The princess exiled from ancient Mesopotamia - Soraya Field Fiorio

Translator: Yada Sattarujawong Reviewer: Sakunphat Jirawuthitanant

4,300 years ago in ancient Sumer,

4,300 ปีก่อน ในอาณาจักรซุเมอร์โบราณ

the most powerful person in the city of Ur was banished to wander the vast desert.

ผู้มีอำนาจสูงสุดในเมืองอูร์ ถูกขับออกจากเมืองไปยังทะเลทราย

Her name was Enheduanna.

เธอชื่อ เอ็นเฮ็ดดูอันนา

She was the high priestess of the moon god and history’s first known author.

เธอเป็นหัวหน้านักบวชหญิง บูชาเทพแห่งดวงจันทร์ และนักเขียนคนแรกในประวัติศาสตร์

By the time of her exile, she had written 42 hymns and three epic poems—

ในตอนที่เธอถูกขับออกจากเมือง เธอได้ประพันธ์ 42 บทสวด และ 3 บทกวียาว

and Sumer hadn’t heard the last of her.

และเรื่องราวของเธอในซูเมอร์ยังไม่จบลง

Enheduanna lived 1,700 years before Sappho,

เอ็นเฮ็ดดูอันนา มีชีวิตอยู่ 1700 ปีก่อนซัฟโฟ

1,500 years before Homer,

1500 ปีก่อนโฮเมอร์

and about 500 years before the biblical patriarch Abraham.

และประมาณ 500 ปีก่อน บิดาแห่งคัมภีร์ไบเบิล อับราฮัม

She was born in Mesopotamia, the land between the Tigris and Euphrates rivers,

เธอเกิดในเมโสโปเตเมีย ดินแดนระหว่าง ลุ่มแม่น้ำไทกริส และยูเฟรติส

and the birthplace of the first cities and high cultures.

แหล่งกำเนิดของเมืองแห่งแรกๆ และวัฒนธรรมที่ก้าวหน้า

Her father was King Sargon the Great, history’s first empire builder,

พ่อของเธอคือกษัตริย์ซาร์กอนมหาราช ผู้สร้างจักรวรรดิคนแรกในประวัติศาสตร์

who conquered the independent city-states of Mesopotamia under a unified banner.

กษัตรย์ซาร์กอนเอาชนะรัฐอิสระต่างๆ ในเมโสโปเตเมียและรวมเข้าเป็นรัฐเดียว

Sargon was a northern Semite who spoke Akkadian,

ซาร์กอนเป็นชาวเซไมท์ทางเหนือ พูดภาษาอัคคาเดียน

and the older Sumerian cities in the south viewed him as a foreign invader.

และเมืองสุเมรียนที่เก่าแก่กว่าทางตอนใต้ มองว่าเขาเป็นผู้รุกรานต่างชาติ

They frequently revolted to regain their independence,

เมืองทางใต้มักรวมตัวกันก่อการ เรียกร้องความเป็นอิสระ

fracturing his new dynasty.

ทำลายเสถียรภาพของราชวงศ์ใหม่

To bridge the gap between cultures,

เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองวัฒนธรรม

Sargon appointed his only daughter, Enheduanna, as high priestess

ซาร์กอน แต่งตั้งลูกสาวคนเดียว เอ็นเฮ็ดดูอันนาเป็นหัวหน้านักบวช

in the empire’s most important temple.

ในวัดที่สำคัญที่สุดในอาณาจักร

Female royalty traditionally served religious roles,

ตามธรรมเนียมเชื้อพระวงศ์ฝ่ายหญิง ทำหน้าที่ทางด้านศาสนา

and she was educated to read and write in both Sumerian and Akkadian,

และพวกเธอก็ได้รับการสอนให้เขียนอ่านได้ ทั้งภาษาสุเมเรียนและอัคคาเดียน

and make mathematical calculations.

รวมทั้งสามารถคำนวนได้

The world's first writing started in Sumer as a system of accounting,

งานเขียนชิ้นแรกของโลกเกิดขึ้นในซุเมอร์ ในฐานะบันทึกทางบัญชี

allowing merchants to communicate over long distances with traders abroad.

ซึ่งทำให้พ่อค้าสามารถสื่อสารทางไกล และติดต่อกับคู่ค้าต่างแดนได้

Their pictogram system of record keeping developed into a script

ระบบอักษรภาพที่ทำหน้าที่บันทึกข้อมูล พัฒนาขึ้นเป็นตัวอักษร

about 300 years before Enheduanna’s birth.

ประมาณ 300 ปีก่อนเอ็นเฮ็ดดูอันนาเกิด

This early writing style, called cuneiform,

อักษรในรูปแบบแรกเริ่มนี้ เรียกว่าอักษรคูนิฟอร์ม

was written with a reed stylus pressed into soft clay to make wedge-shaped marks.

เขียนโดยใช้แท่งอ้อกดลงบนดินเหนียว เพื่อทำเครื่องหมายทรงสามเหลี่ยม

But until Enheduanna,

แต่ก่อนที่เอ็นเฮ็ดดูอันนาจะเขียน

this writing mostly took the form of record keeping and transcription,

งานเขียนส่วนใหญ่เป็นการบันทึกข้อมูล และบันทึกคำพูด

rather than original works attributable to individual writers.

ไม่ใช่งานสร้างสรรค์ที่เกิดจาก นักเขียนเพียงคนเดียว

Enheduanna’s Ur was a city of 34,000 people with narrow streets,

เมืองอูร์ที่เอ็นเฮ็ดดูอันนาอาศัยอยู่ มีประชากร 34,000 คน มีถนนแคบๆ

multi-storied brick homes, granaries, and irrigation.

มีบ้านดินหลายชั้น ยุ้งฉาง และระบบระบายน้ำ

As high priestess, Enheduanna managed grain storage for the city,

หัวหน้านักบวชเอ็นเฮ็ดดูอันนา บริหารเสบียงธัญพืชของเมือง

oversaw hundreds of temple workers, interpreted sacred dreams,

ดูแลการสร้างศาสนสถานของคนงาน ตีความความฝันศักดิ์สิทธิ์

and presided over the monthly new moon festival

และยังดูแลเทศกาลเดือนเพ็ญทุกเดือน

and rituals celebrating the equinoxes.

รวมไปถึงพิธีกรรมที่เฉลิมฉลองฤดูกาล ที่กลางวันเท่ากับกลางคืน

Enheduanna set about unifying the older Sumerian culture

เอ็นเฮ็ดดูอันนาตั้งใจจะรวม วัฒนธรรมสุเมเรียนที่เก่าแก่กว่า

with the newer Akkadian civilization.

กับอารยธรรมอัคคาเดียนที่ใหม่กว่า

To accomplish this, she wrote 42 religious hymns

เพื่อการนี้ เธอเขียน บทสวดทางศาสนา 42 บท

that combined both mythologies.

ซึ่งรวมเอาเทพปกรณนัม ของทั้งสองวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน

Each Mesopotamian city was ruled by a patron deity,

เมืองในเมโสโปเตเมียแต่ละแห่ง ถูกปกครองโดยเทพีประจำเมือง

so her hymns were dedicated to the ruling god of each major city.

บทสวดทั้งหลายของเธออุทิศแด่ เทพีที่ปกครองเมืองต่างๆ

She praised the city’s temple, glorified the god’s attributes,

สรรเสริญวิหารประจำเมือง และกล่าวถึงความรุ่งโรจน์ของพรจากเทพ

and explained the god’s relationship to other deities within the pantheon.

บทสวดยังอธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างเทพเจ้าหลายองค์บนสวรรค์

In her writing, she humanized the once aloof gods—

งานเขียนของเธอทำให้เทพเจ้าที่ไม่มีตัวตน มีลักษณะของความเป็นมนุษย์

now they suffered, fought, loved, and responded to human pleading.

เหล่าเทพทนทุกข์ ต่อสู้ มีความรัก และตอบรับคำขอของมนุษย์

Enheduanna’s most valuable literary contribution

งานเขียนที่ทรงคุณค่า ที่สุดของเอ็นเฮ็ดดูอันนา

was the poetry she wrote to Inanna, goddess of war and desire,

คือบทกวีที่เธอเขียนถึงอินานนา เทพีแห่งสงครามและความปรารถนา

the divinely chaotic energy that gives spark to the universe.

พลังงานเหนือธรรมชาติที่น่าสับสน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดแห่งจักรวาล

Inanna delighted in all forms of sexual expression

อินานนาเปล่งประกายในการแสดงออก ทางเพศทุกรูปแบบ

and was considered so powerful that she transcended gender boundaries,

และได้รับความเคารพว่าทรงพลังมาก จนก้าวข้ามการแบ่งแยกทางเพศ

as did her earthly attendants, who could be prostitutes, eunuchs or cross-dressers.

ดังเช่นผู้เคารพอินานนาบนโลกซึ่งอาจเป็น หญิงงามเมือง ขันที หรือ ผู้แต่งงานข้ามเพศ

Enheduanna placed Inanna at the top of the pantheon as the most powerful deity.

เอ็นเฮ็ดดูอันนาสรรเสริญอินานนา ในฐานะเทพีสูงสุดแห่งสรวงสวรรค์

Her odes to Inanna mark the first time an author writes using the pronoun “I,”

ในบทกวีอุทิศแด่อินานนาของเธอ เป็นครั้งแรกที่มีผู้แต่งแทนตัวเองว่า "ฉัน"

and the first time writing is used to explore deep, private emotions.

และยังเป็นครั้งแรกที่งานเขียน แสดงอารมณ์ความรู้สึกที่ลึกซึ้ง

After the death of Enheduanna’s father, King Sargon,

หลังจากที่พ่อของเอ็นเฮ็ดดูอันนา กษัตริย์ซาร์กอน สวรรคต

a general took advantage of the power vacuum and staged a coup.

นายพลคนหนึ่งใช้โอกาสนั้น ปฏิวัติยึดอำนาจ

As a powerful member of the ruling family, Enheduanna was a target,

ในฐานะที่เป็นเชื้อพระวงศ์ที่ปกครองเมือง เอ็นเฮ็ดดูอันนาตกเป็นเป้าหมาย

and the general exiled her from Ur.

และนายพลขับเธอออกจากเมืองอูร์

Her nephew, the legendary Sumerian king Naram-Sin,

หลานของเธอ นาราม ซิน กษัตริย์สุเมรียนในตำนาน

ultimately crushed the uprising and restored his aunt as high priestess.

สามารถเอาชนะการจลาจล และคืนตำแหน่งหัวหน้านักบวชให้กับป้าของเขา

In total, Enheduanna served as high priestess for 40 years.

โดยรวมแล้ว เอ็นเฮ็ดดูอันนา ทำหน้าที่หัวหน้านักบวชกว่า 40 ปี

After her death, she became a minor deity,

หลังจากที่เธอเสียชีวิต เธอกลายเป็นเทพยดา

and her poetry was copied, studied, and performed throughout the empire

และบทกวีของเธอถูกคัดลอก ศึกษา และแสดง ทั่วจักรวรรดิ

for over 500 years.

เป็นเวลากว่า 500 ปี

Her poems influenced the Hebrew Old Testament,

ที่บทกวีของเธอส่งผลต่อ พระคัมภีร์เก่าของชาวฮิบรู

the epics of Homer, and Christian hymns.

มหากาพย์ของโฮเมอร์ และเพลงสวดในศาสนาคริสต์

Today, Enheduanna’s legacy still exists,

ปัจจุบัน มรดกจากผลงาน ของเอ็นเฮ็ดดูอันนายังคงอยู่

on clay tablets that have stood the test of time.

บนแผ่นดินเหนียว ที่ผ่านการทดสอบแห่งกาลเวลา