The most mysterious star in the universe | Tabetha Boyajian

Translator: Kelwalin Dhanasarnsombut Reviewer: Rawee Ma

Extraordinary claims require extraordinary evidence,

การกล่าวอ้างที่เหนือธรรมดา ต้องการหลักฐานที่เหนือธรรมดา

and it is my job, my responsibility, as an astronomer

และนั่นคืองานของฉันค่ะ หน้าที่ของฉันในฐานะนักดาราศาสตร์

to remind people that alien hypotheses should always be a last resort.

ก็คือการบอกให้คุณว่า สมมติฐานเรื่อง สิ่งมีชีวิตต่างดาวควรจะเป็นเรื่องสุดท้ายที่คุณนึกถึง

Now, I want to tell you a story about that.

ทีนี้ ฉันอยากจะบอกคุณเกี่ยวกับเรื่องนั้น

It involves data from a NASA mission,

มันเกี่ยวข้องกับข้อมูลจากปฏิบัติการของนาซา

ordinary people and one of the most extraordinary stars in our galaxy.

คนทั่วไปและดาวฤกษ์ที่แปลกที่สุดในกาแล็กซึ

It began in 2009 with the launch of NASA's Kepler mission.

มันเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 2009 ตอนเริ่มปฏิบัติการเคปเลอร์ของนาซา

Kepler's main scientific objective

จุดประสงค์หลักทางวิทยาศาสตร์ ของปฏิบัติการเคปเลอร์

was to find planets outside of our solar system.

คือการค้นหาดาวเคราะห์ ที่อยู่นอกระบบสุริยจักรวาล

It did this by staring at a single field in the sky,

เริ่มจากบริเวณหนึ่งในท้องฟ้า

this one, with all the tiny boxes.

บริเวณนี้ ด้วยกล้องเล็ก ๆ ทั้งหลาย

And in this one field,

และในบริเวณนี้เอง

it monitored the brightness of over 150,000 stars

มันติดตามแสงสว่าง ของดาวฤกษ์กว่า 150,000 ดวง

continuously for four years,

ต่อเนื่องเป็นเวลาสี่ปี

taking a data point every 30 minutes.

เก็บข้อมูลทุก ๆ 30 นาที

It was looking for what astronomers call a transit.

มันมองหาสิ่งที่นักดาราศาสตร์เรียกว่า การเคลื่อนผ่าน (transit)

This is when the planet's orbit is aligned in our line of sight,

ซึ่งเป็นตอนที่วงโคจรของดาวเคราะห์ ซ้อนทับกับแนวการมองเห็นของเรา

just so that the planet crosses in front of a star.

ทำให้ดาวเคราะห์ ผ่านเข้ามาอยู่ทางด้านหน้าของดาวฤกษ์

And when this happens, it blocks out a tiny bit of starlight,

และเมื่อมันเกิดขึ้น มันบดบังแสงดาวไปเล็กน้อย

which you can see as a dip in this curve.

ซึ่งคุณสามารถเห็นได้เป็นเส้นโค้งที่ลดต่ำลง

And so the team at NASA had developed very sophisticated computers

และคณะทำงานที่นาซา ได้พัฒนาคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อนมาก

to search for transits in all the Kepler data.

เพื่อค้นหาการเคลื่อนผ่านนี้ จากข้อมูลทั้งหมดของเคปเลอร์

At the same time of the first data release,

ในเวลาเดียวกันที่มีการเปิดเผยข้อมูลชุดแรก

astronomers at Yale were wondering an interesting thing:

นักดาราศาสตร์ที่เยล ก็สงสัยในสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ

What if computers missed something?

ถ้าหากคอมพิวเตอร์พลาดอะไรบางอย่างไปล่ะ

And so we launched the citizen science project called Planet Hunters

และเราก็ได้ตั้งโครงการระดับประชาชน ที่เรียกว่า แพลเนท ฮันเตอร์ส

to have people look at the same data.

เพื่อให้ผู้คนได้ดูข้อมูลชุดเดียวกันนี้

The human brain has an amazing ability for pattern recognition,

สมองของคนมีความสามารถที่น่าทึ่ง สำหรับการจดจำรูปแบบ

sometimes even better than a computer.

ซึ่งบางครั้งทำได้ดีกว่าคอมพิวเตอร์เสียอีก

However, there was a lot of skepticism around this.

อย่างไรก็ดี มันก็เกิดข้อสงสัยขึ้นมากมาย

My colleague, Debra Fischer, founder of the Planet Hunters project,

เพื่อร่วมงานของฉัน เดบรา ฟิชเชอร์ ผู้ก่อตั้งโครงการ แพลเนท ฮันเตอร์ส

said that people at the time were saying,

บอกว่า มีบางทีที่คนบอกว่า

"You're crazy. There's no way that a computer will miss a signal."

"คุณบ้าไปแล้ว มันไม่มีทางหรอกนะ ที่คอมพิวเตอร์จะพลาดสัญญาณอะไรไปได้"

And so it was on, the classic human versus machine gamble.

และการถกเถียงในเรื่องความสามารถ ของคนกับเครื่องจักรแบบเดิม ๆ ก็เข้ามา

And if we found one planet, we would be thrilled.

และถ้าเราพบดาวเคราะห์สักดาวหนึ่ง เราคงตื่นเต้นเป็นเจ้าเข้า

When I joined the team four years ago,

เมื่อฉันเข้าร่วมกับคณะทำงานเมื่อสี่ปีก่อน

we had already found a couple.

เราค้นพบดาวไปแล้วสองสามดวง

And today, with the help of over 300,000 science enthusiasts,

และวันนี้ ด้วยความช่วยเหลือจากนักวิทยาศาสตร์ ผู้ให้ความสนใจกว่า 300,000 ราย

we have found dozens,

เราได้พบดาวแล้วหลายโหล

and we've also found one of the most mysterious stars

และเรายังพบหนึ่งในดาวฤกษ์ที่น่าพิศวงที่สุด

in our galaxy.

ในกาแล็กซี

So to understand this,

ฉะนั้น เพื่อที่จะทำความเข้าใจ

let me show you what a normal transit in Kepler data looks like.

ให้ฉันได้แสดงให้คุณชมถึงการเคลื่อนผ่าน ตามปกติ จากข้อมูลของเคปเลอร์

On this graph on the left-hand side you have the amount of light,

ในกราฟนี้ทางด้านซ้ายมือนี้ แสดงปริมาณแสง

and on the bottom is time.

และทางข้างล่างนี้คือเวลา

The white line is light just from the star,

เส้นสีขาวคือแสงที่มาจากดาวฤกษ์อย่างเดียว

what astronomers call a light curve.

หรือที่นักดาราศาสตร์เรียกว่า โค้งแสง

Now, when a planet transits a star, it blocks out a little bit of this light,

ทีนี้ เมื่อดาวเคราะห์เคลื่อนผ่านดาวฤกษ์ มันบดบังแสงนี้ไปเล็กน้อย

and the depth of this transit reflects the size of the object itself.

และความลึกของการเคลื่อนผ่านนี้ บ่งบอกถึงขนาดของวัตถุนั้น ๆ

And so, for example, let's take Jupiter.

และดังนั้น ยกตัวอย่างเช่น ดาวพฤหัส

Planets don't get much bigger than Jupiter.

ดาวเคราะห์ไม่ได้ใหญ่ไปกว่าดาวพฤหัส

Jupiter will make a one percent drop in a star's brightness.

ดาวพฤหัสจะทำให้ความสว่างของดาวฤกษ์ ลดลงไปหนึ่งเปอร์เซ็นต์

Earth, on the other hand, is 11 times smaller than Jupiter,

ในอีกแง่มุมหนึ่ง โลกมีขนาดเล็กกว่าดาวพฤหัส 11 เท่า

and the signal is barely visible in the data.

และสัญญาณก็แทบจะมองไม่เห็นในข้อมูลชุดนี้

So back to our mystery.

ฉะนั้น กลับไปยังดาวพิลึกของเรา

A few years ago, Planet Hunters were sifting through data looking for transits,

ไม่กี่ปีก่อน แพลเนท ฮันเตอร์ส มองดูข้อมูลนี้เพื่อหาการเคลื่อนผ่าน

and they spotted a mysterious signal coming from the star KIC 8462852.

และพวกเขาได้พบกับสัญญาณประหลาด ที่มาจากดาวฤกษ์ KIC 8462852

The observations in May of 2009 were the first they spotted,

พวกเขาสังเกตเห็นเป็นครั้งแรก ในเดือนพฤษภาคม ในปี ค.ศ. 2009

and they started talking about this in the discussion forums.

และพวกเขาก็เริ่มพูดถึงสิ่งนี้ ในการอภิปรายพูดคุย

They said and object like Jupiter

พวกเขาบอกว่า และวัตถุที่เหมือนดาวพฤหัส

would make a drop like this in the star's light,

สามารถทำให้เกิดการลดลง ของความสว่างดาวฤกษ์เช่นนี้ได้

but they were also saying it was giant.

แต่พวกเขายังบอกอีกว่ามันมีขนาดใหญ่มาก

You see, transits normally only last for a few hours,

เห็นไหมคะว่า การเคลื่อนผ่านตามปกติ จะใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง

and this one lasted for almost a week.

แต่การเคลื่อนผ่านนี้ใช้เวลาเกือบสัปดาห์

They were also saying that it looks asymmetric,

พวกเขายังบอกอีกว่ามันดูไม่สมมาตร

meaning that instead of the clean, U-shaped dip that we saw with Jupiter,

ซึ่งหมายความว่า แทนที่จะเป็นการลดลงเป็นรูปตัวยู อย่างอย่างที่เราเห็นจากดาวพฤหัส

it had this strange slope that you can see on the left side.

มันมีเนินชันแปลก ๆ ที่คุณสามารถเห็นได้จากทางซ้าย

This seemed to indicate

มันเหมือนจะบ่งบอกว่า

that whatever was getting in the way and blocking the starlight

ไม่ว่าอะไรก็ตามที่กำลังเข้ามาในวงโคจร และบดยังแสงดาวฤกษ์

was not circular like a planet.

มันไม่ได้เป็นอะไรกลม ๆ แบบดาวเคราะห์

There are few more dips that happened,

มันมีจุดที่ลดลงอีก

but for a couple of years, it was pretty quiet.

แต่เป็นเวลาสองสามปี มันค่อนข้างจะไม่มีความเคลื่อนไหว

And then in March of 2011, we see this.

และต่อมาในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2011 เราก็เห็นสิ่งนี้

The star's light drops by a whole 15 percent,

แสงของดาวฤกษ์ที่ลดลง 15 เปอร์เซ็นต์

and this is huge compared to a planet,

และมันก็ใหญ่มาก เมื่อเปรียบเทียบกับดาวเคราะห์

which would only make a one percent drop.

ซึ่งทำให้เกิดการลดลงเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์

We described this feature as both smooth and clean.

เราอธิบายลักษณะนี้ว่า มันทั้งเรียบและสมบูรณ์

It also is asymmetric,

มันยังไม่สมมาตร

having a gradual dimming that lasts almost a week,

มีการลดความสว่างลงอย่างต่อเนื่อง ที่ยาวนาเกือบสัปดาห์

and then it snaps right back up to normal in just a matter of days.

และจากนั้น มันกลับไปเป็นปกติ ในเวลาเพียงไม่กี่วัน

And again, after this, not much happens

และอีกครั้ง หลังจากเหตุการณ์นี้ ก็ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวมาก

until February of 2013.

จนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013

Things start to get really crazy.

เรื่องมันก็เริ่มจะไปกันใหญ่

There is a huge complex of dips in the light curve that appear,

โค้งแสงมีการลดลงอย่างมาก

and they last for like a hundred days,

และพวกมันคงอยู่นานถึงร้อยวัน

all the way up into the Kepler mission's end.

เรื่อยไปจนถึงช่วงสุดท้าย ของปฏิบัติการณ์เคปเลอร์

These dips have variable shapes.

การลดลงเหล่านี้มีรูปร่างที่แตกต่างกันไป

Some are very sharp, and some are broad,

บ้างก็แหลม แล้วก็กว้าง

and they also have variable durations.

และพวกมันยังมีระยะเวลาที่ต่างกันอีกด้วย

Some last just for a day or two, and some for more than a week.

บ้างก็กินเวลาวันหรือสองวัน และบ้างก็กินเวลามากกว่าสัปดาห์

And there's also up and down trends within some of these dips,

และมันยังมีแนวโน้มขึ้นและลง ภายในการลดลงเหล่านี้

almost like several independent events were superimposed on top of each other.

เกือบจะเหมือนว่ามีสองสามเหตุการณ์ ถูกซ้อนทับบนกันและกัน

And at this time, this star drops in its brightness over 20 percent.

และในเวลานี้ ดาวฤกษ์มีความสว่างลดลง กว่า 20 เปอร์เซ็นต์

This means that whatever is blocking its light

นั่นหมายความว่าไม่ว่าอะไรจะบดบังแสง

has an area of over 1,000 times the area of our planet Earth.

มันมีพื้นที่มากกว่า 1,000 เท่า ของพื้นที่บนดาวเคราะห์โลกของเรา

This is truly remarkable.

มันน่าทึ่งจริง ๆ ค่ะ

And so the citizen scientists, when they saw this,

และนักวิทยาศาสตร์อาสา เมื่อพวกเขาเห็นสิ่งนี้

they notified the science team that they found something weird enough

พวกเขาบอกกับกลุ่มวิทยาศาสตร์ ว่าพวกเขาพบกับบางอย่างที่ประหลาด

that it might be worth following up.

ที่อาจควรค่าแก่การเฝ้าติดตาม

And so when the science team looked at it,

และเมื่อกลุ่มวิทยาศาสตร์ลองพิจารณาดู

we're like, "Yeah, there's probably just something wrong with the data."

พวกเขาก็แบบว่า "ก็ใช่ แต่บางที นั่นอาจเป็น แค่ความผิดพลาดบางอย่างในข้อมูล"

But we looked really, really, really hard,

แต่เราพิจารณากันอย่างหนัก

and the data were good.

และข้อมูลที่ได้มาก็มีคุณภาพดี

And so what was happening had to be astrophysical,

เราสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ต้องเป็นผลลัพท์ ในเชิงฟิสิกส์ดาราศาสตร์

meaning that something in space was getting in the way

นั่นหมายความว่า บางอย่างในอวกาศ เข้ามาขวางทาง

and blocking starlight.

และบดบังแสงดาว

And so at this point,

และ ณ จุดนี้

we set out to learn everything we could about the star

เราพยายามค้นคว้าเรียนรู้เกี่ยวกับดาว เท่าที่เราจะสามารถทำได้

to see if we could find any clues to what was going on.

เพื่อดูว่าเราจะสามารถพบกับเบาะแส ว่ามันเกิดอะไรขึ้นได้หรือไม่

And the citizen scientists who helped us in this discovery,

และนักวิทยาศาสตร์อาสาของเรา ผู้ช่วยเราในการค้นพบนี้

they joined along for the ride

พวกเขาร่วมเดินทางไปด้วยกัน

watching science in action firsthand.

เป็นพยานโดยตรง ต่อการทำงานด้านวิทยาศาสตร์

First, somebody said, you know, what if this star was very young

อย่างแรก ทุกคนบอกว่าถ้าหากดาวนี้มีอายุน้อย

and it still had the cloud of material it was born from surrounding it.

และยังมีเมฆที่เหมือนกับตอนที่มันก่อตัว วนอยู่รอบ ๆ ล่ะ

And then somebody else said,

และจากนั้นบางคนก็บอกว่า

well, what if the star had already formed planets,

แล้วจะเป็นอย่างไร ถ้าดาวฤกษ์นี้ได้ก่อให้เกิดดาวเคราะห์

and two of these planets had collided,

และดาวเคราะห์ทั้งสองนี้เกิดชนกัน

similar to the Earth-Moon forming event.

คล้ายกันกับการเกิดโลกและดวงจันทร์

Well, both of these theories could explain part of the data,

ค่ะ ทั้งสองทฤษฎีนี้ สามารถอธิบายบางส่วนของข้อมูลได้

but the difficulties were that the star showed no signs of being young,

แต่ความยุ่งยากก็คือ ดาวไม่แสดงสัญญาณว่ามันมีอายุน้อย

and there was no glow from any of the material

และมันไม่มีแสงมาจากวัตถุอื่นใด

that was heated up by the star's light,

ที่ได้รับความร้อนโดยแสงดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ ๆ

and you would expect this if the star was young

และคุณก็หวังว่า ถ้าดาวฤกษ์มีอายุน้อย

or if there was a collision and a lot of dust was produced.

หรือถ้าเกิดการชนกัน ฝุ่นมากมายก็จะเกิดขึ้น

And so somebody else said,

และใครบางคนก็บอกว่า

well, how about a huge swarm of comets

แล้วฝูงดาวหางใหญ่นั่น

that are passing by this star in a very elliptical orbit?

ที่ผ่านดาวฤกษ์ดวงนี้ โดยมีวงโคจรแบบวงรีมาก ๆ ล่ะ

Well, it ends up that this is actually consistent with our observations.

ค่ะ มันกลายเป็นว่า สิ่งนี้มีความสม่ำเสมอ กับการสังเกตของเรา

But I agree, it does feel a little contrived.

แต่ฉันเห็นด้วยว่า มันดูประดิษฐ์ไปหน่อย

You see, it would take hundreds of comets

ค่ะ มันต้องมีดาวหางเป็นร้อย ๆ ดวง

to reproduce what we're observing.

ถึงจะเกิดสิ่งที่เราสังเกตเห็นได้

And these are only the comets

และสิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงแค่ดาวหาง

that happen to pass between us and the star.

ที่บังเอิญผ่านเข้ามาระหว่างดาวฤกษ์และเรา

And so in reality, we're talking thousands to tens of thousands of comets.

และในความเป็นจริง เราพูดถึงดาวนับหมื่น

But of all the bad ideas we had,

แต่ในบรรดาความคิดแย่ ๆ ทั้งหมดของเรา

this one was the best.

ความคิดนี้เจ๋งสุดค่ะ

And so we went ahead and published our findings.

เราเดินหน้าตีพิมพ์สิ่งที่เราค้นพบ

Now, let me tell you, this was one of the hardest papers I ever wrote.

ทีนี้ ขอบอกนะคะ นี่เป็นงานตีพิมพ์ทางวิทยาศาสตร์ ที่ยากที่สุดที่ฉันเคยอ่าน

Scientists are meant to publish results,

นักวิทยาศาสตร์มีจุดประสงค์ ที่จะตีพิมพ์ผลลัพท์

and this situation was far from that.

และในกรณีนี้มันต่างออกไป

And so we decided to give it a catchy title,

และเราตัดสินใจที่จะตั้งชื่อเรื่องให้น่าสนใจ

and we called it: "Where's The Flux?"

เราเรียกมันว่า "ไหนกัน (วะ)"

I will let you work out the acronym.

ฉันจะปล่อยให้คุณแปลตัวย่อนั่นกันเองนะคะ

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

So this isn't the end of the story.

นี่ไม่ใช่ตอนจบของเรื่องนี้

Around the same time I was writing this paper,

ในเวลาใกล้ ๆ กัน ฉันได้เขียนผลงานวิจัยนี้

I met with a colleague of mine, Jason Wright,

ฉันพบกับเพื่อนร่วมงานของฉัน เจสัน ไรท์

and he was also writing a paper on Kepler data.

และเขาก็เขียนผลงานวิจัย เกี่ยวกับข้อมูลจากเคปเลอร์

And he was saying that with Kepler's extreme precision,

และเขาบอกว่า ด้วยความเที่ยงตรงอย่างมาก ของเคปเลอร์

it could actually detect alien megastructures around stars,

มันน่าจะสามารถตรวจจับ โครงสร้างขนาดยักษ์รอบ ๆ ดาวฤกษ์ได้

but it didn't.

แต่มันก็ไม่เจอ

And then I showed him this weird data that our citizen scientists had found,

และจากนั้น ฉันก็แสดงข้อมูลแปลก ๆ นี้ ที่นักวิทยาศาสตร์อาสาของเราพบ

and he said to me,

และเขาก็บอกกับฉันว่า

"Aw crap, Tabby.

"ให้ตายสิ แทบบี้

Now I have to rewrite my paper."

ฉันต้องเขียนงานวิจัยใหม่ซะแล้ว"

So yes, the natural explanations were weak,

ค่ะ คำอธิบายตามธรรมชาติอ่อนมาก

and we were curious now.

และตอนนี้เราก็สงสัย

So we had to find a way to rule out aliens.

ฉะนั้น เราจะต้องหาทาง ที่จะจัดการกับเจ้าดาวประหลาดนี้

So together, we convinced a colleague of ours

เราร่วมมือกันโน้มน้าวเพื่อนร่วมงานของเรา

who works on SETI, the Search for Extraterrestrial Intelligence,

ที่ทำงานด้าน SETI หรือ การค้นหาสิ่งมีชีวิตทางความรู้ต่างดาว

that this would be an extraordinary target to pursue.

ว่านี่อาจเป็นเป้าหมายที่น่าค้นหา

We wrote a proposal to observe the star

เราเขียนคำขอเพื่อขอสำรวจดาวฤกษ์

with the world's largest radio telescope at the Green Bank Observatory.

ด้วยกล้องโทรทรรศน์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ที่หอดูดาวกรีนแบงค์

A couple months later,

สองสามเดือนต่อมา

news of this proposal got leaked to the press

ข่าวของคำขอนี้รั่วไหลไปยังสื่อ

and now there are thousands of articles,

และตอนนี้บทความเป็นพัน ๆ

over 10,000 articles, on this star alone.

มากกว่า 10,000 บทความ เกี่ยวกับดาวฤกษ์นี้เท่านั้น

And if you search Google Images,

และถ้าคุณค้นหาภาพในกูเกิล

this is what you'll find.

นี่คือสิ่งที่คุณจะพบ

Now, you may be wondering, OK, Tabby, well,

ทีนี้ คุณอาจสงสัยว่า เอาล่ะ แทบบี้

how do aliens actually explain this light curve?

สิ่งประหลาดนั่น จะอธิบายโค้งของแสงได้อย่างไร

OK, well, imagine a civilization that's much more advanced than our own.

ค่ะ ลองนึกถึงอารยธรรมที่มีความเจริญ มากกว่าอารยธรรมของเราสิคะ

In this hypothetical circumstance,

ในสถานการณ์ตามสมมติฐานนี้

this civilization would have exhausted the energy supply of their home planet,

อารยธรรมนี้อาจกำลังจะขาดพลังงาน สำหรับดาวเคราะห์บ้านเกิดของพวกเขา

so where could they get more energy?

แล้วพวกเขาจะหาพลังงานได้จากที่ไหนล่ะ

Well, they have a host star just like we have a sun,

ค่ะ พวกเขามีดาวฤกษ์ของพวกเขา อย่างที่พวกเรามีดวงอาทิตย์

and so if they were able to capture more energy from this star,

และถ้าหากพวกเขาสามารถ จะจับเอาพลังงานจากดาวฤกษ์นี้มาได้

then that would solve their energy needs.

นั่นก็น่าจะเป็นการแก้ปัญหา ความต้องการพลังงานของพวกเขาได้

So they would go and build huge structures.

ฉะนั้น พวกเขาน่าจะก่อสร้าง โครงสร้างที่มีขนาดใหญ่

These giant megastructures,

โครงสร้างใหญ่ยักษ์เหล่านี้

like ginormous solar panels, are called Dyson spheres.

เช่นเดียวกับแผงพลังงานสุริยะยักษ์ ที่เรียกว่า ไดสัน สเฟียร์

This image above

ภาพด้านบนนี้

are lots of artists' impressions of Dyson spheres.

เป็นภาพจากจินตนาการของเหล่าศิลปิน ที่มีต่อ ไดสัน สเฟียร์

It's really hard to provide perspective on the vastness of these things,

มันยากที่จะให้แสดงแนวคิด ว่าสิ่งนั้นมีขนาดใหญ่แค่ไหน

but you can think of it this way.

แต่คุณลองนึกดูแบบนี้นะคะ

The Earth-Moon distance is a quarter of a million miles.

ระยะทางระหว่างโลกและดวงจันทร์ คือประมาณหนึ่งในสี่ของพันไมล์

The simplest element on one of these structures

ส่วนประกอบที่เรียบง่ายที่สุด ของโครงสร้างเหล่านี้

is 100 times that size.

มีขนาดเป็น 100 เท่า

They're enormous.

พวกมันใหญ่มาก ๆ

And now imagine one of these structures in motion around a star.

และตอนนี้ ลองนึกถึงโครงสร้างนี้ เคลื่อนที่ไปรอบ ๆ ดาวฤกษ์

You can see how it would produce anomalies in the data

คุณจะเข้าใจว่า มันก่อให้เกิดความผิดปกติ ในข้อมูลได้อย่างไร

such as uneven, unnatural looking dips.

เช่น ความไม่สม่ำเสมอ การลดลงที่ดูไม่เป็นธรรมชาติ

But it remains that even alien megastructures

แต่สิ่งหนึ่งที่คงอยู่ก็คือ แม้แต่โครงสร้างประหลาดขนาดยักษ์

cannot defy the laws of physics.

ก็ไม่อาจแหกกฎทางฟิสิกส์ไปได้

You see, anything that uses a lot of energy

ค่ะ อะไรก็ตามที่ใช้พลังงานมาก ๆ

is going to produce heat,

จะผลิตความร้อนออกมา

and we don't observe this.

และเราไม่เห็นสิ่งนี้

But it could be something as simple

แต่มันอาจเกิดสิ่งที่ไม่ได้ซับซ้อน

as they're just reradiating it away in another direction,

อย่างการแผ่รังสีออกไปในอีกทิศทางหนึ่ง

just not at Earth.

แค่ไม่ใช่ในทิศทางที่มาหาโลก

Another idea that's one of my personal favorites

อีกแนวคิดหนึ่งที่ฉันชอบเป็นการส่วนตัว

is that we had just witnessed an interplanetary space battle

คือเราเพิ่งได้เป็นประจักษ์พยาน ของสงครามอวกาศระหว่างดาวเคราะห์

and the catastrophic destruction of a planet.

และการทำลายล้างที่เป็นหายนะของดาวเคราะห์

Now, I admit that this would produce a lot of dust

ค่ะ ฉันยอมรับว่า มันคงจะเกิดฝุ่นขึ้นมากมาย

that we don't observe.

ที่เราไม่ได้สังเกตเห็น

But if we're already invoking aliens in this explanation,

แต่ถ้าเราอ้างถึงสิ่งมีชีวิตต่างดาว ในคำอธิบายนี้แล้ว

then who is to say they didn't efficiently clean up all this mess

ใครจะบอกล่ะ ว่าพวกเขา จะไม่เก็บกวาดสิ่งเหล่านี้

for recycling purposes?

เพื่อนำไปรีไซเคิล

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

You can see how this quickly captures your imagination.

เห็นไหมคะว่ามันทำให้คุณ จินตนาการต่อไปไกลได้ในทันที

Well, there you have it.

ค่ะ นั่นแหละ

We're in a situation that could unfold

เราอยู่ในสถานการณ์ที่สามารถเปิดเผย

to be a natural phenomenon we don't understand

สิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่เราไม่เข้าใจ

or an alien technology we don't understand.

หรือเทคโนโลยีต่างดาวที่เราไม่เข้าใจ

Personally, as a scientist, my money is on the natural explanation.

ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ ฉันวางเดิมพัน ไว้กับคำอธิบายที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ

But don't get me wrong, I do think it would be awesome to find aliens.

แต่อย่าเข้าใจฉันผิดนะคะ ฉันคิดว่า มันคงจะเจ๋งดีถ้าเราพบสิ่งมีชีวิตต่างดาว

Either way, there is something new and really interesting to discover.

ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน นี่เป็นอะไรบางอย่าง ที่ใหม่และน่าสนใจต่อการค้นหามาก ๆ

So what happens next?

แล้วอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปน่ะหรือคะ

We need to continue to observe this star

เราต้องทำการสำรวจดาวฤกษ์นี้ต่อไป

to learn more about what's happening.

เพื่อเรียนรู้ให้มากขึ้นว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น

But professional astronomers, like me,

แต่นักดาราศาสตร์อย่างฉัน

we have limited resources for this kind of thing,

เรามีแหล่งข้อมูลที่จำกัด

and Kepler is on to a different mission.

และเคปเลอร์ก็กำลังทำภาระกิจอื่นอยู่

And I'm happy to say that once again,

และฉันยินดีมากที่จะบอกว่า นี่เป็นอีกครั้งหนึ่ง

citizen scientists have come in and saved the day.

ที่นักวิทยาศาสตร์อาสาได้เข้ามา และช่วยชีวิตพวกเราไว้

You see, this time,

เห็นไหมคะ ว่าครั้งนี้

amateur astronomers with their backyard telescopes

นักดาราศาสตร์สมัครเล่น ซึ่งมีกล้องดูดาวอยู่หลังบ้าน

stepped up immediately and started observing this star nightly

ก้าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และเริ่มสำรวจดวงฤกษ์นี้ทุกคืน

at their own facilities,

โดยใช้อุปกรณ์ของพวกเขาเอง

and I am so excited to see what they find.

และฉันก็ตื่นเต้นที่เห็นว่าพวกเขาได้พบอะไร

What's amazing to me is that this star would have never been found by computers

สิ่งที่น่าประหลาดใจสำหรับฉันคือ ดาวฤกษ์นี้ไม่อาจถูกพบได้โดยคอมพิวเตอร์

because we just weren't looking for something like this.

เพราะว่าคอมพิวเตอร์ไม่ได้มองหา สิ่งที่มีลักษณะเช่นนี้

And what's more exciting

และที่น่าตื่นเต้นยิ่งไปกว่านั้น

is that there's more data to come.

คือมันจะยังมีข้อมูลใหม่เข้ามาอีก

There are new missions that are coming up

มีปฏิบัติการใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น

that are observing millions more stars

ที่จะออกไปสำรวจดาวฤกษ์อีกเป็นพัน ๆ

all over the sky.

ทั่วทั้งท้องฟ้า

And just think: What will it mean when we find another star like this?

และลองคิดดูสิคะว่า มันมีความหมายอย่างไร เมื่อเราพบกับดาวฤกษ์อีกดวงที่เป็นแบบนี้

And what will it mean if we don't find another star like this?

และมันจะหมายความว่าอย่างไร ถ้าเราไม่พบกับดาวฤกษ์แบบนี้อีก

Thank you.

ขอบคุณค่ะ

(Applause)

(เสียงปรบมือ)