู่ในร่างกายของเรา

It creates a cloud of water molecules around the nanoparticle

มันสร้างเมฆหมอกของโมเลกุลนํ้าขึ้นมา รอบ ๆ อนุภาคนาโนนั้น

that gives us an invisibility cloaking effect.

ซึ่งให้เราได้ผลของการซ่อนตัว ซึ่งทำให้ล่องหนไปได้

This invisibility cloak allows the nanoparticle

การซ่อนตัวที่ทำให้ล่องหนไปได้นี้ ทำให้อนุภาคนาโนนั้น

to travel through the bloodstream

เดินทางไปตามกระแสเลือดได้ตลอด

long and far enough to reach the tumor,

ยาวนานและไกลพอจนไปถึงเนื้องอกนั้น

without getting eliminated by the body.

โดยไม่ถูกกำจัดไปเสียก่อนโดยร่างกาย

Second, this layer contains molecules

อย่างที่สอง ชั้นนี้มีโมเลกุล

which bind specifically to our tumor cell.

ซึ่งจะไปติดกับเซลล์เนื้องอกของเราโดยเฉพาะ

Once bound, the cancer cell takes up the nanoparticle,

ในทันทีที่เข้าไปติดเซลล์มะเร็ง ก็จะรับเอาอนุภาคนาโนนั้นไว้

and now we have our nanoparticle inside the cancer cell

และถึงตอนนี้ เราก็มีอนุภาคนาโนของเรา ภายในเซลล์มะเร็ง

and ready to deploy.

และพร้อมที่จะใช้งาน

Alright! I feel the same way. Let's go!

ตกลงค่ะ ดิฉันก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ลงมือเลย

(Applause)

(เสียงปรบมือ)

The siRNA is deployed first.

siRNA นั้น จะถูกใช้งานเป็นลำดับแรก

It acts for hours,

มันจะปฏิบัติงานเป็นเวลาหลายชั่วโมง

giving enough time to silence and block those survival genes.

ให้เวลาเพียงพอเพื่อให้สงบนิ่ง และปิดกั้นยีนที่ยังคงรอดชีวิตอยู่เหล่านั้น

We have now disabled those genetic superpowers.

ตอนนี้ เราได้ทำให้ยอดพลังยีนเหล่านั้น ไร้ประสิทธิภาพไปแล้ว

What remains is a cancer cell with no special defenses.

ที่ยังคงอยู่ คือ เซลล์มะเร็ง ที่ไม่มีการป้องกันเป็นพิเศษ

Then, the chemotherapy drug comes out of the core

และแล้ว ยาเคมีบำบัดก็ออกมาจากแกน

and destroys the tumor cell cleanly and efficiently.

และเข้าทำลายเซลล์เนื้องอกนั้น อย่างสะอาดและอย่างมีประสิทธิภาพ

With sufficient gene blockers,

เมื่อมีตัวสกักกั้นยีนเพียงพอ

we can address many different kinds of mutations,

เราก็สามารถจัดการกับแบบต่าง ๆ มากมาย ของการกลายพันธุ์ได้

allowing the chance to sweep out tumors,

ทำให้มีโอกาส ที่จะเก็บกวาดเนื้องอกออกไป

without leaving behind any bad guys.

โดยไม่ต้องทิ้งตัวการร้ายใด ไว้เบื้องหลัง

So, how does our strategy work?

ค่ะ ยุทธ์การของเราทำงานอย่างไรหรือ

We've tested these nanostructure particles in animals

เราได้ทดลองอนุภาคโครงสร้างนาโนเหล่านี้ ในสัตว์

using a highly aggressive form of triple-negative breast cancer.

โดยใช้มะเร็งเต้านมชนิดไตรโลปะ (triple-negative) ที่ลุกลามรวดเร็วมาก

This triple-negative breast cancer exhibits the gene

มะเร็งเต้านมแบบไตรโลปะนี้แสดงให้เห็นยีน

that spits out cancer drug as soon as it is delivered.

ที่ถ่มยามะเร็งออกมาในทันที ที่มันถูกนำเข้าไป

Usually, doxorubicin -- let's call it "dox" -- is the cancer drug

โดยปกติแล้ว ด็อกโซรูบิซิน--เรียกมันว่า "ด็อกซ์" แล้วกัน เป็นยามะเร็ง

that is the first line of treatment for breast cancer.

เป็นยาอันดับแรก ๆ ของการรักษา โรคมะเร็งเต้านม

So, we first treated our animals with a dox core, dox only.

ค่ะ อันดับแรก เราได้รักษาสัตว์ของเรา ด้วยแกนด็อกซ์ ใช้ด็อกซ์เท่านั้นค่ะ

The tumor slowed their rate of growth,

เนื้องอกลดอัตราการเติบโตลง

but they still grew rapidly,

แต่มันยังคงโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

doubling in size over a period of two weeks.

เพิ่มขนาดเป็นสองเท่าในเวลาสองสัปดาห์

Then, we tried our combination superweapon.

แล้วเราจึงลองใช้อาวุธชั้นยอดของเรา ที่ผสมผสานหลายอย่างไว้

A nanolayer particle with siRNA against the chemo pump,

อนุภาคชั้นนาโนที่มี siRNA แนบกับเครื่องปั๊มคีโม

plus, we have the dox in the core.

บวกกับ เรามีด็อกซ์อยู่ในแกน

And look -- we found that not only did the tumors stop growing,

ดูซิคะ -- เราพบว่าไม่เพียงแค่เนื้องอก ที่หยุดเติบโตเท่านั้น

they actually decreased in size

จริง ๆ มันยังลดขนาดลงไปด้วย

and were eliminated in some cases.

และยังถูกกำจัดไปในบางราย

The tumors were actually regressing.

เนื้องอกนั้น จริง ๆ แล้วยังถดถอยลงไป

(Applause)

(เสียงปรบมือ)

What's great about this approach is that it can be personalized.

สิ่งที่ยิ่งใหญ่เกี่ยวกับวิธีการนี้คือ สามารถทำขึ้น ให้เหมาะเฉพาะรายได้

We can add many different layers of siRNA

เราสามารถเพิ่มชั้นของ siRNA ต่าง ๆ มากมาย เข้าไปได้

to address different mutations and tumor defense mechanisms.

เพื่อให้จัดการกับการแปลงพันธุ์แบบต่าง ๆ และกลไกต่อต้านแบบต่าง ๆ ของเนื้องอก

And we can put different drugs into the nanoparticle core.

และเราก็สามารถใส่ยาต่าง ๆ เข้าไปในแกนอนุภาคนาโนนั้นได้

As doctors learn how to test patients

เมื่อแพทย์เรียนรู้ถึงวิธีการทดสอบผู้ป่วย

and understand certain tumor genetic types,

และเข้าใจชนิดของยีนเนื้องอกดังกล่าวนั้น

they can help us determine which patients can benefit from this strategy

ก็สามารถช่วยเราตัดสินได้ว่า ผู้ป่วยคนใด จะได้รับประโยชน์จากยุทธวิธีนี้

and which gene blockers we can use.

และตัวสกัดกั้นยีนตัวใดเราจะสามารถใช้ได้

Ovarian cancer strikes a special chord with me.

มะเร็งรังไข่เร้าความสนใจของดิฉัน เป็นพิเศษ

It is a very aggressive cancer,

เป็นมะเร็งที่ลุกลามรวดเร็วมาก

in part because it's discovered at very late stages,

บางส่วนก็เพราะว่า มักจะค้นพบ ในระยะสุดท้ายมาก ๆ

when it's highly advanced

เมื่อโรคลุกลามไปมากแล้ว

and there are a number of genetic mutations.

และมีการกลายพันธุ์ของยีนไปหลายอย่าง

After the first round of chemotherapy,

หลังจากการรักษาด้วยเคมีบำบัดในรอบแรก

this cancer comes back for 75 percent of patients.

มะเร็งนี้จะกลับมาอีก ร้อยละ 75 ของผู้ป่วย

And it usually comes back in a drug-resistant form.

และมันมักจะกลับมา ในรูปของการดื้อยา

High-grade ovarian cancer

มะเร็งรังไข่ที่มีความรุนแรงโรคสูง

is one of the biggest supervillains out there.

เป็นยอดวายร้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มีอยู่

And we're now directing our superweapon

ขณะนี้ เรากำลังเล็งอาวุธชั้นยอดของเรา

toward its defeat.

ไปสู่การพ่ายแพ้ของมัน

As a researcher,

ในฐานะเป็นนักวิจัย

I usually don't get to work with patients.

โดยปกติ จึงไม่ได้ทำงานกับผู้ป่วย

But I recently met a mother

แต่เมื่อไม่นานมานี้ ดิฉันได้พบกับ ผู้เป็นแม่คนหนึ่ง

who is an ovarian cancer survivor, Mimi, and her daughter, Paige.

ซึ่งเป็นผู้ที่รอดชีวิตจากมะเร็งรังไข่ เธอชื่อ มิมี่ และลูกสาวชื่อ เพจ

I was deeply inspired by the optimism and strength

ดิฉันเกิดแรงบันดาลใจอย่างลึกซึ้ง จากการมองโลกในแง่ดีและความแข็งแกร่ง

that both mother and daughter displayed

ที่ทั้งผู้เป็นแม่และลูกสาวแสดงออกมา

and by their story of courage and support.

และจากเรื่องราวความกล้าหาญ และการเกื้อกูลกันของพวกเขา

At this event, we spoke about the different technologies

ในเหตุการณ์นี้ เราพูดกันถึง เทคโนโลยี่ต่าง ๆ

directed at cancer.

ที่มุ่งมาที่มะเร็ง

And Mimi was in tears

และมิมี่ถึงกับนํ้าตาไหล

as she explained how learning about these efforts

เมื่อเธออธิบายว่า การเรียนรู้ เกี่ยวกับความพยายามเหล่านี้

gives her hope for future generations,

ทำให้เธอมีความหวังสำหรับคนรุ่นต่อไป ในอนาคต

including her own daughter.

รวมทั้งลูกสาวของเธอเองด้วย

This really touched me.

เรื่องนี้ซึ้งใจดิฉันอย่างมาก

It's not just about building really elegant science.

มันไม่ได้เป็นแค่การสร้างวิทยาศาสตร์ ที่สวยงามโดยแท้ขึ้นมา

It's about changing people's lives.

มันเกี่ยวกับของการเปลี่ยนชีวิตของผู้คน

It's about understanding the power of engineering

มันเกี่ยวกับความเข้าใจถึง พลังอำนาจของ งานวิศวกรรม

on the scale of molecules.

ในเรื่องขนาดของโมเลกุล

I know that as students like Paige move forward in their careers,

ดิฉันรู้ว่า เมื่อนักเรียน เช่น เพจ เดินหน้าไปสู่งานอาชีพของพวกเขา

they'll open new possibilities

พวกเขาจะเปิดความเป็นไปได้ใหม่ๆ

in addressing some of the big health problems in the world --

ในการจัดการกับ ปัญหาสุขภาพที่ใหญ่ บางอย่างในโลก--

including ovarian cancer, neurological disorders, infectious disease --

รวมถึงมะเร็งรังไข่ โรคทางสมอง โรคติดเชื้อ --

just as chemical engineering has found a way to open doors for me,

ซึ่งก็เหมือนกับวิศวกรรมเคมี ได้พบวิธี เพื่อเปิดประตูให้ดิฉัน

and has provided a way of engineering

และได้ให้วิธีการเชิงวิศวกรรม

on the tiniest scale, that of molecules,

ในเรื่องสัดส่วนขนาดที่เล็กที่สุด ซึ่งก็คือ ขนาดของโมเลกุล

to heal on the human scale.

เพื่อจะบำบัดรักษาได้ ในระดับมนุษย์

Thank you.

ขอบคุณค่ะ

(Applause)

(เสียงปรบมือ)