Savitri and Satyavan: The legend of the princess who outwitted Death - Iseult Gillespie

Translator: Varintorn Tacha Reviewer: Sakunphat Jirawuthitanant

Princess Savitri of the Madra Kingdom was as benevolent, brilliant, and bright

องค์หญิงสาวิตรี ธิดาแห่งแคว้นมัทระ มีพระกรุณา เฉียบแหลม และสดใส

as the Sun God she was named for.

ดั่งสุริยเทวีที่นางได้รับพระนามตาม

Her grace was known throughout the land,

ความสง่างามของนางเป็นที่เลื่องลือ ไปทั่วแดน

and many powerful princes and wealthy merchants flocked to her family’s palace

องค์ชายผู้เรืองอำนาจและพ่อค้าผู้มั่งคั่ง มากมาย ต่างแห่กันมาที่พระราชวัง

to seek her hand in marriage.

เพื่อขอสู่ขอพระนาง

But upon witnessing her blinding splendor in person,

แต่เมื่อได้ยลพระสิริโฉมด้วยตนเอง

the men lost their nerve.

เหล่าบุรุษต่างพากันตกตะลึงพรึงเพริด

Unimpressed with these suitors,

องค์หญิงไม่ประทับใจกับคู่ครองเหล่านี้

the princess determined to find a husband herself.

และตั้งใจที่จะหาพระสวามีด้วยตนเอง

Mounting her golden chariot, she travelled through rolling deserts,

นางขึ้นรถม้าสีทอง และออกเดินทาง ผ่านทะเลทรายอันสลับซับซ้อน

glittering cities and snow-capped mountains—

เมืองโอฬาร และภูเขาเหมันต์

rejecting many men along the way.

พร้อมกับปฏิเสธบุรุษเพศจำนวนมากไปด้วย

Eventually, Savitri ventured deep into the jungle,

ในที่สุด สาวิตรีก็เดินทางลึกเข้าไปในป่า

where she met a young man chopping wood.

และได้พบกับบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งกำลังตัดฟืน

นามของเขาคือ สัตยวาน และเช่นเดียวกับนาง เขารักป่าอันเงียบสงบ

His name was Satyavan, and like her, he loved the tranquil forest—

but the princess saw he was not at peace.

แต่องค์หญิงทอดพระเนตรเห็นว่า เขามิได้สงบสุข

After talking for hours, Satyavan told her of his plight.

หลังจากสนทนาปราศัยกันนับชั่วโมง สัตยวานก็เล่าให้นางฟังถึงชะตากรรมของเขา

His parents had once been wealthy rulers,

พระบิดามารดรของเขา เดิมเป็นผู้ปกครองที่มั่งคั่ง

until his father was blinded and overthrown in a violent coup.

จนกระทั่งดวงเนตรของพระบิดาเกิดบอด และถูกโค่นล้มจากการรัฐประหารที่รุนแรง

Now Satyavan worked tirelessly to support their meager new life.

บัดนี้ สัตยวานทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพื่อประทังชีวิตใหม่ที่ขาดแคลนของพวกเขา

His determination and devotion moved the princess.

ความมุ่งมั่นและความทุ่มเทของเขา ทำให้เจ้าหญิงประทับใจ

As they gazed into each other’s eyes, she knew she’d finally found an equal.

จ้องมองไปในนัยน์ตาของกันและกัน

พระนางรู้ทราบแก่ใจแล้วว่า นางได้พบคู่แท้ของนางแล้ว

Savitri rushed home to tell her father the good news,

สาวิตรีรีบเดินทางกลับเมือง เพื่อทูลพระบิดาถึงข่าวดี

only to find him conversing with Narada

แต่พบว่าเขากำลังสนทนาอยู่กับพระนารฤๅษี

a traveling sage and wisest messenger of the Gods.

นักปราชญ์ผู้เดินทางและผู้ส่งสารที่ ปราดเปรื่องที่สุดของเหล่าทวยเทพ

At first her father was thrilled to learn of Satyavan,

ในคราแรก พระบิดาของนางทรงพระโสมนัส เกี่ยวกับสัตยวาน

but Narada revealed a tragic prophecy: her betrothed had only a year to live.

แต่พระนารฤๅษีเผยทำนายสุดแสนสลดใจว่า

คู่ตุนาหงันของนางเหลือลมหายใจอยู่ อีกแค่หนึ่งปีเท่านั้น

Savitri’s blood ran cold.

โลหิตของพระนางสาวิตรีเย็นยะเยือก

She’d waited so long to find her partner— was she already doomed to lose him?

นางเฝ้ารอมานานมากเพื่อตามหาคู่ครอง นี่ถึงวาระที่นางจะสูญเสียเขาไปแล้วหรือ

The princess would not accept these terms.

เจ้าหญิงไม่ยอมรับในโชคชะตานี้

She swore before Narada, her family,

พระนางให้คำปฏิญาณเบื้องหน้า พระนารฤๅษี ราชวงศ์

and Savitr himself that she would never marry another.

และองค์เทพีสาวิตรี ว่า นางจะไม่ ขออภิเษกสมรสกับชายใด

Satyavan was her one true love, and their fates were entwined forever.

สัตยวานคือรักแท้รักเดียวของนางและ สายสัมพันธ์นี้จะเชื่อมโยงกันจวบจนนิรันดร์

Moved by her powerful words,

ทราบซึ้งในคำสัตย์ปฏิญาณของนาง

the sage told the princess to follow an ancient spiritual regimen.

นักปราชญ์แนะนำนางให้ ปฏิบัติตามการบูชาเทพแบบโบราณ

With regular prayer, periods of fasting,

ด้วยการสวดมนต์อธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ การถือศีลอด

and preparation of special herbs and plants,

และการเตรียมสมุนไพรและพืชชนิดพิเศษ

she might be able to prolong Satyavan’s life.

พระนางอาจจะประวิง เวลาชีวิตของสัตยวานไว้ได้

After a simple wedding, the couple returned to the jungle to live

หลังพิธีสยุมพรอย่างเรียบง่าย ทั้งสองก็ย้ายไปใช้ชีวิตในป่า

in keeping with the sage’s instructions.

และปฏิบัติตามแนะนำ ของนักปราชญ์อย่างเคร่งครัด

This modest existence was a far cry from her lavish upbringing,

การดำรงอยู่อย่างเรียบง่ายนี้ช่างไกลห่างจาก การเติบโตมาอย่างฟุ่มเฟือยของนาง

but they were happy in each other’s company.

แต่ทั้งคู่ก็มีความสุขใน การเป็นอยู่ที่มีกันและกัน

A year passed, and the fated day arrived.

ขวบปีผ่านไป และวันกำหนดโชคชะตาก็มาถึง

On their first anniversary, the sun grew horribly hot,

ในวันครบรอบวันพิธีสยุมพร ดวงตะวันร้อนระอุดั่งเพลิง

and Satyavan’s brow began to burn,

หน้าผากของสัตยวานแผดเผาดั่งไฟ

Savitri barely had time to drag him into the shade,

สาวิตรีแทบไม่มีเวลาลากเขา เข้าไปในร่มไม้เสียด้วยซ้ำ

before he grew still and cold.

ร่างของเขาก็แน่นิ่งและเย็นไป

Through her tears, the princess saw an immense figure on the horizon.

ผ่านม่านน้ำตา องค์หญิงมองเห็น ร่างขนาดมหึมาที่เส้นขอบฟ้า

This was Yamraj, the God of Death,

ผู้นั้นคือพญามัจุราช พระยม

เสด็จมาเพื่อนำดวงวิญญาณของสัตยวาน ไปยังโลกหลังความตาย

come to escort Satyavan’s soul to the afterlife.

But Savitri was not giving up yet.

หากแต่พระนางสาวิตรียังไม่ยอมแพ้

She followed the god for hours in the beating sun.

พระนางเดินตามหลังองค์เทพนานนับ หลายชั่วยามภายใต้ดวงตะวันอันร้อนระอุ

Yamraj thundered at the princess to leave him in peace.

พระยมร้องคำรามใส่องค์หญิง เพื่อให้เขาได้เดินทางต่อไปอย่างสงบ

But even as her feet bled and throat burned, Savitri would not turn back.

แต่ถึงแม้เท้าของนางจะเลือดอาบไหล ลำคอ จะแห้งเป็นผุยผง สาวิตรีก็ไม่ยอมหันหลังกลับ

Eventually, Yamraj paused.

ในที่สุด พระยมก็หยุดเดิน

He would grant her one wish as reward for her persistence,

องค์เทพจะประทานพรให้แก่ความวิริยะของนาง

but she couldn’t ask for her husband’s life.

หากแต่นางสามารถขอชีวิตของพระสวามีคืนได้ไม่

Without hesitating, Savitri asked the God to restore her father in-law’s sight.

โดยไม่ลังเล สาวิตรีร้องขอให้องค์เทพ ประทานการมองเห็นคืนในกับพระสัสสุระ

The wish was granted, and Yamraj rode on.

องค์เทพประทานพรดั่งคำปราถนาแล้วเดินทางต่อ

But still Savitri’s footsteps echoed behind him.

แต่ทว่า ก็ยังมีเสียงฝีเท้าของ สาวิตรีดังก้องไล่หลังอยู่

Exasperated, the God granted her a second wish.

ด้วยความพิโรธ องค์เทพได้ ประทานพรข้อที่สองให้กับนาง

This time, she asked for Satyavan’s kingdom to be restored.

ครานี้ สาวิตรีร้องขอให้แคว้นของสัตยวาน คืนกลับมาเป็นดั่งเดิม

Again the wish was granted,

และเป็นอีกครั้งที่พรเป็นไปตามคำปราถนา

and Yamraj began his descent into his subterranean kingdom.

และพระธรรมราชก็เดินทางต่อ สู่เมืองใต้พิภพของตน

But when he glanced back,

แต่เมื่อองค์เทพเหลือบมองไพล่หลัง

he was astounded to see the bedraggled princess stumbling along.

เขาก็ได้พบว่าองค์หญิงที่กายามอมแมม ยังคงติดตามเขาอยู่

He’d never seen such devotion to the dead,

เขาไม่เคยเห็นการอุทิศตน ต่อผู้วายชนเช่นนี้มาก่อน

and he honored her dedication with one final wish.

และเขาก็ยกย่องการอุทิศของนาง ด้วยพรข้อสุดท้ายเพียงข้อเดียว

Savitri wished to be the mother of many children.

สาวิตรีปราถนาที่จะได้เป็น มารดาของบุตรจำนวนมาก

The God agreed, and waved to dismiss her.

องค์เทพตกลงและไล่นางกลับไป

But the princess only repeated the vow she’d made one year earlier:

แต่องค์หญิงย้ำคำปฏิญาณ ที่นางเคยลั่นวาจาไว้เมื่อปีกลายที่ว่า

her fate was forever entwined with Satyavan.

สายสัมพันธ์ของนาง จะเชื่อมโยงกับสัตยวานจวบจนนิรันดร์

How could she bear many children, if Yamraj would not return her husband?

นางจะให้กำเนิดบุตรได้เช่นไร หากพระธรรมราชไม่มอบสามีคืนให้แก่นาง

Hearing this clever question the god relented, knowing he’d been beaten.

เมื่อได้สดับรับฟังถึงคำถามอันแสนวิสารทนี้ องค์เทพจึงได้ตระหนักว่าตนปราชัยให้แก่นาง

With Yamraj’s blessing and respect, Satyavan was returned to Savitri,

ด้วยการประทานพรและการนับถือของพระยม สัตยวานได้หวนคืนสู่สาวิตรี

and the two walked back to the land of the living,

และทั้งสองก็เดินกลับไปยังดินแดนแห่งคนเป็น

united in a love that not even death could destroy.

รวมเป็นหนึ่งเดียวในความรัก ที่แม้แต่ความตายก็มิอาจทำลายได้