What are the most important moral problems of our time? | Will MacAskill

Translator: Kelwalin Dhanasarnsombut Reviewer: Sritala Dhanasarnsombut

This is a graph

นี่คือแผนภูมิ

that represents the economic history of human civilization.

แสดงประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ ของอารยธรรมมนุษย์

[World GDP per capita over the last 200,000 years]

[จีดีพีของโลกต่อหัว ตลอด 200,000 ปีที่ผ่านมา]

There's not much going on, is there.

ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากนัก

For the vast majority of human history,

ตามประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ของมนุษย์

pretty much everyone lived on the equivalent of one dollar per day,

ทุกคนจะใช้เงินราว ๆ หนึ่งดอลลาร์ต่อวัน

and not much changed.

และก็ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก

But then, something extraordinary happened:

แต่แล้ว อะไรบางอย่างที่ผิดปกติก็เกิดขึ้น

the Scientific and Industrial Revolutions.

การปฏิวัติวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรม

And the basically flat graph you just saw

และแผนภูมิแบน ๆ ที่คุณเพิ่งจะได้เห็น

transforms into this.

เปลี่ยนไปเป็นแบบนี้

What this graph means is that, in terms of power to change the world,

แผนภูมินี้หมายถึงอะไร ในแง่มุมของอำนาจที่จะเปลี่ยนโลกของเรา

we live in an unprecedented time in human history,

เราอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์

and I believe our ethical understanding hasn't yet caught up with this fact.

และผมเชื่อว่าความเข้าใจด้านศีลธรรม ของเรายังไล่ตามไม่ทัน

The Scientific and Industrial Revolutions

การปฏิวัติวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรม

transformed both our understanding of the world

แปรเปลี่ยนทั้งความเข้าใจของเราต่อโลก

and our ability to alter it.

และความสามารถของเราที่จะเปลี่ยนโลก

What we need is an ethical revolution

เราต้องการการปฏิวัติศีลธรรม

so that we can work out

เพื่อที่เราจะสามารถรู้ได้ว่า

how do we use this tremendous bounty of resources

เราจะใช้แหล่งทรัพยากร ที่มากมายมหาศาลนี้อย่างไร

to improve the world.

เพื่อปรับปรุงโลกของเรา

For the last 10 years,

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

my colleagues and I have developed a philosophy and research program

เพื่อนร่วมงานและผมพัฒนาโปรแกรม ปรัชญาและการวิจัยที่พวกเราเรียกว่า

that we call effective altruism.

การช่วยเหลืออย่างมีประสิทธิภาพ

It tries to respond to these radical changes in our world,

เพื่อสนองตอบ การเปลี่ยนแปลงมูลฐานในโลกของเรา

uses evidence and careful reasoning to try to answer this question:

โดยใช้หลักฐานและการให้เหตุผล อย่างรอบคอบเพื่อให้คำตอบกับคำถามที่ว่า

How can we do the most good?

เราจะทำให้ดีที่สุดได้อย่างไร

Now, there are many issues you've got to address

ทีนี้ เรามีปัญหามากมายที่ต้องจัดการ

if you want to tackle this problem:

ถ้าคุณต้องการแก้ปัญหาที่ว่า

whether to do good through your charity

จะทำดีผ่านทางมูลนิธิ

or your career or your political engagement,

ประกอบอาชีพ หรือเข้าร่วมทางการเมืองแบบไหน

what programs to focus on, who to work with.

โครงการไหนที่เราควรสนใจ ใครกันที่เราควรร่วมมือด้วย

But what I want to talk about

แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ

is what I think is the most fundamental problem.

สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นปัญหาหลัก

Of all the many problems that the world faces,

ในบรรดาปัญหาทั้งหมดทั้งมวล ที่โลกของเราเผชิญอยู่

which should we be focused on trying to solve first?

ปัญหาใดล่ะ ที่เราควรพยายามแก้ไขก่อน

Now, I'm going to give you a framework for thinking about this question,

ผมจะให้กรอบในการคิดเกี่ยวกับคำถามนี้

and the framework is very simple.

และกรอบนั้นก็ง่าย ๆ ครับ

A problem's higher priority,

ปัญหาที่มีลำดับความสำคัญสูงกว่า

the bigger, the more easily solvable and the more neglected it is.

ใหญ่กว่า และแก้ไขง่ายกว่า และถูกละเลยมามากกว่า

Bigger is better,

ยิ่งใหญ่ก็ยิ่งดี

because we've got more to gain if we do solve the problem.

เพราะว่าเราจะยิ่งได้มาก จากการแก้ไขปัญหานั้น

More easily solvable is better

ยิ่งปัญหาแก้ง่ายก็ยิ่งดี

because I can solve the problem with less time or money.

เพราะว่าผมสามารถแก้ปัญหาได้ ด้วยเวลาและเงินที่น้อยกว่า

And most subtly,

และอย่างเฉียบคมกว่าด้วย

more neglected is better, because of diminishing returns.

ยิ่งถูกละเลยก็ยิ่งดี เพราะการตอบโต้ก็ลดลง

The more resources that have already been invested into solving a problem,

ยิ่งมีเราลงทุนใช้ทรัพยากรมากเท่าไร ไปกับการแก้ปัญหา

the harder it will be to make additional progress.

การดำเนินการให้รุดหน้า ก็ยิ่งยากมากขึ้นเท่านั้น

Now, the key thing that I want to leave with you is this framework,

ทีนี้ กุญแจสำคัญที่ผมอยากจะให้คุณ นำกลับไปคิดเกี่ยวกับกรอบที่ว่า

so that you can think for yourself

เพื่อที่คุณจะคิดได้ด้วยตัวเอง

what are the highest global priorities.

ว่าอะไรที่เป็นปัญหาลำดับสูงสุดของโลก

But I and others in the effective altruism community

แต่ผมและคนอื่น ๆ ในสังคมการช่วยเหลืออย่างมีประสิทธิภาพ

have converged on three moral issues that we believe are unusually important,

เห็นพ้องกันว่ามีปัญหาทางศีลธรรม สามประการ ที่มีความสำคัญยิ่ง

score unusually well in this framework.

และได้รับคะแนนสูงในกรอบความคิดนี้

First is global health.

ปัญหาแรกคือปัญหาสุขภาพระดับโลก

This is supersolvable.

มันสามารถแก้ไขได้

We have an amazing track record in global health.

เรามีบันทึกการสาธารณสุขโลก ที่ผ่านมาของเราน่าทึ่ง

Rates of death from measles, malaria, diarrheal disease

อัตราการตายจากโรคคางทูม มาลาเรีย และท้องร่วง

are down by over 70 percent.

ลงดลงไปกว่า 70 เปอร์เซ็นต์

And in 1980, we eradicated smallpox.

และในปี ค.ศ. 1980 เราก็กำจัดโรคฝีดาษได้

I estimate we thereby saved over 60 million lives.

ผมคาดว่านั่น ช่วยชีวิตคนได้กว่า 60 ล้านชีวิต

That's more lives saved than if we'd achieved world peace

มากกว่าที่เราช่วยเหลือไว้ได้ จากการทำให้โลกสงบสุข

in that same time period.

ในช่วงเวลาเดียวกัน

On our current best estimates,

จากการคาดการณ์ที่ดีที่สุดในตอนนี้

we can save a life by distributing long-lasting insecticide-treated bed nets

เราช่วยเหลือผู้คน โดยการส่งเตียงมุ้งที่มียาฆ่าแมลงออกไป

for just a few thousand dollars.

ด้วยราคาไม่กี่พันดอลลาร์

This is an amazing opportunity.

มันคือโอกาสอันน่าทึ่ง

The second big priority is factory farming.

ปัญหาที่สำคัญลำดับที่สอง คือการทำฟาร์มป้อนโรงงาน

This is superneglected.

มันถูกละเลย

There are 50 billion land animals used every year for food,

มีสัตว์บก 50 พันล้านตัว ที่ถูกใช้เป็นอาหารทุกปี

and the vast majority of them are factory farmed,

และส่วนใหญ่ พวกมันถูกเลี้ยงป้อนโรงงาน

living in conditions of horrific suffering.

มีชีวิตอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ไม่น่าดู

They're probably among the worst-off creatures on this planet,

พวกมันอาจเป็นสิ่งมีชีวิต ตกอยู่ในสถานการณ์ที่แย่ที่สุดในโลก

and in many cases, we could significantly improve their lives

เราสามารถพัฒนา คุณภาพชีวิตของพวกมันได้

for just pennies per animal.

ด้วยเงินสองเพนนีต่อสัตว์หนึ่งตัว

Yet this is hugely neglected.

แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังถูกละเลย

There are 3,000 times more animals in factory farms

สัตว์ที่ถูกเลี้ยงป้อนให้กับโรงงาน

than there are stray pets,

มีมากกว่าสัตว์เร่ร่อน 3,000 เท่า

but yet, factory farming gets one fiftieth of the philanthropic funding.

แต่ถึงอย่างนั้น การเลี้ยงสัตว์ป้อนโรงงาน ได้รับเงินการกุศลแค่หนึ่งในห้าสิบ

That means additional resources in this area

นั่นหมายความว่า การจัดทรัพยากรให้กับสิ่งนี้

could have a truly transformative impact.

จะสร้างผลกระทบ เพื่อการเปลี่ยนแปลงได้จริง

Now the third area is the one that I want to focus on the most,

ปัญหาที่สามที่ผมอยากจะให้ความสนใจ

and that's the category of existential risks:

และมันก็จัดว่าเป็นปัญหา ที่ทำให้เราเผชิญกับความเสี่ยง

events like a nuclear war or a global pandemic

ในแบบที่คล้ายกับสงครามนิวเคลียร์ และการระบาดของโรค

that could permanently derail civilization

ที่อาจทำให้อารยธรรมของเรา ล้มคว่ำไปอย่างถาวร

or even lead to the extinction of the human race.

หรือล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ ให้สิ้นสูญได้

Let me explain why I think this is such a big priority

ให้ผมอธิบายหน่อยนะครับ ว่าทำไมมันเป็นเรื่องสำคัญมาก

in terms of this framework.

ในแง่มุมของกรอบนี้

First, size.

ประการแรกเลย ขนาด

How bad would it be if there were a truly existential catastrophe?

มันจะแย่แค่ไหน ถ้าการเปลี่ยนแปลง ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตเรานี้เกิดขึ้นจริง

Well, it would involve the deaths of all seven billion people on this planet

มันอาจเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิต ของคนเจ็ดล้านล้านคนบนโลก

and that means you and everyone you know and love.

และนั่นหมายถึง คุณและทุกคนที่คุณรู้จักและรัก

That's just a tragedy of unimaginable size.

มันเป็นโศกนาฎกรรมที่ยิ่งใหญ่

But then, what's more,

แล้วยังมีอะไรอีก

it would also mean the curtailment of humanity's future potential,

มันอาจหมายถึงโอกาสในอนาคตของเรา ที่จะหดหายไป

and I believe that humanity's potential is vast.

และผมเชื่อว่ามนุษยชาติ มีโอกาสที่ยิ่งใหญ่

The human race has been around for about 200,000 years,

เผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่บนโลกนี้มา ประมาณ 200,000 ปี

and if she lives as long as a typical mammalian species,

และถ้าเผ่าพันธุ์มนุษย์ เป็นเสมือนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั่วไป

she would last for about two million years.

มันก็คงจะดำรงอยู่รอด ได้ประมาณสองล้านปี

If the human race were a single individual,

ถ้าเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นคนแค่คนเดียว

she would be just 10 years old today.

วันนี้มันก็ก็คงมีอายุประมาณ 10 ขวบเท่านั้น

And what's more, the human race isn't a typical mammalian species.

ยิ่งกว่านั้น เผ่าพันธุ์มนุษย์ ไม่ได้เป็นแค่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั่วไป

There's no reason why, if we're careful,

แต่มันไม่มีเหตุผลว่าทำไมพวกเรา

we should die off after only two million years.

ไม่ตายกันหมดหลังจากสองล้านปี

The earth will remain habitable for 500 million years to come.

โลกจะยังคงเป็นบ้านได้ ไปอีก 500 ล้านปี

And if someday, we took to the stars,

และถ้าสักวัน เราไปตั้งรกรากบนดาวอื่น

the civilization could continue for billions more.

อารยธรรมมนุษย์ก็คงเจริญต่อไป อีกหลายล้านล้านปี

So I think the future is going to be really big,

ผมคิดว่าอนาคตกำลังจะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่

but is it going to be good?

แต่มันจะดีหรือเปล่า

Is the human race even really worth preserving?

เผ่าพันธุ์มนุษย์ ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไหม

Well, we hear all the time about how things have been getting worse,

เราได้ยินกันเสมอ ๆ ว่า สิ่งต่าง ๆ กำลังแย่ลง

but I think that when we take the long run,

แต่ผมคิดว่า เมื่อเราดูกันในระยะยาว

things have been getting radically better.

สิ่งต่าง ๆ กำลังดีขึ้นอย่างมาก

Here, for example, is life expectancy over time.

ตัวอย่างเช่น อายุของเราที่ยืนยาวขึ้น

Here's the proportion of people not living in extreme poverty.

นี่คืออัตราส่วนของคนที่ใช้ชีวิต อย่างอดอยากขัดสน

Here's the number of countries over time that have decriminalized homosexuality.

นี่คือจำนวนของประเทศ ที่ประกาศว่าการรักร่วมเพศไม่ผิดกฎหมาย

Here's the number of countries over time that have become democratic.

นี่คือจำนวนของประเทศ ที่กลายเป็นประชาธิปไตย

Then, when we look to the future, there could be so much more to gain again.

แล้ว เมื่อเรามองไปยังอนาคต ก็น่าจะมีสิ่งดี ๆ ให้เราไขว่คว้าอีก

We'll be so much richer,

เราจะร่ำรวยกันกว่านี้

we can solve so many problems that are intractable today.

เราสามารถแก้ปัญหามากมาย ที่ยากต่อการแก้ไขในปัจจุบัน

So if this is kind of a graph of how humanity has progressed

ถ้าหากมนุษยชาติมีพัฒนาการ เฉกเช่นแผนภูมินี้

in terms of total human flourishing over time,

ในแง่ของความเจริญของมนุษย์ในองค์รวม เมื่อเวลาเผ่านไป

well, this is what we would expect future progress to look like.

นี่คงจะเป็นความก้าวหน้าในอนาคต ที่เราคาดหวังว่ามันจะเกิดขึ้น

It's vast.

มันยิ่งใหญ่ครับ

Here, for example,

ตัวอย่างเช่น

is where we would expect no one to live in extreme poverty.

เมื่อเราคาดว่าจะไม่มีใคร ที่ต้องใช้ชีวิตอย่างอดอยากขัดสน

Here is where we would expect everyone to be better off

เมื่อเราคาดว่าทุกคนจะมีชีวิตที่ดี

than the richest person alive today.

มากกว่าคนรวยที่รวยที่สุดในปัจจุบัน

Perhaps here is where we would discover the fundamental natural laws

บางที นั่นอาจเป็นตอนที่เราค้นพบ กฎทางธรรมชาติระดับพื้นฐาน

that govern our world.

ที่ควบคุมโลกของเรา

Perhaps here is where we discover an entirely new form of art,

บางที นั่นอาจเป็นตอนที่เราค้นพบ ศิลปะในรูปแบบใหม่

a form of music we currently lack the ears to hear.

ดนตรีในโฉมลักษณ์ ที่หูของเราในตอนนี้ไม่อาจฟังมันได้

And this is just the next few thousand years.

และนี่มันอาจเกิดขึ้น ในอีกไม่กี่พันปีข้างหน้า

Once we think past that,

เมื่อเราคิดเลยจุดนั้นไป

well, we can't even imagine the heights that human accomplishment might reach.

เราก็ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า จุดสูงสุดของมนุษยชาติจะมีหน้าตาเช่นไร

So the future could be very big and it could be very good,

อนาคตน่าจะเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ และน่าจะดีมาก ๆ

but are there ways we could lose this value?

แต่คุณค่าจะสูญเสียไปเพราะแนวโน้มนี้ไหม

And sadly, I think there are.

น่าเศร้าที่ผมคิดว่ามันจะเป็นเช่นนั้น

The last two centuries brought tremendous technological progress,

สองศตวรรษที่ผ่านมา นำมาซึ่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี

but they also brought the global risks of nuclear war

แต่มันก็ทำให้โลกเสี่ยง ต่อการเกิดสงครามนิวเคลียร์

and the possibility of extreme climate change.

และเป็นไปได้ที่สภาพภูมิอากาศ จะเปลี่ยนอย่างรุนแรง

When we look to the coming centuries,

เมื่อเรามองไปยังศตวรรษที่จะมาถึง

we should expect to see the same pattern again.

เราน่าจะเห็นรูปแบบเดิมอีก

And we can see some radically powerful technologies on the horizon.

และเราก็เห็นได้ว่า เทคโนโยลีอันทรงพลังกำลังจะเกิดขึ้น

Synthetic biology might give us the power to create viruses

ชีววิทยาสังเคราะห์ อาจให้อำนาจเราในการสร้างไวรัส

of unprecedented contagiousness and lethality.

ที่ระบาดและอันตรายถึงชีวิต อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

Geoengineering might give us the power to dramatically alter the earth's climate.

วิศวกรรมทางภูมิศาสตร์อาจให้อำนาจเรา ในการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศโลก

Artificial intelligence might give us the power to create intelligent agents

จักรกลอัฉริยะอาจให้อำนาจเรา ในการสร้างตัวแทนอัฉริยะ

with abilities greater than our own.

ที่มีความสามารถเหนือกว่าที่เรามี

Now, I'm not saying that any of these risks are particularly likely,

ทีนี้ ผมไม่ได้จะบอกว่า ความเสี่ยงเหล่านี้น่าจะเกิดขึ้น

but when there's so much at stake,

แต่เมื่อเราตั้งเดิมพันไว้มากมาย

even small probabilities matter a great deal.

ความเป็นไปได้แม้เพียงนิดเดียว ก็สลักสำคัญยิ่ง

Imagine if you're getting on a plane and you're kind of nervous,

ลองนึกดูว่า ถ้าคุณขึ้นเครื่องบิน ด้วยอาการประหม่า

and the pilot reassures you by saying,

แล้วนักบินก็ปลอบใจคุณโดยกล่าวว่า

"There's only a one-in-a-thousand chance of crashing. Don't worry."

"อย่าห่วงไปเลย มีโอกาสที่เครื่องจะตก เพียงหนึ่งในพันเท่านั้น"

Would you feel reassured?

คุณจะรู้สึกดีขึ้นไหมครับ

For these reasons, I think that preserving the future of humanity

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ผมคิดว่า การอนุรักษ์อนาคตของมนุษยชาติ

is among the most important problems that we currently face.

เป็นปัญหาที่สำคัญที่สุด ที่เรากำลังเผชิญอยู่

But let's keep using this framework.

แต่ลองมาใช้กรอบที่ว่านี้ดู

Is this problem neglected?

ปัญหานี้ถูกละเลยหรือเปล่า

And I think the answer is yes,

และผมคิดว่าคำตอบคือใช่

and that's because problems that affect future generations

นั่นเป็นเพราะปัญหานี้ ส่งผลกระทำต่อคนรุ่นหลัง

are often hugely neglected.

และมักจะถูกละเลย

Why?

ทำไมล่ะ

Because future people don't participate in markets today.

เพราะว่าคนในอนาคต ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตลาดในปัจจุบัน

They don't have a vote.

พวกเขาไม่มีสิทธิออกเสียง

It's not like there's a lobby representing the interests

ไม่เหมือนกับว่า มีการประชาสัมพันธ์ความสนใจ

of those born in 2300 AD.

ของคนจากช่วง 2300 ปีก่อนคริสกาล

They don't get to influence the decisions we make today.

พวกเขาไม่ได้มีส่วนต่อการตัดสินใจ ของพวกเราในปัจจุบัน

They're voiceless.

พวกเขาไม่มีโอกาสเรียกร้อง

And that means we still spend a paltry amount on these issues:

นั่นหมายความว่า เราจะทุ่มเงินเพียงเล็กน้อย เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้

nuclear nonproliferation,

เช่น การระงับปริมาณอาวุธนิวเคลียร์

geoengineering, biorisk,

วิศวกรรมภูมิศาสตร์ ความเสี่ยงด้านชีวภาพ

artificial intelligence safety.

ความปลอดภัยของจักรกลอัฉริยะ

All of these receive only a few tens of millions of dollars

ปัญหาเหล่านี้ได้รับเงินบริจาคทุกปี

of philanthropic funding every year.

เพียงไม่กี่สิบล้านดอลลาร์

That's tiny compared to the 390 billion dollars

ซึ่งเล็กน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับ เงิน 390 ล้านล้านดอลลาร์

that's spent on US philanthropy in total.

ที่เงินจากการกุศลในสหรัฐฯ ใช้ทั้งหมด

The final aspect of our framework then:

ลักษณะสุดท้ายของกรอบนี้คือ

Is this solvable?

มันแก้ไขได้ไหม

I believe it is.

ผมว่าได้ครับ

You can contribute with your money,

คุณสามารถมีส่วนร่วมโดยการให้เงิน

your career or your political engagement.

จากการทำงานของคุณ หรือการเข้าร่วมทางการเมือง

With your money, you can support organizations

ด้วยเงิน คุณสามารถสนับสนุนองค์กร

that focus on these risks,

ที่ตระหนักถึงความเสี่ยงเหล่านี้

like the Nuclear Threat Initiative,

เช่น การดำเนินการด้านภัยจากนิวเคลียร์

which campaigns to take nuclear weapons off hair-trigger alert,

ซึ่งรณรงค์ระงับการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ในการการโจมตีตอบโต้

or the Blue Ribbon Panel, which develops policy to minimize the damage

หรือคณะบลูริบบอน ซึ่งพัฒนานโยบายลดความเสียหาย

from natural and man-made pandemics,

จากการระบาดตามธรรมชาติ และจากน้ำมือมนุษย์

or the Center for Human-Compatible AI, which does technical research

หรือหน่วยเอไอที่เหมาะสำหรับมนุษย์ ซึ่งทำงานวิจัยทางเทคนิค

to ensure that AI systems are safe and reliable.

เพื่อให้มั่นใจว่าระบบเอไอ จะปลอยภัยและไว้ใจได้

With your political engagement,

ด้วยการเข้าร่วมทางการเมือง

you can vote for candidates that care about these risks,

คุณสามารถให้คะแนนเสียงกับตัวแทน ที่ตระหนักถึงความเสี่ยงเหล่านี้

and you can support greater international cooperation.

และคุณสามารถสนับสนุน ความร่วมมือระดับนานาชาติได้

And then with your career, there is so much that you can do.

และด้วยอาชีพของคุณ คุณสามารถทำอะไรได้มากมาย

Of course, we need scientists and policymakers and organization leaders,

แน่ล่ะว่า เราต้องการนักวิทยาศาสตร์ และผู้วางแผนนโยบาย และผู้นำองค์กร

but just as importantly,

แต่ที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน

we also need accountants and managers and assistants

เรายังต้องการนักบัญชี ผู้จัดการ และผู้ช่วย

to work in these organizations that are tackling these problems.

ทำงานในองค์กรเหล่านี้เพื่อจัดการกับปัญหา

Now, the research program of effective altruism

ตอนนี้ โครงการวิจัย ปรัตถนิยมที่มีประสิทธิภาพ

is still in its infancy,

ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น

and there's still a huge amount that we don't know.

และยังมีอะไรอีกมากที่เราไม่รู้

But even with what we've learned so far,

แต่ถึงตอนนี้จากสิ่งที่เราได้เรียนรู้มา

we can see that by thinking carefully

เราก็เห็นว่าด้วยการคิดอย่างรอบคอบ

and by focusing on those problems that are big, solvable and neglected,

และการมุ่งสนใจปัญหาที่สำคัญ แก้ไขได้ และถูกละเลย

we can make a truly tremendous difference to the world

เราก็จะสร้างความแตกต่าง อย่างมหาศาลให้กับโลกของเราได้

for thousands of years to come.

ในอีกหลายพันปีที่จะมาถึง

Thank you.

ขอบคุณครับ

(Applause)

(เสียงปรบมือ)