What will humans look like in 100 years? | Juan Enriquez

Translator: Kelwalin Dhanasarnsombut Reviewer: Rawee Ma

Here's a question that matters.

นี่คือคำถามสำคัญ

[Is it ethical to evolve the human body?]

[มันถูกต้องทางจริยธรรมหรือไม่ ที่จะทำให้ร่างกายของมนุษย์มีวิวัฒนาการ]

Because we're beginning to get all the tools together to evolve ourselves.

เพราะว่าเราเริ่มที่จะมีเครื่องมือ ในการใช้วิวัฒนาการตัวเราเอง

And we can evolve bacteria and we can evolve plants

และเราสามารถทำให้แบคทีเรีย พืช และสัตว์

and we can evolve animals,

มีวิวัฒนาการได้

and we're now reaching a point where we really have to ask,

และตอนนี้เรากำลังไปถึงจุด ที่เราต้องถามจริง ๆ กันแล้วว่า

มันถูกต้องทางจริยธรรมและเราต้องการ ให้ร่างกายมนุษย์มีวิวัฒนาการหรือเปล่า

is it really ethical and do we want to evolve human beings?

And as you're thinking about that,

และในขณะที่คุณกำลังคิดอยู่

let me talk about that in the context of prosthetics,

ให้ผมพูดถึงมัน ในบริบทของศาสตร์ด้านกายอุปกรณ์

ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

prosthetics past, present, future.

So this is the iron hand

นี่คือมือเหล็ก

that belonged to one of the German counts.

ที่เป็นของท่านเคาต์ชาวเยอรมันคนหนึ่ง

Loved to fight, lost his arm in one of these battles.

เขารักในการต่อสู้ และเสียแขนข้างหนึ่งในการสู้รบ

No problem, he just made a suit of armor,

ไม่มีปัญหา เขาสร้างชุดเกราะขึ้นมา

put it on,

สวมมัน

เป็นอวัยวะเทียมที่สมบูรณ์แบบ

perfect prosthetic.

That's where the concept of ruling with an iron fist comes from.

นั่นเป็นที่มาของแนวคิด การปกครองโดยกำปั้นเหล็ก

And of course these prosthetics have been getting more and more useful,

และแน่นอนว่าอวัยวะเทียมเหล่านี้ มีประโยชน์มากขึ้นเรื่อย ๆ

และดูทันสมัยมากขึ้นเรื่อย ๆ

more and more modern.

You can hold soft-boiled eggs.

คุณสามารถถือไข่ต้นเอาไว้ได้

You can have all types of controls, and as you're thinking about that,

คุณสามารถควบคุมมันได้ทุกอย่าง และถ้าคุณลองคิดดู

there are wonderful people like Hugh Herr

มีคนเจ่ง ๆ อย่าง ฮิวจ์ เฮอร์

who have been building absolutely extraordinary prosthetics.

ผู้ที่ได้สร้างอวัยวะเทียมแสนจะไม่ธรรมดา

So the wonderful Aimee Mullins will go out and say,

เอมี มุลลินส์ จะออกมาบอกว่า

how tall do I want to be tonight?

คืนนี้ฉันอยากสูงสักเท่าไรดีนะ

หรือเขาจะบอกว่า ผมจะปีนผาแบบไหนดีนะ

Or Hugh will say what type of cliff do I want to climb?

Or does somebody want to run a marathon, or does somebody want to ballroom dance?

หรือใครสักคนอยากจะวิ่งมาราธอน หรือใครบางคนอยากจะเต้นลีลาศ

And as you adapt these things,

และเมื่อคุณปรับปรุงสิ่งเหล่านี้

the interesting thing about prosthetics is they've been coming inside the body.

สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับอวัยวะเทียม ก็คือพวกมันเริ่มเข้าไปอยู่ในร่างกาย

So these external prosthetics have now become artificial knees.

ฉะนั้น อวัยวะเทียมภายนอกเหล่านี้ ตอนนี้ได้กลายเป็นเข่าประดิษฐ์

They've become artificial hips.

พวกมันกลายเป็นสะโพกประดิษฐ์

And then they've evolved further

และจากนั้นพวกมันก็มีวิวัฒนาการต่อไป

to become not just nice to have

เพื่อเป็นสิ่งที่ไม่เพียงแค่ทำให้คุณอยากได้

แต่เป็นสิ่งที่คุณจำเป็นต้องมี

but essential to have.

So when you're talking about a heart pacemaker as a prosthetic,

ฉะนั้น เมื่อคุณพูดถึงเครื่องคุมจังหวะ การเต้นของหัวใจว่าเป็นอวัยวะเทียม

you're talking about something that isn't just, "I'm missing my leg,"

คุณกำลังพูดถึงบางสิ่งที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ "เหมือนขาขาดไปข้างหนึ่ง"

it's, "if I don't have this, I can die."

แต่มันเป็น "ถ้าไม่ได้น่ะ ฉันตายแน่"

And at that point, a prosthetic becomes a symbiotic relationship

และที่จุดนั้น อวัยวะเทียม ก็จะมีความสัมพันธ์แบบพึ่งพากัน

กับร่างกายของมนุษย์

with the human body.

And four of the smartest people that I've ever met --

และคนที่ฉลาดที่สุดทั้งสี่คน เท่าที่ผมเคยพบเจอมานั้น

ซึ่งได้แก่ เอ็ด บอยเดน, ฮิวจ์ เฮอร์, โจ จาคอปสัน และบ๊อบ แบนเดอร์

Ed Boyden, Hugh Herr, Joe Jacobson, Bob Lander --

are working on a Center for Extreme Bionics.

กำลังทำงานอยู่ที่ ศูนย์เพื่อชีวประดิษฐศาสตร์ขั้นสูง

และสิ่งที่คุณกำลังดูอยู่นี้ มีความน่าสนใจก็เพราะว่า

And the interesting thing of what you're seeing here is

these prosthetics now get integrated into the bone.

คืออวัยวะเทียมเหล่านี้ ตอนนี้ถูกรวมเข้ากับกระดูก

พวกมันถูกรวมเข้ากับผิวหนัง

They get integrated into the skin.

They get integrated into the muscle.

พวกมันถูกรวมเข้ากับกล้ามเนื้อ

And one of the other sides of Ed

และอีกด้านหนึ่งของเอ็ด

is he's been thinking about how to connect the brain

ก็คือเขากำลังคิดว่า จะเชื่อมต่อสมองโดยตรง

using light or other mechanisms

โดยใช้แสงหรือกลไกอื่น ๆ

เข้ากับสิ่งต่าง ๆ เช่นอวัยวะเทียมได้อย่างไร

directly to things like these prosthetics.

And if you can do that,

และถ้าคุณสามารถทำอย่างนั้นได้

then you can begin changing fundamental aspects of humanity.

คุณก็จะสามารถเริ่มที่จะเปลี่ยน มุมมองขั้นพื้นฐานของมนุษยชาติได้

So how quickly you react to something depends on the diameter of a nerve.

แล้วคุณจะตอบสนองต่อสิ่งที่ขึ้นอยู่กับ เส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นประสาทได้เร็วแค่ไหน

And of course, if you have nerves that are external or prosthetic,

และแน่นอน ถ้าคุณมีเส้นประสาทที่อยู่ภายนอก หรือเป็นอวัยวะเทียม

say with light or liquid metal,

สมมติว่าใช้แสงหรือโลหะเหลว

then you can increase that diameter

แล้วคุณจะสามารถเพิ่มเส้นผ่านศูนย์กลางนั้น

และตามทฤษฎีคุณจะสามารถเพิ่มมันไปถึงจุดหนึ่ง

and you could even increase it theoretically to the point where,

ที่เสมือนว่าตราบใดที่คุณยังเห็นแสงจากปลายปืน คุณก็ยังสามารถหลบกระสุนได้

as long as you could see the muzzle flash, you could step out of the way of a bullet.

Those are the order of magnitude of changes you're talking about.

นั่นเป็นลำดับขนาดของความเปลี่ยนแปลง ที่เรากำลังพูดถึง

This is a fourth sort of level of prosthetics.

นี่เป็นระดับแนวหน้าของอวัยวะเทียม

These are Phonak hearing aids,

นี่คือ เครื่องช่วยฟังโฟเนค (Phonak)

and the reason why these are so interesting

และเหตุผลที่ทำไมพวกมันถึงน่าสนใจ

is because they cross the threshold from where prosthetics are something

ก็เพราะว่าพวกมันก้าวข้ามจุดที่ อวัยวะเทียมเป็นอะไรบางอย่าง

for somebody who is "disabled"

สำหรับใครบางคนที่ "พิการ"

and they become something that somebody who is "normal"

และพวกมันกลายเป็นอะไรบางอย่าง ที่คนที่เป็น "ปกติ"

might want to actually have,

อาจอยากที่จะมี

because what this prosthetic does, which is really interesting,

เพราะที่น่าสนใจก็คืออวัยวะเทียมนี้

is not only does it help you hear,

ไม่เพียงแต่ช่วยในเรื่องการฟังของคุณ

you can focus your hearing,

คุณสามารถเพ่งการฟังของคุณ

so it can hear the conversation going on over there.

มันจึงสามารถได้ยินการสนทนา ที่เกิดขึ้นตรงนั้นได้

คุณอาจมีสุดยอดความสามารถการได้ยิน

You can have superhearing.

You can have hearing in 360 degrees. You can have white noise.

คุณสามารถได้ยินแบบ 360 องศา แบบไร้เสียงรบกวน

You can record, and oh, by the way, they also put a phone into this.

คุณสามารถบันทึก แล้วก็ พวกเขายังเอาโทรศัพท์ใส่เข้าไป

So this functions as your hearing aid and also as your phone.

ฉะนั้น มันจึงทำหน้าที่เป็นทั้งเครื่องช่วยฟัง และเป็นโทรศัพท์ด้วย

And at that point, somebody might actually want to have a prosthetic voluntarily.

และจุดนี้เอง ใครบางคนอาจต้องการ อวัยวะเทียมอย่างสมัครใจ

All of these thousands of loosely connected little pieces

ชิ้นส่วนต่าง ๆ นับพันที่เชื่อมต่อกันอย่างหลวม ๆ

เข้ามาอยู่ด้วยกัน

are coming together,

และนี่ก็ถึงเวลาแล้วที่เราจะถามว่า

and it's about time we ask the question,

เราต้องการให้มนุษย์มีวิวัฒนาการ ในช่วงหนึ่งถึงสองศตวรรษข้างหน้าอย่างไร

how do we want to evolve human beings over the next century or two?

And for that we turn to a great philosopher

และด้วยเหตุนี้ พวกเราได้กลายเป็นนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่

who was a very smart man despite being a Yankee fan.

ผู้ฉลาดหลักแหลม แม้ว่าจะเป็นสาวกทีมเบสบอลแยงกี้

(เสียงหัวเราะ)

(Laughter)

And Yogi Berra used to say, of course, that it's very tough to make predictions,

และโยกิ เบอร์รา เคยกล่าวไว้ว่า แน่ล่ะ มันยากมากที่เราจะคาดเดา

especially about the future.

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอนาคต

(เสียงหัวเราะ)

(Laughter)

ฉะนั้น แทนที่จะคาดเดาเรื่องอนาคต

So instead of making a prediction about the future to begin with,

let's take what's happening in the present with people like Tony Atala,

เราลองมาเริ่มกันด้วยเหตุการณ์ในปัจจุบัน ที่คนอย่าง โทนี่ อทาลา

who is redesigning 30-some-odd organs.

ผู้ออกแบบอวัยวะประมาณ 30 ชนิด

And maybe the ultimate prosthetic isn't having something external, titanium.

และบางทีสุดยอดอวัยวะเทียม อาจไม่ได้ทำมาจากสิ่งที่อยู่ภายนอกอย่าง ไทเทเนียม

Maybe the ultimate prosthetic is take your own gene code,

บางทีสุดยอดอวัยวะเทียม คือการนำรหัสทางพันธุกรรมของคุณเอง

remake your own body parts,

มาทำส่วนต่าง ๆ ของร่างกายของคุณเอง

because that's a whole lot more effective than any kind of a prosthetic.

เพราะว่านั่นมันมีประสิทธิภาพยิ่งกว่า อวัยวะเทียมแบบอื่น ๆ

But while you're at it, then you can take the work of Craig Venter and Ham Smith.

แต่ในขณะที่คุณอยู่ที่จุดนั้นแล้ว คุณอาจนำงานของเครก เวนเตอร์ และแฮม สมิท

And one of the things that we've been doing

และสิ่งหนึ่งที่เรากำลังทำกันอยู่

is trying to figure out how to reprogram cells.

ก็คือพยายามเข้าใจ ว่าจะรีโปรแกรมเซลล์

And if you can reprogram a cell,

และถ้าคุณสามารถรีโปรแกรมเซลล์ได้

then you can change the cells in those organs.

คุณก็จะสามารถเปลี่ยนเซลล์ ในอวัยวะเหล่านั้นได้

So if you can change the cells in those organs,

แล้วถ้าคุณสามารถเปลี่ยนเซลล์ในอวัยวะเหล่านั้นได้

maybe you make those organs more radiation-resistant.

บางที คุณก็อาจสร้างอวัยวะ ที่ทนทานต่อรังสีได้มากกว่าเดิม

บางที คุณอาจทำให้มันดูดซับออกซิเจนได้มากกว่าเดิม

Maybe you make them absorb more oxygen.

บางที คุณอาจทำให้พวกมันมีประสิทธิภาพ

Maybe you make them more efficient

to filter out stuff that you don't want in your body.

ในการกรองสารที่คุณไม่ต้องการออกจากร่างกาย

And over the last few weeks, George Church has been in the news a lot

และตลอดสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา จอห์จ เชิร์จ ออกข่าวบ่อย ๆ

เพราะว่าเขาได้พูดถึง

because he's been talking about taking one of these programmable cells

and inserting an entire human genome

การนำจีโนมทั้งชุดของมนุษย์

into that cell.

เข้าไปในเซลล์ที่ถูกรีโปรแกรมนั้น

And once you can insert an entire human genome into a cell,

และเมื่อคุณสามารถแทรกจีโนมทั้งชุดของมนุษย์ เข้าไปในเซลล์ได้แล้ว

then you begin to ask the question,

คุณก็จะเริ่มถามคำถามว่า

would you want to enhance any of that genome?

คุณอยากจะส่งเสริมจีโนมใดในนั้นหรือเปล่า

Do you want to enhance a human body?

คุณอยากจะส่งเสริมร่างกายมนุษย์หรือเปล่า

How would you want to enhance a human body?

คุณต้องการจะส่งเสริมร่างกายมนุษย์อย่างไร

ตรงไหนที่มันถูกต้องตามจริยธรรม ที่จะส่งเสริมร่างกายมนุษย์

Where is it ethical to enhance a human body

and where is it not ethical to enhance a human body?

และตรงไหนที่ไม่ถูกต้อง

And all of a sudden, what we're doing

และทันใดนั้น สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้

is we've got this multidimensional chess board

ก็คือกระดานหมากรุกหลายมิติ

where we can change human genetics by using viruses

ที่เราสามารถเปลี่ยนพันธุกรรมของมนุษย์ โดยการใช้ไวรัส

to attack things like AIDS,

เพื่อตอบโต้สิ่งต่าง ๆ เช่น เอดส์

หรือเราสามารถเปลี่ยนรหัสพันธุกรรม ผ่านการบำบัดด้วยยีน

or we can change the gene code through gene therapy

to do away with some hereditary diseases,

เพื่อที่จะกำจัดโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมบางอย่าง

or we can change the environment,

หรือเราอาจเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม

และเปลี่ยนการแสดงออกของยีนในเอพิจีโนม

and change the expression of those genes in the epigenome

and pass that on to the next generations.

และส่งต่อมันไปให้กับลูกหลานของเรา

And all of a sudden, it's not just one little bit,

และทันใดนั้นเอง มันก็ไม่ใช่เพียงเรื่องเล็กน้อย

it's all these stacked little bits

มันเป็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านั้น

that allow you to take little portions of it

ที่ทำให้คุณสามารถนำส่วนเล็ก ๆ จากมัน

until all the portions coming together

จนกระทั่งทุกส่วนเหล่านั้นเข้ามาหลอมรวมกัน

และนำคุณไปสู่อะไรบางอย่าง ที่แตกต่างออกไปมาก

lead you to something that's very different.

And a lot of people are very scared by this stuff.

และคนมากมายก็หวาดกลัวต่อสิ่งนี้

And it does sound scary, and there are risks to this stuff.

และมันก็ฟังดูน่ากลัวและก็มีความเสี่ยง

แล้วทำไมคุณต้องอยากทำสิ่งเหล่านี้ล่ะ

So why in the world would you ever want to do this stuff?

Why would we really want to alter the human body

ทำไมคุณถึงอยากจะเปลี่ยนร่างกายมนุษย์

in a fundamental way?

ในระดับขั้นรากฐานกันเลย

คำตอบนั้นอยู่ในส่วน

The answer lies in part

with Lord Rees,

ของ ลอร์ด รีส์

astronomer royal of Great Britain.

นักดาราศาสตร์แห่งสหราชอาณาจักร

And one of his favorite sayings is the universe is 100 percent malevolent.

และหนึ่งในวาทะเด็ดของเขาก็คือ จักรวาลนั้นอันตราย 100 เปอร์เซ็นต์

So what does that mean?

แล้วนั่นหมายความว่าอย่างไร

It means if you take any one of your bodies at random,

มันหมายความว่า ถ้าคุณสุ่มนำร่างกายของใครก็ตาม

drop it anywhere in the universe,

ไปทิ้งไว้ในจักรวาลสักแห่ง

drop it in space, you die.

ทิ้งในอวกาศ คุณตาย

Drop it on the Sun, you die.

ทิ้งบนดวงอาทิตย์ คุณตาย

ทิ้งบนพื้นผิวของดาวพุธ คุณตาย

Drop it on the surface of Mercury, you die.

ทิ้งไว้ใกล้ ๆ กับซุปเปอร์โนวา คุณตาย

Drop it near a supernova, you die.

But fortunately, it's only about 80 percent effective.

แต่โชคดี มันมีประสิทธิภาพเพียง 80 เปอร์เซ็นต์

So as a great physicist once said,

อย่างที่นักฟิสิกส์ชื่อดังเคยกล่าวไว้

มีต้นน้ำวนแห่งชีวภาพ

there's these little upstream eddies of biology

ที่สร้างระเบียบในเอนโทรปีที่เชี่ยวกราดนี้

that create order in this rapid torrent of entropy.

ฉะนั้น เมื่อจักรวาลค่อย ๆ ใช้พลังงานไปเรื่อย ๆ

So as the universe dissipates energy,

กระแสต้นน้ำเหล่านี้จะสร้างระเบียบทางชีวภาพ

there's these upstream eddies that create biological order.

Now, the problem with eddies is,

เอาล่ะ ปัญหาของกระแสต้นน้ำนี้ก็คือ

they tend to disappear.

พวกมันมักจะค่อย ๆ หายไป

They shift. They move in rivers.

พวกมันเปลี่ยนแปลง พวกมันเคลื่อนไปในแม่น้ำลำธาร

And because of that, when an eddy shifts,

และเพราะด้วยเหตุนี้ เมื่อกระแสเปลี่ยนแปลงไป

when the Earth becomes a snowball, when the Earth becomes very hot,

เมื่อโลกกลายเป็นก้อนหิมะ เมื่อโลกร้อนระอุ

when the Earth gets hit by an asteroid, when you have supervolcanoes,

เมื่อโลกถูกดาวหางพุ่งชน เมื่อมีภูเขาไฟยักษ์อยู่บนโลก

when you have solar flares,

เมื่อมีการประทุของดวงอาทิตย์

when you have potentially extinction-level events

เมื่ออาจเกิดเหตุการณ์ ที่มีระดับความรุนแรงถึงการสูญพันธ์ุ

like the next election --

เทียบเท่ากับการเลือกตั้งครั้งถัดไป

(เสียงหัวเราะ)

(Laughter)

then all of a sudden, you can have periodic extinctions.

เมื่อนั่น มันก็อาจเกิดการสูญพันธุ์ตามลำดับ

And by the way, that's happened five times on Earth,

และจะว่าไป นั่นก็เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้น บนโลกใบนี้ถึงห้าครั้ง

and therefore it is very likely

และถึงกระนั้น มันก็น่าจะเป็นไปได้มาก

that the human species on Earth is going to go extinct someday.

ว่าสายพันธุ์มนุษย์บนโลก กำลังจะสูญพันธุ์ในสักวันหนึ่ง

Not next week,

ไม่ใช่สัปดาห์หน้า

not next month,

ไม่ใช่เดือนหน้า

maybe in November, but maybe 10,000 years after that.

แต่บางทีอาจเป็นในเดือนพฤศจิกายน ในอีก 10,000 ปีข้างหน้า

As you're thinking of the consequence of that,

เมื่อคุณลองคิดถึงผลที่ตามมา

if you believe that extinctions are common and natural

ถ้าคุณเชื่อว่าการสูญพันธุ์ เป็นเรื่องปกติตามธรรมชาติ

ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นลำดับแล้วละก็

and normal and occur periodically,

it becomes a moral imperative to diversify our species.

มันก็การกระทำที่ถูกต้องตามจริยธรรม ที่จะทำให้สายพันธุ์ของเรามีความหลากหลาย

And it becomes a moral imperative

และมันก็จะเป็นการกระทำที่ถูกต้องตามจริยธรรม

เพราะว่ามันคงยากน่าดูที่จะมีชีวิตอยู่บนดาวอังคาร

because it's going to be really hard to live on Mars

ถ้าคุณไม่ดัดแปลงร่างกายมนุษย์ในระดับขึ้นพื้นฐาน

if we don't fundamentally modify the human body.

Right?

ใช่ไหมครับ

คุณเกิดจากเซลล์เพียงเซลล์เดียว

You go from one cell,

mom and dad coming together to make one cell,

จากแม่และพ่อมาหลอมรวมกัน เพื่อเกิดเป็นอีกเซลล์หนึ่ง

in a cascade to 10 trillion cells.

ที่จะกลายไปเป็นอีก 10 ล้านล้านเซลล์

We don't know, if you change the gravity substantially,

คุณไม่รู้หรอกว่า ถ้าคุณเปลี่ยนแรงโน้มถ่วงอย่างมีนัยสำคัญ

if the same thing will happen to create your body.

กระบวนการที่ทำให้เกิดร่างกายของคุณ จะเกิดขึ้นในแบบเดิมหรือเปล่า

เรารู้ว่า ถ้าร่ายกายของคุณในแบบตอนนี้

We do know that if you expose our bodies as they currently are

to a lot of radiation, we will die.

ได้รับรังสีปริมาณมาก เราจะตาย

ฉะนั้น ถ้าคุณลองคิดดู คุณจะต้องออกแบบสิ่งต่าง ๆ ใหม่

So as you're thinking of that, you have to really redesign things

เพื่อจะไปยังดาวอังคาร

just to get to Mars.

Forget about the moons of Neptune or Jupiter.

ลืมเรื่องดวงจันทร์ของเนปจูน หรือของดาวพฤหัสไปก่อน

และขอยืมคำพูดมาจากนิโคไล คาร์ดาเชฟ

And to borrow from Nikolai Kardashev,

let's think about life in a series of scales.

ลองนึกถึงชีวิตในแบบรุ่นระดับ

So Life One civilization

ฉะนั้น อารยธรรมชีวิตที่หนึ่ง

is a civilization that begins to alter his or her looks.

คืออารยธรรมที่เริ่มจะเปลี่ยนแปลง ลักษณะของเขาหรือเธอ

และเราได้ทำอย่างนั้นมาเป็นพัน ๆ ปีแล้ว

And we've been doing that for thousands of years.

You've got tummy tucks and you've got this and you've got that.

คุณมีตับไตไส้พุง และมีนี่นู่นนั่น

You alter your looks, and I'm told

และคุณก็เปลี่ยนลักษณะของคุณ และผมก็รู้มาว่า

that not all of those alterations take place for medical reasons.

การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเหล่านี้ ก็ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยเหตุผลทางการแพทย์

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

Seems odd.

มันฟังดูแปลก

A Life Two civilization is a different civilization.

อารยธรรมชีวิตที่สอง เป็นอารยธรรมที่ต่างออกไป

A Life Two civilization alters fundamental aspects of the body.

อารยธรรมชีวิตที่สองเปลี่ยนแปลง ลักษณะพื้นฐานของร่างกาย

So you put human growth hormone in, the person grows taller,

ฉะนั้น คุณเอาฮอร์โมนการเติบโตของมนุษย์ใส่เข้าไป มนุษย์ก็สูงขึ้น

or you put x in and the person gets fatter or loses metabolism

หรือเอาตัวประหนึ่งเข้าไป และคนก็มีเมตาบอลิซึมหนึ่งเร็วขึ้นหรือช้าลง

or does a whole series of things,

หรือทำทุก ๆ สิ่งทุก ๆ อย่าง

but you're altering the functions in a fundamental way.

แต่คุณกำลังเปลี่ยนหน้าที่การทำงาน ในแบบพื้นฐาน

เพื่อที่จะกลายเป็นอารยธรรมอวกาศ

To become an intrasolar civilization,

we're going to have to create a Life Three civilization,

เรากำลังที่จะต้องสร้างอารยธรรมชีวิตที่สาม

and that looks very different from what we've got here.

และนั่นมันดูต่างออกไป จากสิ่งที่เรามีอยู่ตอนนี้

Maybe you splice in Deinococcus radiodurans

บางทีคุณอาจเติม ดีอิโนคอคคัส เรดิโอดูแรนส์

เพื่อที่เซลล์จะสามารถแบ่งตัวได้อีก หลังจากถูกรังสีในปริมาณมาก

so that the cells can resplice after a lot of exposure to radiation.

Maybe you breathe by having oxygen flow through your blood

บางทีคุณอาจหายใจโดยใช้ออกซิเจน ที่ไหลอยู่ในเลือดของคุณ

instead of through your lungs.

แทนที่จะผ่านปอดของคุณ

But you're talking about really radical redesigns,

แต่คุณกำลังพูดถึงการออกแบบ ที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

and one of the interesting things that's happened in the last decade

และหนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจ ที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

is we've discovered a whole lot of planets out there.

ก็คือเราได้ค้นพบดาวเคราะห์มากมาย

And some of them may be Earth-like.

และบางดวงก็มีลักษณะคล้ายโลก

The problem is, if we ever want to get to these planets,

ปัญหาก็คือ ถ้าเราอยากที่จะไปยังดาวเคราะห์เหล่านั้น

สิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ที่เดินทางได้เร็วที่สุด

the fastest human objects --

Juno and Voyager and the rest of this stuff --

ก็คือ จูโน และ โวยาเจอร์ และอะไรเหล่านี้

take tens of thousands of years

ใช้เวลาเป็นพัน ๆ ปี

to get from here to the nearest solar system.

เพื่อจะเดินทางจากตรงนี้ ไปถึงระบบสุริยจักรวาลที่ใกล้ที่สุด

So if you want to start exploring beaches somewhere else,

ฉะนั้น ถ้าคุณต้องการ เริ่มสำรวจหาดทรายที่อื่น

or you want to see two-sun sunsets,

หรือคุณต้องการดูดวงอาทิตย์สองดวงตกดิน

then you're talking about something that is very different,

เมื่อคุณกำลังพูดถึงอะไรบางอย่าง ที่แตกต่างไปมาก

เพราะว่าคุณจะต้องเปลี่ยนกำหนดเวลา และร่างกายของมนุษย์

because you have to change the timescale and the body of humans

ในแบบซึ่งอาจไม่อาจเห็นเค้าเดิมได้เลย

in ways which may be absolutely unrecognizable.

และนั่นคืออารยธรรมชีวิตที่สี่

And that's a Life Four civilization.

Now, we can't even begin to imagine what that might look like,

ทีนี้ เราไม่อาจเริ่มจินตนาการได้ ว่ามันจะเป็นอย่างไร

but we're beginning to get glimpses

แต่เราอาจเริ่มเห็นภาพลาง ๆ

ของเครื่องไม้เครื่องมือ ที่จะทำให้เราไปถึงจุดนั้น

of instruments that might take us even that far.

And let me give you two examples.

และให้ผมได้ยกตัวอย่างให้คุณฟัง สักสองตัวอย่าง

So this is the wonderful Floyd Romesberg,

นี่คือ ฟลอยด์ โรมส์เบิร์ก ผู้น่าทึ่ง

and one of the things that Floyd's been doing

และหนึ่งในสิ่งที่ ฟลอยด์ กำลังทำก็คือ

is he's been playing with the basic chemistry of life.

เขาได้ทดลองศึกษา เกี่ยวกับสารเคมีพื้นฐานของชีวิต

So all life on this planet is made in ATCGs, the four letters of DNA.

ทุกชีวิตในดาวเคราะห์นี้ สร้างขึ้นมาจาก ATCG ซึ่งคือตัวอักษรทั้งสี่ของดีเอ็นเอ

All bacteria, all plants, all animals, all humans, all cows,

แบคทีเรียทุกชนิด พืชทุกชนิด สัตว์ทุกชนิด คนทุกคน วัวทุกตัว

everything else.

ทุก ๆ อย่าง

And what Floyd did is he changed out two of those base pairs,

และสิ่งที่ ฟลอยด์ ทำก็คือเขาเปลี่ยนสองคู่เบส

so it's ATXY.

ทำให้มันกลายเป็น ATXY

And that means that you now have a parallel system to make life,

และนั่นหมายความว่า ตอนนี้ คุณมีระบบคู่ขนานในการสร้างชีวิต

to make babies, to reproduce, to evolve,

เพื่อสร้างเด็กทารก เพื่อสืบพันธุ์ เพื่อมีวิวัฒนาการ

that doesn't mate with most things on Earth

ที่ไม่สามารถผสมพันธุ์ กับสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่บนโลกได้

หรืออันที่จริง บางทีมันไม่อาจผสมพันธุ์ กับสิ่งมีชีวิตใดบนโลกได้เลย

or in fact maybe with nothing on Earth.

Maybe you make plants that are immune to all bacteria.

บางทีคุณอาจสร้างพืช ที่มีภูมิต่อแบคทีเรียทุกอย่าง

Maybe you make plants that are immune to all viruses.

บางทีคุณอาจสร้างพืช ที่มีภูมิต่อไวรัสทุกอย่าง

But why is that so interesting?

แต่ทำไมมันถึงน่าสนใจน่ะหรือครับ

It means that we are not a unique solution.

มันหมายถึงว่า เราจะไม่ได้เป็นทางออกเดียว

It means you can create alternate chemistries to us

มันหมายความว่า เราสามารถสร้าง สารเคมีที่เป็นทางเลือกให้กับเรา

ที่จะสามารถเป็นสารเคมี ที่ปรับเปลี่ยนได้ต่อพืชที่มีความแตกต่าง

that could be chemistries adaptable to a very different planet

ที่อาจสร้างชีวิตและส่งต่อลักษณะนั้นต่อไป

that could create life and heredity.

การทดลองที่สอง

The second experiment,

or the other implication of this experiment,

หรืออีกแง่มุมหนึ่งของการทดลองนี้

is that all of you, all life is based on 20 amino acids.

คือทุกส่วนของคุณและทุก ๆ ชีวิต ประกอบด้วยกรดอะมิโน 20 ชนิด

If you don't substitute two amino acids,

ถ้าคุณไม่แทนที่กรดอะมิโนสองชนิด

ถ้าคุณไม่ได้มีแค่ ATXY แต่มี ATCG + XY

if you don't say ATXY, if you say ATCG + XY,

then you go from 20 building blocks to 172,

คุณก็จะมีโครงสร้างหลัก จาก 20 เป็น 172

and all of a sudden you've got 172 building blocks of amino acids

และทันใดนั้นเอง คุณก็จะมีโครงสร้างหลัก ของกรดอะมิโน 172 ชนิด

to build life-forms in very different shapes.

เพื่อสร้างรูปแบบชีวิต ในแบบที่แตกต่างออกไป

The second experiment to think about is a really weird experiment

การทดลองที่สองที่เราควรพิจารณา เป็นการทดลองที่แปลกมาก

that's been taking place in China.

ที่ถูกดำเนินการทดลองในประเทศจีน

So this guy has been transplanting hundreds of mouse heads.

ชายคนนี้ได้ทำการปลูกถ่าย ย้ายศีรษะหนูเป็นร้อย ๆ หัว

Right?

ครับ

And why is that an interesting experiment?

และทำไมมันถึงเป็นการทดลองที่น่าสนใจล่ะ

Well, think of the first heart transplants.

ลองคิดดูถึงการปลูกถ่าย ย้ายหัวใจครั้งแรกสิครับ

One of the things they used to do

หนึ่งในสิ่งที่พวกเขาเคยทำกันมา

ก็คือพวกเขานำภรรยาหรือลูกสาวของผู้บริจาคเข้ามา

is they used to bring in the wife or the daughter of the donor

so the donee could tell the doctors,

เพื่อที่รับบริจาคจะสามารถบอกหมอได้ว่า

"Do you recognize this person? Do you love this person?

"คุณจำคนคนนี้ได้ไหม คุณรักคนคนนี้หรือเปล่า

Do you feel anything for this person?"

คุณมีความรู้สึกใด ๆ ต่อคนคนนี้หรือเปล่า"

ปัจจุบันนี้เราหัวเราะอดีต

We laugh about that today.

We laugh because we know the heart is a muscle,

เราหัวเราะเพราะว่าเรารู้ว่าหัวใจเป็นกล้ามเนื้อ

but for hundreds of thousands of years, or tens of thousands of years,

แต่เป็นหมื่นเป็นแสนปีมาแล้ว

"I gave her my heart. She took my heart. She broke my heart."

"ผมให้หัวใจผมกับเธอ เธอเอาหัวใจของผมไป เธอทำผมหัวใจสลาย"

We thought this was emotion

เราคิดว่ามันเกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึก

and we thought maybe emotions were transplanted with the heart. Nope.

และเราคิดว่า บางที่อารมณ์ความรู้สึก ถูกปลูกถ่ายไปพร้อมกับหัวใจ ไม่จริงครับ

แล้วสมองล่ะ

So how about the brain?

มีความเป็นไปได้สองอย่างจากการทดลองนี้

Two possible outcomes to this experiment.

If you can get a mouse

ถ้าคุณสามารถนำหนู

that is functional,

ที่ใช้การได้มา

then you can see,

แล้วคุณก็จะเห็นว่า

สมองใหม่เป็นเหมือนกับก้อนหินชนวนหรือเปล่า

is the new brain a blank slate?

And boy, does that have implications.

และนั่นมันสื่อถึงอะไรหรือเปล่า

ความคิดเห็นที่สองก็คือ

Second option:

the new mouse recognizes Minnie Mouse.

หนูตัวใหม่จดจำหนูตัวเมียได้

The new mouse remembers what it's afraid of,

หนูตัวใหม่จดจำว่ามันกลัวอะไรได้

remembers how to navigate the maze,

จำได้ว่าจะออกจากเขาวงกตได้อย่างไร

and if that is true,

และถ้านั่นเป็นจริงแล้วล่ะก็

คุณจะสามารถปลูกถ่ายความทรงจำ และสติสัมปชัญญะได้

then you can transplant memory and consciousness.

และสิ่งที่น่าสนใจต่อไปก็คือ

And then the really interesting question is,

if you can transplant this, is the only input-output mechanism

ถ้าคุณสามารถปลูกถ่ายสิ่งนี้ กลไกลการรับเข้าและนำออก

this down here?

ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้เท่านั้นอย่างนั้นหรือ

Or could you transplant that consciousness into something

หรือคุณอาจปลูกถ่ายสติสัมปชัญญะนั้น ลงไปในอะไรบางอย่าง

ที่อาจแตกต่างออกไปมาก

that would be very different,

ที่อาจคงทนถาวรอยู่ในอวกาศ

that would last in space,

that would last tens of thousands of years,

ที่อาจคงทนถาวรอยู่เป็นหมื่น ๆ ปี

that would be a completely redesigned body

ที่จะออกแบบร่างกายใหม่ได้อย่างสมบูรณ์

that could hold consciousness for a long, long period of time?

ที่อาจคงสติสัมปชัญญะนั้น เป็นช่วงเวลานานแสนนาน

และลองกลับมาที่คำถามแรกกัน

And let's come back to the first question:

Why would you ever want to do that?

ทำไมเราต้องการที่จะทำอย่างนั้น

Well, I'll tell you why.

ครับ ผมจะบอกให้ก็ได้

Because this is the ultimate selfie.

ก็เพราะว่ามันเป็นเรื่องความเห็นแก่ตัวสุด ๆ ไงล่ะครับ

(เสียงหัวเราะ)

(Laughter)

This is taken from six billion miles away,

ภาพนี้ถูกถ่ายที่ระยะห่างออกไปหกพันล้านไมล์

และนั่นก็คือโลก

and that's Earth.

And that's all of us.

และนั่นก็คือเราทุกคน

And if that little thing goes, all of humanity goes.

และถ้าเจ้าสิ่งเล็ก ๆ นี้หายไป มนุษยชาติก็จะหายไป

And the reason you want to alter the human body

และเหตุผลที่คุณต้องการ เปลี่ยนแปลงร่างกายของมนุษย์

is because you eventually want a picture that says,

ก็เพราะว่าสุดท้ายแล้ว คุณต้องการภาพที่จะบอกว่า

that's us, and that's us,

นั่นคือเรา และนั่นคือเรา

and that's us,

และนั่นคือเรา

because that's the way humanity survives long-term extinction.

เพราะว่านั่นเป็นหนทาง ที่มนุษยชาติจะอยู่รอดจากการสูญพันธุ์ในระยะยาว

And that's the reason why it turns out

และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม มันกลายเป็นว่า

it's actually unethical not to evolve the human body

อันที่จริงมันไม่ถูกต้องตามจริยธรรม ที่จะไม่ทำให้ร่างกายของมนุษย์มีวิวัฒนาการ

even though it can be scary, even though it can be challenging,

แม้ว่ามันอาจน่ากลัว แม้ว่ามันอาจท้าทาย

แต่มันจะทำให้เราสามารถสำรวจ สามารถมีชีวิตอยู่

but it's what's going to allow us to explore, live

and get to places we can't even dream of today,

และไปยังสถานที่ ที่เราไม่เคยนึกฝันถึงในปัจจุบัน

but which our great-great-great-great- grandchildren might someday.

แต่เป็นที่ที่เหลนของเหลนของเรา อาจไปถึงในสักวัน

Thank you very much.

ขอบคุณมากครับ

(Applause)

(เสียงปรบมือ)