How much electricity does it take to power the world?

Translator: Thirakan Som Reviewer: Napakchanun P. Dutta

You flip a switch.

เมื่อคุณสับสวิตช์

Coal burns in a furnace, which turns water into steam.

ถ่านหินในเตาเผาจะลุกไหม้ เปลี่ยนน้ำให้กลายเป็นไอ

That steam spins a turbine, which activates a generator,

ไอน้ำจะเข้าไปหมุนใบพัด ทำให้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าทำงาน

which pushes electrons through the wire.

และผลักอิเล็กตรอนไปตามสาย

This current propagates through hundreds of miles of electric cables

กระแสไฟฟ้านี้จะแพร่กระจาย ไปหลายร้อยไมล์ผ่านสายไฟ

and arrives at your home.

และมาถึงบ้านของคุณ

All around the world, countless people are doing this every second—

ผู้คนนับไม่ถ้วนทั่วโลก กำลังทำสิ่งนี้ทุกวินาที

flipping a switch, plugging in, pressing an “on” button.

สับสวิตช์ เสียบปลั๊ก กดปุ่ม “เปิด”

So how much electricity does humanity need?

แล้วมนุษย์ต้องการ พลังงานไฟฟ้ามากแค่ไหนกันล่ะ

The amount we collectively use is changing fast,

ปริมาณโดยรวมที่เราใช้ กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

so to answer this question,

เพื่อตอบคำถามนี้

we need to know not just how much the world uses today,

เราไม่เพียงต้องรู้ปริมาณ การใช้ไฟฟ้าทั่วโลกในปัจจุบัน

but how much we’ll use in the future.

แต่ต้องรู้ปริมาณการใช้ในอนาคตอีกด้วย

The first step is understanding how we measure electricity.

ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจ วิธีการวัดพลังงานไฟฟ้า

It’s a little bit tricky.

ซึ่งชวนสับสนนิดหน่อย

A joule is a unit of energy,

จูลคือ หน่วยของพลังงาน

but we usually don't measure electricity in just joules.

แต่โดยทั่วไปเราไม่ได้ใช้เพียงจูล เป็นหน่วยวัดพลังงานไฟฟ้า

Instead, we measure it in watts.

เราใช้การวัดเป็นวัตต์แทน

Watts tell us how much energy, per second, it takes to power something.

วัตต์บอกปริมาณพลังงานต่อวินาที ที่ทำให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งทำงาน

One joule per second equals one watt.

หนึ่งจูลต่อวินาทีเท่ากับหนึ่งวัตต์

It takes about .1 watts to power a smart phone,

สมาร์ทโฟนหนึ่งเครื่องต้องใช้ พลังงานประมาณ 0.1 วัตต์

a thousand to power your house, a million for a small town,

บ้านของคุณใช้หนึ่งพันวัตต์ หมู่บ้านเล็ก ๆ ใช้หนึ่งล้านวัตต์

and a billion for a mid-size city.

และเมืองขนาดกลางใช้พันล้านวัตต์

As of 2020, it takes 3 trillion watts to power the entire world.

ในปี 2020 ทั่วโลกต้องใช้ พลังงานถึง 3 ล้านล้านวัตต์

But almost a billion people don’t have access to reliable electricity.

แต่ผู้คนเกือบพันล้านคน เข้าไม่ถึงพลังงานไฟฟ้าที่เสถียร

As countries become more industrialized and more people join the grid,

ขณะที่ประเทศต่าง ๆ พัฒนาสู่ยุคอุตสาหกรรม และผู้คนใช้งานโครงข่ายไฟฟ้ามากขึ้น

electricity demand is expected to increase about 80% by 2050.

ความต้องการด้านไฟฟ้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้น ถึงประมาณ 80% ภายในปี 2050

That number isn't the complete picture.

ตัวเลขนั้นยังไม่ใช่ภาพทั้งหมด

We'll also have to use electricity in completely new ways.

เรายังต้องใช้พลังงานไฟฟ้า ในวิถีทางใหม่ ๆ ด้วย

Right now, we power a lot of things by burning fossil fuels,

ตอนนี้ เราใช้การเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล เพื่อให้พลังงานกับหลายสิ่ง

emitting an unsustainable amount of greenhouse gases

ซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่ไม่สร้างความยั่งยืน

that contribute to global warming.

และก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน

We’ll have to eliminate these emissions entirely

เราจะต้องลดการปล่อยก๊าซเหล่านี้

to ensure a sustainable future for humanity.

เพื่อให้มั่นใจว่ามนุษยชาติ มีอนาคตที่ยั่งยืนรออยู่

The first step to doing so, for many industries,

ก้าวแรกในการทำสิ่งนี้ สำหรับอุตสาหกรรมจำนวนมาก

is to switch from fossil fuels to electric power.

คือ การเปลี่ยนจากเชื้อเพลิงฟอสซิล มาใช้พลังงานไฟฟ้า

We'll need to electrify cars,

เราจะต้องใช้พลังงานไฟฟ้ากับรถ

switch buildings heated by natural gas furnaces to electric heat pumps,

เปลี่ยนแหล่งความร้อนในอาคารจาก เตาเผาก๊าซธรรมชาติมาเป็นปั๊มไฟฟ้า

and electrify the huge amount of heat used in industrial processes.

รวมทั้งใช้ไฟฟ้าเป็นตัวให้ความร้อนปริมาณมาก ในกระบวนการทางอุตสาหกรรมแทน

So all told, global electricity needs could triple by 2050.

ดังนั้น ความต้องการด้านไฟฟ้าทั่วโลก จึงอาจมากถึง 3 เท่าภายในปี 2050

We’ll also need all that electricity to come from clean energy sources

เรายังต้องการไฟฟ้าที่มาจาก แหล่งพลังงานสะอาดด้วย

if it’s going to solve the problems caused by fossil fuels.

เพื่อใช้แก้ไขปัญหา ที่เกิดจากเชื้อเพลิงฟอสซิล

Today, only one third of the electricity we generate comes from clean sources.

ปัจจุบัน พลังงานไฟฟ้าที่เราผลิต มาจากแหล่งพลังงานสะอาดเพียง 1 ใน 3

Fossil fuels are cheap and convenient, easy to ship,

เชื้อเพลิงฟอสซิลมีราคาถูก สะดวก ขนส่งง่าย

and easy to turn into electricity on demand.

และเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า ตามต้องการได้ง่าย

So how can we close the gap?

แล้วเราจะอุดช่องว่างนี้ได้อย่างไร

Wind and solar power work great for places with lots of wind and sunshine,

พลังงานลมและแสงอาทิตย์ใช้ได้ดี ในพื้นที่ที่มีลมและแสงแดดมาก

but we can’t store and ship sunlight or wind the way we can transport oil.

แต่เราไม่สามารถกักเก็บและขนส่งพลังงาน แสงอาทิตย์หรือลมอย่างที่เราขนส่งน้ำมันได้

To make full use of energy from these sources at other times or in other places,

เพื่อให้ใช้ประโยชน์จากแหล่งพลังงานเหล่านี้ ได้อย่างเต็มที่ในครั้งอื่นหรือสถานที่อื่น

we’d have to store it in batteries

เราต้องกักเก็บมันไว้ในแบตเตอรี่

and improve our power grid infrastructure to transport it long distances.

และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านโครงข่าย พลังงานเพื่อให้ขนส่งระยะทางไกลได้

Meanwhile, nuclear power plants use nuclear fission

ในขณะเดียวกัน โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ ใช้ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชัน

to generate carbon-free electricity.

ในการผลิตไฟฟ้าไร้คาร์บอน

Though still more expensive than plants that burn fossil fuels,

แม้ว่าจะยังคงมีราคาแพงกว่า โรงงานที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล

they can be built anywhere

แต่ก็สามารถสร้างได้ทุกที่

and don’t depend on intermittent energy sources like the sun or wind.

และไม่ต้องอาศัยแหล่งพลังงาน ที่ไม่สม่ำเสมออย่างแสงแดดหรือลม

Researchers are currently working to improve nuclear waste disposal

ขณะนี้ นักวิจัยกำลังปรับปรุง การกำจัดกากนิวเคลียร์

and the safety of nuclear plants.

และความปลอดภัย ของโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์

There’s another possibility we’ve been trying to crack since the 1940s:

อีกหนึ่งความเป็นไปได้ที่เราพยายาม หาคำตอบมาตั้งแต่ทศวรรษ 1940

nuclear fusion.

นั่นคือ นิวเคลียร์ฟิวชัน

It involves smashing light atoms together, so they fuse,

ซึ่งเป็นการเหวี่ยงอะตอมแสง เข้าด้วยกันจนหลอมรวมกัน

and harnessing the energy this releases.

และนำพลังงานที่ปลดปล่อยออกมาใช้

Accidents aren't a concern with nuclear fusion,

นิวเคลียร์ฟิวชันถือได้ว่า ไม่มีข้อกังวลเรื่องอุบัติเหตุ

and it doesn't produce the long-lived radioactive waste fission does.

และไม่สร้างกากกัมมันตรังสีถาวร อย่างนิวเคลียร์ฟิชชัน

It also doesn’t have the transport concerns

อีกทั้งยังไม่ต้องกังวลด้านการขนส่ง

associated with wind, solar, and other renewable energy sources.

ในส่วนของพลังงานลม แสงอาทิตย์ และแหล่งพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ

A major breakthrough here could revolutionize clean energy.

การค้นพบที่สำคัญนี้อาจปฏิวัติ วงการพลังงานสะอาดไปเลย

The same is true of nuclear fission, solar, and wind.

เช่นเดียวกับพลังงานนิวเคลียร์ฟิชชัน พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม

Breakthroughs in any of these technologies,

การค้นพบที่เกิดขึ้น กับเทคโนโลยีเหล่านี้

and especially in all of them together, can change the world:

โดยเฉพาะกับทุก ๆ อย่างรวมกัน สามารถพลิกโฉมโลก

not only helping us triple our electricity supply,

นอกจากจะช่วยเพิ่มการจัดหา พลังงานไฟฟ้าให้เราถึง 3 เท่าแล้วนั้น

but enabling us to sustain it.

ยังทำให้เรามีไฟฟ้าใช้อย่างยั่งยืนอีกด้วย