What happened when the United States banned alcohol - Rod Phillips

Translator: Teetach Atsawarangsalit Reviewer: Supanat Termchaianan

On January 17, 1920, six armed men robbed a Chicago freight train.

เมื่อวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 1920 มีชายพร้อมอาวุธ 6 คนปล้นตู้รถไฟชิคาโก

But it wasn’t money they were after.

แต่พวกเขาไม่ได้มาเพื่อเงิน

Less than one hour after spirits had become illegal

นี่เกิดขึ้นไม่ถึงชั่วโมง หลังจากที่เหล้ากลั่นผิดกฎหมาย

throughout the United States,

ทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา

the robbers made off with thousands of dollars worth of whiskey.

โจรพวกนี้หนีไปพร้อมกับวิสกี้ มูลค่าหลายพันดอลลาร์

It was a first taste of the unintended consequences of Prohibition.

นี่เป็นผลที่ตามมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ครั้งแรกจากการห้ามนี้

The nationwide ban on the production and sale of alcohol in the United States

การห้ามผลิตและขายแอลกอฮอล์ ทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา

came on the heels of a similar ban in Russia

เกิดขึ้นตามการแบนที่คล้ายกัน ในรัสเซีย

that started as a wartime measure during World War I.

ซึ่งเริ่มมาจากการเป็นมาตรการ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

But the view in the Western world of alcohol

แต่มุมมองในโลกตะวันตก ที่มีต่อแอลกอฮอล์

as a primary cause of social ills was much older.

ในฐานะตัวการหลักของปัญหาทางสังคม มีมานานกว่านั้นมาก

It first gained traction during the Industrial Revolution

เริ่มต้นจากในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม

as new populations of workers poured into cities

เมื่อประชากรแรงงานใหม่ หลั่งไหลเข้ามาในเมือง

and men gathered in saloons to drink.

และจับกลุ่มกันในร้านเหล้าเพื่อดื่มสังสรรค์

By the 19th century, anti-drinking groups called temperance movements

จนถึงช่วงศตวรรษที่ 19 มีกลุ่มต่อต้าน การดื่มสุราที่เรียกว่า ขบวนการควบคุมสุรา

began to appear in the United States and parts of Europe.

เริ่มปรากฏขึ้นในสหรัฐอเมริกา และบางส่วนของยุโรป

Temperance groups believed that alcohol was the fundamental driver

กลุ่มควบคุมสุราเชื่อว่า แอลกอฮอล์เป็นต้นต่อพื้นฐาน

behind problems like poverty and domestic violence,

ของปัญหาต่าง ๆ เช่น ความยากจน และความรุนแรงในครอบครัว

and set out to convince governments of this.

และตั้งใจที่จะโน้มน้าว ให้รัฐบาลเชื่อในสิ่งนี้

While some simply advocated moderate drinking,

ในขณะที่บางคนแค่สนับสนุน ให้ดื่มอย่างพอเหมาะ

many believed alcohol should be banned entirely.

ก็มีหลายคนที่เชื่อว่าแอลกอฮอล์ ควรถูกแบนอย่างเด็ดขาด

These movements drew support from broad sectors of society.

ขบวนการเหล่านี้ได้รับการสนับสนุน จากส่วนต่าง ๆ ในสังคมอย่างกว้างขวาง

Women’s organizations were active participants from the beginning,

องค์กรสตรีต่าง ๆ เป็นผู้เข้าร่วม ที่มีส่วนมาตั้งแต่ต้น

arguing that alcohol made men neglect their families and abuse their wives.

โดยให้เหตุผลว่าแอลกอฮอล์ทำให้ผู้ชาย ละเลยครอบครัวและทำร้ายภรรยาของตน

Religious authorities, especially Protestants,

องค์กรทางศาสนา โดยเฉพาะโปรเตสแตนต์

denounced alcohol as leading to temptation and sin.

ประณามแอลกอฮอล์ ว่าเป็นอบายมุขและบาป

Progressive labor activists believed alcohol consumption

นักเคลื่อนไหวด้านแรงงานหัวก้าวหน้า เชื่อว่าการบริโภคแอลกอฮอล์

harmed workers’ ability to organize.

ทำลายความสามารถในการจัดการ ของแรงงาน

Governments weren’t strangers to the idea of prohibition, either.

รัฐบาลก็ไม่ได้เห็นว่าแนวคิดการห้ามนี้ เป็นเรื่องใหม่เช่นกัน

In the United States and Canada, white settlers introduced hard liquors

ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ผู้มาตั้งถิ่นฐานผิวขาวนำแอลกอฮอล์

like rum to Native communities,

เช่น รัม มาสู่ชุมชนชาวพื้นเมือง

then blamed alcohol for disrupting these communities—

แล้วก็โทษแอลกอฮอล์ว่าทำให้ ชุมชนเหล่านี้แตกแยก

though there were many other destructive aspects of their interactions.

แม้ว่าจะมีการกระทำอื่น ๆ ที่ไม่ดีด้วยเช่นกัน

The American and Canadian governments banned the sale of alcohol

รัฐบาลอเมริกาและแคนาดา ห้ามการขายแอลกอฮอล์

to Native populations and on reservation land.

ให้กับประชากรพื้นเมือง และในพื้นที่อนุรักษ์

American temperance movements gained their first victories

ขบวนการควบคุมสุราในอเมริกา ได้รับชัยชนะช่วงแรก

at the state and local levels,

ในระดับรัฐและท้องถิ่น

with Maine and several other states banning the sale and production of liquor

โดยมีรัฐเมนและรัฐอื่น ๆ ที่ห้าม การขายและผลิตสุรา

in the 1850s.

ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1850

In 1919 the 18th Amendment to the US Constitution

ในปี ค.ศ. 1919 การแก้ไข รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ครั้งที่ 18

banned the manufacture, sale, and transportation

ห้ามการผลิต ขาย และขนส่ง

of all alcoholic beverages.

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด

The amendment took effect a year later under the Volstead Act.

การแก้ไขกฎหมายนี้มีผลหนึ่งปีหลังจากนั้น ภายใต้กฎหมายโวลสเตด

Since the act did not ban personal consumption,

เนื่องจากกฎหมายนี้ไม่ได้ห้าม การบริโภคส่วนบุคคล

wealthy people took the opportunity to stock up while restaurants and bars

คนที่รวยจึงใช้โอกาสนี้ในการกักตุน ในขณะที่ร้านอาหารและบาร์ต่าง ๆ

rushed to sell their remaining supply.

เร่งขายของที่เหลืออยู่ให้หมด

Workers lost their jobs as distilleries, breweries, and wineries closed down.

แรงงานจำนวนหนึ่งสูญเสียอาชีพ เมื่อโรงกลั่น โรงต้ม และโรงงานไวน์ปิดตัวลง

Meanwhile, organized crime groups rushed to meet the demand for alcohol,

ในขณะเดียวกัน กลุ่มขบวนการอาชญากรรม ก็เร่งทำงานเพื่อตอบสนองความต้องการแอลกอฮอล์

establishing a lucrative black market in producing, smuggling,

ทำให้เกิดตลาดมืดกำไรสูง ในการผลิต ลักลอบนำเข้า

and selling illicit liquor.

และขายสุราอย่างผิดกฎหมาย

Often they worked side-by side with corrupt policemen

โดยมักจะทำงานร่วมกับ ตำรวจ

and government officials,

และเจ้าหน้าที่รัฐที่ติดสินบน

even bombing the 1928 primary election for Illinois state attorney

แม้กระทั่งเป็นผู้วางระเบิดในการเลือกตั้ง อัยการรัฐอิลลินอยส์ในปี ค.ศ. 1928

in support of a particular political faction.

เพื่อสนับสนุนฝ่ายการเมืองกลุ่มหนึ่ง

Tens of thousands of illegal bars, known as "speakeasies,"

บาร์ผิดกฎหมายหลายหมื่นแห่ง ที่เรียกว่า "สปีกอีซี"

began serving alcohol.

ก็เริ่มเสิร์ฟแอลกอฮอล์

They ranged from dingy basement bars to elaborate dance-halls.

มีตั้งแต่เป็นบาร์ใต้ดินสลัว ๆ ไปจนถึงโรงเต้นรำขนาดใหญ่

People could also make alcohol at home for their own consumption,

คนทั่วไปยังสามารถผลิตแอลกอฮอล์ ได้ที่บ้านเพื่อใช้บริโภคเอง

or obtain it legally with a doctor’s prescription or for religious purposes.

หรือได้รับอย่างถูกกฎหมายผ่านการสั่งยา จากแพทย์หรือเพื่อพิธีกรรมทางศาสนา

To prevent industrial alcohol from being consumed,

เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้คนบริโภค แอลกอฮอล์ในระดับอุตสาหกรรม

the government required manufacturers to add harmful chemicals,

รัฐบาลได้สั่งให้ผู้ผลิต เติมสารเคมีที่เป็นอันตรายลงไป

leading to thousands of poisoning deaths.

ซึ่งสุดท้ายทำให้มีผู้เสียชีวิต หลายพันราย

We don’t know exactly how much people were drinking during Prohibition

เราไม่รู้แน่ชัดว่ามีผู้ที่ดื่มสุราทั้งหมด กี่คนในช่วงที่มีการห้ามนี้

because illegal alcohol wasn’t regulated or taxed.

เนื่องจากแอลกอฮอล์ที่ผิดกฎหมาย ไม่ได้มีการควบคุมหรือเก็บภาษี

But by the late 1920s,

แต่เมื่อถึงช่วงปี ค.ศ. 1920 ตอนปลาย

it was clear that Prohibition had not brought the social improvements

ก็ชัดเจนแล้วว่าการห้ามเช่นนี้ ไม่ได้ทำให้เกิดการพัฒนาทางสังคม

it had promised.

อย่างที่ได้คิดไว้

Instead it contributed to political corruption and organized crime

แต่กลับมีส่วนทำให้เกิดการทุจริตในการเมือง และก่อให้เกิดอาชญากรรม

and was flouted by millions of citizens.

และมีพลเมืองหลายล้านคนละเมิดการห้ามนี้

At one raid on an Detroit beer hall, the local sheriff, mayor and a congressman

ในการบุกจับที่โรงเบียร์ดีทรอยต์ครั้งหนึ่ง มีนายอำเภอ นายกเทศมนตรี และสมาชิกรัฐสภา

were arrested for drinking.

ถูกจับในข้อหาดื่มสุรา

With the start of the Great Depression in 1929,

ประกอบกับจุดเริ่มต้นของภาวะเศรษฐกิจ ตกต่ำครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 1929

the government sorely needed the tax revenue from alcohol sales,

รัฐบาลต้องการเงินภาษีจากการขาย แอลกอฮอล์อย่างมาก

and believed that lifting Prohibition would stimulate the economy.

และเชื่อว่าการยกเลิกการห้ามนี้ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

In 1933, Congress passed the 21st Amendment repealing the 18th—

ในปี ค.ศ. 1933 สภาคองเกรสได้ผ่าน การแก้ไขที่ 21 เพื่อยกเลิกการแก้ไขที่ 18

the only amendment to be fully repealed.

ซึ่งเป็นการแก้ไขครั้งเดียว ที่ถูกยกเลิกอย่างสมบูรณ์

Members of the temperance movements

สมาชิกขบวนการควบคุมแอลกอฮอล์

believed that alcohol was the root of society’s problems,

เคยเชื่อว่าแอลกอฮอล์ เป็นรากฐานของปัญหาในสังคม

but the reality is more complicated.

แต่ความเป็นจริงนั้นกลับซับซ้อนกว่ามาก

And while banning it completely didn’t work,

และในขณะที่การแบนอย่างสิ้นเชิงนั้น ไม่ได้ผล

the health and social impacts of alcohol remain concerns today.

แต่ผลกระทบด้านสุขภาพและสังคม ของแอลกอฮอล์ก็ยังคงเป็นปัญหาจนถึงทุกวันนี้