Buildings that blend nature and city | Jeanne Gang

Translator: Joseph Geni Reviewer: Camille Martínez

Translator: Ploy Srisuro Reviewer: Vera Chicharito

I'm a relationship builder.

ฉันเป็นนักสร้างความสัมพันธ์ค่ะ

When you think of a relationship builder,

เมื่อพูดถึงนักสร้างความสัมพันธ์

don't you just automatically think "architect?"

เรามักจะนึกถึง "สถาปนิก" ขึ้นมาโดยอัตโนมัติเลยใช่ไหมคะ

Probably not.

ก็ไม่น่าจะใช่

That's because most people think architects design buildings and cities,

นั่นเป็นเพราะคนส่วนมากจะคิดว่า สถาปนิกเป็นผู้ออกแบบตึกและเมือง

but what we really design are relationships,

แต่จริง ๆ แล้วสิ่งที่เราออกแบบคือ ความสัมพันธ์ค่ะ

because cities are about people.

เพราะว่าเมืองนั้นเกี่ยวกับผู้คน

They're places where people come together for all kinds of exchange.

เมืองเป็นสถานที่ที่ผู้คนมารวมตัวกัน เพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ

And besides, skylines are highly specific urban habitats

นอกจากนั้น ตึกสูงยังเป็นที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งของชุมชนเมือง

with their own insects, plants and animals,

ที่มีแมลง พืช และสัตว์

and even their own weather.

หรือแม้แต่อากาศเป็นของตัวเอง

But today, urban habitats are out of balance.

แต่ทุกวันนี้ ที่พักอาศัยย่านกลางเมือง กำลังเสียสมดุลไป

Climate change, together with political and economic troubles,

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจ

are having an impact;

กำลังส่งผลกระทบ

they're adding up and stressing out cities and us,

ปัญหาพอกพูนขึ้น และความรู้สึกเครียดรุมเร้าเมืองต่าง ๆ

the people who live in them.

ตลอดจนผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองด้วย

For me, the field of ecology has provided important insight,

สำหรับฉันแล้ว สาขาด้านนิเวศวิทยา ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญ

because ecologists don't just look at individual species on their own,

เพราะนักนิเวศวิทยาไม่เพียง มองในแต่ละสายพันธุ์ด้วยกัน

they look at the relationships between living things

หากแต่พวกเขายังมอง ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต

and their environment.

กับสิ่งแวดล้อมด้วย

They look at how all the diverse parts of the ecosystem are interconnected,

พวกเขามองส่วนต่าง ๆ อันหลากหลาย ในระบบนิเวศว่าเชื่อมโยงกันอย่างไร

and it's actually this balance, this web of life, that sustains life.

และความสมดุลหรือสายใยแห่งชีวิต นี่เองที่ช่วยค้ำจุนชีวิต

My team and I have been applying insights from ecology to architecture

ฉันและทีมงานได้ลองประยุกต์ข้อมูลเชิงลึก ของนิเวศวิทยานี้เข้ากับสถาปัตยกรรม

to see how physical space can help build stronger relationships.

เพื่อดูว่าพื้นที่ทางกายภาพจะช่วยสร้าง ความสัมพันธ์ให้แข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไร

The projects I'm going to show you today

โปรเจ็กต์ที่ฉันจะแสดงให้คุณดูในวันนี้

use the idea of building relationships as the key driver for design.

ใช้แนวคิดของการสร้างความสัมพันธ์ เป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญในการออกแบบ

Here's an example of what I mean.

นี่เป็นตัวอย่างที่ฉันกำลังพูดถึงค่ะ

Recently, we were asked to design a center for social justice leadership

เมื่อเร็ว ๆ นี้ พวกเราได้ถูกขอให้ออกแบบ ศูนย์ผู้นำความยุติธรรมทางสังคม

called the Arcus Center.

ที่มีชื่อว่า "อาร์คัสเซ็นเตอร์ (Arcus Center)"

They asked us for a building that could break down traditional barriers

พวกเขาขอให้เราออกแบบตึก ที่สามารถทลายกำแพงเดิม ๆ

between different groups

ที่กั้นระหว่างกลุ่มคนที่แตกต่างกัน

and in doing so, create possibilities for meaningful conversations

และการจะทำเช่นนั้นได้ เราต้องสร้าง โอกาสให้หันหน้าพูดคุยกันอย่างจริงจัง

around social justice.

ในเรื่องความยุติธรรมทางสังคม

The students wanted a place for cultural exchange.

นักเรียนต้องการสถานที่ เพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม

They thought a place for preparing food together could do that.

พวกเขาคิดว่าสถานที่ ที่ใช้เตรียมอาหารร่วมกันจะทำเช่นนั้นได้

And they wanted to be welcoming to the outside community.

และพวกเขายังต้องการต้อนรับ ชุมชนภายนอกด้วย

They thought a fireplace could draw people in

พวกเขาคิดว่าเตาผิงน่าจะช่วย ดึงคนให้เข้ามามีส่วนร่วม

and help start conversations.

และช่วยเริ่มต้นการพูดคุยได้

And everybody wanted the work of social justice to be visible

และทุกคนต่างก็ต้องการให้งาน ความยุติธรรมในสังคมนี้เป็นรูปธรรม

to the outside world.

สู่สายตาโลกภายนอก

There really wasn't a precedent for this kind of space,

ยังไม่เคยมีพื้นที่แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน

so we looked around the globe and found examples

ดังนั้น พวกเราจึงมองออกไปทั่วโลก และพบพื้นที่ตัวอย่าง

of community meeting houses.

ซึ่งเป็นที่พบปะกันในชุมชน

Community meeting houses are places

ที่พบปะกันในชุมชนนี้คือพื้นที่

where there's very specific relationships between people,

ที่ผู้คนมีความสัมพันธ์เป็นการเฉพาะ ระหว่างกัน

like this one in Mali, where the elders gather.

เหมือนกับที่แห่งนี้ในประเทศมาลี ที่เป็นที่รวมตัวของผู้สูงอายุ

The low roof keeps everybody seated and at equal eye level.

หลังคาต่ำทำให้ทุกคนต้องนั่งลง ในระดับสายตาที่เท่ากัน

It's very egalitarian.

ยึดหลักความเสมอภาคของมนุษย์ทุกคน

I mean, you can't stand up and take over the meeting.

ฉันหมายความว่า คุณไม่สามารถยืนขึ้น และควบคุมการประชุมได้

You'd actually bump your head.

เพราะคุณจะหัวโขกค่ะ

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

In meeting houses, there's always a central space

ในห้องประชุมนี้จะมีพื้นที่ตรงกลางเสมอ

where you can sit around a circle and see each other.

ให้คุณนั่งเป็นวงกลม มองเห็นกันและกัน

So we designed a space just like that

ดังนั้น เราจึงออกแบบพื้นที่อย่างเดียวกัน

right in the middle of the Arcus Center,

ให้อยู่ตรงกลางศูนย์อาร์คัสเซ็นเตอร์

and we anchored it with a fireplace and a kitchen.

และมีบริเวณเตาผิงและห้องครัว

It's pretty hard to get a kitchen and a fireplace in a building like this

ค่อนข้างเป็นเรื่องยากที่จะมีครัว และเตาผิงในอาคารแบบนี้

with the building codes,

ที่มีกฎระเบียบของอาคาร

but it was so important to the concept, we got it done.

แต่มันมีความสำคัญต่อคอนเซ็ปต์มาก และเราก็ทำสำเร็จ

And now the central space works for big social gatherings

ทีนี้ พื้นที่ตรงกลางนั้นใช้สำหรับ งานสังคมพบปะสังสรรค์ขนาดใหญ่

and a place to meet one-on-one for the very first time.

และมีพื้นที่สำหรับพบกันเป็นการส่วนตัว ในครั้งแรก ๆ

It's almost like this three-way intersection

ดูเหมือนว่า พื้นที่ที่มาบรรจบกัน ทั้งสามด้านนี้

that encourages bumping into people and starting a conversation.

จะช่วยกระตุ้นให้ผู้คนพบปะกัน และเริ่มการสนทนากันได้

Now you can always pass the kitchen and see something going on.

คุณสามารถเดินผ่านครัวได้ตลอด และมองเห็นว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง

You can sit by the fireplace and share stories.

คุณสามารถนั่งข้างเตาผิง และเล่าเรื่องราวให้ฟัง

You can study together in big groups or in small ones,

คุณสามารถเรียนด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่ หรือกลุ่มเล็ก ๆ

because the architecture sets up these opportunities.

เพราะสถาปัตยกรรม สร้างโอกาสเหล่านี้ให้เกิดขึ้น

Even the construction is about building relationships.

กระทั่งการก่อสร้างก็ยังเป็น เรื่องการสร้างความสัมพันธ์

It's made of cordwood masonry,

เพราะตัวอาคารสร้างจากการก่อท่อนไม้

which is using logs the way you would use bricks.

ซึ่งใช้ท่อนไม้แบบเดียวกับที่คุณใช้ก้อนอิฐ

It's super low-tech and easy to do and anyone can do it --

เป็นการก่อสร้างแบบเทคโนโลยีพื้น ๆ ทำง่าย และทำได้ทุกคน

and that's the entire point.

และนี่คือประเด็นทั้งหมด

The act of making is a social activity.

เพราะการก่อสร้าง เป็นกิจกรรมทางสังคมอย่างหนึ่ง

And it's good for the planet, too:

และยังเป็นผลดีต่อโลกอีกด้วย

the trees absorbed carbon when they were growing up,

เพราะต้นไม้ดูดซับคาร์บอน เมื่อมันเติบโต

and they gave off oxygen,

และปล่อยออกซิเจนออกมา

and now that carbon is trapped inside the walls

เพียงเท่านี้คาร์บอน ก็ถูกกักอยู่แต่ภายในผนังแล้ว

and it's not being released into the atmosphere.

อีกทั้งไม่ถูกปล่อยออกมาสู่ชั้นบรรยากาศ

So making the walls is equivalent to taking cars right off the road.

ดังนั้น การสร้างกำแพงนี้จึงเทียบได้กับ การนำรถยนต์ออกไปจากถนน

We chose the building method

เราเลือกวิธีการก่อสร้างนี้

because it connects people to each other and to the environment.

เพราะมันช่วยเชื่อมโยงผู้คนเข้าหากัน และเชื่อมไปยังสิ่งแวดล้อม

But is it working?

แต่ทว่ามันได้ผลหรือเปล่า

Is it creating relationships and nurturing them?

มันสร้างความสัมพันธ์ และหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์ไหม

How can we know?

เราจะรู้ได้อย่างไร

Well, more and more people are coming here, for one,

ตัวอย่างหนึ่งก็คือ มีผู้คนเดินทางมาที่นี่ มากขึ้นเรื่อย ๆ

and as a result of the fireside chats

ซึ่งเป็นผลมาจากการพูดคุยข้างเตาผิง

and a full calendar of programming,

มีกิจกรรมเต็มแน่นตลอดปฏิทิน

people are applying for the Arcus Fellowships.

ผู้คนสมัครเข้าร่วมโครงการ "Arcus Fellowships"

In fact, applications have increased tenfold for the Arcus Fellowship

อันที่จริง จำนวนการสมัครโครงการ Arcus Fellowship เพิ่มขึ้นถึงสิบเท่า

since the building opened.

นับตั้งแต่เปิดอาคารมา

It's working. It's bringing people together.

มันได้ผล มันนำพาผู้คนมารวมตัวกัน

So I've shown how architecture can connect people

ฉันได้แสดงให้เห็นแล้วว่าสถาปัตยกรรม ทำให้ผู้คนเชื่อมโยงกันได้อย่างไร

on this kind of horizontal campus scale.

ในการขยายแบบแนวนอนเช่นนี้

But we wondered if social relationships could be scaled up --

แต่พวกเราก็ยังสงสัยว่า ความสัมพันธ์ทางสังคมสามารถขยายขนาด

or rather, upward -- in tall buildings.

หรือสูงขึ้นตามตัวอาคารได้หรือไม่

Tall buildings don't necessarily lend themselves to being social buildings.

ตึกสูงไม่จำเป็นต้อง เป็นอาคารทางสังคม

They can seem isolating and inward.

อาจดูแยกตัวเป็นสันโดษ และเก็บตัวอยู่แต่ภายในก็ได้

You might only see people in those awkward elevator rides.

คุณอาจจะเคยเห็นแต่คนที่รู้สึก อึดอัดเมื่อต้องขึ้นลิฟต์นะคะ

But in several major cities, I've been designing tall buildings

ทว่าฉันได้ออกแบบตึกสูง ในเมืองใหญ่ ๆ หลายแห่ง

that are based on creating relationships between people.

โดยมีพื้นฐานจากการสร้าง ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน

This is Aqua.

นี่คือ "อะควา (Aqua)"

It's a residential high-rise in Chicago

อาคารที่พักอาศัยทรงสูงในชิคาโก

aimed at young urban professionals and empty nesters,

มีกลุ่มเป้าหมายที่คนรุ่นใหม่วัยทำงาน และพ่อแม่ที่ลูกแยกย้ายออกไป

many of them new to the city.

หลายคนยังไม่คุ้นเคยกับเมืองดี

With over 700 apartments, we wanted to see if we could use architecture

ด้วยอพาร์ทเมนต์กว่า 700 แห่ง พวกเราอยากรู้ว่าจะใช้งานสถาปัตยกรรม

to help people get to know their neighbors,

ช่วยให้ผู้คนได้รู้จักเพื่อนบ้านได้อย่างไร

even when their homes are organized in the vertical dimension.

แม้ว่าตัวบ้านจะถูกจัดให้อยู่ในมิติแนวดิ่ง

So we invented a way to use balconies as the new social connectors.

ดังนั้น เราจึงคิดค้นการใช้ระเบียง ให้เป็นตัวเชื่อมโยงทางสังคม

The shapes of the floor slabs vary slightly and they transition

รูปร่างของพื้นสำเร็จรูป (floor slab) ต่างกันเล็กน้อยและเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ

as you go up the tower.

ขณะคุณขึ้นไปบนอาคาร

The result of this is that you can actually see people

ผลที่เกิดขึ้นคือ คุณสามารถมองเห็นผู้คน

from your balcony.

จากระเบียงของคุณได้

The balconies are misregistered.

ระเบียงถูกจัดอย่างเยื้อง ๆ กัน

You can lean over your balcony and say, "Hey!"

คุณจึงสามารถพิงระเบียงของคุณ และกล่าว "สวัสดี"

just like you would across the backyard.

แบบเดียวกับที่คุณทำในสวนหลังบ้าน

To make the balconies more comfortable

ในการออกแบบ ให้ระเบียงมีความสบายมากขึ้น

for a longer period of time during the year,

สำหรับช่วงเวลาที่ยาวนานขึ้น ในระหว่างปี

we studied the wind with digital simulations,

เราได้ศึกษากระแสลม ด้วยการจำลองแบบดิจิทัล

so the effect of the balcony shapes breaks up the wind

ดังนั้น รูปร่างของระเบียง จะช่วยแยกทิศทางลม

and confuses the wind

และสกัดกั้นลม

and makes the balconies more comfortable and less windy.

ทำให้ระเบียงมีความโปร่งสบาย และลมไม่แรงจัดจนเกินไป

Now, just by being able to go outside on your balcony

ทีนี้ เพียงแค่คุณสามารถ เดินออกมายังระเบียงด้านนอก

or on the third floor roof terrace,

หรือไปเฉลียงดาดฟ้าที่ชั้นสามได้

you can be connected to the outdoors,

คุณก็จะสามารถมีปฏิสัมพันธ์ กับผู้คนที่อยู่บริเวณด้านนอกได้แล้ว

even when you're way above the ground plane.

แม้ว่าคุณจะอยู่เหนือพื้นดินไปมากก็ตาม

So the building acts to create community

ดังนั้น อาคารจึงทำหน้าที่สร้างสังคม

within the building and the city at the same time.

ทั้งภายในตัวอาคารกับเมือง ไปในคราวเดียวกัน

It's working.

มันได้ผล

And people are starting to meet each other on the building surface

ผู้คนเริ่มมาพบปะกันที่ตัวอาคาร

and we've heard --

และเราได้ทราบมาว่า

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

they've even starting getting together as couples.

พวกเขาถึงกับเริ่มคบกัน เป็นคู่รักด้วยละค่ะ

But besides romantic relationships,

แต่นอกจากความสัมพันธ์ แบบโรแมนติกนี้แล้ว

the building has a positive social effect

อาคารยังมีผลในทางสังคมเชิงบวก

on the community,

ต่อชุนชน

as evidenced by people starting groups together

หลักฐานก็คือ ผู้คนเริ่มตั้งกลุ่มด้วยกัน

and starting big projects together,

และริเริ่มโครงการใหญ่ ๆ ด้วยกัน

like this organic community garden on the building's roof terrace.

ดังเช่น สวนชุมชนออร์แกนิกนี้ บนดาดฟ้าของอาคาร

So I've shown how tall buildings can be social connectors,

ฉันได้แสดงให้เห็นว่า ตึกสูงสามารถเป็น ตัวเชื่อมสัมพันธ์ทางสังคมได้อย่างไร

but what about public architecture?

แล้วสถาปัตยกรรมสาธารณะล่ะ

How can we create better social cohesion in public buildings

เราจะสร้างสังคมที่มีความสมานฉันท์ ให้ดียิ่งขึ้นในอาคารสาธารณะ

and civic spaces,

และพื้นที่สาธารณะได้อย่างไร

and why is it important?

และทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญนัก

Public architecture is just not as successful

สถาปัตยกรรมสาธารณะ คงจะไม่ประสบความสำเร็จเช่นนี้

if it comes from the top down.

หากมันเริ่มจากการสั่งการจากเบื้องบน (Top-Down)

About 15 years ago in Chicago,

เมื่อราว 15 ปีที่แล้วในชิคาโก

they started to replace old police stations,

พวกเขาได้เริ่มรื้อถอนสถานีตำรวจเก่า ๆ

and they built this identical model all over the city.

แล้วสร้างต้นแบบนี้ ที่มีลักษณะเหมือนกันไปทั่วทั้งเมือง

And even though they had good intentions

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีเจตนาดี

of treating all neighborhoods equally,

ที่จะปฏิบัติต่อบริเวณใกล้เคียง รอบด้านอย่างเท่าเทียม

the communities didn't feel invested in the process

แต่ชุมชนกลับไม่รู้สึกว่า ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการ

or feel a sense of ownership of these buildings.

หรือรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ ในตัวอาคารเหล่านี้

It was equality in the sense that everybody gets the same police station,

มันเป็นความเท่าเทียมกันในแง่ที่ ทุกคนได้สถานีตำรวจแห่งเดียวกัน

but it wasn't equity in the sense of responding

แต่ไม่ใช่ในแง่ของการตอบสนอง

to each community's individual needs.

ต่อความต้องการของแต่ละคนในชุมชน

And equity is the key issue here.

ความเสมอภาคคือประเด็นสำคัญในที่นี้

You know, in my field, there's a debate

ในสายงานของฉันมีการโต้เถียงกัน

about whether architecture can even do anything

เกี่ยวกับเรื่องที่ว่า สถาปัตยกรรม สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่าง

to improve social relationships.

เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ทางสังคม ได้หรือไม่

But I believe that we need architecture and every tool in our tool kit

แต่ฉันเชื่อว่า เราต้องการสถาปัตยกรรม และเครื่องมือทุกอย่างของเรา

to improve these relationships.

ในการพัฒนาความสัมพันธ์เหล่านี้

In the US, policy reforms have been recommended

ที่สหรัฐฯ ได้มีการแนะนำให้ปฎิรูปนโยบาย

in order to rebuild trust.

เพื่อสร้างความเชื่อมั่นคืนมาใหม่

But my team and I wondered

แต่ฉันและทีมงานกลับสงสัยว่า

if design and a more inclusive design process

การออกแบบและกระบวนการออกแบบ ที่ครอบคลุมมากขึ้น

could help add something positive to this policy conversation.

จะสามารถช่วยเพิ่มผลบวกให้แก่ การพูดคุยถึงนโยบายนี้ได้หรือไม่

We asked ourselves simply:

เราถามตัวเองง่าย ๆ ว่า

Can design help rebuild trust?

การออกแบบช่วยสร้างความเชื่อมั่น กลับคืนมาได้ไหม

So we reached out to community members and police officers in North Lawndale;

ดังนั้น เราจึงเข้าหาสมาชิกในชุมชนและ เจ้าหน้าที่ตำรวจใน "นอร์ธ ลอว์นเดล" (North Lawndale)

it's a neighborhood in Chicago

พื้นที่ชุมชนแห่งหนึ่งในชิคาโก

where the police station is perceived as a scary fortress

ที่ซึ่งสถานีตำรวจเป็นที่สัมผัสได้ว่า เป็นเสมือนป้อมปราการอันน่าขนลุก

surrounded by a parking lot.

ล้อมรอบไปด้วยลานจอดรถ

In North Lawndale, people are afraid of police

ณ นอร์ธ ลอว์นเดล แห่งนี้ ผู้คนต่างหวาดกลัวตำรวจ

and of going anywhere near the police station,

และไม่กล้าเข้าใกล้สถานีตำรวจ

even to report a crime.

ไม่กล้าแม้แต่จะไปแจ้งความ

So we organized this brainstorming session

ฉะนั้น เราจึงจัดการประชุมระดมสมองนี้ขึ้นมา

with both groups participating,

พร้อมด้วยการเข้าร่วมจากทั้งสองกลุ่ม

and we came up with this whole new idea for the police station.

และเราก็ได้ความคิดใหม่ทั้งหมดนี้ สำหรับสถานีตำรวจ

It's called "Polis Station."

ที่เรียกว่า "สถานีโปลิศ (Polis Station)"

"Polis" is a Greek word that means a place with a sense of community.

"Polis" เป็นภาษากรีก หมายถึง สถานที่ที่มีสำนึกของความเป็นชุมชน

It's based on the idea

มันตั้งอยู่บนพื้นฐานความคิดที่ว่า

that if you can increase opportunities for positive social interactions

หากคุณเพิ่มโอกาสให้เกิดปฏิสัมพันธ์ ทางสังคมในเชิงบวก

between police and community members,

ระหว่างตำรวจและสมาชิกในชุมชนได้

you can rebuild that relationship

คุณก็สามารถรื้อฟื้นความสัมพันธ์นั้น ขึ้นมาใหม่

and activate the neighborhood at the same time.

และปลุกกระแสพื้นที่ใกล้เคียงได้ ไปในคราวเดียวกัน

Instead of the police station as a scary fortress,

แทนที่สถานีตำรวจจะเป็น ป้อมปราการสุดหลอน

you get highly active spaces on the public side of the station --

คุณกลับได้พื้นที่สาธารณะริมทาง ของสถานีที่มีความคล่องตัวสูง

places that spark conversation,

เป็นสถานที่ที่จะจุดประกาย ให้เกิดการสนทนา

like a barbershop, a coffee shop

เช่น ร้านทำผม ร้านกาแฟ

or sports courts as well.

หรือสนามกีฬาต่าง ๆ ก็เช่นกัน

Both cops and kids said they love sports.

ทั้งตำรวจและเด็ก ๆ ต่างบอก เป็นเสียงเดียวว่าชอบเล่นกีฬา

These insights came directly from the community members

ข้อมูลเชิงลึกพวกนี้ได้มาจาก สมาชิกชุมชนโดยตรง

and the police officers themselves,

และจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเอง

and as designers, our role was just to connect the dots

ในฐานะนักออกแบบ บทบาทของเรา ก็เพียงแค่เชื่อมโยงจุดเหล่านี้

and suggest the first step.

และให้คำแนะนำในขั้นต้น

So with the help of the city and the parks,

ด้วยความช่วยเหลือจากเมือง และสวนสาธารณะทั้งหลาย

we were able to raise funds and design and build a half-court,

เราจึงสามารถระดมทุน ออกแบบ และสร้างสนามบาสแบบ half-court

right on the police station parking lot.

ตรงลานจอดรถของสถานีตำรวจได้

It's a start.

นี่คือการเริ่มต้น

But is it rebuilding trust?

แต่นี่คือการสร้างความเชื่อมั่น ขึ้นมาใหม่หรือเปล่า

The people in North Lawndale say the kids are using the courts every day

คนในพื้นที่ชุมชนนอร์ธ ลอว์นเดล กล่าวว่าเด็ก ๆ ไปใช้สนามกันทุกวัน

and they even organize tournaments like this one shown here,

พวกเขาถึงขั้นจัดการแข่งทัวร์นาเมนท์ อย่างที่แสดงให้เห็นอยู่นี้

and once in a while an officer joins in.

นาน ๆ ทีก็จะมีตำรวจมาร่วมวงด้วย

But now, they even have basketballs inside the station

และตอนนี้ ก็มีการนำลูกบาสเกตบอล มาเก็บไว้อยู่ที่สถานี

that kids can borrow.

ให้เด็ก ๆ ยืมไปเล่นได้ด้วย

And recently they've asked us to expand the courts

และเมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาก็ขอให้เราขยายสนาม

and build a park on the site.

และสร้างสวนไว้ในบริเวณนี้

And parents report something astonishing.

ผู้ปกครองได้เล่าเรื่องอันน่าอัศจรรย์

Before, there was fear of going anywhere the station, and now they say

ซึ่งก่อนหน้า มีความกลัวที่จะไปสถานีตำรวจ แห่งไหนก็ตาม แต่ตอนนี้พูดได้เลยว่า

there's a sense that the court is safer than other courts nearby,

มีความรู้สึกว่าสนามนั้นปลอดภัยกว่า สนามอื่น ๆ ในละแวกเสียอีก

and they prefer their kids to play here.

และพวกเขาก็อยากให้เด็ก ๆ ไปเล่นที่สนามนี้กันมากกว่า

So maybe in the future,

ดังนั้น บางทีในอนาคต

on the public side of the station,

ที่ริมทางสาธารณะของสถานีตำรวจ

you might be able to drop in for a haircut at the barbershop

คุณอาจจะแวะไปตัดผมที่ร้านทำผม

or reserve the community room for a birthday party

หรือจองห้องสำหรับจัดงานวันเกิด

or renew your driver's license

หรือไปต่ออายุใบขับขี่

or get money out of an ATM.

หรือไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็ม

It can be a place for neighbors to meet each other

ก็จะเป็นสถานที่ ที่คนบ้านใกล้เรือนเคียงมาพบปะกัน

and to get to know the officers, and vice versa.

และทำความรู้จักเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรืออาจจะตรงข้ามกันก็ได้

This is not a utopian fantasy.

นี่ไม่ใช่จินตนาการเพ้อฝันในอุดมคติ

It's about how do you design to rebuild trust,

แต่เป็นเรื่องที่เราออกแบบอย่างไร ในการสร้างความเชื่อมั่นขึ้นมาใหม่

trusting relationships?

ความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจกันน่ะหรือ

You know, every city has parks, libraries, schools

รู้ไหมคะ ทุกเมืองมีสวนสาธารณะ มีห้องสมุด มีโรงเรียน

and other public buildings

และอาคารสาธารณะอื่น ๆ

that have the potential to be reimagined as social connectors.

ที่มีศักยภาพในการสร้างจินตภาพใหม่ เป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์ทางสังคม

But reimagining the buildings for the future is going to require

แต่ในการสร้างจินตภาพใหม่ ให้อาคารแห่งอนาคตนั้นจำเป็นจะต้อง

engaging the people who live there.

ให้ผู้คนที่อยู่อาศัยในอาคารมีส่วนร่วม

Engaging the public can be intimidating, and I've felt that, too.

การให้ประชาชนมีส่วนร่วมอาจเป็นเรื่อง ที่ชวนปวดหัว และฉันก็รู้สึกเช่นเดียวกัน

But maybe that's because in architecture school,

แต่นั่นอาจเป็นเพราะ ในโรงเรียนสอนสถาปัตยกรรม

we don't really learn how to engage the public in the act of design.

เราไม่ค่อยได้เรียนวิธีการให้ประชาชน มามีส่วนร่วมในขั้นลงมือการออกแบบ

We're taught to defend our design against criticism.

เราถูกสอนให้ปกป้องงานออกแบบของเรา จากคำวิจารณ์

But I think that can change, too.

แต่ฉันก็คิดว่า เราสามารถเปลี่ยนมันได้เช่นกัน

So if we can focus the design mind

ดังนั้น หากเรามุ่งเน้นไปที่ จิตสำนึกในการออกแบบ

on creating positive, reinforcing relationships

การเสริมสร้างความสัมพันธ์เชิงบวก

in architecture and through architecture,

ทั้งในงานและผ่านงานสถาปัตยกรรม

I believe we can do much more than create individual buildings.

ฉันเชื่อว่า เราสามารถทำได้ยิ่งกว่า การสร้างตึกแต่ละหลังมากมายนัก

We can reduce the stress and the polarization

เราสามารถลดความเครียด และการแบ่งขั้วอำนาจ

in our urban habitats.

ในที่อยู่อาศัยเขตเมืองของเราได้

We can create relationships.

เราสามารถสร้างความสัมพันธ์

We can help steady this planet we all share.

เราสามารถช่วยรักษาความมั่นคง ให้โลกใบนี้ที่เราอยู่ร่วมกันได้

See?

เห็นไหมคะ

Architects really are relationship builders.

ว่าจริง ๆ แล้วสถาปนิก ก็คือ นักสร้างความสัมพันธ์ดี ๆ นี่เอง

(Laughter)

(เสียงหัวเราะ)

Thank you very much.

ขอบคุณมากค่ะ

(Applause)

(เสียงปรบมือ)