Andrew McAfee: Are droids taking our jobs?

Translator: Joseph Geni Reviewer: Morton Bast

Translator: Pootip Jongpiputvanich Reviewer: Suppadej Mahapokai

ปรากฎว่าในขณะที่คนหลายล้านคน

As it turns out, when tens of millions of people are unemployed

ว่างงาน หรือ มีงานทำ

ก็เกิดข้อสงสัยว่า เทคโนโลยีจะมีผลอย่างไรกับสภาวะแรงงานในตลาด

or underemployed,

there's a fair amount of interest in what technology might be doing

ผมเห็นหลายๆคน ถกเถียงกัน เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมคิดว่า

to the labor force.

พวกเขาเลือกหัวข้อในการสนทนา ได้ถูกต้อง

And as I look at the conversation,

it strikes me that it's focused on exactly the right topic,

แต่ในขณะเดียวกัน การถกเถียงเหล่านั้น มักจะหลุดประเด็นสำคัญๆไป

and at the same time, it's missing the point entirely.

หัวข้อที่มักเป็นที่ถกเถียงกันก็คือ

The topic that it's focused on,

เทคโนโลยีรอบๆตัวเราจะส่งผลต่อมนุษย์

the question is whether or not all these digital technologies are affecting

ในด้านการหาเลี้ยงชีพ หรือไม่? หรือ ถามให้ง่ายขึ้นก็คือ

people's ability to earn a living,

หุ่นยนต์จะมาทำงานแทนเราทั้งหมดหรือปล่าว?

or, to say it a little bit different way,

แล้วก็มีหลักฐานจริงๆว่ามันเกิดขึ้นอยู่

are the droids taking our jobs?

ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำได้หยุด เมื่อ GDP ของ อเมริกา

And there's some evidence that they are.

The Great Recession ended when American GDP resumed

เริ่มค่อยๆสูงขึ้น

its kind of slow, steady march upward,

และ ตัวชี้วัดเศรษฐกิจอื่นๆ ก็เริ่มดีขึ้น

and some other economic indicators also started to rebound,

และโตขึ้นอย่างรวดเร็ว กำไรจากบริษัทต่างๆ

ก็เริ่มดีขึ้น ซึ่งถ้าคุณรวมกำไรจากธนาคารด้วย

and they got kind of healthy kind of quickly.

Corporate profits are quite high;

จะพบว่ามันดีขึ้นกว่าที่เคยมีมาก่อน

in fact, if you include bank profits,

ธุรกิจต่างๆเกี่ยวกับ เครื่องมือ อุปกรณ์

they're higher than they've ever been.

And business investment in gear -- in equipment

ฮาร์ดแวร์ และ ซอฟต์แวร์ ต่างๆ ก็ดีที่สุดตั้งแต่ที่เคยมีมา

พูดง่ายๆคือธุรกิจต่างๆเริ่มมีแต่กำไร

and hardware and software -- is at an all-time high.

So the businesses are getting out their checkbooks.

แต่สิ่งที่ไม่ได้เกิดมากขึ้น คือ การจ้างงาน

กราฟเส้นสีแดงที่เห็น คือ อัตราการจ้างงาน

What they're not really doing is hiring.

So this red line

หรือ เปอร์เซนต์ของคนวัยทำงาน

is the employment-to-population ratio,

in other words, the percentage of working-age people in America

ในอเมริกาที่มีงานทำ

เห็นได้ชัดเจนว่าอัตราการมีงานทำ ยังตกต่ำหลังจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ

who have work.

And we see that it cratered during the Great Recession,

และยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย

แต่ผมไม่ได้จะพูดเรื่องเศรษฐกิจตกต่ำ

and it hasn't started to bounce back at all.

ช่วงทศวรรตที่ผ่านมา เรามีอัตราการจ้างงาน

But the story is not just a recession story.

The decade that we've just been through had

ที่ต่ำมากเมื่อเราเปรียบเทียบ

relatively anemic job growth all throughout,

กับช่วงทศวรรตก่อนหน้านั้น ในช่วงปี 2000 นี้

especially when we compare it to other decades,

เป็นช่วงเวลาเดียวที่เราพบว่า

and the 2000s are the only time we have on record

มีจำนวนคนมีงานทำปลายทศวรรต

where there were fewer people working at the end of the decade

น้อยกว่าช่วงต้นทศวรรต ซึ่งเป็นเรื่องที่เราไม่อยากได้ยิน

than at the beginning.

หากคุณเอาจำนวนคนที่สามารถทำงานได้ทั้งหมด

This is not what you want to see.

When you graph the number of potential employees

มาเปรียบเทียบกับจำนวนงานในประเทศ คุณจะเห็นช่องว่าง

versus the number of jobs in the country,

ค่อยๆ ห่างขึ้น เรื่อยๆ และ

you see the gap gets bigger and bigger over time,

ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ช่องว่างยิ่งห่างมากกว่าเดิม

and then, during the Great Recession, it opened up in a huge way.

ผมลองคำนวณคร่าวๆ ถ้าผมเอาอัตราการเติบโต GDP รอบ 20 ปีที่ผ่านมา

I did some quick calculations.

และ อัตราการเพิ่มของคนที่มีงานทำ

I took the last 20 years of GDP growth

เอามาคำนวณ แบบตรงไปตรงมาเพื่อหาว่า

and the last 20 years of labor-productivity growth

จะต้องมีการจ้างงานเท่าไหร่ เศรษฐกิจถึงจะเดินต่อได้

and used those in a fairly straightforward way

นี่คือเส้นที่ผมได้มาจากการคำนวณ

to try to project how many jobs the economy was going to need

to keep growing,

ดีหรือไม่ดีครับ? และ อีกเส้นนึงคือเส้นที่รัฐบาลประมาณการณ์ไว้

and this is the line that I came up with.

Is that good or bad?

สำหรับจำนวนคนทำงานในตลาดทั้งหมด

This is the government's projection

for the working-age population going forward.

ถ้าการประมาณการณ์ถูกต้อง ช่องว่างนี้จะไม่มีวันหายไป

So if these predictions are accurate, that gap is not going to close.

แต่ ผมไม่คิดว่าการประมาณการณ์นี้ถูกต้อง

The problem is, I don't think these projections are accurate.

ผมคิดว่าการประมาณการณ์เหล่านี้ มองโลกในแง่ดีเกินไป

In particular, I think my projection is way too optimistic,

เพราะการประมาณการณ์ มีการคาดการณ์ว่าอนาคต

because when I did it,

จะค่าต่างๆเติบโตเหมือนในอดีต

I was assuming that the future was kind of going to look like the past,

แต่จริงๆแล้วผมไม่เชื่อว่าอย่างนั้น

with labor productivity growth,

เพราะเมื่อลองดูจริงๆ เรายังแทบไม่เห็นภาพในอนาคตเลย

and that's actually not what I believe.

Because when I look around,

ว่าเทคโนโลยีจะกระทบกับ ตลาดแรงงานอย่างไร?

I think that we ain't seen nothing yet

when it comes to technology's impact on the labor force.

คุณแค่ลองดู 2-3 ปีที่ผ่านมาสิ คุณจะเห็นว่ามีเครื่องมือดิจิตอลเยอะแยะ

Just in the past couple years, we've seen digital tools

ทำงานได้หลากหลายแบบที่เราไม่เคยเจอมาก่อน

display skills and abilities that they never, ever had before,

แล้วก็แทบจะมาแทน การทำงานของคนได้เลย

and that kind of eat deeply into what we human beings

ผมลองยกตัวอย่าง 2-3 ตัวอย่าง

do for a living.

ในอดีตที่ผ่านมา ถ้าคุณต้องการ

Let me give you a couple examples.

ที่จะแปลภาษาจากภาษาใดภาษาหนึ่ง

Throughout all of history,

if you wanted something translated from one language into another,

คุณจะต้องเอาคนมาเกี่ยวข้องตลอด

แต่ตอนนี้เรามีเครื่องแปลภาษา

you had to involve a human being.

Now we have multi-language, instantaneous,

ที่แปลได้หลายภาษา รวดเร็ว และ ฟรี

automatic translation services available for free

ผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ รวมถึง Smart Phone

via many of our devices, all the way down to smartphones.

ถ้าคุณเคยใช้ คุณจะพอรู้ว่า

มันไม่ได้ดีที่สุด แต่มันก็ดีในระดับนึง

And if any of us have used these,

we know that they're not perfect, but they're decent.

... ในประวัติศาสตร์ ถ้าคุณต้องเขียนรายงาน

Throughout all of history, if you wanted something written,

หรือ บทความ คุณต้องใช้คนทำ

a report or an article, you had to involve a person.

แต่ไม่จำเป็นอีกแล้ว

บทความ Forbes Online ที่ผ่านมาเกี่ยวกับ กำไรของบริษัท Apple

Not anymore.

This is an article that appeared in Forbes online a while back,

ถูกเขียนโดย โปรแกรม

about Apple's earnings.

บทความนั้นไม่ได้แค่ดี แต่มันสมบูรณ์แบบเลยละ

It was written by an algorithm.

And it's not decent -- it's perfect.

... หลายคนมองว่า

มันยังเป็นแค่บทความที่เฉพาะทางมากเกิน

A lot of people look at this and they say,

และ คนที่ทำงานด้านความรู้ต่างๆ มักมีความรู้ที่กว้างขวาง

"OK, but those are very specific, narrow tasks,

และพวกเขาเหล่านั้นก็ทำงานบน กรอบของงานที่กว้าง

and most knowledge workers are actually generalists.

และใช้ความรู้ที่พวกเขามี

And what they do is sit on top of a very large body of expertise and knowledge

ตอบสนองความต้องการที่เข้ามา ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆได้

and they use that to react on the fly to kind of unpredictable demands,

ซึ่ง ยากมากที่จะให้หุ่นยนต์มาทำแทน

... มีคนที่ทำงานด้านความรู้คนหนึ่ง

and that's very, very hard to automate."

ชื่อ Ken Jennings

One of the most impressive knowledge workers in recent memory

เขาชนะเกมโชว์ชื่อ "Jeopardy" ถึง 74 ครั้งติดต่อกัน

is a guy named Ken Jennings.

He won the quiz show "Jeopardy!" 74 times in a row.

ได้เงินกลับบ้านไปกว่า 3 ล้านเหรียญ

คนนั้นคือ Ken ... คนที่อยู่ขวามือ ซึ่งพ่ายแพ้ 1-3 ให้กับ

Took home three million dollars.

That's Ken on the right, getting beat three-to-one

Watson เครื่อง Super Computer จาก IBM ที่มาเล่นเกมโชว์นี้

by Watson, the Jeopardy-playing supercomputer from IBM.

...ถ้าเรามองว่าเทคโนโลยีทำอะไรบ้าง

ถ้าเทียบกับคนงานองค์ความรู้ต่างๆ ผมก็เริ่มคิดได้ว่า

So when we look at what technology can do to general knowledge workers,

อาจจะมีบางอย่างที่พิเศษสำหรับความคิดของ

I start to think there might not be something so special

คนที่มีความรู้กว้างขวาง โดยเฉพาะเวลาที่เรา ทำหลายๆอย่าง

about this idea of a generalist,

เช่น ใช้ Siri (Application บน iPhone) หรือ Watson และให้เทคโนโลยี

particularly when we start doing things like hooking Siri up to Watson,

มาเข้าใจว่าพวกเราพูดอะไรกัน

and having technologies that can understand what we're saying

แล้วให้พูดคำพูดเหล่านั้นกลับมาหาเรา

ตอนนี้ Siri ยังไม่พัฒนาเต็มที่ แล้ว เราก็ยังล้อเลียน

and repeat speech back to us.

Now, Siri is far from perfect, and we can make fun of her flaws,

ข้อบกพร่องต่างๆ แต่ขอให้เราคิดเสมอว่า

ถ้าเทคโนโลยีอย่าง Siri และ Watson ถูกพัฒนา

but we should also keep in mind

ในอัตราที่เร็วเหมือนทฤษฎีของ Moore ซึ่งน่าจะเป็นจริง

that if technologies like Siri and Watson improve along a Moore's law trajectory,

ภายใน 6 ปี เทคโนโลยีเหล่านี้ จะไม่ใช่แค่ดีขึ้น 2 เท่า

which they will,

หรือ 4 เท่า แต่จะดีกว่าตอนนี้ 16 เท่าเลยทีเดียว

in six years, they're not going to be two times better or four times better,

they'll be 16 times better than they are right now.

...ผมก็เลยคิดว่า งานที่เกี่ยวข้องกับ องค์ความรู้ต่างๆ จะต้องถูกกระทบแน่นอน

So I start to think a lot of knowledge work is going to be affected by this.

และ เทคโนโลยี จะไม่ได้กระทบ แค่งานที่เกี่ยวข้องกับองค์ความรู้ต่างๆ

And digital technologies are not just impacting knowledge work,

แต่จะกระทบกับงานที่ใช้แรงงานด้วยเช่นกัน

they're starting to flex their muscles in the physical world as well.

... ผมมีโอกาสที่จะได้ขับรถของ Google

ที่ขับด้วยตัวเองได้ ซึ่งมันเจ๋งเหมือนคุณคิดนั่นหละ (หัวเราะ)

I had the chance a little while back to ride in the Google autonomous car,

which is as cool as it sounds.

และ ผมยืนยันได้ว่า มันทำงานได้ดีใน ท่ามกลางรถติด

(Laughter)

บนถนน U.S. 101 ได้อย่างดี

And I will vouch that it handled the stop-and-go traffic on US 101

... มีคนประมาณ 3.5 ล้านคน

very smoothly.

ที่ขับรถบรรทุกเป็นอาชีพในอเมริกา

There are about three and a half million people who drive trucks for a living

ผมคิดว่าต้องมีบางคนได้รับผลกระทบ จากเทคโนโลยีนี้

ตอนนี้ หุ่นยนต์เสมือนคนในตลาด

in the United States;

I think some of them are going to be affected by this technology.

ยังไม่พัฒนาเท่าไหร่ ยังทำอะไรไม่ได้มาก

And right now, humanoid robots are still incredibly primitive.

แต่ พวกมันก็ดีขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว

They can't do very much.

DARPA หรือ หน่วยงานในกระทรวงกลาโหม

But they're getting better quite quickly

and DARPA, which is the investment arm of the Defense Department,

พยายามเร่งการพัฒนาหุ่นยนต์อย่างมาก

... พูดง่ายๆคือ ใช่ ... หุ่นยนต์กำลังมาทำงานแทนเรา

is trying to accelerate their trajectory.

So, in short, yeah, the droids are coming for our jobs.

ในระยะสั้นนี้ เราสามารถเพิ่มงาน

ในตลาดได้โดยส่งเสริมให้เกิด ธุรกิจใหม่ๆ และ ลงทุนใน

In the short term, we can stimulate job growth

โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพราะหุ่นยนต์ยังไม่สามารถ

by encouraging entrepreneurship

and by investing in infrastructure,

ซ่อมสะพานได้ดีเท่าไหร่

แต่ไม่นานหรอก ผมคิดว่าในช่วงชีวิตของเรานี่แหละ

because the robots today still aren't very good at fixing bridges.

But in the not-too-long-term,

คนส่วนใหญ่ในห้องนี้ จะได้เห็น

I think within the lifetimes of most of the people in this room,

เศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่

we're going to transition into an economy that is very productive,

ไม่จำเป็นต้องการแรงงานที่เป็นมนุษย์

... การบริหารการเปลี่ยนแปลงนี้

but that just doesn't need a lot of human workers.

จะเป็นความท้าทายใหญ่หลวงของมนุษย์

And managing that transition is going to be the greatest challenge

นักปรัชญาชื่อ Voltaire เคยสรุปไว้ว่า

that our society faces.

"งานเป็นสิ่งที่ช่วยเราจากปีศาจ 3 ตัวคือ ความเบื่อหน่าย ข้อบกพร่อง ความต้องการ"

Voltaire summarized why; he said,

"Work saves us from three great evils: boredom, vice and need."

...ถึงแม้จะมีความท้าทายเหล่านี้

ผมยังมองว่าเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดี

But despite this challenge --

personally, I'm still a huge digital optimist,

และผมเชื่อมั่นอย่างมากว่าเทคโนโลยี ยุคดิจิตอลที่เรากำลังพัฒนา

and I am supremely confident

จะพาเราไปสู่อนาคตที่สดใส

that the digital technologies that we're developing now

ไม่ใช่อนาคตที่มืดมน ก่อนอธิบายว่าทำไม

are going to take us into a Utopian future,

not a dystopian future.

ผมขอตั้งคำถามกว้างๆคำถามนึงว่า

And to explain why,

อะไรเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา

I want to pose a ridiculously broad question.

ที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์มากที่สุด?

I want to ask:

what have been the most important developments in human history?

ผมจะแชร์คำตอบที่ได้มาให้คุณฟัง

คำถามนี้เป็นคำถามที่น่าสนใจมาก

Now, I want to share some of the answers that I've gotten

เพราะเมื่อถามแล้ว จะมีข้อถกเถียงกันไม่รู้จบ

in response to this question.

..หลายคนจะเอาปรัชญาต่างๆ

It's a wonderful question to ask and start an endless debate about,

จากทั้งทางตะวันตก และ ตะวันออก

because some people are going to bring up

systems of philosophy in both the West and the East

ที่เปลี่ยนความคิดของคนหลายคนต่อโลกของเรา

that have changed how a lot of people think about the world.

และ หลายคนก็บอกว่า ไม่จริง ทุกๆเรื่อง

พื้นฐานต่างๆบนโลกเกิดจาก ศาสนาหลักที่เรามี

And then other people will say,

"No, actually, the big stories, the big developments

ที่เป็นตัวทำให้เกิดความเจริญ

are the founding of the world's major religions,

และเปลี่ยนความคิดของคนนับไม่ถ้วน

which have changed civilizations and have changed and influenced

ในการดำรงชีวิตแต่ละวัน และบางคนก็บอกว่า

how countless people are living their lives."

จริงๆแล้วสิ่งที่ผลักดันให้เกิดความเจริญ

And then some other folk will say,

"Actually, what changes civilizations,

และเปลี่ยนชีวิตของคนมากมาย

what modifies them and what changes people's lives are empires,

คือ จักรพรรดิในอดีต เพราะสิ่งต่างๆที่พัฒนามาได้

เพราะ การต่อสู้ และ สงคราม

so the great developments in human history

และ บางคนที่ไอเดียบรรเจิด ก็อาจจะบอกว่า

are stories of conquest and of war."

อย่าลืมเรื่องกาฬโรคด้วย (หัวเราะ)

And then some cheery soul usually always pipes up and says,

"Hey, don't forget about plagues!"

(Laughter)

หรือ หลายคนก็อาจจะตอบว่า

ช่วงที่มีการสำรวจโลกเป็นช่วงที่

There are some optimistic answers to this question,

เปิดโลกทัศน์ของคนมากมาย

so some people will bring up the Age of Exploration

หลายๆคนก็อาจจะพูดเกี่ยวกับ ความรู้ใหม่ต่างๆ

and the opening up of the world.

เช่น ความรู้เชิงคณิตศาสตร์ที่ทำให้เรา

Others will talk about intellectual achievements in disciplines like math

จัดการกับเรื่องบนโลกได้ดีขึ้น และ หลายๆคนก็จะพูดถึง

that have helped us get a better handle on the world,

ช่วงเวลาที่ ศิลปะ และ วิทยาศาสตร์

เติบโต ฉะนั้นการโต้เถียงเลยไม่จบไม่สิ้น

and other folk will talk about periods when there was a deep flourishing

of the arts and sciences.

และ ไม่มีข้อสรุปใดๆ

So this debate will go on and on.

It's an endless debate

ไม่มีคำตอบใดคำตอบนึงสมบูรณ์ แต่ถ้าคุณเป็นพวกชอบตัวเลขเหมือนผม

and there's no conclusive, single answer to it.

คุณคงอดถามไม่ได้ว่า "แล้วตัวเลขบอกว่าอย่างไร?"

But if you're a geek like me,

แล้วคุณก็จะมาเริ่มทำ กราฟ ต่างๆ

you say, "Well, what do the data say?"

And you start to do things

ที่เราคิดว่าน่าสนใจ เช่น จำนวนประชากรโลก

like graph things that we might be interested in --

the total worldwide population, for example,

หรือ ตัวแปรวัดความเจริญทางสังคม

หรือ ความก้าวหน้าของสังคม

or some measure of social development

และถ้าคุณลองมาดูที่ตัวเลข

or the state of advancement of a society.

And you start to plot the data, because, by this approach,

จะพบว่า สิ่งที่เปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ ของมนุษยชาติ

คือ สิ่งที่เปลี่ยนกราฟมากที่สุด

the big stories, the big developments in human history,

... ถ้าคุณลองพลอตข้อมูล

are the ones that will bend these curves a lot.

คุณจะได้ข้อสรุปที่ประหลาดออกมา

So when you do this and when you plot the data,

คุณจะสรุปว่า สิ่งที่คนเถียงกันทั้งหมด

you pretty quickly come to some weird conclusions.

ไม่ได้มีอะไรเลยที่สำคัญมากมาย (หัวเราะ)

You conclude, actually,

that none of these things have mattered very much.

(Laughter)

สิ่งพูดกันมาไม่ได้เปลี่ยนกราฟ หรือ ตัวเลขมากเลย (หัวเราะ)

They haven't done a darn thing to the curves.

แต่มีเรื่องเดียว สิ่งเดียว

There has been one story, one development in human history

ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ที่เปลี่ยนกราฟ

90 องศาเลย สิ่งนั้นคือ เทคโนโลยีนั่นเอง

that bent the curve, bent it just about 90 degrees,

เครื่องจักรไอน้ำ และ เทคโนโลยีอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

and it is a technology story.

ในยุคอุตสาหกรรมต่างหาก ที่เปลี่ยนโลกนี้

The steam engine and the other associated technologies

และ เปลี่ยนประวัติศาสตร์มนุษยํอย่างมากมาย

of the Industrial Revolution

หากมองในมุมนักประวัติศาสตร์ Ian Morris

changed the world and influenced human history so much,

เทคโนโลยีทำให้สิ่งอื่นๆก่อนหน้า ดูเล็กไปเลย

that in the words of the historian Ian Morris,

"... they made mockery out of all that had come before."

... สิ่งที่เทคโนโลยีทำคือ การทำให้

And they did this by infinitely multiplying the power of our muscles,

เราสามารถทำงานที่ออกแรงมากกว่า ขีดจำกัดกล้ามเนื้อมนุษย์หลายเท่า

และปัจจุบัน เราก็อยู่ในช่วงที่

overcoming the limitations of our muscles.

เราก็พยายามเอาชนะงานที่ ใช้ความคิดเกินขีดจำกัดของสมอง

Now, what we're in the middle of now

ให้มากกว่าที่เคยมีมาหลายเท่าเช่นกัน

is overcoming the limitations of our individual brains

...แต่เรื่องเอาชนะขีดจำกัดของสมอง ทำไมไม่ได้สำคัญเท่าการเอาชนะ

and infinitely multiplying our mental power.

How can this not be as big a deal

ขีดจำกัดของกล้ามเนื้อละ ?

ผมขอย้ำอีกทีว่า ถ้ามอง

as overcoming the limitations of our muscles?

So at the risk of repeating myself a little bit,

สิ่งที่เกิดขึ้นในยุคดิจิตอลปัจจุบัน

when I look at what's going on with digital technology these days,

จะพบว่า เราไม่ได้ใกล้เคียงเลยที่จะ สำเร็จจุดหมายนี้

และเมื่อผมมองสิ่งที่เกิดขึ้นกับ เศรษฐกิจของเรา

we are not anywhere near through with this journey.

และ สังคมของเรา ผมก็พอสรุปได้ว่า

And when I look at what is happening to our economies and our societies,

เรายังไม่เห็นอะไรเลย วันที่ดีที่สุดยังอยู่ไกลจากตอนนี้

my single conclusion is that we ain't seen nothing yet.

ผมขอยกตัวอย่าง 2-3 ตัวอย่าง

The best days are really ahead.

เศรษฐกิจไม่ได้เดินได้ด้วยพลังงาน ไม่ได้เดินได้ด้วยเงินทุน

Let me give you a couple examples.

Economies don't run on energy.

เศรษฐกิจไม่ได้เดินด้วยแรงงาน แต่ "เศรษฐกิจจะเดินได้จากไอเดีย"

They don't run on capital, they don't run on labor.

เพราะฉะนั้นงานประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ งานที่ก่อให้เกิด

Economies run on ideas.

ไอเดียใหม่ๆ คืองานที่มีพลังมากที่สุด

So the work of innovation, the work of coming up with new ideas,

และ เป็นงานพื้นฐานมนุษย์ทำได้

is some of the most powerful, most fundamental work that we can do

ให้กับเศรษฐกิจ และ ถ้าเราอยากได้สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ

in an economy.

ให้เราหาคนที่มีหน้าตาคล้ายๆกัน

And this is kind of how we used to do innovation.

We'd find a bunch of fairly similar-looking people ...

(หัวเราะ)

(Laughter)

เอาพวกเขาออกจากสถาบันมีชื่อเสียงต่างๆ แล้วเอามา

ใส่รวมในสถาบันใหม่ จากนั้นก็แค่รอสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆจากเขา

We'd take them out of elite institutions,

(หัวเราะ)

we'd put them into other elite institutions

and we'd wait for the innovation.

Now --

ในฐานะที่ผมเป็นหนึ่งในคนที่ทำงานที่ มหาวิทยาลัย MIT

(Laughter)

และ Harvard ผมไม่มีปัญหาเลยกับเรื่องนี้ (หัวเราะ)

as a white guy who spent his whole career at MIT and Harvard,

I've got no problem with this.

(Laughter)

แต่บางคนมีปัญหา พวกเขามักจะชอบทำให้ทุกอย่างพัง และ

ไม่ก่อให้เกิด ภาวะเอื้อหนุน ให้เกิดสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ

But some other people do,

and they've kind of crashed the party

(หัวเราะ)

and loosened up the dress code of innovation.

นี่คือ ผู้ชนะจาก การแข่งขันเขียนโปรแกรม Top Coder

(Laughter)

So here are the winners of a Topcoder programming challenge,

ผมยืนยันได้เลยว่า ไม่มีใครสนใจว่า

เด็กพวกนี้เกิดที่ไหน หรือ เขาจบโรงเรียนอะไรมา

and I assure you that nobody cares

where these kids grew up, where they went to school,

หรือ หน้าตาเขาเป็นยังไง ทุกคนดูแค่อย่างเดียวคือ

ผลงาน และ ความคิดของพวกเขา

or what they look like.

All anyone cares about is the quality of the work, the quality of the ideas.

และ จนแล้วจนเล่า เราก็เห็นว่ามันเกิดขึ้น

ในโลกเทคโนโลยีตลอดเวลา

And over and over again, we see this happening

งานที่เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ เริ่มเปิดกว้าง

in the technology-facilitated world.

เริ่มโปร่งใส และ ให้รางวัลตามผลงานของแต่ละคนมากขึ้น

The work of innovation is becoming more open,

more inclusive, more transparent and more merit-based,

ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่ได้สนใจเลยว่าใครจบ MIT หรือ Harvard มา

and that's going to continue no matter what MIT and Harvard think of it,

หากมาลองคิดดู เป็นเรื่องน่ายินดีมาก ที่แนวโน้มตลาดเป็นแบบนี้

... ผมได้ยินหลายคนพูดว่า "ผมเห็นด้วยนะ แต่

and I couldn't be happier about that development.

เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือให้กับแค่คนรวย

I hear once in a while, "OK, I'll grant you that,

มันไม่ได้ช่วย

but technology is still a tool for the rich world,

กลุ่มคนที่มีภาวะยากจนที่สุดในสังคมเลย

and what's not happening,

these digital tools are not improving the lives

ผมบอกได้เลยว่าคำพูดพวกนี้ "ไม่สมเหตุสมผล"

of people at the bottom of the pyramid."

คนยากจนจริงๆแล้วได้รับผลประโยชน์ จากเทคโนโลยีมหาศาล

And I want to say to that very clearly: nonsense.

นักเศรษฐศาสตร์ชื่อ Robert Jensen ได้ทำงานวิจัยงานหนึ่ง

The bottom of the pyramid is benefiting hugely from technology.

ซึ่งทำการศึกษาอย่างละเอียด

The economist Robert Jensen did this wonderful study a while back

ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านชาวประมง ชื่อ Kerela ประเทศอินเดีย

where he watched, in great detail,

what happened to the fishing villages of Kerala, India,

หลังจากได้มือถือใช้เป็นครั้งแรก

when they got mobile phones for the very first time.

ปกติเวลาคุณเขียนบทความใน Quarterly Journal of Economics

บทความจะต้องเต็มไปด้วย ศัพท์ที่น่าเบื่อ ไม่ชวนฟัง

And when you write for the Quarterly Journal of Economics,

แต่พอผมอ่านงานของเขา ผมรู้สึกได้เลยว่า Jensen พยายาม

you have to use very dry and very circumspect language.

จะตะโกนบอกเรา บอกว่านี่เป็นเรื่องสำคัญมาก

But when I read his paper,

I kind of feel Jensen is trying to scream at us

ราคาของต่างๆเริ่มนิ่ง ผู้คนในหมู่บ้านวางแผนชีวิตง่ายขึ้น

and say, "Look, this was a big deal.

Prices stabilized, so people could plan their economic lives.

ขยะต่างๆไม่ได้ลดลง แต่หายไปหมด

Waste was not reduced -- it was eliminated.

ชีวิตของพ่อค้า และ ชาวบ้านของหมู่บ้าน

ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

And the lives of both the buyers and the sellers

... ผมไม่คิดว่า Jensen จะโชคดีมากขนาดที่

in these villages measurably improved."

Now, what I don't think is that Jensen got extremely lucky

จะเจอหมู่บ้านแค่หนึ่งหมู่บ้าน

ที่เทคโนโลยีทำให้ชีวิตดีขึ้น

and happened to land in the one set of villages

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เขากลับมาทำงานวิจัยต่อ

where technology made things better.

แบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก กับสังคมใหม่

What happened instead is he very carefully documented

ที่เทคโนโลยีใหม่ๆ เพิ่งเข้าไปครั้งแรก

what happens over and over again when technology comes for the first time

เขาก็พบเหมือนเดิมว่า ความเป็นอยู่ของผู้คนดีขึ้นอย่างมากทุกครั้ง

to an environment and a community:

the lives of people, the welfares of people, improve dramatically.

พอดูหลักฐานเหล่านี้ทำให้ผมคิดว่า

ถ้ามองเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

So as I look around at all the evidence

and I think about the room that we have ahead of us,

ผมควรจะมองเทคโนโลยีในแง่ดี ทำให้ผมนึกถึงคำพูดหนึ่ง

I become a huge digital optimist

ของนักฟิสิกส์ชื่อ Freeman Dyson ว่า

and I start to think that this wonderful statement from the physicist Freeman Dyson

มันไม่ได้เกินจริงหรอกนะ แต่เป็น คำพูดที่ตรงกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นเลยละ

is actually not hyperbole.

เทคโนโลยี อุปกรณ์ดิจิตอล คือ ของขวัญชั้นเยี่ยม

This is an accurate assessment of what's going on.

และ ในตอนนี้เรามีอนาคตที่สดใสรออยู่

Our technologies are great gifts,

and we, right now, have the great good fortune

อนาคตพวกเราอยู่ท่ามกลาง ความเจริญของเทคโนโลยี

to be living at a time when digital technology is flourishing,

เมื่อมันกระจาย และ ฝัง

และ มีความสำคัญยิ่งๆขึ้นกับคนทั่วโลก

when it is broadening and deepening and becoming more profound

... มันถูกว่าหุ่นยนต์อาจจะเอางานเราไป

all around the world.

So, yeah, the droids are taking our jobs,

แต่ นั่นเป็นการมองที่ผิดประเด็นสำคัญไปเลย

but focusing on that fact misses the point entirely.

สิ่งที่สำคัญคือ เราจะมีเวลามากขึ้นเพื่อทำอย่างอื่น

The point is that then we are freed up to do other things,

และ ผมมั่นใจว่าสิ่งที่เราจะทำ

จะเป็นสิ่งที่ลดความยากจน งานที่น่าเบื่อต่างๆ

and what we're going to do, I am very confident,

และ ความทุกข์ยาก ทั่วทุกมุมโลก และ ผมก็มั่นใจว่า

what we're going to do is reduce poverty

and drudgery and misery around the world.

เราจะเรียนรู้วิธีที่จะอยู่บนโลกใบนี้ อย่างมีความสุข

I'm very confident we're going to learn to live more lightly on the planet,

และ ผมมั่นใจเป็นอย่างมากว่า สิ่งที่เรากำลังทำ

and I am extremely confident that what we're going to do

ในการพัฒนาให้เครื่องมือดิจิตอลต่างๆ มีบทบาทมากขึ้น

และ มีประโยชน์มากขึ้น จะทำให้ทุกอย่างดียิ่งขึ้น

with our new digital tools

is going to be so profound and so beneficial

แบบทำลายสถิติเดิม เหมือนที่ผ่านมา

ผมขอฝากคำพูดสุดท้ายให้กับ คนทุกคนที่อยู่แนวหน้า

that it's going to make a mockery out of everything that came before.

ที่ช่วยกันพัฒนาเทคโนโลยี

I'm going to leave the last word

เพื่อนเก่าของเรา Ken Jennings ซึ่งผมเห็นด้วยกับเขา

to a guy who had a front-row seat for digital progress,

ผมขอฝากคำพูดของเขาไว้ว่า

our old friend Ken Jennings.

"ผม ในฐานะคนหนึ่งคน ขอต้อนรับคอมพิวเตอร์ มาเป็นเจ้านายของพวกเรา" (หัวเราะ)

I'm with him; I'm going to echo his words:

"I, for one, welcome our new computer overlords."

ขอบคุณมากครับ (เสียงปรบมือ)

(Laughter)

Thanks very much.

(Applause)