How racism harms pregnant women -- and what can help | Miriam Zoila Pérez

Translator: Varoj Khamboot Reviewer: Vera Chicharito

Most of you can probably relate to what I'm feeling right now.

ท่านทั้งหลายคงจะเข้าใจ ความรู้สึกของฉันในตอนนี้นะคะ

My heart is racing in my chest.

หัวใจของฉันเต้นแรง

My palms are a little bit clammy.

มือของฉันเย็นชุ่มขึ้นเล็กน้อย

I'm sweating.

ฉันกำลังเหงื่อออก

And my breath is a little bit shallow.

และฉันก็หายใจได้ไม่ทั่วท้อง

Now, these familiar sensations are obviously the result

ความรู้สึกที่คุ้นเคยเหล่านี้ ชัดเจนว่าเป็นผลมาจาก

of standing up in front of a thousand of you

การยืนอยู่ต่อหน้าพวกคุณนับพันคน

and giving a talk that might be streamed online

และกำลังพูด ซึ่งอาจจะถ่ายทอดออนไลน์

to perhaps a million more.

ไปถึงผู้ชมที่อาจมากกว่าล้านคน

But the physical sensations I'm experiencing right now

แต่ความรู้สึกทางกายที่ฉันสัมผัสอยู่ตอนนี้

are actually the result of a much more basic mind-body mechanism.

แท้จริงแล้ว เป็นผลมาจากกลไกพื้นฐาน ทางร่างกาย-จิตใจมากกว่า

My nervous system is sending a flood of hormones

ระบบประสาทของฉัน กำลังหลั่งฮอร์โมนออกมามากมาย

like cortisol and adrenaline into my bloodstream.

เช่น คอร์ติซอล และอะดรีนาลีน เข้าสู่กระแสเลือดของฉัน

It's a very old and very necessary response that sends blood and oxygen

เป็นการตอบสนองที่มีมานานและจำเป็น อย่างยิ่งต่อการหล่อเลี้ยงเลือดและออกซิเจน

to the organs and muscles that I might need

ไปยังอวัยวะและกล้ามเนื้อ ที่ฉันอาจต้องการใช้

to respond quickly to a potential threat.

ในการตอบสนองอย่างรวดเร็ว ต่อสิ่งเร้าที่อาจเป็นภัยได้

But there's a problem with this response,

แต่มันมีปัญหาอยู่ในการตอบสนองนี้

and that is, it can get over-activated.

ซึ่งก็คือ มันอาจถูกกระตุ้นมากเกินไป

If I face these kinds of stressors on a daily basis,

หากฉันต้องเจอตัวกระตุ้นความเครียด แบบนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

particularly over an extended period of time,

โดยเฉพาะ ยิ่งต่อเนื่องเป็นเวลานาน

my system can get overloaded.

ระบบร่างกายของฉันอาจทำงานหนักไปได้

So basically, if this response happens infrequently: super-necessary

ดังนั้น โดยทั่วไป ถ้าการตอบสนองนี้ เกิดขึ้นนาน ๆ ครั้ง ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด

for my well-being and survival.

ต่อสวัสดิภาพและความอยู่รอดของฉัน

But if it happens too much,

แต่ถ้ามันเกิดขึ้นมากจนเกินไป

it can actually make me sick.

มันอาจทำให้ฉันป่วยได้จริง ๆ

There's a growing body of research examining the relationship

มีงานวิจัยจำนวนมากที่ศึกษาอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับความสัมพันธ์

between chronic stress and illness.

ระหว่างความเครียดเรื้อรัง กับความเจ็บป่วย

Things like heart disease and even cancer

เช่น โรคหัวใจ และแม้กระทั่งโรคมะเร็ง

are being shown to have a relationship to stress.

พบว่าโรคเหล่านี้ มีความสัมพันธ์กับความเครียด

And that's because, over time, too much activation from stress

และนั่นก็เพราะ การกระตุ้น ให้เกิดความเครียดเป็นเวลานาน

can interfere with my body's processes that keep me healthy.

สามารถแทรกแซงกระบวนการทำงาน ของร่างกายที่คอยดูแลให้ฉันสุขภาพดี

Now, let's imagine for a moment that I was pregnant.

ทีนี้ มาลองสมมติกันดูสักครู่ ว่าฉันท้อง

What might this kind of stress,

ความเครียดแบบนี้

particularly over the length of my pregnancy,

โดยเฉพาะในช่วงระยะตั้งครรภ์อยู่นี้

what kind of impact might that have

จะส่งผลกระทบอะไรบ้าง

on the health of my developing fetus?

ต่อสุขภาพของทารกในครรภ์ที่กำลังโต

You probably won't be surprised when I tell you

คุณอาจไม่แปลกใจหากฉันบอกว่า

that this kind of stress during pregnancy is not good.

ความเครียดเช่นนี้ไม่เป็นผลดี ในช่วงระยะตั้งครรภ์

It can even cause the body to initiate labor too early,

มันอาจส่งผลให้ร่างกาย เกิดการคลอดก่อนกำหนดเลยก็ได้

because in a basic sense, the stress communicates

เพราะตามพื้นฐานการรับรู้ของเรา

that the womb is no longer a safe place for the child.

ความเครียดเป็นตัวส่งสัญญาณว่า มดลูกไม่ใช่ที่ปลอดภัยของเด็กอีกต่อไป

Stress during pregnancy is linked with things like high blood pressure

ความเครียดในช่วงตั้งครรภ์ ยังส่งผลต่อ สิ่งอื่น ๆ เช่น ความดันโลหิตสูง

and low infant birth weight,

และทารกน้ำหนักแรกเกิดน้อย

and it can begin a cascade of health challenges

และปัญหาด้านร่างกายอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย

that make birth much more dangerous

ซึ่งทำให้การคลอดนั้นเป็นอันตรายมาก

for both parent and child.

ต่อทั้งผู้เป็นแม่และเด็ก

Now of course stress, particularly in our modern lifestyle,

แน่นอนว่าความเครียด โดยเฉพาะ ที่เราเผชิญอยู่ในชีวิตประจำวัน

is a somewhat universal experience, right?

เป็นเรื่องที่พบเจอเหมือนกันทั่วโลก ถูกไหมคะ

Maybe you've never stood up to give a TED Talk,

คุณอาจจะไม่เคยขึ้นมาบรรยาย บนเวที TED แห่งนี้

but you've faced a big presentation at work,

แต่คุณอาจจะเคยมีประสบการณ์ นำเสนองานครั้งใหญ่ในที่ทำงาน

a sudden job loss,

ตกงานแบบไม่ทันตั้งตัว

a big test,

การสอบครั้งใหญ่

a heated conflict with a family member or friend.

การทะเลาะกับเพื่อน หรือคนในครอบครัวอย่างรุนแรง

But it turns out that the kind of stress we experience

และไม่ว่าเราจะสามารถคงอยู่ใน ภาวะสงบนิ่งไปได้ยาวนานพอไหม

and whether we're able to stay in a relaxed state long enough

เพื่อให้ร่างกายเราทำงานอย่างเหมาะสม

to keep our bodies working properly

เรากลับพบว่าความเครียดที่พวกเราเผชิญ

depends a lot on who we are.

ขึ้นอยู่อย่างมาก ว่าเราคือใคร

There's also a growing body of research

และมีงานวิจัยหลายชิ้น ที่ทำการศึกษาถึงเรื่องนี้

showing that people who experience more discrimination

ชี้ให้เห็นว่าคนที่ถูกเลือกปฏิบัติ (discrimination)

are more likely to have poor health.

มีแนวโน้มที่จะสุขภาพแย่กว่า

Even the threat of discrimination,

แม้แต่ภัยคุกคามจากการเลือกปฏิบัติ

like worrying you might be stopped by police while driving your car,

เช่น กังวลว่าตำรวจอาจจะมา หยุดรถในระหว่างที่คุณกำลังขับอยู่

can have a negative impact on your health.

ก็สามารถส่งผลร้ายต่อสุขภาพคุณได้

Harvard Professor Dr. David Williams,

ศาสตราจารย์ ดร. เดวิด วิลเลียมส์ จากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด

the person who pioneered the tools that have proven these linkages,

ผู้นำร่องคิดค้นเครื่องมือ ที่ช่วยพิสูจน์ความสัมพันธ์นี้

says that the more marginalized groups in our society

กล่าวว่ายิ่งมีกลุ่มชายขอบ ในสังคมของเรามากเท่าไร

experience more discrimination and more impacts on their health.

ก็ยิ่งมีการเลือกปฏิบัติและยิ่งส่งผล ต่อสุขภาพพวกเขามากขึ้นเท่านั้น

I've been interested in these issues for over a decade.

ฉันสนใจในเรื่องเหล่านี้มาเป็นสิบปีแล้วค่ะ

I became interested in maternal health

ฉันเริ่มสนใจสุขภาพของผู้ให้กำเนิดชีวิตใหม่

when a failed premed trajectory instead sent me down a path

ตอนที่ฉันไม่สำเร็จกับการเป็นนร.เตรียมแพทย์ ฉันกลับค้นพบทางเดินเส้นนี้แทน

looking for other ways to help pregnant people.

และหาหนทางอื่นที่จะช่วยผู้หญิงตั้งครรภ์

I became a doula,

ฉันมาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการคลอดบุตร

a lay person trained to provide support

บุคคลธรรมดาที่ถูกฝึกให้สามารถช่วยเหลือ

to people during pregnancy and childbirth.

คนที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตร

And because I'm Latina and a Spanish speaker,

และเพราะฉันคือผู้หญิงลาตินอเมริกัน ที่พูดภาษาสเปนเป็นภาษาแม่

in my first volunteer doula gig at a public hospital in North Carolina,

ในการเป็นอาสาช่วยเหลือสตรีมีครรภ์ ครั้งแรกที่โรงพยาบาลรัฐในนอร์ธ แคโรไลนา

I saw clearly how race and class impacted the experiences

ฉันเห็นชัดเจนว่าเชื้อชาติและชนชั้น ส่งผลอย่างไรต่อสิ่งที่

of the women that I supported.

ผู้หญิงที่ฉันได้ช่วยเหลือต้องเผชิญ

If we take a look at the statistics about the rates of illness

ถ้าเราดูที่สถิติเกี่ยวกับอัตราการเจ็บป่วย

during pregnancy and childbirth,

ระหว่างการตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตร

we see clearly the pattern outlined by Dr. Williams.

เราจะเห็นรูปแบบที่ชัดเจน ซึ่งร่างขึ้นโดย ดร. วิลเลียมส์

African-American women in particular

โดยเฉพาะสตรีแอฟริกัน-อเมริกัน

have an entirely different experience than white women

ได้เผชิญต่างจากสิ่งที่สตรีผิวขาว ต้องพบเจอไปอย่างสิ้นเชิง

when it comes to whether their babies are born healthy.

เมื่อเป็นเรื่องของลูกน้อย ว่าเกิดมามีสุขภาพดีหรือไม่

In certain parts of the country, particularly the Deep South,

ในบางส่วนของประเทศเรา โดยเฉพาะกลุ่มรัฐจรดทางตอนใต้

the rates of mother and infant death for black women

อัตราการเสียชีวิตของแม่และเด็กในสตรีผิวดำ

actually approximate those rates in Sub-Saharan African.

แทบไม่ต่างจากอัตราที่เกิดใน กลุ่มประเทศแอฟริกาใต้ซาฮาราเลยค่ะ

In those same communities,

และในชุมชนเดียวกันนั้นเอง

the rates for white women are near zero.

อัตราการเสียชีวิตในสตรีผิวขาว กลับแทบเป็นศูนย์

Even nationally, black women are four times more likely

แม้กระทั่งในระดับชาติ สตรีผิวดำ ก็มีโอกาสเสียชีวิตในช่วงตั้งท้องและคลอดบุตร

to die during pregnancy and childbirth

สูงกว่าถึงสี่เท่า

than white women.

เมื่อเทียบกับสตรีผิวขาว

Four times more likely to die.

มีโอกาสเสียชีวิตสูงถึงสี่เท่าเชียวนะคะ

They're also twice as likely for their infants to die

และยังมีโอกาสอีกเท่าตัว ที่ลูกน้อยของพวกเขาจะเสียชีวิต

before the first year of life

หลังลืมตาดูโลกได้ไม่ถึงขวบแรก

than white infants,

เมื่อเทียบกับทารกแรกเกิดผิวขาว

and two to three times more likely

และมีโอกาสเป็นสองถึงสามเท่า

to give birth too early or too skinny --

ที่จะคลอดก่อนกำหนดหรือน้ำหนักน้อย

a sign of insufficient development.

ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพัฒนาการบกพร่อง

Native women are also more likely to have higher rates of these problems

สตรีพื้นเมืองก็มีโอกาสที่จะพบ อัตราของปัญหาเหล่านี้สูงกว่า

than white women,

เมื่อเทียบกับสตรีผิวขาว

as are some groups of Latinas.

และสตรีลาตินอเมริกันก็เช่นกันค่ะ

For the last decade as a doula turned journalist and blogger,

กว่าสิบปีที่ผ่านมาที่ได้เป็นผู้ช่วย ผันมาเป็นนักข่าวและบล็อกเกอร์

I've been trying to raise the alarm

ฉันได้พยายามส่งสัญญาณเตือน

about just how different the experiences of women of color,

เกี่ยวกับความแตกต่างที่ผู้หญิงผิวสีพบ

but particularly black women,

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีผิวดำ

are when it comes to pregnancy and birth in the US.

เมื่อเป็นเรื่องของการตั้งครรภ์ และการให้กำเนิดบุตรในสหรัฐฯ

But when I tell people about these appalling statistics,

แต่เมื่อใดที่ฉันเล่าเรื่องสถิติ อันน่าตกใจนี้ให้ใครฟัง

I'm usually met with an assumption that it's about either poverty

บ่อยครั้งที่ฉันเจอการสันนิษฐานว่า "มันเป็นเพราะความยากจน"

or lack of access to care.

หรือ "ขาดการเข้าถึงสาธารณสุข"

But it turns out, neither of these things tell the whole story.

แต่ปรากฏว่า ทั้งสองสิ่งนี้ ไม่อาจเป็นตัวบอกเรื่องราวได้ทั้งหมด

Even middle-class black women still have much worse outcomes

แม้แต่สตรีผิวดำชนชั้นกลาง ก็ยังได้รับผลที่แย่กว่า

than their middle-class white counterparts.

เมื่อเทียบกับเพื่อนผิวขาวชนชั้นกลางด้วยกัน

The gap actually widens among this group.

ช่องว่างที่ว่าได้ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ระหว่างกลุ่มนี้

And while access to care is definitely still a problem,

และขณะที่การเข้าถึงการดูแล ซึ่งแน่นอนว่ายังคงเป็นปัญหาอยู่

even women of color who receive the recommended prenatal care

แม้แต่ผู้หญิงผิวสีที่เข้ารับการดูแล ฝากครรภ์ - คลอดบุตรที่แนะนำ

still suffer from these high rates.

ก็ยังต้องประสบอัตราการเสียชีวิตที่สูงนี้

And so we come back to the path

เราจึงกลับมาดูความเป็นไป

from discrimination to stress to poor health,

ตั้งแต่การเลือกปฏิบัติ สู่ภาวะเครียด จนถึงสุขภาพที่ย่ำแย่

and it begins to paint a picture that many people of color know to be true:

และมันเริ่มทำให้เห็นภาพที่ ชาวผิวสีหลายคนรู้กันดีว่าเป็นเรื่องจริง

racism is actually making us sick.

การเหยียดเชื้อชาติทำให้เราล้มป่วยค่ะ

Still sound like a stretch?

ฟังดูเหมือนพูดเกินจริงใช่ไหมคะ

Consider this: immigrants, particularly black and Latina immigrants,

ลองมาดูที่ผู้อพยพเหล่านี้กันค่ะ โดยเฉพาะกลุ่มผิวดำและลาตินอเมริกัน

actually have better health when they first arrive in the United States.

พวกเขามีสุขภาพดีกว่านี้ ตอนที่เดินทางมาถึงอเมริกาเป็นครั้งแรก

But the longer they stay in this country, the worse their health becomes.

แต่ยิ่งพวกเขาอยู่ในอเมริกานานวันเข้า สุขภาพพวกเขาก็ยิ่งย่ำแย่ลงไปทุกที

People like me, born in the United States to Cuban immigrant parents,

ผู้คนแบบฉัน ที่เกิดในอเมริกา จากพ่อแม่ผู้อพยพชาวคิวบา

are actually more likely to have worse health than my grandparents did.

พวกเรามีแนวโน้มที่จะมีสุขภาพ แย่กว่ารุ่นปู่ย่าตายายเสียอีกค่ะ

It's what researchers call "the immigrant paradox,"

นี่คือสิ่งที่นักวิจัยเรียกว่า "ปฏิทรรศน์แห่งการอพยพ"

and it further illustrates

และสิ่งนี้ได้อธิบายต่อไปว่า

that there's something in the US environment

สิ่งแวดล้อมของสหรัฐฯ มีอะไรบางอย่าง

that is making us sick.

ที่ทำให้พวกเราป่วยค่ะ

But here's the thing:

และนี่คือสิ่งนั้น

this problem, that racism is making people of color,

ปัญหานี้ คือการเหยียดเชื้อชาติ ที่ทำให้คนผิวสี

but especially black women and babies, sick, is vast.

โดยเฉพาะสตรีและทารกผิวดำ ล้มป่วยนั้นเป็นปัญหาใหญ่มากค่ะ

I could spend all of my time with you talking about it,

ฉันสามารถใช้เวลาทั้งหมดกับคุณ นั่งเล่าเรื่องนี้ให้ฟังได้

but I won't, because I want to make sure to tell you about one solution.

แต่ฉันจะไม่ทำค่ะ เพราะฉันอยาก แน่ใจว่าได้เผยแนวทางแก้ไขอย่างหนึ่ง

And the good news is, it's a solution that isn't particularly expensive,

และข่าวดีก็คือ มันเป็นทางแก้ ที่ไม่ได้ราคาสูงอะไรเลย

and doesn't require any fancy drug treatments

ไม่ได้ต้องการยาวิเศษ

or new technologies.

หรือเทคโนโลยีล้ำสมัยใด ๆ

The solution is called, "The JJ Way."

ทางแก้นี้เรียกว่า "วิถีของเจเจ" (The JJ Way)

Meet Jennie Joseph.

มาพบกับ "เจนนี โจเซฟ" กันค่ะ

She's a midwife in the Orlando, Florida area

เธอเป็นหมอทำคลอด ที่เมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดา

who has been serving pregnant women for over a decade.

เธอช่วยเหลือผู้หญิงตั้งครรภ์มากว่าสิบปี

In what she calls her easy-access clinics,

ในสถานที่ที่เธอเรียกว่า คลินิกเข้าถึงง่าย

Jennie and her team provide prenatal care to over 600 women per year.

เจนนีและทีมงานดูแลเรื่องการฝากครรภ์ ให้ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์มากกว่า 600 คนต่อปี

Her clients, most of whom are black, Haitian and Latina,

ผู้ใช้บริการเกือบทั้งหมดเป็นคุณแม่ผิวดำ ชาวเฮติ หรือลาตินอเมริกัน

deliver at the local hospital.

ซึ่งทำคลอดที่โรงพยาบาลท้องถิ่นค่ะ

But by providing accessible and respectful prenatal care,

แต่จากการให้บริการดูแลครรภ์ ที่ทั่วถึงและน่าเชื่อถือนี้

Jennie has achieved something remarkable:

เจนนีได้สร้างความสำเร็จอันยิ่งใหญ่

almost all of her clients give birth to healthy, full-term babies.

คุณแม่เกือบทุกคนได้ให้กำเนิดชีวิตใหม่ ที่มีสุขภาพแข็งแรงและครบกำหนดค่ะ

Her method is deceptively simple.

วิธีการของเธอก็ง่ายอย่างเหลือเชื่อ

Jennie says that all of her appointments start at the front desk.

เจนนีบอกว่า ทุก ๆ นัดหมายของเธอ เริ่มต้นที่แผนกงานส่วนหน้า

Every member of her team, and every moment a women is at her clinic,

สมาชิกทุกคนในทีมของเธอ ได้ช่วยสนับสนุนทุกหนทางที่ทำได้

is as supportive as possible.

เมื่อใดก็ตามที่มีคุณแม่มายังคลินิก

No one is turned away due to lack of funds.

ไม่มีใครหวนกลับไป ด้วยสาเหตุเพราะขาดแคลนทุนทรัพย์

The JJ Way is to make the finances work no matter what the hurdles.

"วิถีของเจเจ" นี้ ก็คือ ทำอย่างไรก็ได้ ให้เรื่องเงินไม่เป็นอุปสรรค

No one is chastised for showing up late to their appointments.

ไม่มีใครถูกตำหนิเพราะมาสาย เลยเวลาตามที่นัดไว้

No one is talked down to or belittled.

ไม่มีใครพูดจาดูแคลนหรือเหยียดหยาม

Jennie's waiting room feels more like your aunt's living room than a clinic.

ห้องรอตรวจของเจนนีให้ความรู้สึกเหมือนเป็น ห้องนั่งเล่นของคุณน้ามากกว่าจะเป็นคลินิก

She calls this space "a classroom in disguise."

เธอเรียกห้องนี้ว่า "ห้องเรียนแปลงร่าง"

With the plush chairs arranged in a circle,

ด้วยเก้าอี้หรู ที่ถูกจัดวางเป็นวงกลม

women wait for their appointments in one-on-one chats

คุณแม่ที่มารอนัด ได้นั่งหันหน้าคุยกันแบบตัวต่อตัว

with a staff educator,

กับเจ้าหน้าที่ผู้ให้ความรู้

or in group prenatal classes.

หรือในกลุ่มอบรมเพื่อครรภ์คุณภาพ

When you finally are called back to your appointment,

และเมื่อคุณถูกขานชื่อเมื่อถึงคิวนัด

you are greeted by Alexis or Trina,

คุณก็จะได้รับการต้อนรับ จากอเล็กซิสหรือทรินา

two of Jennie's medical assistants.

สองผู้ช่วยพยาบาลของเจนนี

Both are young, African-American and moms themselves.

ทั้งคู่คือคุณแม่วัยสาวชาวแอฟริกัน-อเมริกัน

Their approach is casual and friendly.

วิธีเข้าใกล้ของพวกเธอ ก็แสนเรียบง่ายและเป็นมิตร

During one visit I observed,

ระหว่างที่ฉันไปเยี่ยมก็สังเกตเห็นว่า

Trina chatted with a young soon-to-be mom

ทรินา คุยกับคุณแม่วัยสาวที่ใกล้คลอด

while she took her blood pressure.

ตอนที่วัดความดันโลหิตไปด้วย

This Latina mom was having trouble keeping food down due to nausea.

คุณแม่ชาวลาตินอเมริกันผู้นี้มีปัญหา ในการทานอาหารเนื่องจากมีอาการแพ้ท้อง

As Trina deflated the blood pressure cuff,

ขณะที่ทรินาคลายสายวัดความดันออก

she said, "We'll see about changing your prescription, OK?

เธอก็เอ่ยขึ้นว่า "เรามาดูเรื่อง ปรับเปลี่ยนการจ่ายยากันดีไหมคะ

We can't have you not eating."

เราปล่อยให้คุณท้องว่างไม่ได้หรอกค่ะ"

That "we" is actually a really crucial aspect of Jennie's model.

คำว่า "เรา" นี้ เป็นลักษณะสำคัญ ของโครงการต้นแบบเจนนี

She sees her staff as part of a team that, alongside the woman and her family,

เธอมองลูกทีมว่าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว เป็นผู้หญิงเช่นเดียวกับเธอ

has one goal:

และมีเป้าหมายเดียวกัน

get mom to term with a healthy baby.

คือให้คุณแม่ดูแลครรภ์ครบกำหนด พร้อมลูกน้อยที่มีสุขภาพดี

Jennie says that Trina and Alexis are actually the center of her care model,

เจนนีบอกว่าทรินาและอเล็กซิส คือหัวใจของโครงการดูแลครรภ์ของเธอ

and that her role as a provider is just to support their work.

และบทบาทของเธอในฐานะผู้ให้บริการ ก็คือคอยให้การสนับสนุนงานของสองคนนี้

Trina spends a lot of her day on her cell phone,

ทรินาใช้เวลาส่วนมากไปกับโทรศัพท์

texting with clients about all sorts of things.

ส่งข้อความให้คำปรึกษาในเรื่องต่าง ๆ

One woman texted to ask if a medication she was prescribed at the hospital

มีผู้หญิงคนหนึ่งส่งข้อความมาถามว่า ยาที่เธอได้รับจากโรงพยาบาล

was OK to take while pregnant.

สามารถทานในช่วงระยะตั้งครรภ์ได้ไหม

The answer was no.

ซึ่งคำตอบคือ "ไม่"

Another woman texted with pictures of an infant born under Jennie's care.

ผู้หญิงอีกคนส่งข้อความพร้อมรูปของลูกเธอ ที่เพิ่งคลอด ภายใต้การดูแลของโครงการ

Lastly, when you finally are called back to see the provider,

ในขั้นสุดท้าย เมื่อคุณถูกเรียก ให้พบแพทย์ตามที่นัดหมายไว้

you've already taken your own weight in the waiting room,

คุณก็ได้ชั่งน้ำหนักในห้องรอตรวจ

and done your own pee test in the bathroom.

และทดสอบปัสสาวะเองที่ห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว

This is a big departure from the traditional medical model,

นี่คือก้าวครั้งสำคัญในการออกจาก ต้นแบบการแพทย์แผนดั้งเดิม

because it places responsibility and information

เพราะมันได้นำความรับผิดชอบและข้อมูลต่าง ๆ

back in the woman's hands.

กลับมาอยู่ในมือของผู้หญิง

So rather than a medical setting where you might be chastised

ดังนั้นแทนที่จะเป็นสถานพยาบาล ที่ที่คุณอาจโดนตำหนิ

for not keeping up with provider recommendations --

ด้วยเหตุที่ไม่ทำตามคำแนะนำแพทย์

the kind of settings often available to low-income women --

สถานที่เหล่านี้มักมีไว้สำหรับ ผู้หญิงที่มีรายได้ต่ำ

Jennie's model is to be as supportive as possible.

แต่ต้นแบบของเจนนีคือ การสนับสนุน ให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

And that support provides a crucial buffer

และการสนับสนุนนั้น ได้มอบเกราะป้องกันอันแสนสำคัญ

to the stress of racism and discrimination facing these women every day.

ต่อความเครียดจากการเหยียดเชื้อชาติหรือ การเลือกปฏิบัติที่ผู้หญิงเหล่านี้ผจญอยู่ทุกวัน

But here's the best thing about Jennie's model:

แต่นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดของต้นแบบเจนนีค่ะ

it's been incredibly successful.

มันประสบความสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์ใจ

Remember those statistics I told you,

จำที่ฉันพูดถึงสถิตินั้นให้คุณฟังได้ไหมคะ

that black women are more likely to give birth too early,

ที่บอกว่าผู้หญิงผิวสีมีแนวโน้ม ที่จะคลอดก่อนกำหนดเร็วเกินไป

to give birth to low birth weight babies,

หรือคลอดทารกน้ำหนักน้อย

to even die due to complications of pregnancy and childbirth?

หรือแม้แต่เสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อน ระหว่างตั้งครรภ์และคลอดบุตร

Well, The JJ Way has almost entirely eliminated those problems,

วิถีของเจนนีขจัดปัญหาเหล่านี้ให้หมดไป ได้แทบทั้งสิ้นเลยค่ะ

starting with what Jennie calls "skinny babies."

เริ่มจากสิ่งที่เจนนีเรียกว่า "ทารกผอมแห้ง"

She's been able to get almost all her clients to term

เธอสามารถทำให้คุณแม่แทบทุกคน ตั้งครรภ์ได้จนครบกำหนด

with healthy, chunky babies like this one.

และคลอดลูกน้อยที่ทั้งสมบูรณ์ และแข็งแรงได้แบบนี้ค่ะ

Audience: Aw!

ผู้ชม : "โอโฮ!"

Miriam Zoila Pérez: This is a baby girl

ที่คือทารกแรกเกิดเพศหญิง

born to a client of Jennie's this past June.

เกิดกับผู้ใช้บริการของเจนนี เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

A similar demographic of women in Jennie's area

ในกลุ่มประชากรคล้ายกันนี้ในย่านของเจนนี

who gave birth at the same hospital her clients did

ที่คลอดพร้อมกันกับผู้ใช้บริการของเจนนี

were three times more likely to give birth

มีแนวโน้มถึงสามเท่าที่จะให้กำเนิดทารก

to a baby below a healthy weight.

ที่มีน้ำหนักต่ำกว่าทารกสุขภาพดี

Jennie is making headway into what has been seen for decades

เจนนีกำลังเดินหน้าดำเนินการ ในสิ่งที่เห็นกันมานานนับทศวรรษ

as an almost intractable problem.

ว่าเป็นปัญหาที่ยากเกินเยียวยา

Some of you might be thinking,

พวกคุณบางคนอาจกำลังคิดว่า

all this one-on-one attention that The JJ Way requires

การดูแลใส่ใจแบบตัวต่อตัวของวิถีเจนนีนี้

must be too expensive to scale.

ต้องใช้ต้นทุนสูงเกินกว่าจะขยายต่อยอด

Well, you'd be wrong.

แต่ คุณอาจจะคิดผิดค่ะ

The visit with the provider is not the center of Jennie's model,

การพบแพทย์ผู้ให้บริการ ไม่ใช่หัวใจของโครงการต้นแบบเจนนี

and for good reason.

ด้วยเหตุผลอันสมควร

Those visits are expensive, and in order to maintain her model,

คือ การพบแพทย์นั้นกินเงินมาก และเพื่อรักษาต้นแบบของเธอไว้

she's got to see a lot of clients to cover costs.

เธอก็จำต้องพบผู้ใช้บริการหลายราย เพื่อชดเชยค่าใช้จ่าย

But Jennie doesn't have to spend a ton of time with each woman,

แต่เจนนีไม่ต้องเสียเวลามากมาย ไปกับผู้หญิงแต่ละคน

if all of the members of her team can provide the support, information

ถ้าลูกทีมของเธอทุกคนสามารถ ให้ความช่วยเหลือรวมทั้งให้ข้อมูล

and care that her clients need.

และการดูแลที่ผู้ใช้บริการต้องการได้

The beauty of Jennie's model is that she actually believes

คุณประโยชน์ของต้นแบบเจนนีนี้ คือเธอเชื่ออย่างแท้จริงว่า

it can be implemented in pretty much any health care setting.

มันสามารถนำไปปรับใช้ใน สถานดูแลสุขภาพแบบใดก็ได้แทบทั้งหมด

It's a revolution in care just waiting to happen.

มันคือการปฏิวัติในการดูแล ที่เฝ้ารอวันให้มันเกิดขึ้น

These problems I've been sharing with you are big.

ปัญหาที่ฉันได้เล่าให้คุณฟังนี้ใหญ่หลวงนัก

They come from long histories of racism, classism,

เป็นผลพวงจากประวัติศาสตร์อันยาวนาน ของการเหยียดเชื้อชาติ เหยียดชนชั้น

a society based on race and class stratification.

เป็นสังคมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐาน การแบ่งแยกชนชั้นและเชื้อชาติ

They involve elaborate physiological mechanisms

มันเกี่ยวพันถึง การทำงานเชิงสรีรวิทยาอันซับซ้อน

meant to protect us,

หมายมุ่งที่จะปกป้องเรา

that, when overstimulated, actually make us sick.

แต่เมื่อถูกกระตุ้นมากเกินไป มันกลับทำให้เราล้มป่วยลงได้

But if there's one thing I've learned from my work as a doula,

และหากจะมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ฉันได้เรียนรู้ จากการทำงานเป็นผู้ดูแลสตรีมีครรภ์

it's that a little bit of unconditional support can go a really long way.

นั่นคือ การช่วยเหลืออย่างไม่มีเงื่อนไข สามารถช่วยให้เราก้าวไปได้ไกล

History has shown that people are incredibly resilient,

ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่า คนเราฟื้นจากความปวดร้าวได้น่าอัศจรรย์

and while we can't eradicate racism

และในเมื่อเรายุติการเหยียดเชื้อชาติ

or the stress that results from it overnight,

หรือความเครียดที่เป็นผลจากมัน ในชั่วเวลาอันสั้นไม่ได้

we might just be able to create environments that provide a buffer

เราก็อาจสามารถสร้างสิ่งแวดล้อม ที่จะเป็นเกราะปกป้อง

to what people of color experience on a daily basis.

จากสิ่งที่คนผิวสีต้องเจออยู่ทุกคืนวัน

And during pregnancy, that buffer can be an incredible tool

และในช่วงระยะตั้งครรภ์ เกราะนี้ สามารถเป็นเครื่องมือที่วิเศษสุด

towards shifting the impact of racism

ในการแปรเปลี่ยนผลกระทบ จากการเหยียดเชื้อชาติ

for generations to come.

ให้แก่คนรุ่นใหม่ต่อไปได้

Thank you.

ขอบคุณค่ะ

(Applause)

(เสียงปรบมือ)